แสนโหล...แสนหลอน
ในฐานะที่เขาเป็นท่านประธานคนใหม่ของอาณาจักร 'อลังการ เขาใหญ่' สถานพักตากอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาจึงต้องเพียบพร้อม ฉลาดหลักแหลม และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน

จะให้ใครรู้ถึงจุดอ่อนของเขาไม่ได้

'สุดจักรวาล มหาศาลปฐพี' พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาภาพลักษณ์ และเอาชนะทุกคำสบประมาท แต่ทว่า...

ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ฟ้าคลั่ง ลมกรรโชกแรง

เขาต้องคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มหนา กอดพระพุทธรูปแล้วบริกรรมคำสวดด้วยใจที่หวาดหวั่น

ใ่ช่... เขากลัวผี


ขณะที่เธอ

ผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางเหมือนไม้เสียบผี มีบุคลิกลึกลับเข้าขั้นประหลาด ผู้มองเห็นวิญญาณ และติดต่อสื่อสารกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ

'แสนโหล' หญิงสาวที่น่าจะเปลี่ยนไปชื่อ 'แสนหลอน'

เมื่อเหตุการณ์ชวนสยองพาเขาและเธอมาพบกัน จากหลอนจะเปลี่ยนเป็นรักได้หรือไม่... ต้องมาช่วยลุ้นกันนะคะ ^^




ปล. นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ลองแต่งแนวผี ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
Tags: ผี,วิญญาณ,ตลก,

ตอน: บทที่ 2 : นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน


คำชมจากป้าเป็นสิ่งที่เยียวยาให้เขาหายจากอาการหวาดกลัวได้

หลังนอนไม่กลับ กระสับกระส่ายอยู่ท่ามกลางองค์พระที่รายล้อมในห้องนอนทั้งคืน เช้าวันใหม่ ภายในห้องทำงานของท่านประธาน... ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างบนอาคารสำนักงานที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มองเห็นอาณาจักรอันกว้างใหญ่ผ่านกระจกใสที่กรุไว้แทนผนังทั้งสองข้าง ชายหนุ่มมาดเข้มบนเก้าอี้หนังสีน้ำตาล พยายามทำหน้าขรึมขณะฟังคำของหญิงวัย 65 แต่ใบหน้ายังคงเต่งตึงด้วยการช่วยดึงจากมือหมอ พูดถึงงานเปิดตัวที่ผ่านไป

“ป้าไม่คิดว่าสุดจะทำได้ดีขนาดนี้ เห็นหนังสือพิมพ์ไหม มีแต่ข่าวของสุด”

แม้จะมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ แต่ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินก็ทำให้อรุณสวัสดิ์ใช้น้ำเสียงค่อนข้างแข็ง เหมือนพูดกับเพื่อนร่วมงานมากกว่าหลานชาย แต่นั่นแหละ สุดจักรวาลที่วันนี้สวมเชิ้ตสีครามเข้มจากอิตาลีและกางเกงยีนส์ตัดเย็นอย่างดี ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร

“ผมเห็นแล้ว” เขาเอ่ยแค่นั้น ก่อนตบมือ 2 ครั้ง เป็นสัญญาณให้อัครเดชที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ในห้อง ทำการเปิดม่านสีแดงที่คลุมผนังด้านหนึ่งไว้ ขณะที่เขาเองก็ลุกขึ้น แล้วผายมือออกไปด้วยความภาคภูมิใจ

“Hall of fame ของผมเอง เป็นยังไง สวยงามใช่ไหม…” เขาชื่นชม ขณะที่ป้าขมวดคิ้ว “อย่ามองอย่างนั้น ผมรู้ว่าป้าคิดอะไร ตอนนี้มันอาจจะดูโล่งไปหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานมันก็เต็ม”

“ขอให้เต็มด้วยปริมาณข่าว ไม่ใช่พื้นที่กรอบก็แล้วกัน” ป้าดักคอ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องเมื่อคืน ก็คงพอทำให้คนพวกนั้นไม่กล้าเสนอเรื่องเปลี่ยนตัวท่านประธานในเร็วๆ นี้ ต่อไปสุดก็ต้องทำให้เต็มที่ ต้องสร้างผลงานให้เร็วที่สุด ห้ามพลาดเลยนะ เพราะตอนนี้มีคนจ้องจะเสียบตำแหน่งแทนสุดไม่รู้เท่าไร”

