อุ่นไอรัก
ในชีวิตคนเราจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...ที่ความรักจะวิ่งเข้าใส่ และทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปตามความรักนั้น...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2 เจอกันครั้งแรก

ณ คฤหาสน์พิชญานันท์

“โอ้โห! กลิ่นหอมน่าทานไปถึงข้างนอกเลยอย่างนี้แสดงว่าอาหารเช้านี้ต้องเป็นฝีมือคุณแม่แน่ๆ ใช่มั้ยคะ”เสียงตะโกนดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงห้องอาหาร ทำให้ประมุขทั้งสองที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู

เมื่อพันธิตราเดินมาถึงห้องอาหารก็เดินตรงไปหอมแก้มคุณพิพัฒน์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หัวโต๊ะ “อรุณสวัสดิ์คะคุณพ่อคุณแม่” จากนั้นเดินมาหอมแก้มคุณป่านแก้วก่อนจะนั่งลงข้างๆ “พี่พีทยังไม่ลงมาอีกหรือคะ” พันธิตราหันไปถามคุณแม่หลังจากที่ไม่เห็นพี่ชายสุดหล่อนั่งรวมอยู่ด้วย

“ยังเลยจ๊ะเดี๋ยวก็คงลงมา ทานไปก่อนดีกว่ามั้ยคะคุณ” คุณป่านแก้วหันไปถามคุณพิพัฒน์ซึ่งท่านก็พยักหน้าเห็นด้วย “เอ้านั่นไงเดินมาพอดีเลย ส้มตักข้าวต้มให้คุณๆ ได้เลยจ้า” คุณป่านแก้วหันไปบอกเด็กส้มที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆ

พีรวิชญ์ส่งเสื้อสูทและกระเป๋าเอกสารให้กับคนขับรถซึ่งมารอรับอยู่หน้าห้องอาหารจากนั้นเดินมาเลื่อนเก้าอี้ข้างๆบิดาอันเป็นที่นั่งประจำ

เช้านี้สมาชิกในครอบครัวพิชญานันท์พร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องอาหารของคฤหาสน์โดยมีคุณพิพัฒน์ประมุขของบ้านนั่งอยู่หัวโต๊ะ ซ้ายมือคือที่นั่งประจำของคุณป่านแก้วภรรยาคู่ชีวิตและพันธิตราลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ทางด้านขวามือคือที่นั่งของลูกชายคนโตของตระกูลพิชญานันท์ก็คือพีรวิชญ์

“งานมีปัญหาหรือพีทช่วงนี้พ่อไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาแกเลยจนแม่แกมาบ่นว่าพ่อใช้งานแกหนัก นี่ก็ร่ำๆ จะให้พ่อกลับไปทำงานเหมือนเดิม” คุณพิพัฒน์เอ่ยปากถามพีรวิชญ์ขณะเดียวกันก็ได้รับการค้อนจากภรรยา

พีรวิชญ์ย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่คอนโดหรูกลางเมืองด้วยเหตุผลใกล้ที่ทำงานและสะดวกต่อการติดต่อธุรกิจ ปกติแล้วพีรวิชญ์จะกลับมาค้างที่บ้านอาทิตย์ละหนึ่งวันตามคำบัญชาของคุณป่านแก้วที่อนุญาตให้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้ แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาพีรวิชญ์ไม่ได้กลับบ้านมีแต่โทรศัพท์ที่ต้องคอยรายงานตัวสองสามวันครั้งเพื่อไม่ให้มารดาเป็นห่วง

“แหมคุณก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ” คุณป่านแก้วเอ่ยขัดขึ้น “ป่านแค่เป็นห่วงลูกกลัวแกจะทำงานหนักพักผ่อนไม่พอแล้วพาลไม่สบาย ยิ่งออกไปอยู่คอนโดคนเดียวไม่มีใครดูแลอาหารการกินจะถูกปากรึเปล่าก็ไม่รู้” ยังไม่วายเป็นห่วงลูกชาย

“เรื่องงานไม่มีปัญหาอะไรครับ” ชายหนุ่มตอบบิดาแล้วหันมาเอาใจมารดาอีกคน “คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับเรื่องอาหารบางทีออกไปกับลูกค้าพีทก็ทานมาจากข้างนอกเลย ถ้าวันไหนกลับเร็วหรือหยุดพีทก็ทำอาหารกินเองยังไงแล้วก็ไม่ให้เสียชื่อคุณแม่แน่นอน”

