รักดังฝัน
เขา นิมมาน อดีตชาติเป็นถึงพระยานิมมาน ผู้ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกสาวของศัตรู จนตัวตาย เขาก็พร้อมยกวิญญา แก่ยาใจที่รักสมิตาเพียงผู้เดียว แต่ผ่านมาพันปี นิมมานก็พบว่าความรักของเขาหมดลง ไอ้รักนิรันดร์ไม่มีจริงหรอก “ชาตินี้เจ้าจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่ก่อนเจ้าจะพบกับไอ้มนุษย์เนื้อคู่ของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ก่อน”

เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน


Tags: หลอนโรแมนติก แฟนตาซี นิมมาน สมิตา

ตอน: บทที่ 8 : นิมมาน

ปาริตาเหลือบมองเพื่อนจอมดื้อ ดันทุรัง และทำตัวหัวแข็งทั้งที่เพิ่งเย็บไปหลายสิบเข็มตรงศีรษะ รถขับโยก หรือหยอดด้วยถนนเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง ก็โอดครวญอยู่เสมอ

“นอนโรงพยาบาลอีกหน่อยก็ได้ อาการย์ไม่ค่อยจะดี”

สมิตานันปรือตาที่ปิดสนิทขึ้นมอง ใบหน้าซีดเป็นกระดาษ คล้ายว่าจะมีไข้อ่อนๆ พอเพิ่มสีแดงบนหน้าบ้าง “ไม่อยากตอบคำถามใครนี่นา เทปตึกร้างออก ฉันก็ยิ่งโดนรุม จากพวกหวังดีไม่หวังดี ไหนจะพวกบอกว่าฉันเล่นละครของปลอมอีก ใช่ว่าที่ผ่านมารายการจะไม่เคยทำปลอมๆ แต่ครั้งนี้ของจริง”

“คงต้องตอบคำถามเทปใหม่เกือบตายนี่ด้วยสิ”

คุณหมอดุเพื่อน อดประชดคนเจ็บกายไม่ไหว เหตุผลขี้เกียจตอบคำถามจากทั้งบรรดาแฟนคลับ หรือนักข่าว บางครั้งสภาพของเพื่อนตอนนี้ก็ดูจะเหนื่อยล้ากับงานที่ทำอยู่ ไม่เหมือนก่อนหน้าที่สมิตานันจะพบเจอเรื่องราวประหลาดชวนขนหัวลุกแบบนี้

“ลาออกเถอะตี้ เอาชีวิตมาเสี่ยงแบบนี้ไม่คุ้มเลยนะ”

“แล้วฉันจะไปทำอะไรล่ะ เป็นนางเอกละครหรือไง” หัวเราะหึ ภาพมารดาฉายชัดในใจ “ถ้าเงินไม่มากพอ ฉันกลัวว่าฉันจะไม่ได้พบหน้าแม่นะ”

ปาริตาเงียบเสียงเสีย ความขมขื่น เศร้าสร้อยของคนป่วยเท่านี้ก็ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมอาการเจ็บกายมากพอแล้ว

“ถ้าฉันเจอสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี บางทีฉันอาจจะลาออกก็ได้ การรบกวนดวงวิญญาณที่น่าสงสาร จะเจตนาหรือไม่ ฉันว่ามันยิ่งทำให้พวกเขาไม่สงบ”

คนขับหักพวงมาลัยเข้ามาในซอยหมู่บ้านที่สมิตานันพักอาศัย มีรอยยิ้มถูกใจจุดขึ้นบนริมฝีปากปาก “ดีใจที่ตี้คิดได้แบบนั้นนะ”

“ก็เพราะว่ามีบางอย่างทำให้ฉันรู้ว่าการไม่ปล่อยวางจากอดีต มันทุกข์ทนแค่ไหน เวลาต่อให้ผ่านพ้นไป แต่จิตยังยึดมั่นไม่เดินตาม”

นิมมาน...ผู้ชายเพียงแค่ถูกนึกถึง อารมณ์ของสมิตานันก็พานหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“ว่าแต่ตี้คิดยังไงกับคุณหมอเหรอ” ปาริตาเลือกเบี่ยงประเด็นเครียดๆ ออกไปจากเพื่อนให้ ดูก็รู้ว่าสมิตานันคงอาจนึกถึงบางสิ่ง ถ้าหมออย่างเธอเดาไม่ผิด ไม่รู้ว่าจะใช่...สิ่งนั้นที่คอยช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า

