แสนโหล...แสนหลอน
ในฐานะที่เขาเป็นท่านประธานคนใหม่ของอาณาจักร 'อลังการ เขาใหญ่' สถานพักตากอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาจึงต้องเพียบพร้อม ฉลาดหลักแหลม และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน

จะให้ใครรู้ถึงจุดอ่อนของเขาไม่ได้

'สุดจักรวาล มหาศาลปฐพี' พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาภาพลักษณ์ และเอาชนะทุกคำสบประมาท แต่ทว่า...

ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ฟ้าคลั่ง ลมกรรโชกแรง

เขาต้องคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มหนา กอดพระพุทธรูปแล้วบริกรรมคำสวดด้วยใจที่หวาดหวั่น

ใ่ช่... เขากลัวผี


ขณะที่เธอ

ผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางเหมือนไม้เสียบผี มีบุคลิกลึกลับเข้าขั้นประหลาด ผู้มองเห็นวิญญาณ และติดต่อสื่อสารกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ

'แสนโหล' หญิงสาวที่น่าจะเปลี่ยนไปชื่อ 'แสนหลอน'

เมื่อเหตุการณ์ชวนสยองพาเขาและเธอมาพบกัน จากหลอนจะเปลี่ยนเป็นรักได้หรือไม่... ต้องมาช่วยลุ้นกันนะคะ ^^




ปล. นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ลองแต่งแนวผี ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
Tags: ผี,วิญญาณ,ตลก,

ตอน: บทที่ 3 : และแล้วก็เจอกัน


ทันทีที่เห็นรถคันใหญ่สีขาวสะอาดแล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน หญิงวัยกลางคนในเสื้อลายดอกกับกางเกงสีสดที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่แถวนั้นก็รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ และเมื่อชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานเดินลงมาจากฝั่งคนขับ นางก็เอ่ยทักออกไปทันที

“สวนสมชายยินดีต้อนรับ สนใจต้นไม้แบบไหนสอบถามได้นะค้า”

อัครเดชเดินไปเปิดประตูให้เจ้านายโดยไม่ตอบอะไร และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงสง่าที่เตะตาเหมือนพระเอกในละครหลังข่าวปรากฏตัว สมรศรีก็ถึงกับตาพร่าชั่วขณะเพราะรู้สึกเหมือนมีรัศมีเจิดจ้าแผ่ออกมารอบตัวอีกฝ่าย

ช่วยไม่ได้เลยที่เธอจะนึกถึงลูกสาว อยากให้แสนโหลมาเจริญสัมพันธไมตรีกับพ่อหนุ่มรูปงามคนนี้เสียเดี๋ยวนี้

“เชิญเลือกดูต้นไม้ได้ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวแม่ไปหาน้ำหาท่ามาให้”

รีบแทนตัวเองอย่างสนิทสนม อีกฝ่ายจะได้สนิทใจเผื่อในอนาคตต้องเรียกขานกันจริงๆ ก่อนจะหายเข้าไปด้านใน...บ้านไม้สองชั้นที่ระเบียงด้านหน้าได้รับความร่มรื่นจากซุ้มพวงหยก ไม้เลื้อยที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมทั่วไม้ระแนงที่สร้างเป็นหลังคา

“คุณหนูจะเข้าไปข้างในไหมครับ” อัครเดชเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้านายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สุดจักรวาลก้มมองพื้นที่ปูด้วยอิฐมอญสีแดง ซึ่งขนาบข้างด้วยไม้กระถางหลากสายพันธุ์ แม้จะไม่สกปรกเข้าขั้นเลวร้าย แต่เศษดินที่ฉ่ำน้ำก็ดูเปียกชื้นไม่น่าย่ำเข้าไป

“ผมจะนั่งรอตรงนั้น” เขาตัดสินใจแล้วเดินนำไปยังม้าหินที่อยู่ใต้ชายคา เมื่อถึงก็หยุดรอให้เลขาฯ ส่วนตัวที่เริ่มรู้หน้าที่ทำการปัดฝุ่นให้ก่อน แล้วจึงทรุดตัวลงอย่างระมัดระวัง ขณะที่อัครเดชซึ่งนั่งใกล้ๆ ลอบมองนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย

“เป็นไงบ้างคะ ถูกใจต้นไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าเลือกไม่ถูกเดี๋ยวแม่ให้คนมาพาชมดีกว่า... เอ้า โหล ยกน้ำมาให้พี่เขาสิลูก” ประโยคหลัง สมรศรีตะโกนกลับยังทางเดิมที่เพิ่งออกมา สุดจักรวาลไม่ได้สนใจนักเพราะกำลังเตรียมใจกับเรื่องที่สำคัญกว่า ดังนั้น ยามที่แก้วน้ำใบแรกถูกยกมาวางตรงหน้า เขาจึงไม่ได้ทำอะไรมากกว่าพยักหน้า รอจนอัครเดชรับแก้วใบที่สองก็อ้าปากจะพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจไว้ แต่ทว่า พอใบที่สามถูกวางลงที่ว่างตรงข้าม เขาก็ถึงกับชะงัก

“ทำไมยกมาสามแก้วละลูก” สมรศรีเอ่ยถาม แล้วก็อยากตบปากตัวเองจริงๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกสาวที่เธอพยายามทำการโฆษณาอยู่นี้จะตอบว่าอย่างไร

“ก็มาสามคนนี่คะ...” เสียงนิ่งตอบกลับไป ก่อนเปลี่ยนใหม่เมื่อเห็นสีหน้าของแม่ “หรือว่า... ไม่ใช่คน”

คำพูดนั้นทำให้สุดจักรวาลเงยหน้าทันที ขณะที่ผู้เป็นแม่แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“แหม โหล มุกเยอะจริงๆ เลยนะ เขามากันสองคนก็ว่าเป็นสาม... ลูกสาวแม่ก็อย่างนี้แหละค่ะ มีอารมณ์ขัน น่ารักนะคะ”

ต่อให้พยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างไรก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่สายตาของชายหนุ่มที่เธอหมายปั้นว่าจะได้มาเป็นลูกเขยนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอรู้ดี เธอเคยเห็นบ่อยๆ... สมรศรีลอบถอนหายใจ ก่อนหันไปไล่ให้ลูกสาวกลับเข้าไปในบ้านอย่างปลงๆ

แสนโหลที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร แต่แล้วชายหนุ่มกลับยื่นมือมาขวางไว้ ท่ามกลางความตกตะลึงของแม่ผู้สิ้นหวัง สุดจักรวาลก็ลุกขึ้นมา ใช้สายตาคมสำรวจสาวร่างผอมตั้งแต่เท้าจรดหัว

รองเท้าผ้าใบเก่าๆ กางเกงยีนส์ขาสั้นขาดๆ และเสื้อสีชมพูแขนยาวลายแมว ดูเธอก็เหมือนคนปกติ แต่ดันมีใบหน้าขาวซีดไร้อารมณ์ใต้เรือนผมสีดำสนิทนี่แหละ ที่ทำให้เธอไม่เหมือนคนเท่าไร

“เธอ... ผู้หญิงชุดไทยเมื่อวานใช่ไหม”

ดวงตากลมโตที่เป็นจุดเด่นของดวงหน้าแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่นัยน์ตาดำจะกรอกขึ้นด้านบนอย่างใช้ความคิด “เมื่อวาน...?”

“ที่งานแต่งงานกีรติ เลขาฯ ของป้าฉัน เธอ...ไปที่งานนั้นใช่ไหม”

“กีรติ...” แสนโหลทวนคำ ก่อนสุดท้ายจะนึกขึ้นได้ “ใช่ งานแต่งก้อย ฉันไป”

“เธอจำฉันได้หรือเปล่า”

คราวนี้คิ้วบางขมวดเข้าหากันมากขึ้น แต่ถ้าไม่สังเกตอาจไม่ทันเห็น เธอหยุดคิดสองวินาที ขณะที่แม่มองอย่างลุ้นระทึก สุดท้ายเธอก็ส่ายหน้าช้าๆ “จำไม่ได้”

สีหน้าของเขาไม่บอกความผิดหวัง ออกจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องที่เขากลัวผีจนล้มลุกคลุกคลานที่พื้น ลืมๆ ไปได้ก็ดีแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะแนะนำตัวตรงนี้เลย ฉันเป็นหลานชายของเจ้านายเพื่อนเธอ ฉันชื่อ สุดจักรวาล มหาศาลปฐพี... เธอคงเคยได้ยินชื่อ หรือไม่ก็นามสกุลฉันสินะ”