อรุณสวัสดิ์ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการฝ่ายบริหารบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สุดจักรวาลขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย รู้ได้ทันทีว่าป้าไม่ไว้ใจเขา ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ก่อนใช้มือแตะไปที่อวัยวะแต่ละส่วนของตัวเองขณะเอ่ย

“ตรงไหนดีครับ หัว ไหล่ หรือว่าตรงนี้...อกข้างซ้าย”

“อะไร”

“เลือกมามาเลยว่าป้าชอบตรงไหน แล้ววางใจมาได้เลย ผมไม่ทำให้ป้าผิดหวังแน่”

ป้าเลิกคิ้ว มองหลานแท้ๆ แต่ไม่สนิทแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร เธอถอนหายใจแล้วขอตัวกลับ โดยตอนที่เดินผ่านเลขาฯ ของอีกฝ่าย ก็อดไมได้ที่จะกระซิบบอก

“บ่ายนี้มีประชุมผู้ถือหุ้น จับตาดูเขาให้ดี ฉันวางใจไม่ลงจริงๆ”



ความกังวลของป้าไม่อยู่ในความสนใจของเขานานนัก เพราะเมื่อป้าจากไป เหตุการณ์เมื่อคืนก็หวนกลับมาสู่ความทรงจำอีกครั้ง

โดยไม่สนใจเอกสารกองพะเนินที่อยู่ตรงหน้า สุดจักรวาลได้ต่อสายตรงถึงหน่วยรักษาความปลอดภัย แล้วตั้งอกตั้งใจดูภาพย้อนหลังจากกล้องวงจรปิดที่ส่งมาให้ โดยเริ่มจากกล้องที่ติดไว้บริเวณสระว่ายน้ำ ก่อนไล่ไปถึงงานแต่งงานสไตล์คาวบอยบริเวณลานกว้าง จนอัครเดชที่มองอยู่นาน ตัดสินใจถามด้วยความสงสัย

“คุณหนูกำลังหาอะไรอยู่เหรอครับ”

“ผู้หญิงที่ผมเจอที่ห้องน้ำเมื่อวานนี้ ผมแค่อยากดูให้แน่ใจ ว่าผู้หญิงชุดไทยที่ผมเห็นเป็นคน...เอิ่ม เป็นใครกันแน่”

ชายวัยกลางคนยังไม่คลายใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ย

“คุณหนูควรใช้เวลานี้เตรียมตัวประชุมตอนบ่ายนะครับ เอกสารที่คุณอรุณเตรียมไว้ให้ คุณหนูอ่านหมดแล้วเหรอ”

“อังเดร นี่ใคร คุณอาจจะไม่เห็นเพราะขับรถอยู่ แต่ตอนนั่งรถมาที่นี่ ผมอ่านหมดแล้ว”

“แต่จากบ้านมาที่นี่มันไม่ถึง 10 นาทีเองนะครับ คุณหนูอ่านจบแล้วจริงๆ เหรอ”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงทำให้สุดจักรวาลเงยหน้าขึ้นมา มองชายวัยกลางคนด้วยใบหน้านิ่ง

“อังเดรอยู่กับครอบครัวผมมาเป็นสิบๆ ปี ยังไม่รู้อีกเหรอว่าผมเก่งแค่ไหน อ๋อ ลืมไป ปกติคุณดูแลแต่พี่เอก นายน้อยคนเก่งของคุณ... เอาอย่างนี้ ผมรู้ว่าโครงการบ้านจัดสรรที่อลังการจะแบ่งขายพื้นที่และสร้างบ้านให้ลูกค้าเป็นการเสนอของคุณบดินทร์ คนที่ต้องการจะกำจัดผมทิ้งเพื่อแย่งเก้าอี้ท่านประธานไป เพราะฉะนั้น สบายใจได้ ผมไม่ยอมเป็นตัวตลกต่อหน้าใครหรอก แล้วผมก็ไม่ใช่ต้นบอนไซที่ตั้งประดับอยู่ในห้องประชุมด้วย... จบไหม ผมจะตามหาผู้หญิงลึกลับต่อแล้วนะ เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่เคลียร์ ผมไปต่อเรื่องอื่นไม่ได้จริงๆ”