เนื่องจากคุณป่านแก้วเรียนจบทางด้านคหกรรมเธอจึงมีฝีมือในการทำอาหารไม่เป็นสองรองจากใคร และเมื่อแต่งงานกับคุณพิพัฒน์ได้ไม่นาน เธอก็ลาออกจากการเป็นแม่ครัวของโรงแรมด้วยเหตุผลของสามีที่ว่ากลัวภรรยาจะเหนื่อยที่ต้องไปวิ่งรอกทำอาหารให้ลูกค้าแต่เหตุผลสำคัญที่ไม่กล้าบอกไปตรงๆ ก็คือไม่ต้องการให้ลูกค้าหนุ่มๆ มาติดใจรสชาติฝีมือการทำอาหารของคุณป่านแก้วนั่นเอง

เมื่อออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวจึงมีเวลาเลี้ยงลูกเองทำให้พีรวิชญ์มักตามคุณป่านแก้วเข้าครัวเป็นประจำทำให้ชายหนุ่มเกิดความซึมซับวิธีการทำอาหารไปในตัว ยกเว้นพันธิตราที่ไม่ชอบเข้าครัวทำอาหารหลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปช่วยคุณป่านแก้วหั่นผักด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้มีดบาดมือ เพราะความที่เป็นคนกลัวเลือดมาตั้งแต่เด็กพอเห็นเลือดตัวเองไหลไม่หยุดร่างเล็กก็หน้าซีดเป็นลม พอฟื้นขึ้นมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพันธิตราเลยปฏิเสธการเข้าครัวขอยกมือเป็นฝ่ายชิมอย่างเดียว

“จ้าทำกินเองก็ดีแล้วอาหารข้างนอกก็ใช่จะถูกปากไปทุกร้าน ทำกินเองก็ดีลูกสะอาดดีด้วย” คุณป่านแก้วให้เหตุผล “อ้อ! แล้วอย่าไปเผลอทำให้สาวที่ไหนกิน แล้วเกิดติดใจจนตามมาขอสูตรกับแม่ที่บ้านหละ”เจ้าของสูตรอาหารเอ่ยสัพยอกลูกชายเรียกรอยยิ้มได้จากทุกคนในห้องอาหาร

“โอ๊ย! มีอยู่สาวเดียวนั่นแหละครับแม่ที่ชอบมาอ้อนให้พีททำนั่นทำนี่ให้กินประจำ” พีรวิชญ์ร้องเสียงสูงพลางส่งสายตาไปยังน้องสาวที่นั่งข้างมารดา

“แม่ขาพี่พีทว่าแพทคะ” พันธิตราหันไปฟ้องมารดาเมื่อเห็นสายตาวิบวับที่พี่ชายส่งมา ”แพทไม่ได้ไปกวนใจพี่พีทสักหน่อยก็พี่พีทอยากทำอาหารอร่อยทำไมหละ” พันธิตราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้องทำของอร่อยๆ ให้น้องกินก็ถูกต้องแล้วไง ใช่มั้ยคะคุณพ่อ” แล้วหันไปอ้อนบิดาซึ่งกำลังกลั้นยิ้มมองดูการปะทะคารมของสองพี่น้อง

“เอางั้นเลยเรอะแพท”คุณพิพัฒน์เอ่ยถามลูกสาวอย่างซ่อนความเอ็นดูไว้ไม่มิด “ใช่คะ”

น้องสาวจอมจุ้นรายนี้เห็นว่าเขาชอบทำอาหารและพอมีฝีมืออยู่บ้างวันหยุดตรงกันทีไรมักชอบมาออดอ้อนให้เขาทำให้ทานอยู่เป็นประจำหรือบางทีหากไปทานอาหารกับเพื่อนๆที่ไหนแล้วเห็นอาหารหน้าตาน่าทานแต่รสชาติไม่ได้เรื่องก็จะถ่ายรูปส่งมาให้ดูแล้วก็อ้อนให้เขามาทำให้กินทีหลังประจำ

“เฮ้ย!พี่ยังไม่ได้ระบุชื่อเราสักหน่อยร้อนตัวไปรึเปล่า” พีรวิชญ์เอ่ยตกใจแบบขำๆ

“พี่พีทอะไม่ต้องเลย โกรธแล้ว” พันธิตราทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่จริงจังนั่นเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน

“พีทกับแพทแหนะลูกเมื่อไหร่จะพาคนรักมาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักซักทีละจ๊ะอายุอานามก็ถึงวัยที่จะมีครอบครัวได้แล้วนาลูก” คุณป่านแก้วเอ่ยเสียงหวานพลางยกมือที่เริ่มเหี่ยวไปตามวัยลูบผมยาวของพันธิตราหลังจากที่เห็นเพื่อนวัยเดียวกันเกษียณอายุออกมาอยู่บ้านเลี้ยงหลานกันหมด โดยส่วนตัวคุณป่านแก้วและคุณพิพัฒน์ชอบเด็กๆ หากมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นบ้านก็คงดี คงทำให้บ้านไม่เงียบ ทุกวันนี้เมื่อลูกๆ ออกไปทำงานกันหมด ที่บ้านก็เหลืออยู่กันแค่สองคน ยามว่างก็ได้แต่ปลูกต้นไม้ใบหญ้า แล้วก็เลี้ยงเจ้ามอมแมมเป็นเพื่อนแก้เหงา

“โธ่! แม่ครับ” ชายหนุ่มทำเสียงละห้อย “พีทยังสนุกกับงานอยู่เลยอีกอย่างพีทเป็นผู้ชายแต่งงานตอนอายุสามสิบห้าก็ไม่คงน่าเกลียดหรอกครับ”

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่รักแพทแล้วหรือคะถึงอยากให้แพทแต่งงาน แพทยังอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ไปนานๆ แพทเป็นน้องจะแต่งก่อนพี่ได้ไงคะ ยังไงแพทก็จะรอให้พี่พีทแต่งงานไปก่อน” พันธิตราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าอย่างที่รู้ว่าแกล้งทำเรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้จากผู้สูงวัย ซึ่งทั้งสองแพ้ลูกอ้อนของพันธิตรามาแต่ไหนแต่ไร

“เฮ้ย! พี่ไม่ซีเรียสพี่อนุญาตเราล่วงหน้าไปก่อนได้เลย พี่ไม่รีบ” ชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงเอ่ยอนุญาตราวกับเรื่องที่ทั้งคู่กำลังคุยกันนั้นเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่ขอแซงกันได้

“แพทก็ไม่รีบ ให้พี่พี่ทแหละแต่งก่อน” พันธิตราไม่ยอมแพ้

“พอได้แล้วจ้าเด็กๆ ไม่รีบก็ไม่รีบ พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรซักหน่อย แค่เห็นว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ก็เท่านั้นเอง” คุณป่านแก้วส่ายหน้าห้ามศึกระหว่างสองพี่น้องทั้งที่ทั้งคู่ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว บอกใครเขาจะเชื่อว่าคนหนึ่งเป็นถึงผู้บริหารบริษัทอีกคนก็เป็นพนักงานที่กำลังเรียนรู้งานแต่ยังมานั่งต่อล้อต่อเถียงกันเป็นเด็กๆ “อาทิตย์นี้พีทจะกลับบ้านรึเปล่าลูก”

“ถ้าไม่มีงานด่วนเข้ามาพีทคงกลับเหมือนเดิมคุณแม่มีอะไรสำคัญรึเปล่าครับ” พีรวิชญ์แบ่งรับแบ่งสู้

“ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่หรอกลูก เมื่อวานนี้แม่เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนคหกรรมด้วยกัน เห็นบอกว่ากำลังขยายสาขาร้านอาหารมาอยู่แถวๆ บ้านเรา เขาให้บัตรส่วนลดที่ร้านมาด้วยนี่แม่กับคุณพ่อก็ว่าจะชวนกันไปอุดหนุน พีทไปด้วยกันมั้ยลูกเรา” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกชายคนโต สำหรับพันธิตรานั้นเธอได้สอบถามแล้วหญิงสาวบอกว่าเธอว่างสามารถไปด้วยได้

“พีทขอดูตารางงานก่อนนะครับแล้วยังไงพีทจะโทรมาบอกอีกที”