อีกครั้งที่หญิงสาวนิ่งคิด เหลือกตาขึ้นด้านบน แล้วกำลังจะส่ายหน้า แต่ผู้เป็นมารดากลับแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ทายาทคนใหม่ของอลังการ ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ ตายแล้ว ลมอะไรหอบคุณสุดจักรวาลมาถึงนี่ละ... หรือว่าลมที่เรียกว่าพรหมลิขิต” สมรว่าแล้วทำหน้าเคลิ้มฝัน สุดจักรวาลเหลือบมองด้วยหางตา แล้วหันไปทางอัครเดช ซึ่งฝ่ายนั้นก็เหมือนอ่านใจออก รีบลุกขึ้นแล้วทำหน้าที่ของตัวเองทันที

“คุณสุดจักรวาลต้องการพูดคุยกับลูกสาวของคุณตามลำพัง เชิญทางอื่นก่อนดีกว่าครับ”

มีหรือที่สมรศรีจะปฏิเสธ ยิ่งได้ยินเธอก็ยิ่งดีใจ ยกมือขึ้นแล้วกำอากาศ เป็นการส่งสัญญาณบอกให้ลูกจับเขาให้ได้ ขณะที่อัครเดชก็เคาะไปที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองเป็นเชิงบอกเจ้านายว่าให้รักษาเวลา ก่อนทั้งคู่จะเดินหลบไปอีกทาง

เมื่อแน่ใจว่าอยู่สองต่อสองแน่ สุดจักรวาลก็เริ่มต้นความต้องการของตัวเองทันที

“เธอ... เห็นอะไรที่ฉันไม่เห็นใช่ไหม”

แสนโหลนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะหันใบหน้าขาวซีดของตัวเองมามองเขาช้าๆ จ้องตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“เขา...ต้องการเลือด”

แค่นี้สุดจักรวาลก็ตบเข่าฉาด “แสดงว่านั่นก็ไม่ใช่ฝัน ฉันเจอผีจริงๆ แล้วเธอ... เธอก็เห็นผีจริงๆ ด้วย”

แสนโหลไม่ตอบอะไรเมื่อได้ยินข้อสรุปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นจากเขา แม้ชายหนุ่มจะหล่อเหลาสมคำที่แม่บอกไว้ เธอก็กลับรู้สึกว่าเจ้าของซิกแพคที่กำลังลอยคอขึ้นอืดอยู่ในบึงน้ำหลังบ้านเธอนั้นเร้าใจกว่าตั้งเยอะ

“เธอสื่อสารกับผีได้ใช่ไหม ถามให้หน่อย ว่าตามฉันมาทำไม”

“เขาต้องการเลือด”

“ใช่ ฉันรู้ เขาเป็นแวมไพร์ใช่ไหม แล้วฉันต้องทำยังไง เขาถึงจะไปจากฉัน”

หญิงสาวนิ่งไปอีกครั้ง คราวนี้เหมือนกำลังตั้งใจฟังบางสิ่งบางอย่างอยู่ “คุณต้องให้เลือดเขา”

“จะให้ยังไงเล่า ต้องกรีดข้อมือตัวเองหรือว่าใช้เข็มเจาะนิ้วล่ะ ช่วยอธิบายกรรมวิธีอย่างละเอียดได้ไหม แบบขั้นต่อขั้นเลยนะ”

คราวนี้หญิงสาวเงียบไปนาน ก่อนพยักหน้าหงึกๆ แล้วเงยหน้ากลับมาที่เขาด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก

“ไปโรงพยาบาล บริจาคเลือด ระบุให้นายกล้า บุกป่าที่มอเตอร์ไซคว่ำวันนี้”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนที่สุดจักรวาลจะหาเสียงตัวเองเจอ

“หา!!! เธอหมายความว่า!?!”



“คุณป้าคุณหนูไม่พอใจมากเลยนะครับ ที่คุณหนูไปประชุมไม่ทัน”

เลขาฯ สูงวัยที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากที่รถแล่นออกมาจากโรงพยาบาลในตัวจังหวัดได้สักพัก