สุดจักรวาลเอ่ยยาวเหยียดแล้วจ้องหน้ารอคำตอบ พอเลขาฯ พยักหน้าอย่างจำนนเขาจึงหันกลับไปยังจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า แต่ตอนนั้นเอง ประตูห้องทำงานได้เปิดออกโดยผ่านการเคาะบอกที่ไม่รอคำอนุญาต แล้วรุ่งรวี...ผู้ช่วยเลขาฯ สาวร่างผอมบางก็ผลักบานไม้เข้ามาด้วยหน้าตาตื่น โดยไม่รอให้ใครถาม เธอก็รีบเอ่ยทันที

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณสุด”



“ผมเกลียดโรงพยาบาล”

สุดจักรวาลกระซิบบอกชายสูงวัยขณะเดินไปตามโถงสีเทาที่อบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ความหวาดหวั่นในใจเป็นสิ่งที่เขาพยายามซ่อนไว้ แต่กระนั้น การกระเถิบตัวไปเดินใกล้... แทบจะเบียดชิด ก็ทำให้ผู้เป็นเลขาฯ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“มันไม่สกปรกเท่าไรหรอกครับ” อัครเดชว่า คิดว่าตัวเองรู้ใจอีกฝ่าย แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก

“ที่นี่มีคนตายทุกวัน” สุดจักรวาลเอ่ยแค่นั้นแล้วก็ยั้งปากตัวเองไว้ เรื่องที่เขา ‘กลัว’ จับจิตจับใจ ถือเป็นความลับสุดยอด

ก็ในเมื่อมันเป็นจุดอ่อนของเขาจะให้คนอื่นรู้ได้อย่างไรกันเล่า หากไปเข้าคู่ฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา แล้วส่งผีทั้งป่าช้ามาเล่นงาน เขาจะทำอย่างไร

“เอาหน้ากากอนามัยไหมครับ”

“อืม ก็ดี” เผื่อเขารู้สึกเสียวสันหลัง แล้วปากสั่นเพราะความหวาดหวั่น จะได้ไม่มีใครได้ยินเสียงกระทบกันของฟัน

ขณะยืนรออัครเดชแยกออกไปขอหน้ากากอนามัยจากนางพยาบาลแถวห้องฉุกเฉิน สายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นบางอย่าง ใบหน้าอาบเลือดของเด็กหนุ่มบนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นผ่าน และดวงตาเบิกโพลงที่จ้องเขม็งมาที่เขา แน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่ไรขนทั่วร่างกำลังลุกชันอย่างควบคุมไม่ได้

ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ เขาอยากไปจากที่นี่แล้ว

“แก เจ้าของอลังการใช่ไหม!!!”

เสียงที่แผดดังจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนหันกลับด้วยความประหลาดใจ ใครกันมาทักเขาด้วยน้ำเสียงดุดันและสรรพนามที่หยาบคายเช่นนั้น... ไม่ใช่ผีใช่ไหม

“แก ไอ้พวกนายทุนมักง่าย แกทำร้ายลูกชายฉัน แกต้องรับผิดชอบ”

สุดจักรวาลนิ่งไปอึดใจ เขาจำได้ว่าเรื่องด่วนที่ผู้ช่วยเลขาฯ บอกไว้คืออะไร แต่ความเกรี้ยวกราดของชายวัยกลางคนผิวคล้ำเข้มในเสื้อสีแดงดูแล้วเหมือนกาคาบพริกคนนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าตัวเองต้องรับมือ คิดแล้วก็หันซ้ายหันขวา เวลานี้อัครเดชควรปรากฏตัวออกมาปกป้องเขาได้แล้ว

“ไอ้หน้าด้าน ฉันด่าอย่างนี้ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกจะเอาใช่ไหม....แกทำให้ลูกฉันขาหัก ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

ว่าแล้วผู้เสียหายก็ถลาเข้ามา แต่สุดจักรวาลกลับยกมือข้างขวาขึ้นมาห้ามไว้

“ช้าก่อนคุณกา... เอิ่ม คุณอา ถ้าคุณทำร้ายผม คุณก็จะได้แค่ความสะใจ เพราะผมอาจฟ้องกลับในข้อหาทำร้ายร่างกาย การเสียค่าปรับ 4000 บาทอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คุณก็อาจต้องเสียทั้งค่าปรับ แล้วก็ค่ารักษาพยาบาลให้ลูกชายของคุณด้วย ลองคิดดีๆ คุ้มไหม”