“จ้า” คุณป่านแก้วรับคำแล้วจึงหันไปเร่งให้พีรวิชญ์และพันธิตรารีบรับประทานอาหาร

จากนั้นไม่นานรถประจำตัวของแต่ละคนก็เคลื่อนออกไปจากบริเวรหน้าคฤหาสน์พิชญานันท์





ตึกสูงตั้งตระหง่านริมถนนสายธุรกิจขนาดสามสิบชั้นย่านใจกลางเมือง ตัวตึกอาบด้วยแสงยามเช้าที่ส่องกระทบกระจกสีน้ำเงินแจ่มใส บอกถึงความโอ่อ่าและความภาคภูมิที่เป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศภายใต้การบริหารของตระกูลพิชญานันท์ ภายในตัวตึกตั้งแต่ชั้นยี่สิบเอ็ดจนถึงชั้นสามสิบเป็นสถานที่ทำงานของพนักงานบริษัทพิชญานันท์กรุ๊ปส่วนชั้นที่เหลือถูกแบ่งพื้นที่ให้เช่าเป็นพื้นที่ขายมีทั้งร้านหนังสือ ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารชื่อดัง หรือใครอยากทานอาหารในราคาไม่แพงทางบริษัทก็มีให้บริการเรียกว่าเอาใจหนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่ไม่ต้องการฝ่าแดดและการจราจรที่ติดขัดเพื่อออกไปรับประทานข้างนอก

บริษัทพิชญานันท์กรุ๊ปเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกและนำเข้ามีบริษัทในเครือมากมายรวมถึงพนักงานหลายพันคนภายใต้การดูแลของ ‘พีรวิชญ์ พิชญานันท์’ ประธานบริหารคนใหม่ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองในวงการธุรกิจเป็นอย่างมากด้วยอายุยังน้อยและเป็นคนที่กุมบังเหียนพิชญานันท์กรุ๊ปให้ขับเคลื่อนไปบนถนนสายธุรกิจที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บของเสือสิงห์กระทิงแรด

ไม่ใช่แค่กำลังเป็นที่จับตามองเฉพาะในวงการธุรกิจเท่านั้นแต่ ‘พีรวิชญ์ พิชญานันท์’ กำลังเป็นที่จับตามองของบรรดาหญิงสาวและไม่สาว รวมถึงบรรดาคุณแม่ๆ ทั้งหลายที่มีลูกสาวต่างหมายที่อยากจะมาเกี่ยวดองกับตระกูลพิชญานันท์ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ความร่ำรวย แต่ยังเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ซึ่ง ‘พีรวิชญ์’ เองได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอม มีสาวๆ ข้างกายไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นนางแบบ ดารา หรือไฮโซด้วยกันเอง แต่หญิงสาวเหล่านั้นยังไม่ถูกตาต้องใจชายหนุ่มขนาดที่อยากจะนึกแต่งงานด้วย

คุณสุรีรัตน์เลขาฯสาวใหญ่เคาะประตูหน้าห้องเพื่อขออนุญาตจากนั้นผลักประตูเข้าไปข้างใน เมื่อเดินมาถึงโต๊ะทำงานก็จัดวางเอกสารที่ต้องให้เซ็นสำหรับการอนุมัติต่างๆ และแจ้งนัดหมายการประชุมสำหรับวันนี้

“วันนี้ตอนเก้าโมงเช้ามีประชุมกับฝ่ายการตลาดที่ห้องประชุมหนึ่ง แล้วก็ตอนบ่ายสองโมงมีนัดกับลูกค้าที่โรงแรมเมฆาชลคะ คุณพีทต้องการให้ดิฉันตามไปด้วยรึเปล่าคะ”

“ไม่ต้องดีกว่าที่เหลือผมจัดการเองแค่เตรียมเอกสารให้ผมก็พอ” คุณสุรีรัตน์รับคำ ”วันอาทิตย์นี้ผมมีนัดสำคัญที่ไหนรึเปล่าครับ” พีรวิชญ์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารพลางยื่นเอกสารคืนให้กับเลขา

“ไม่มีนัดสำคัญคะ แต่วันอาทิตย์นี้เป็นวันเกิดคุณไข่มุกคุณพีทจะไปรึเปล่าคะ” คุณสุรีรัตน์ถามนอกจากเธอจะเป็นเลขาฯในที่ทำงานแล้วบางครั้งเธอยังเป็นเลขาฯส่วนตัวที่คอยสับรางให้ชายหนุ่มอยู่บ่อยๆ

พีรวิชญ์ทำท่าคิดแล้วพลางส่ายหน้าตอบ “คงไม่ไป ผมฝากคุณนกช่วยสั่งดอกไม้สักช่อส่งไปให้เธอแล้วกัน ฝากขอโทษเธอด้วยบอกเธอว่าผมติดธุระสำคัญไปไม่ได้”