“ผมรู้...ผมรู้” สุดจักรวาลตอบรับเสียงเบา ใบหน้าคมสันที่หันออกนอกกระจกเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด อดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เขาไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างล่าช้าเช่นนี้ แต่ที่ต้องไปหาผู้หญิงประหลาดๆ คนนั้นทั้งที่ใกล้เวลาประชุม เป็นเพราะเขาไม่สามารถตั้งสมาธิกับเรื่องอื่นได้ หากยังมีบางสิ่งบางอย่างวนเวียนติดตามเขาอยู่ เขาแค่หวังว่าเธอช่วยอะไรได้บ้าง แต่สิ่งที่เธอบอกมาเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน... บริจาคเลือดที่โรงพยาบาล... เขาปฏิเสธเสียงแข็งทันที การกลับไปยังสถานที่ที่เจอผี มนุษย์ปกติที่ไหนจะตอบตกลง ให้เลือดน่ะให้ได้เขาไม่ได้หวง แต่ทำการเจาะกันที่อื่นได้ไหม เขาบอกเธอไปเช่นนั้น ซึ่งเธอก็เงียบไปอึดใจ ก่อนถามเสียงนิ่ง

‘คุณกรุ๊ปเลือดอะไร’

‘โอเนกาทีฟ’

เธอทำท่าคิด ก่อนเดินเหมือนหุ่นเข้าไปในบ้าน หยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมกุญแจรถมอเตอร์ไซออกมา ก่อนเอ่ยโดยไม่มองหน้า ‘ฉันไปให้เอง’

ไม่รู้บอกใคร เขาหรือว่าวิญญาณเด็กแว้น แต่นั่นแหละ ไม่ว่าจะพูดกับใครเรื่องก็ทำท่าจะจบลงด้วยดี เพราะเธอมีเลือดหายากกรุ๊ปเดียวกับเขา แต่เพราะอะไรไม่รู้ หลังจากที่เขาขึ้นรถโดยมีอัครเดชเป็นคนขับเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังอลังการ ความรู้สึกกระวนกระวาย ไม่สบายใจดันจู่โจมทำให้เขาหลุดปากออกไป

‘อังเดร กลับไปที่โรงพยาบาล’

เลขาฯ แว่นทองเหลืองแย้งในตอนแรก แต่เมื่อเจ้านายยืนยันเสียงหนักแน่น มีหรือที่ลูกน้องจะต้านทานได้ ในที่สุดเขาก็กลับมายังสถานที่ที่น่าสะพรึงอีกครั้ง มาทันในจังหวะที่หญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นโงนเงนหงายหลังและหมดสติไป

เธอเป็นลมหลังจากให้เลือด ซึ่งเขาที่ไม่สามารถรับร่างเธอได้เหมือนอย่างในหนัง แต่สิ่งที่เขาทำ คือการนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้รอจนเธอฟื้น ก่อนจะพาเธอไปส่งยังสวนสมชาย...ร้านขายต้นไม้ที่เป็นบ้านของเธอ

อย่าถามเหตุผลเลยว่าทำไม ก็ในฐานะผู้ชายที่มาดแมน เป็นสุภาพบุรุษ จะปล่อยให้คนที่เพิ่งเป็นลมเป็นแล้งจากการบริจาคเลือด ซิ่งมอเตอร์ไซกลับบ้านเองได้ยังไง ใช่ไหม เขาเป็นคนดีใช่ไหม... แต่คนดีคนนี้นี่แหละ ที่กำลังจะโดนป้าด่าว่าไม่รับผิดชอบ

คิดแล้วท่านประธานคนใหม่ก็ถอนหายใจ แต่พยายามฝืนความหนักใจของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้คนข้างหน้าสำเหนียกได้ ก่อนจะเอ่ยคล้ายสะกดจิตตัวเอง

“อังเดรก็รู้ว่าผมเป็นใคร ผมจัดการเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”



“สะใจจริงๆ เลยเว้ย ในที่สุด ไอ้ไก่อ่อนนั่นก็ทำพลาดจนได้”

สิ้นคำ ชายวัย 50 ที่นั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟาภายในห้องทำงานก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น ก่อนกระดกไวน์แดงในมือจนหมดแก้วแล้วเอ่ยต่อ

“เป็นถึงประธานใหญ่ แต่ดันเบี้ยวประชุมครั้งแรก ผู้ถือหุ้นคนไหนจะไว้ใจมันอีก ไม่เสียแรงที่จ้างไอ้ขี้เมาไปหาเรื่องมัน ป่วนจนกลับมาประชุมไม่ทัน... สะใจจริงเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า” บดินทร์หัวเราะก้องอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าเหลี่ยมสั้น ขณะที่ดวงตาเรียวรีคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