เขาเว้นวรรคเพื่อสังเกตปฏิกิริยาคู่สนทนา เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป เขาจึงเอ่ยต่อ

“เพื่อความสะใจ อะ ผมให้เต็มที่เลย ไปคุยโวโอ้อวดให้คนในหมู่บ้านฟังว่าได้ต่อยหน้าผมสักสองวัน ความสะใจสองวัน แลกกับเงินที่หามาด้วยความเหนื่อยยากไม่รู้กี่วันกี่เดือน ถ้าคิดว่าคุ้มก็เอาเลย กล้องวงจรปิดพร้อม หมอพยาบาลเป็นพยานพร้อม ต่อยแรงๆ เลย ผมจะได้ขอให้ตำรวจจำคุกคุณอีกสักปีสองปี”

สุดจักรวาลเอ่ยเช่นนั้นก็ทำให้กาแก่คาบพริกถึงกับชะงัก ยังไม่ทันตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ ชายหนุ่มหน้าเข้มก็เอ่ยต่อ

“เริ่มลังเลแปลว่าเริ่มมีสติ ถ้าอย่างนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดตาม ผมโดนต่อยคุณเสียตังค์ ผมไม่โดนต่อย คุณได้ตังค์...เสียตังค์ ได้ตังค์ เสียตังค์ ได้ตังค์... คำตอบสุดท้ายของคุณคืออะไร”

“ได้ตังค์”

“ถูกต้อง ฉลาดมากที่เลือกวิธีนี้” สุดจักรวาลตบมือสามทีตามหลังคำชม ขณะผู้เสียหายได้แต่ทำหน้างงๆ ...ที่เขาตกลงกับ ‘นาย’ ไว้ ต้องไม่จบง่ายๆ แบบนี้นี่นา

ยืนโวยวายเพื่อยืดเวลาให้นานที่สุด เพื่ออีกฝ่ายจะได้กลับไปประชุมไม่ได้ นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องทำ

“ไม่รู้แหละ ลูกชายผม เอ๊ย ลูกชายฉันเล่นเครื่องเล่นของคุณ เอ๊ย ของแกแล้วตกลงมา แกต้องรับผิดชอบ ไหนบอกว่าจะมีคนคอยดูแลตลอดไง แล้วทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ หรือว่าเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มีประธานคนใหม่ อลังการ เขาใหญ่ก็ทำงานชุ่ยๆ ไม่สนใจลูกค้าแล้ว ทำอย่างนี้มันใช่ไม่ได้นะเว้ย ฉันไม่ยอม”

“ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน อลังการ เขาใหญ่ต้องสมบูรณ์แบบที่สุด ถ้าผมรู้ว่าพนักงานคนไหนของผมทำงานผิดพลาด ผมก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน ว่าแต่ คุณพอระบุได้ไหมครับว่าลูกชายของคุณเล่นเครื่องเล่นอะไร เวลาเท่าไร แล้วผลัดตกลงมาได้อย่างไร ผมจะได้ไปเสาะหาคนคุมเครื่องเล่นเครื่องนั้น เพื่อนำพานธูปเทียนมาขอขมาลูกชายคุณ”

“เอิ่ม... คือ....”

“คือ?”

“ก็...ก็ไอ้เครื่องเล่นที่ปีนๆ ขึ้นไปไง ปีนขึ้นไปก็ผลัดตกลงมา ขาหักเลยไง”

“อย่างนั้นหรือ โอเค งั้นผมจะต่อสายถึงคนคุมหน้าผาจำลองให้เขารีบมาที่นี่ พร้อมกับตำรวจด้วย เกิดฝ่ายนั้นตุกติกขึ้นมา ไม่ยอมขอโทษ ผมจะได้ให้คุณตำรวจดำเนินคดีไปเลย ดีไหม”

พอพูดถึงตำรวจเท่านั้น ชายวัยกลางคนก็หน้าถอดสี ตอนที่ตกลงกัน ‘นาย’ บอกว่ามันเป็นงานขี้หมูขี้หมา ยืนโวยวายสักชั่วโมงก็ได้เงินค่าเหล้าตั้งห้าพัน แล้วนี่มีตำรวจเข้ามาพัวพันได้ยังไง