“คะ” ทุกครั้งที่ชายหนุ่มผิดนัดกับหญิงสาวเหล่านี้เธอจะต้องมีหน้าที่โทรไปสั่งดอกไม้ร้านประจำเพื่อส่งดอกไม้ไปแทนคำขอโทษแทนเจ้านายหนุ่ม

“เอาหละบอกที่ประชุมรอผมสักสิบนาทีเดี๋ยวผมตามไป เชิญคุณแพทเข้าประชุมด้วยนะ” ไม่วายหันไปกำชับเลขาฯ ชายหนุ่มต้องการให้พันธิตราเข้าร่วมฟังการประชุมทุกครั้งเพื่อให้หญิงสาวได้เรียนรู้งานทุกแผนกแต่หลักๆ คงต้องให้อยู่แผนกบัญชีตามสาขาที่ได้เรียนมา คุณสุรีรัตน์รับคำแล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปเตรียมเอกสารสำหรับการประชุม



“สวัสดีคะบ้านคุณพีรพงษ์ต้องการเรียนสายกับใครคะ” ส้มซึ่งเป็นเด็กรับใช้ในบ้านวิ่งมารับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง

“ส้มเหรอคุณพ่อคุณแม่ไปไหน” พีรวิชญ์เอ่ยถามเมื่อมีคนรับโทรศัพท์เมื่อครู่ชายหนุ่มกดโทรเข้ามือถือของท่านทั้งสองแต่ไม่มีคนรับทำให้เขาต้องโทรเข้าเบอร์บ้าน

“คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงอยู่ในสวนคะให้หนูไปตามมั้ยคะ” เด็กส้มรายงาน

“ไม่เป็นไรส้ม งั้นฝากส้มไปเรียนคุณแม่นะว่าวันอาทิตย์นี้ฉันจะไปทานข้าวด้วย เอาหล่ะขอบใจมาก” เมื่อเด็กส้มรับคำชายหนุ่มจึงวางสายแล้วเดินตรงไปยังห้องประชุม

“ผมหวังว่าทุกคนคงทำเป้าสำหรับไตรมาสนี้ไห้ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมานะครับนั่นหมายถึงโบนัสของทุกคนตอนปลายปีด้วยเช่นเดียวกัน ใกล้เที่ยงแล้วคงหิวกันแล้วงั้นผมขอปิดการประชุมเลยก็แล้วกันครับ” พีรวิชญ์กล่าวสรุปปิดการประชุม หลังจากเวลาล่วงเลยมากว่าสองชั่วโมง ผู้เข้าร่วมประชุมต่างทยอยกันออกจากห้อง เหลือแต่พีรวิชญ์และพันธิตรา

“พี่พีทจะรีบไปไหนคะ” พันธิตราเอ่ยถามเมื่อเห็นพีรวิชญ์รีบเก็บของ

“พี่มีนัดกับลูกค้าที่โรงแรมเมฆาชล คงเสร็จเย็นๆ พี่คงไม่แวะเข้ามาบริษัทแล้วนะ” พีรวิชญ์บอกขณะเตรียมตัวออกไปข้างนอก “คุณนกเอกสารเรียบร้อยมั้ย” หันไปถามเลขาฯและสั่งงานเพิ่มเติมหลังการประชุมเสร็จ

“เรียบร้อยคะ” พลางยื่นกระเป๋าเอกสารให้กับชายหนุ่ม จากนั้นจึงก้าวออกจากห้องประชุม




โรงแรมเมฆาชลเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวตั้งอยู่บนถนนใจกลางเมืองแวดล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้หอมนานาชนิด ด้วยรูปทรงและรูปลักษณ์ของโรงแรมถูกออกแบบคล้ายๆ เรือนไทยสมัยโบราณ แต่ภายในมีการตกแต่งผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก แต่ยังคงเน้นความเป็นไทยและมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมไทย อีกทั้งเรื่องอาหารไทยที่นี่ยังเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเป็นชาวต่างชาติเข้ามาพักเป็นส่วนมาก เรียกว่าห้องพักถูกจองเต็มตลอดทั้งปี ลูกค้าบางรายต้องจองกันข้ามปีเลยก็มี
ตระกูลเมฆาชลทำธุรกิจทางด้านงานบริการมีโรงแรมระดับห้าดาวและสี่ดาวรวมถึงโรงแรมในเครือเป็นจำนวนมากกระจายอยู่โดยรอบกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดใหญ่ๆ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ขณะที่โรงแรมตามต่างจังหวัดเมฆาชลเองก็จะดึงเอาวัฒนธรรมพื้นบ้านของจังหวัดนั้นๆ ขึ้นมาเป็นจุดขาย หากนักท่องเที่ยวรายไหนต้องการเรียนรู้วิถีความเป็นไทยโรงแรมเองยังจัดให้มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน สร้างความเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก และเป็นการสร้างงานเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนบริเวณใกล้เคียง