“ยังไม่รู้สิ ไม่ได้ปิดกั้น แต่ก็ยังเฉยๆ รู้สึกดีที่เขาทำดี”

“ใจเต้นแรงไหม รู้สึกเลือดลมสูบฉีด”

คนถูกถามมองเพื่อนทางหางตา บู้ปาก ทำหน้าคิด ตัดสินใจส่ายหน้าช้าๆ “หมอเขาให้เกียรติ ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวหรอก รู้สึกดีกับหมอธีมากกว่า...” คำพูดเงียบหายไป มาหลังๆ สมิตานันก็พานติดเรียกหมอธี แทนที่คุณธีอย่างสมัยก่อน ธนิทธิตั้งใจมาดูแลเธอตลอดที่เธออยู่โรงพยาบาล และบอกด้วยว่าให้ผู้ช่วยที่คลินิกดูแลเจ้าถึกแทนด้วย เธอจะได้ไม่เป็นห่วง พอเธอบอกจะกลับกับปาริตา ฝ่ายนั้นก็ไม่คัดค้านใดๆ ตรงข้ามกับอีกหนึ่งสิ่งที่ช่างเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ

“คงต้องศึกษาไปอีกนานๆ” ปาริตาเปรย อยากให้เพื่อนได้พบเจอคนดีๆ ในชีวิต ช่วงนี้สมิตานันพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ จริงๆ อย่างน้อยในเรื่องร้ายก็มีคนดีๆ คนหนึ่ง และภูตที่ออกตัวว่าจะปกป้องสมิตานัน

แต่อย่างหลังดูจะเป็นไปได้ยาก ภูตกับคน มองอย่างไรก็พบแต่ความเป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น...

รถแล่นมาจอดเทียบหน้าบ้านที่หญิงสาวอยู่มาเกือบหกปี สมิตานันลืมตาขึ้นมอง อาการปวดแผลบนศีรษะทุเลาลงไปมาก ต้องขอบคุณปาริตาที่พยายามให้รถสะเทือนแผลของเธอน้อยหน่อย

ร่างสูงเพรียวเดินมาชิดประตูบ้าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น กุญแจคล้องโซ่ตรงประตูไขออก แต่คำตอบก็ฉายชัดหลังจากนั้นไม่นานเมื่อคนด้านในได้ยินเสียงรถของปาริตา

ใบหน้าอวบอูม แก้มเนื้อเยอะ ฉีกยิ้มจนหน้าขยายใหญ่ พาร่างหนากว่าบุตรสาวหลายเท่าตัว ด้วยชุดผ้าไหมเนื้อดี สีชมพูสดหยุดยืนตรงหน้าทั้งสอง สาวิตรีมองบ่อเงินบ่อทองของหล่อนด้วยความประทับใจ ไม่ได้ถามไถ่อาการเจ็บ หรือผ้าพันตรงศีรษะสมิตานันสักนิด จู่โจมประโยคที่ไม่คิดว่าได้พังพื้นที่ความรู้สึกดีๆ ในจิตใจบุตรสาว

“ดังใหญ่แล้ว เงินได้มาเยอะก็เอามาให้แม่ด้วย เดือนนี้น่าจะได้มาก แม่ขอเพิ่มนะ กำลังขาดมือ”

สมิตานันยิ้มจาง อย่างน้อยๆ เงินของเธอก็ทำให้แม่คิดถึงอยู่บ้าง “เงินยังไม่ออก แต่ว่าตี้จะโอนไปให้แม่แน่ๆ ค่ะ”

“มากกว่าคราวที่แล้วนะตี้”

เหมียว...เสียงร้องดังขัดบทสนทนาขึ้นเสียก่อน แมวดำตัวน้อยที่ถอดปลอกคอกันเลียแผลเดินมาคลอเคลียอย่างน่ารัก ดวงตาลึกล้ำแววตาแสนคุ้นเคยจ้องตอบกลับมา สมิตานันยิ้มรับ หัวใจรู้สึกสงบปลอดโปร่ง แม้จะเจือความน้อยใจ เพียงหันมองมารดา

“ค่ะ ตี้จะเอาเงินให้แม่มากกว่าคราวที่แล้วแน่นอน”

อย่างน้อยเธอก็ยังได้พบแม่ทุกต้นเดือน...