เขาไม่เอาหรอกนะ

“เออๆ ไม่ต้องแล้วๆ ฉันไม่เอาเรื่องแล้ว พอๆ กลับไปได้แล้วคุณ กลับไปเลย ขี้เกียจพูดกับคนรวย ไปๆ จะไปไหนก็ไป”

“อ้าว แล้วไม่ให้ผมรับผิดชอบแล้วเหรอ ลูกชายคุณผมก็ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย”

“ไม่ต้องแล้วไง กลับไปได้แล้วไป” ผู้อ้างตัวเป็นผู้เสียหายโบกมือไล่ ถ้าไม่กลัวจะโดนทำร้ายร่างกาย เขาคงผลักอีกฝ่ายให้พ้นหน้าไปนานแล้ว สุดจักรวาลแกล้งทำหน้าประหลาดใจ แต่ในใจกระหยิ่มยิ้มอย่างยินดี

“ถ้าอย่างนั้นถือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างกันนะครับ อลังการ เขาใหญ่ยินดีต้อนรับคุณกับลูกเสมอ แต่ผมหวังว่าคงไม่ต้องพบคุณในสถานการณ์แบบนี้อีก”

ประธานหนุ่มเอ่ยพร้อมส่งดวงตาเหมือนรู้เท่าทันไปให้อีกฝ่าย ก่อนหมุนตัวกลับและเดินจากไป โดยได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกแว่วมาให้ได้ยิน

หึ... เล่นกับใครไม่เล่น

“คุณหนูเก่งมากเลยนะครับ”

อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเมื่อเขาเดินพ้นประตูกระจกของห้องฉุกเฉินออกมา อัครเดชที่ยืนอยู่ยื่นหน้ากากอนามัยมาให้ ก่อนเอ่ยต่อ “คุณหนูทราบได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นกุเรื่องขึ้นมา”

“นี่ใครล่ะ อังเดร นี่ใคร ความฉลาดเฉลียวมันเป็นคุณสมบัติของทายาทอลังการอยู่แล้ว” เขาคุยโวโดยไม่ถ่อมตน ก่อนอธิบายถึงกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งประหนึ่งรถสุราพลิกคว่ำในช่องปากของชายแก่คนนั้น ลูกนอนเจ็บอยู่ในห้องฉุกเฉิน เอาเวลาไหนไปกรึ๊บแอลกอฮอล์กันเล่า... เขาเอะใจถึงสิ่งที่ผิดปกติ แต่ไม่คิดว่ามันจะไม่ปกติจริงๆ

“คุณสุดช่างสังเกตมาก ทำได้ดีจริงๆ ครับ”

“ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าผมเก่ง ดีใจที่คุณได้รู้บ้าง ยังไงก็ช่วยเช็คให้หน่อยว่ากาแก่คาบพริกนั่นเป็นใคร และมีลูกชายจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ถ้าไม่ แล้วเขามากล่าวหาผมทำไม คุณทำได้ใช่ไหม เอ่อ คุณช่วยไปขอแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อมาให้ผมด้วยนะ อยู่ที่นี่แล้วมัน...” เขาแสดงสีหน้าเหมือนรังเกียจเสียเต็มประดา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ผมจะไปรอที่รถ”

สุดจักรวาลสั่งยาวเหยียด ใช้น้ำเสียงและวางท่าทางเหมือนที่เคยเห็นบิดาทำบ่อยๆ ก่อนจะใส่หน้ากากอนามัย แบมือขอกุญแจรถจากอีกฝ่าย แล้วเดินหลังตรงไปยังทางออก อัครเดชมองตามด้วยสายตาครุ่นคิด อึดใจต่อมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน



กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ภายในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ ทำให้สุดจักรวาลรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง เพราะตอนที่อยู่ในอาคารของโรงพยาบาล ต้องคอยระวังสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ทั้งเชื้อโรค แล้วก็... บางสิ่งที่เหมือนสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอด ก็ทำให้สมองของเขาเขม็งเครียดจนเริ่มปวดหัว ชายหนุ่มเอนศีรษะแล้วปิดเปลือกตาลง ก่อนปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพลงที่บรรเลงอย่างแผ่วเบา

ท่องทำนองเนิบช้าชวนให้เคลิ้มหลับได้โดยง่าย แต่ก่อนที่ห้วงนิทราจะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเขาไป ชายหนุ่มก็รู้สึกได้... เหมือนมี ‘ใคร’ ทรุดตัวนั่งใกล้ๆ