“ฉันจะดิสเครดิตมันไปเรื่อยๆ หาทางแกล้งมันไปเรื่อยๆ อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ไก่อ่อนมันจะเอาตัวรอดยังไง เป็นคุณหนูสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองไม่ชอบ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ว่าแต่ ถ้ามันตกเก้าอี้ลงมาดังแอ่ก แล้วมันจะไปฟ้องใครล่ะ พ่อแม่ก็ไม่มี พี่ชายก็เพิ่งตาย แถมป้าก็ไม่รัก ไอ้เด็กไม่เอาไหนคนนั้น คงไม่แอบไปร้องไห้ในห้องน้ำหรอกใช่ไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”

แล้วเสียงหัวเราะด้วยความสะใจก็ดังขึ้นอีกระรอก ขณะที่คนฟัง...ไม่พูดอะไรสักคำ



เรียกว่าพูดไม่ทันน่าจะดีกว่า

เพราะตลอดอาหารมื้อเย็น บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในห้องครัวที่ได้รับลมโกรกสบายจากหน้าต่างทั้ง 4 บานที่เปิดกว้าง บทสนทนาทั้งหมดถูกกุมไว้โดยสมรศรี นางเอาแต่คุยฟุ้งถึงนักธุรกิจหนุ่มทายาทอลังการ เขาใหญ่ เจ้าของใบหน้าคมเข้มบาดใจ และฐานะอันร่ำรวย ที่มาหาลูกสาวแสนรักของนางถึงที่บ้าน สบตาปริบๆ คุยกระหนุงกระหนิง ก่อนหายไปด้วยกันนานสองนาน จนย่ำสนธยานั่นแหละ ถึงได้ขับรถพาร่างกระปลกกระเปลี้ยของลูกสาวนางมาส่ง

“พ่อ พ่อต้องคิดไว้นะว่าจะเรียกค่าสินสอดเท่าไร อีกไม่นานเขาคงยกขันหมากมาสู่ขอ”

สมศรีรวาดฝันสวยงามแต่นอกจากเสียงช้อนกระทบจานสังกะสี ก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ ในเมื่อสมาชิกคนอื่นต่างรู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร อย่างเมื่อวันก่อนไปเดินตลาด พ่อค้าขายหมูกวาดพื้นมาใกล้ นางก็คิดไปไกลว่าหนุ่มใหญ่คนนั้นแอบทอดสะพานให้ลูกสาว แล้วนับประสาอะไรเล่า หากนักธุรกิจคนนั้นจะติดพันแสนโหล

ทุกอย่างเป็นไปได้ในความคิดนาง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ในความเป็นจริง

มือตักข้าว ปากเคี้ยวอาหาร หูก็ฟังมารดาเจื้อยแจ้ว สีหน้าไม่บอกอารมณ์ใดๆ แต่ในใจ... แสนโหลรอจนล้างจานเสร็จ ก็พาร่างบอบางของตนมานั่งกอดอกถอนหายใจอยู่ริมบึง

“มาทำอะไรมืดๆ ตรงนี้” พี่ชายที่ตามออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถามจากด้านหลัง แม้ท่าทางของน้องสาวจะเรียบเฉยเป็นปกติ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ “เป็นอะไรไป”

“เป็นคน” แสนโหลตอบสั้นๆ ทำให้คนนึกห่วงชะงักฝีเท้าหน้าแทบคะมำ ที่ตั้งใจว่าจะโอบไหล่ถามไถ่อย่างพี่ชายที่แสนดีจึงเปลี่ยนเป็นเขกหัวด้วยความหมั่นไส้แทน

“กวนนักนะเรา คนอุตส่าห์เป็นห่วง...”

หญิงสาวตัวผอมนิ่งไปสักพัก ก่อนพยักหน้า “ดีใจที่คนเป็นห่วง ปกติมีแต่ไม่ใช่คน”

“ทำไมจะไม่มีคน ทั้งพ่อ ทั้งแม่ก็เป็นห่วงเราทั้งนั้น พี่รู้นะว่าที่แม่พยายามหาแฟนให้ ก็เพราะความห่วงใย ถ้าโหลอึดอัดใจ โหลก็บอกแม่ตรงๆ สิ”

“รักรู้เหรอว่าโหลอึดอัด”

พี่ชายหยักหน้า แสนโหลจึงเอ่ยต่อ “มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิด โหลทำให้แม่ผิดหวัง”

“ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก” พี่ชายปลอบด้วยเสียงด้วยห้วนๆ สั้นๆ แต่กระนั้นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เดี๋ยวแม่ก็เลิกไปเอง”

น้องสาวลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนก้มลงคว้าหินก้อนเล็กที่อยู่ตามพื้น แล้วปาออกไปยังบึงที่มืดมิดเบื้องหน้า “เดี๋ยวโหลก็ลืม” เธอว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียง ‘โอ๊ย’ จะดังขึ้นมาให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว

“รักไปนอนได้แล้ว โหลมีเพื่อนคุยแล้ว” แสนโหลเอ่ย ขณะที่ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังแผ่นน้ำสีดำ พี่ชายมองตามพลางรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ถึงเขาจะไม่กลัวผี แต่เจอบรรยากาศอย่างนี้ก็อดหลอนไม่ได้

“อย่าคุยนานนะ ฝนทำท่าจะตกแล้ว” เขาได้แต่ทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินเร็วกลับเข้าไปในบ้าน มีสมาชิกในครอบครัวที่มองเห็นวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอยู่ด้วย ขณะที่ร่างโปร่งใสที่ไม่มีใครมองเห็นค่อยๆ โผล่พ้นผิวน้ำแล้วลอยล่องมานั่งแทนที่ แสนโหลเหลือบไปเห็นตอนที่หนอนตัวใหญ่ไชออกมาจากผิวหนังที่ปริแตกของอีกฝ่ายพอดี

“ถ้าจะมาคุยกัน ขอร่างล่ำๆ เหมือนตอนแรกไม่ได้เหรอ”

“ทำอย่างนั้นต้องใช้พลังมากเลยนะ คุณช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผมเยอะๆ สิ”

“พรุ่งนี้จะตักบาตรให้”

ผีหนุ่มขึ้นอืดยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แต่ไม่อาจหุบปากคืนได้ รอยแสยะชวนสยองจึงค่อยๆ ฉีกยาวไปถึงใบหู

“อาอา อีอู้อาเอือ” ปากที่อ้ากว้างพยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ก่อนแสนโหลจะเข้าใจ ลมกรรโชกแรงก็พัดกลิ่นดอกนมแมวที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศเมื่อครู่ให้จางหาย กลายเป็นกลิ่นสาบคาวคลุ้งจนต้องย่นจมูก ก่อนที่เสียงคำรามต่ำจะกู่ก้องขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว

“เลือด.... เอาเลือดมาให้ข้า”

แสนโหลลุกขึ้น ในวินาทีที่กลุ่มควันสีเทาดำพุ่งปรี่มาใกล้ เธอไม่ได้พูดอะไร ยามที่เจ้าของใบหน้าอาบเลือดตะคอกใส่ให้ได้ยินอีก “เลือดเอ็งใช้ไม่ได้ เอ็งไปเอาเลือดผู้ชายคนนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไปเอามา ไปเอามะ...”

เอ่ยยังไม่ทันสิ้นคำ เงาดำที่ดุดันก็ถูกแขนกำยำของร่างอืดพองล็อคคอเข้าให้ “ไอ้วิญญาณน้องใหม่ จะมาขอร้องอะไรใครก็ช่วยพูดให้มันเพราะๆ สิวะ เป็นผู้ชาย พูดกับผู้หญิงให้มันสุภาพกว่านี้ เอาใหม่”

ความมาดร้ายสลายไปเหลือแต่ร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่มตัวผอมบาง เขาหันรีหันขวาง ใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลแสดงความประหม่า ก่อนที่เขาจะยกมือประนมขึ้นมา “โทษทีพี่ แต่ผมเห็นในหนัง ผีก็ต้องหลอกกันอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ”

ผีรุ่นพี่ส่ายหน้า แล้วสอน “นายยังไม่ใช่ผี แค่วิญญาณหลุดจากร่าง แต่ไม่แน่ถ้าขืนยังทำกร่างแบบนี้ อาจกลับเข้าร่างไม่ได้จริงๆ”

“เอ๊ย ไม่เอานะพี่ ผมยังไม่อยากตาย พี่... พวกพี่ช่วยผมหน่อยนะ หมอบอกว่าเลือดพี่ใช้ไม่ได้ มันไม่เข้ากับเลือดผม ต้องเป็นผู้ชายคนนั้น ผมรู้ ผมสัมผัสได้ เลือดเขาเท่านั้น พี่ช่วยไปขอเขาให้ผมหน่อยนะ”