“ไง! ไอ้เสือทำไมวันนี้โผล่มาที่นี่ได้วะ” เสียงทักทายดังมาจากข้างหลังพร้อมกับมือที่ตบลงมาบนบ่ากว้างทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเงยหน้าขึ้นจากเมนูที่กำลังดูรายการอาหาร

“ได้ข่าวว่าที่นี่ไม่ค่อยมีลูกค้าคนไทยเข้ามาใช้บริการ วันนี้ว่างก็เลยเข้ามาเป็นหน้าม้าให้สักหน่อย เดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่ารับแต่แขกต่างชาติ” พีรวิชญ์แหย่เพื่อนสนิท

“ปากเสีย” เจ้าของโรงแรมยิ้มแยกเขี้ยว “ข้าให้บริการหมดนั่นแหละทั้งลูกค้าไทย แขก จีน ฝรั่ง ขอให้เอาเงินมาให้ ข้าก็ให้บริการหมด” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

“งกจริงๆ เลยเอ็งไอ้ต่อ” พลางส่ายหน้าให้เพื่อน

“ว่าแต่เอ็งเหอะไอ้พีทมาทำอะไรที่โรงแรมข้า มาคนเดียวรึไงสาวๆ ไปไหนหมดว่ะ” ต่อลาภเอ่ยปากถามเมื่อเห็นข้างกายเพื่อนว่างเปล่าไร้เงาสาวสวยเคียงข้างเหมือนเช่นทุกครั้ง

“มาทำงานจะให้พาหญิงมาได้ไง เสียการเสียงานหมด” พีรวิชญ์นิ่วหน้าเอ่ย

“แล้วนี่งานเสร็จแล้วหรือ” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยถาม

“อือ เสร็จแล้ว” จากนั้นหันไปเรียกบริกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอรับรายการอาหาร

หลังจากที่ออกจากบริษัท พีรวิชญ์ก็มุ่งตรงมาหาลูกค้าที่โรงแรมเลยทันทีกว่าจะขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดช่วงเที่ยงออกมาได้ กลายเป็นว่าเกือบได้เวลานัดช่วงบ่ายทำให้ชายหนุ่มไม่มีเวลาทานข้าวกลางวัน จนต้องหิ้วท้องมาจนถึงเวลาเกือบสี่โมงเย็น โชคดีว่าขณะที่คุยรายละเอียดกับลูกค้ายังพอมีของว่างเข้ามาเสิร์ฟพอให้รองท้องไปได้บ้าง

“สั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ย” ต่อลาภส่ายหน้าเมื่อเห็นรายการอาหารที่พีรวิชญ์สั่งไปซึ่งก็มากพอสำหรับการรับประทานกันสองคน

ขณะที่รออาหารชายหนุ่มทั้งสองก็สนทนากันตามประสาเพื่อนสนิท

“น้องแพทไม่มาเหรอวะ” ต่อลาภตีหน้าซื่อถามถึงน้องสาวเพื่อนที่เขาแอบหมายปองอยู่

“ไม่มา งานนี้ไม่เกี่ยวกับน้องข้า ทำไมยายแพทต้องมาด้วยหล่ะ?” พีรวิชญ์เลิกคิ้วถามอย่างสงสัยในคำถามของต่อลาภ

“เอ่อก็ไม่มีอะไร” ต่อลาภตอบพลางซ่อนพิรุธ “เห็นเอ็งบอกว่าตอนนี้น้องแพทกำลังฝึกงาน ก็คิดว่าจะมาด้วยกัน ว่าแต่น้องแพทสบายดีรึเปล่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย” ยังไม่วายแอบถามถึงพันธิตรา

“ก็สบายดี เอ็งเป็นอะไรไอ้ต่อถามถึงยายแพททุกครั้งที่เห็นหน้าข้า จะจีบน้องสาวข้ารึไง” พีรวิชญ์ถามตรงๆ หลังจากที่สังเกตมาพักใหญ่ ต่อลาภมักถามถึงน้องสาวเขาทุกครั้งที่เห็นหน้า มันชักยังไงๆ แล้วนาชายหนุ่มคิดในใจ