แรงยวบของเบาะข้างกายยังไม่ทำให้เขารู้สึกผวาได้เท่ากับกลิ่นคาวคละคลุ้งที่จู่โจมจนเขาต้องลืมตาตื่น รอบกายยังคงปกติ แต่เขากลับไม่โล่งใจ อะไรคือที่มาของกลิ่นชวนคลื่นไส้ ยิ่งเขามองหาเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นนั้นอยู่ใกล้แทบปลายจมูก

เหมือนเจ้าของกลิ่นแนบหน้าอยู่ตรงหน้าเขานี่

“ไม่เอานะเว้ย ไม่เล่นแบบนี้” เขาว่าเสียงสั่น พยายามเปิดประตูด้วยความร้อนรน แต่ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์ เขาถูกขังเช่นเดียวกับเมื่อคืน... อะไรกันนักกันหนา จะหลอกให้เขาหัวโกร๋นให้ได้เลยใช่ไหม เขาควรทำอย่างไร เขาจะหนีอย่างไร

ชายหนุ่มพยายามคิดทั้งที่สติแทบไม่เหลือ สุดท้ายเขาก็นึกขึ้นได้ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา รีบร้อนต่อสายไปยังเลขาฯ ส่วนตัว แต่ขณะที่ยกหูขึ้นฟังเสียงรอสาย แทนที่จะเป็น ตู้ด...ตู้ด... กลับเป็นเสียงอื่น...

เลือด.... เลือด...

ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วกระโจนไปยังเบาะหน้า กุมพวงมาลัยก่อนเหยียบคันเร่งจนมิดด้าม รถทะยานไปข้างหน้า พร้อมกับสายฝนเม็ดแรกที่โปรยปรายลงมาพอดี

ชายหนุ่มไม่สนใจ ยังคงห้อตะบึ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แต่ท้องฟ้าสีดำทะมึนกลับกระหน่ำฝนห่าใหญ่ทำให้เขามองทางแทบไม่เห็น และเมื่อแสงไฟจากรถอีกเลนพุ่งตรงเข้ามา เขาก็ต้องหักพวงมาลัยหลบเข้าข้างทาง ซึ่งนั่น ทำให้พาหนะของเขาติดปลักโคลนจนไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

เขาเหมือนติดกับ ห้อมล้อมด้วยฝนที่ตกหนักราวพายุ คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร อากาศเย็นเฉียบภายในที่ต่างจากข้างนอกก็ทำให้กระจกหกด้านรอบคันรถถูกปกคลุมด้วยฝ้าสีเทาขุ่น... มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว

“จะเอายังไงกันแน่ บอกมาสิวะ!!!”

เขาตะโกนดั่งคนไร้สติ แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อเสียงดัง ‘ปัง’ เกิดขึ้นใกล้ๆ แล้วรอยนิ้วทั้งห้าที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ขนแขนลุกชันอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่ตัวอักษรภาษาไทยจะถูกเขียนด้วยนิ้วที่มองไม่เห็นลงบนกระจกหน้ารถอย่างช้าๆ

เ...ลื...อ....ด

เลือดอีกแล้วเหรอ จะต้องการเลือดอะไรกันนักหนา เป็นผีดิบลืมป่าช้าที่ตายอดตายอยากมาจากไหน ชายหนุ่มคิดด้วยความหงุดหงิดใจเพราะกลัวจนทนไม่ไหว สุดท้ายเขาจึงเอียงศีรษะ ยื่นคอให้กับแวมไพร์ไร้มารยาท.... อยากได้เลือดนักก็เชิญดูดไปเลย ไม่ต้องมาตบกระจกร้องขออย่างกับจิ๊กโก๋แถวสี่แยกอยากได้เศษตังค์.... สุดจักรวาลคิดเช่นนั้น ก่อนจะหลับตานึกถึงหน้าพ่อ หน้าแม่ และหน้าพี่ชาย อีกไม่นานเราคงได้อยู่ด้วยกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก…

เสียงเคาะที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เปลือกตาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เห็นบางอย่างวูบไหวอยู่ปลายหางตาฝั่งขวามือ เขาหันไปมอง แล้วใบหน้าอันคุ้นตาของเลขาฯ สูงวัยที่ปรากฏก็ทำให้เขาเบิ่งตากว้างด้วยความยินดีเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ชายหนุ่มกู่ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปพร้อมกับทุบกระจกส่งสัญญาณให้อัครเดชเข้ามาช่วยเหลือ