กลับมาพักได้แค่สองวัน สมิตานันก็ต้องปั้นหน้ายิ้ม ตอบคำถามมากมายกับการประโคมข่าวของทางรายการเรื่องเทปตึกร้าง พานไปถึงเรื่องที่ทะเล ซึ่งเธอเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง รายการบันเทิงติดต่อมาหลายรายการ ถึงอยากปฏิเสธ เพราะแค่นี้ชีวิตเธอก็เหมือนหากินกับผีพอแล้ว แต่พอเห็นบรรดากองถ่ายทำสายตาอ้อนวอน น้ำลายกลับท่วมปาก

คงมีแค่กมลกับพุทธาที่มีความคิดสวนทางกับบูรณ์ตัวตั้งตัวตีครั้งนี้

“เจ๊ล่ะเบื่อ ทำไมต้องใช้งานน้องตี้หนักขนาดนี้ คนเพิ่งเจ็บตัวมา น้องตี้เองก็เถอะ ปากมีทำไมไม่ปฏิเสธ จะงกเงินไปไหน หน้าน้องตี้พอจบรายการ ดูยิ่งกว่ากินยาขมอีกนะคะ ถ้าทำแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องทำ”

ชายร่างยักษ์หัวใจหญิงบ่นจนเหนื่อยหอบ มองหน้าสีซีด ที่ขยันหาเงินตัวเป็นเกลียวด้วยสายตามองค้อน สามวัน ทั้งงานนิตยสาร งานทีวี ได้ขอสัมภาษณ์กันจ้าละหวั่น พุทธาเองก็ยังคัดค้าน

“งานนี้เป็นงานสุดท้ายเถอะครับพี่ตี้”

“ทำไมพุทพูดแบบนั้นล่ะ”

“งานที่จะทำให้มันเป็นงานสุดท้ายนะครับ” พุทธาไม่ชี้แจงแถลงไข แต่ยังคงย้ำคำพูดเดิม “เพราะมันจะเป็นแบบนั้น”

“พี่บูรณ์คงยอมหรอก” กมลทำเสียงหึประชด ควบคุมรถเข้าสู่บริเวณห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง บอกชัดว่าตนนั้นก็ใกล้สุดทนกับงานนี้แล้วเหมือนกัน

สมิตานันเงียบขึ้น อดหวนนึกถึงความลำบากในชีวิตที่ผ่านมา เด็กบ้านแตก พ่อไปทางแม่ไปทาง มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรก งานอะไรก็ตามเธอก็ทำทั้งนั้น แปลงาน สอนพิเศษ เด็กเสิร์ฟ จนกระทั่งได้มาพบกับบูรณ์ น่าแปลกที่เธอตอบรับง่ายดาย

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมในอดีตเธอถึงรู้สึกชอบในเรื่องหาคำอธิบายเหล่านี้มาไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจ เมื่อชีวิตได้ก้าวเข้าสู่วังวนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะถลำลึก

รถถอยเข้าซองเรียบร้อยเพื่อมาหามื้อเย็นทานก่อนแยกย้ายกันไป สมิตานันลงรถเป็นคนสุดท้าย รถที่มาจอดข้างกันก็พานมาจอดเทียบติดกัน ประตูรถที่ยังไม่ทันเปิดดี ถึงครูดเสียงดังปึง

กมลเจ้าของรถเตรียมออกงิ้ว วางมวย เคาะกระจกรถคนขับถี่ สมิตานันลงมาดูว่าประตูรถเป็นอย่างไรบ้าง แต่จากสภาพแล้ว รถยุโรปราคาแพงโดนมุมประตูทำสีถลอกเป็นรอยยาวมากกว่า ประตูรถคันเล็กนี้แทบไม่เป็นอะไรเลย

“เจ๊ รถเจ๊ไม่เป็นอะไรมากหรอก ช่างมันเถอะนะ”