“อนุญาตให้จีบรึเปล่าหละ” ต่อลาภไม่ตอบแต่ย้อนถามพลางมองสบตาเพื่อนอย่างไม่หลบเพื่อแสดงความจริงใจที่เขามีต่อพันธิตราให้ชายหนุ่มรับรู้

“มาถามข้าได้ไงไปถามคนถูกจีบโน่น” พีรวิชญ์โบ้ยให้ไปถามหญิงสาว “ถ้าไม่อยากมีชีวิตที่สงบสุขก็ตามใจเอ็งเหอะ” หากหญิงสาวมาได้ยินคงนึกอยากซัดสักตุ้บสองตุ้บโทษฐานที่ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ

“งั้นแปลว่าเอ็งอนุญาตแล้วนะ ขอบใจมากเพื่อน” ต่อลาภโมเมคิดเข้าข้างตัวเอง

“เออ อย่าทำให้ยายแพทต้องเสียใจหละ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราอาจไม่เหมือนเดิม” ชายหนุ่มยังขู่ตามประสาคนที่ยังห่วงน้องสาวอยู่บ้าง แล้วพลันนึกถึงคำพูดของพันธิตรก่อนที่เขาจะออกจากบริษัท “ฝากความคิดถึง ถึงพี่ต่อด้วยนะคะ” หรือว่าสองคนนี้แอบคบกันโดยไม่ได้บอกเขา แต่เมื่อเช้าที่คุยกันบนโต๊ะอาหารก็ไม่มีทีท่าว่าพันธิตราจะมีคนรักนี่นา พีรวิชญ์เก็บความสงสัยไว้ในใจ

“คบกับข้ารับรองว่าน้องแพทไม่มีวันพบกับคำว่าเสียใจ” ต่อลาภให้คำรับรองพลางนึกถึงหญิงสาวเรือนร่างเล็กบอบบางที่ชอบมาอ้อนเขาเวลาที่ถูกพี่ชายตัวเองแกล้งหรือไม่ยอมตามใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาชอบพันธิตราตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็มีหญิงสาวเข้ามานั่งอยู่เต็มหัวใจ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดี แต่ตอนนี้เขาจะเดินหน้าจีบหญิงสาวอย่างเต็มตัวเมื่อพี่ชายที่ว่าหวงน้องสาวอย่างพีรวิชญ์เปิดไฟเขียวให้

“พอๆ ไอ้ต่อ ข้าไม่ใช่ยายแพท ไม่ต้องทำหน้าทำตาชวนฝันขนาดนั้น เห็นแล้วจะอ๊วก พาลกินข้าวไม่ลงว่ะ” พีรวิชญ์เอ่ยพลางทำหน้าพะอืดพะอม เมื่อเห็นต่อลาภนั่งอมยิ้มตาเหม่อลอย

“ไอ้บ้า” ต่อลาภด่าเพื่อน

จากนั้นไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ เมื่อทานเสร็จต่อลาภก็เอ่ยขอตัวขึ้นไปทำงานต่อทันที เนื่องจากพีรวิชญ์นัดเจอกระทันหัน เลยทำให้เขาไม่ได้เคลียร์งานก่อนลงมา อีกอย่างคืนนี้มีงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าของเพื่อนสนิทบิดาทำให้ต่อลาภปลีกตัวออกไปกับพีรวิชญ์ไม่ได้




พีรวิชญ์ขับรถออกจากบริเวณโรงแรมมุ่งหน้ากลับคอนโดทันทีที่แยกกับต่อลาภ นึกได้ว่าของสดในตู้เย็นหมดจึงเลี้ยวรถเข้าไปยังห้างสรรพสินค้า ชายหนุ่มวนหาที่จอดรถอยู่ไม่นานก็เจอ เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดเลยทำให้พอมีที่จอด จัดการล็อกรถเสร็จแล้วชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อของสดเข้าตู้เย็น ชายหนุ่มเลือกผักสดผลไม้สดอย่างมืออาชีพเพราะตามมารดาไปตลาดอยู่บ่อยๆ และได้รับคำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าจากแม่ค้าที่ตลาดสดเป็นประจำ