คุณหนู เปิดประตูสิครับ ปากที่ขยับขึ้นลงของคนข้างนอกบอกอย่างนั้น สุดจักรวาลส่ายหน้า ตั้งใจจะสาธิตให้อีกฝ่ายดูว่าทำไม่ได้ แต่คราวนี้กลับเปลี่ยนไป ทันทีที่ง้าง ประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ทำเอาคนที่ออกแรงดันสุดกำลังเกือบจะหน้าคว่ำตกลงมา

“คุณหนู เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

อัครเดชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดทั่วหน้าผากคุณหนู แต่สุดจักรวาลกลับประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อเห็นท้องฟ้าข้างนอกยังคงสดใสเหมือนไม่เคยมีพายุใดๆ เกิดขึ้น

“ฝนหยุดแล้วเหรอ”

“ฝนไม่ได้ตกนี่ครับ”

คำตอบที่ได้ยินทำให้สุดจักรวาลอ้าปากค้างทันที นี่มันหมายความว่าอย่างไร เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงฝันอย่างนั้นเหรอ เขาคิดมากจนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นเชียวเหรอ

ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ตัวเอง พลางมองสำรวจรอบกายด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นโทรศัพท์ตกอยู่ที่พื้น ไวเท่าความคิดเขารีบหยิบขึ้นมาเช็คทันที เบอร์สุดท้ายที่โทรออกคือเบอร์ของเลขาฯ ที่ทำหน้าเหลอหลาอยู่ตอนนี้จริงๆ ด้วย

ให้ตายสิ นี่มันเรื่องบ้าเรื่องบออะไรกัน ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีได้ไหม



------------------------------------------

มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว 5555 มาลุ้นกันต่อตอนหน้านะคะว่านายสุดจักรวาลจะทำอย่างไร

คุณพี่แตงกวา : 555 ยังไม่บอกค่ะว่าตาสุดไปเจออะไรมา เอาไว้ให้ช่วยลุ้นกันต่อนะคะ

คุณsukhumvitt66 : เรียกว่าหล่อทะลักทลายเลยดีกว่าค่ะ

คุณอัศวินนภา : ขอบคุณค้าา

คุณ นักอ่านเหนียบหนึบ : เคมีอาจจะไม่เข้ากัน แต่ผีก็ช่วยทำให้เข้ากันได้นะคะ 5555

คุณ ดังปัณณ์ : 55555 มีเสน่ห์แบบนี้ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่านะคะ

คุณ Pat : ขอบคุณที่แวะมาอ่านค้า

คุณโอเลี้ยง : ขอบคุณที่อ่านนะคะ

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ ถ้าเรื่องนี้จะมีเรื่องรักน้อยกว่าเรื่องหลอนก็อย่าเพิ่งเบื่อกันน้าาา



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ย. 2556, 08:40:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ย. 2556, 08:44:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1668





<< บทที่ 1 : ผีหลอก!!!!   บทที่ 3 : และแล้วก็เจอกัน >>
ดังปัณณ์ 3 พ.ย. 2556, 13:22:14 น.
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย คารมพ่อคุณสุดจักรวาล 555+ บนไหล่หรืออกข้างซ้าย ฮิ้ววววววววววววววววว

ว่าแต่พ่อคุณเค้านี่ เจอแต่ผีเนาะ 55+ น่าฉงฉาน


พันธุ์แตงกวา 3 พ.ย. 2556, 19:22:26 น.
ตาสุดนี่เก่งไม่เบาแฮะ มันระดับอัจฉริยะเลยนะนี่. ว่าแต่คุณเลขาอังเดรชักมีพิรุธแปลกๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 พ.ย. 2556, 22:38:49 น.
สงสัยนายสุดคงต้องเปลี่ยนเลขาคนใหม่แล้วววมั้ง เอาคนที่แบบว่า ช่วยได้ทุกเรื่องจริงๆ ใครน้าาาา
5555


Sukhumvit66 3 พ.ย. 2556, 23:45:30 น.
เอิ่ม...อังเดรเนี่ยคนดีหรือคนร้ายค่ะ.....
กลัวจะไปเป็นอย่างหลังจริง ๆ เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account