“ได้ไงล่ะน้องตี้ เขาขับรถมาเกี่ยวรถเราเฉย นี่ถ้าน้องตี้บังเอิญลงไปตอนเขาถอยเข้ามาพอดีได้เจ็บตัวแย่”

สมิตานันพรูลมหายใจ เวลากมลของขึ้นใครก็ยั้งไม่อยู่ พี่ชายร่างยักษ์ ช่ำชองในเรื่องแต่งหน้าทำผม รสนิยมการแต่งตัวเลิศ นอกจากเป็นสไตล์ลิสประจำตัวเธอ ยังคอยดูแลความเป็นอยู่ของเธอเสมอไม่ได้ขาด

“ตี้ไม่เป็นอะไรค่ะเจ๊มล ตี้ว่า...” คำพูดขาดหายไปเมื่อบุรุษในรถเปิดประตูออกมายืนทำหน้าหยิ่ง ตามองเหยียดคนทั้งสามชีวิตอย่างกับเห็นเป็นเห็บหมัดเกาะรถก็ไม่ปาน ดวงตาดำสนิทจ้องมองคนที่น่าจะคุยรู้เรื่องได้มากสุด

“เอาเท่าไหร่ มีเงินจ่าย”

สมิตานันมองคนตรงหน้าตาค้าง มือเย็นเฉียบ อีกแล้ว เธอโดนนายภูตหิมพานต์เล่นงานกลางวันแสกๆ อีกครั้งใช่ไหม

หญิงสาวไม่ได้กลัวเหมือนแต่ก่อน เดินองอาจ อารมณ์ในอกเดือดปุด เหมือนโดนกวนตะกอนในอกให้ขุ่นขึ้น ใบหน้าไม่แยแสโลก ออกแนวไม่เห็นใครในสามคนของกลุ่มเธออยู่ในสายตา ทั้งที่ตัวเองผิดเต็มประตูแบบนี้

ร่างที่เตี้ยกว่าหลายเซนติเมตรจนต้องเงยหน้าขึ้นเผชิญ นัยน์ตาสีน้ำตาลมีความไม่พอใจฉายชัด “ขอโทษน่ะพูดเป็นไหม ใช่ว่าคนทุกคนจะเอาเงินฟาดหัวได้นะคะ”

“นี่เธอ กล้าว่าฉันเหรอ” ชายหนุ่มกัดฟันพูด ขบฟันจนเส้นเลือดขึ้นตรงขมับ “จะขึ้นราคาว่างั้น หมื่นหนึ่งพอไหม”

“หน็อย มันจะมากไปแล้วนะ” กมลเกือบกระโจนมาฟาดงวงฟาดงาใส่คนหล่อน่าเจี๊ยะ แต่นิสัยไม่น่ารับรับประทานสักนิด แต่โดนแขนเรียวกางกั้นห้ามไว้เสียก่อน สมิตานันส่งสายตาปรามไว้ ให้พุทมารั้งร่างใหญ่ของกมลโดยเร็ว

“ไม่พอ”

“อย่าให้มากไป” ชายหนุ่มกล่าวเสียงดุ มือหยิบกระเป๋าเงินสีน้ำตาลขึ้นมา ตั้งใจหยิบเงินมานับส่งให้

“เศษเงินน่ะฉันไม่ต้องการ”

“โลภมากระวังไม่เหลืออะไร”

“ก็ฉันไม่ได้จะเอาเงินนี่คะ” ยิ้มใส่ตาชายเสื้อเชิ้ตคอปกสีดำ ปลดกระดุมคอลงหนึ่งเม็ด ไหนจะกางเกงสแลคเนื้อดี สมิตานันเผลอสำรวจ หัวคิ้วยังขมวดเข้าหากัน ทำไมครั้งนี้ใบหน้าผีของนิมมานถึงยังไม่ผลุบหายไปเสียที

ราวกับว่า...หญิงสาวไม่อยากคิดว่าจะเป็นดังที่เธอคาด มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปใบหน้าคนตรงหน้า พิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง

แชะ...เสียงชัตเตอร์ดึงความสนใจคนโดนถ่ายภาพไปแบบไม่แอบให้ต้องเงยขึ้นมา “อะไรกันเนี่ย”