ด้วยรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มที่จัดว่าหล่อเหลาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่พับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาเหนือศอก และปลดกระดุมเสื้อลงมาสองเม็ด ชายเสื้ออยู่ในกางเกงสแล็คสีดำกับรองเท้าหนังมันปลาบ ทำให้ประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของคิดว่ามีการถ่ายละครต่างมาเมียงมองและอมยิ้มกับการมาจ่ายตลาดของชายหนุ่ม

เมื่อได้ของครบตามที่ต้องการแล้วชายหนุ่มก็หิ้วถุงใส่ของทั้งหมดกลับไปที่รถขณะที่เก็บของอยู่นั้นสายตาของชายหนุ่มเหลือบไปเห็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบกำลังใช้แขนเรียวเล็กสองข้างดันรถโฟล์วีลคันใหญ่ที่คาดว่าน่าจะจอดขวางรถของเจ้าหล่อนอยู่ ไม่รู้ดันท่าไหนเขาไม่เห็นว่ารถคันใหญ่มันจะขยับเขยื้อนไปทางไหน

“ให้ผมช่วยมั้ยครับ” พีรวิชญ์เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจหลังจากที่เห็นหญิงสาวออกแรงอยู่นานแต่รถยังอยู่ที่เดิม
อัญชันหันกลับมาดูเมื่อได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง “ขอบคุณคะ เข็นเท่าไหร่ก็ไม่ขยับซักที” อัญชันหันมายิ้มตอบรับความมีน้ำใจของชายหนุ่ม

ผู้หญิงคนนี้ยิ้มสวยชายหนุ่มคิดในใจ ”คุณขึ้นไปสตาร์ทรถรอเลยครับเดี๋ยวผมเข็นเอง” จากนั้นพีรวิชญ์ก็จัดการเข็นรถไม่นานรถคันใหญ่ก็ถอยห่างเว้นช่องให้รถที่อยู่ข้างในขับออกมาได้

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” อัญชันยิ้มให้ พีรวิชญ์โบกมือตอบแล้วหันหลังกลับไปที่รถของตัวเอง

อัญชันมองดูชายหนุ่มเดินกลับไปที่รถผ่านกระจกมองหลัง เป็นผู้ชายที่เรียกว่าหล่อมาก หลังจากที่ได้สังเกตชายหนุ่มขณะที่เขากำลังเข็นรถให้ คิ้วเข้มพาดเหนือดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ปากหยักหนาสีแดงสดอย่างคนที่มีสุขภาพดี รูปร่างสูง น่าจะสูงกว่าผู้ชายไทยทั่วไป ขนาดเธอที่ว่าสูงแล้วยังต้องเงยหน้าคุยด้วยซ้ำ เสียดายที่ไม่ได้แลกนามบัตรไว้ อัญชันคิดพิเรนทร์พลางหัวเราะขำความคิดของตัวเอง

ทางด้านชายหนุ่มเองเมื่อแยกจากหญิงสาวแล้วก็มานั่งนึกเสียดายที่ไม่ได้ขอชื่อขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ กรุงเทพฯออกกว้างคงไม่ได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สองแน่ เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มนึกอยากทำความรู้จักผู้หญิงก่อน ซึ่งที่แล้วมามีแต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาก่อนทุกครั้ง แตกต่างกับครั้งนี้ที่สัญชาติญาณบอกให้เขาเป็นผู้ล่าไม่ใช่ผู้ถูกล่า ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ตัวสูง หน้าหวานยังกับแตงไทยใส่น้ำเชื่อม เครื่องหน้ารับกันไปหมดไม่ว่าจะเป็น คิ้วโก่งรับกับดวงตาเรียวเล็ก จมูกโด่งน้อยๆ ริมฝีปากบาง เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปาก แล้วยังลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างอีก โอ๊ย! ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารักอะไรอย่างนี้ ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง พลางสลัดศีรษะสองสามทีเผื่อว่าภาพของผู้หญิงน่ารักคนเมื่อกี้จะหลุดไปจากหัว



มีสุข
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2554, 17:52:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2554, 18:09:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1610





<< เรื่องราวในอดีต   ตอนที่ 3 โลกกลมหรือพรหมลิขิต >>
กระเจี๊ยบซ่า 15 มิ.ย. 2554, 16:24:27 น.
มีคำผิดด้วย ไปหาเอาเองนะ เนื้อเรื่องก็ต่อเนื่องดี รอตอนต่อไปอยู่นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account