“ตอนนี้เลยเหรอ” แสนโหลเอ่ยถามเสียงเรียบ อีกฝ่ายรีบร้อนตอบอย่างลืมตัว

“ตอนนี้สิวะ เอ๊ย ผมหมายถึง ตอนนี้สิครับพี่ ผมจะไม่รอดอยู่แล้วนะ”

“แต่ฝนจะตกแล้ว”

ผีหนุ่มจิ๊กโก๋ทำหน้าผิดหวัง คนที่แก่ประสบการณ์กว่าเลยกระซิบแนะนำ “เรียกเธอว่าพี่คนสวยสิ”

“พี่คนสวย พี่คนสวยช่วยไปขอเลือดจากพี่ผู้ชายสุดหล่อคนนั้นให้ผมหน่อยนะ ผมยังไม่อยากตายจริงๆ พี่ ผมต้องเลี้ยงแม่ เลี้ยงน้อง ผมตายไม่ได้นะ ผมไหว้ล่ะ คิดว่าเมตตาผมเถอะนะ นะพี่คนสวย”

ไม่รู้จริงๆ เพราะคำว่าเมตตา หรือคำว่าพี่คนสวย ที่ทำให้แสนโหลถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยักหน้าช้าๆ อย่างเสียไม่ได้ แล้วเอ่ยเสียงนิ่งออกไป

“ก็ได้... ฉันจะไปหาเขาเอง”





---------------------

พาแสนโหลกับคุณสุดมาคลายเครียดค่ะ การเจอกันครั้งนี้ ไร้ซึ่งความหวือหวาโดยสิ้นเชิง

คุณดังปัณณ์ : 55555 ถ้าพ่อสุดไม่เจอผี ก็จะไม่ได้เจอแสนโหลนะคะ ต้องให้เจอผีบ่อยหน่อย 5555

คุณพี่แตงกวา : 5555 อัจฉริยะในด้านหลงตัวเองอ่ะป่าวคะ

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : ด้วยบุคคลิกแล้ว คุณสุดอาจจะกลัวแสนโหลกว่าผีก็ได้นะคะ 5555 เอาเป็นเลขาฯ ไม่ไหวๆ

คุณ sukhumvitt66 : ต้องตามลุ้นนะคะ 5555

ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเข้ามาทักทายให้กำลังใจกัน อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรคอมเม้นท์ไ้ด้นะคะ ช่วยวิจารณ์กะบรรดาผีๆ หน่อย อยากรู้ว่ามีใครกลัวบ้าง 5555



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ย. 2556, 12:16:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ย. 2556, 12:16:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1654





<< บทที่ 2 : นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน   บทที่ 4 : สยองจนสยิว >>
อัศวินนภา 6 พ.ย. 2556, 13:05:21 น.
คิดถึงน้องโหล โหลสุดสวย มาอีกไวๆนะ


Sukhumvit66 6 พ.ย. 2556, 15:03:16 น.
ทำไมคาแรกเตอร์ของแสนโหลถึงผอมบาง ขาวซีดอะค่ะ


ดังปัณณ์ 6 พ.ย. 2556, 18:15:12 น.
เอ๊ยยยยยยยยยยยยยย คุณแม่ค้าาาาาาาาาาาาาาา ขนาดนั้นเลยเหรอค้า ฮ่าๆๆๆๆ กลัวหนูโหลห้อยต่องแต่งจิงจิ๊ง แหมๆๆๆ อิเด็กแวมไพร์นี่นะน่าหมั่นไส้ จิ แต่....พ่อหนุ่มที่ลอยคอขึ้นอืดในบึงนี่ ชะรอย....จะมีบทมากแน่ๆๆ ฮ่าๆๆๆ


nateetip 6 พ.ย. 2556, 19:39:24 น.
ชอบเรื่องนี้ค่ะ น่ารักดีค่ะ


พันธุ์แตงกวา 6 พ.ย. 2556, 21:22:22 น.
ขำคุณสุดทำไมไปรับนางเอกไม่ทันเหมือนในหนังเนี่ย ส่วนคุณแม่ก็ฮาได้อีก รอขบวนขันหมากซะงั้น รอดูวิญญานตัวนี้จะฟื้นมั้ย


kaelek 6 พ.ย. 2556, 21:34:51 น.
เอาล่ะสิ... น้องโหลกะพี่สุด จะปิ๊งกันได้ยังไงน้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account