“แค่ถ่ายรูปต้องกลัวอะไรล่ะคุณ” หญิงสาวบ่นอุบ หน้าจ้องโทรศัพท์ ผลัดกับเลื่อนมองคนตรงหน้า ปากเม้มกันแน่น คนที่ยืนทำหน้าบึ้ง กับในรูปโทรศัพท์เหมือนกันพิมพ์เดียวอย่างกับแกะ ไม่มีหลอกตาอย่างที่เธอเคยโดนนิมมานทำให้เห็น

“ทำไม ผมหล่อหรือไง จนต้องถ่ายภาพเก็บไว้” ใบหน้าหล่อคมคายไม่ได้แค่พูดแต่ยื่นเข้ามาใกล้ จนคนขวัญอ่อนกรี๊ดลั่น มือไม้อ่อน เกือบทำเครื่องมือสื่อสารหลุดจากมือ แต่พอตั้งสติได้ มืออีกข้างก็ตบลงไปบนแก้มของคนตรงหน้าทีหนึ่ง ถึงไม่แรงมาก แต่ก็พานให้ชายหนุ่ม โกรธมากขึ้น

“นี่คุณ”

“เจ๊ เจอกันข้างในนะ” สมิตานันสะบัดศีรษะแรงๆ จนมึนหัวไปชั่วขณะ หลบการคว้าจับจากมือของเขามาได้ชั่วครู่ รีบตรงดิ่งเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงโวยวายไล่หลัง ประกาศศักดาว่าข้านี้ใหญ่คับฟ้าขนาดไหน

“ไม่เคยมีใครกล้าทำนิมมานเจ้าของห้างแบบนี้ นี่คุณกลับมาเคลียร์ให้รู้เรื่อง เป็นบ้าหรือไงมากรี๊ดใส่ มาตบผมเนี่ย”

ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง สมิตานันคิดว่าเธอกำลังใกล้บ้าเต็มที ไม่ว่าจะหน้าตา หรือแม้แต่ชื่อ ไม่มีเหตุผลมาคัดค้านอีกแล้วว่าไม่ใช่เขา

ว่าแต่...นิมมานที่เธอรู้จัก เขามาเกิดแล้วโตได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเธอยังรู้สึกว่าถูกเขาจ้องอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บ้าน หรือแม้แต่เมื่อเช้า เขายังก่อรังควานใส่ธนิทธิอยู่เลย

เธอเจอเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้...

“เจ้าทะเลาะอยู่กับสิ่งใด ทำไมข้ามองไม่เห็น” สมิตานันสะดุ้งโหยง นั่งตัวสั่นงันงก ดึงแว่นดำปิดหน้าไม่ให้เป็นที่สังเกตขณะนั่งอยู่ในมุมอับของร้านอาหารญี่ปุ่น รอคอยอีกสองคนมาถึง เงาดำใหญ่ปรากฏตรงข้ามเธอ เสียงของเขาก็ยังเป็นเขาเหมือนเดิม

แต่จุดประเด็นให้เธอยิ่งสงสัย...

“ท่านมองไม่เห็นเหรอ” ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ทำเป็นสนทนาด้วยเสียงอันเบา ถ้าเธอไม่ตอบ ไม่พูด พิธีกรคนเก่งอย่างเธอได้อกแตกตาย

“ทำไมเหมือนข้ามองไม่เห็นในสิ่งที่ควรมองเห็นใช่ไหม”

“ใช่...สิ่งนี้ท่านควรจะมองเห็นมากที่สุดในชีวิตของท่าน” ตอบเสียงแผ่วคล้ายละเมอ มองร่างที่โกรธหน้าดำหน้าแดงเดินตรงมานั่งปุทับไปลงบนเงาดำใหญ่ของนิมมาน สมิตานันเผลอหายใจเข้าปอดลึก ระงับอาการตระหนกในอก

“ต้องเห็นอะไร”

โทรศัพท์ที่ไม่ได้ติดต่อกับใครวางลงบนโต๊ะดวงตาสีน้ำตาลตรึงใจกำลังมีร่องรอยความขลาดกลัว โชคดีที่มีแว่นดำบดบัง จึงไม่เป็นที่สังเกต

“ขอโทษผมเดี๋ยวนี้ แล้วก็เลิกอ้าปากค้าง มือสั่นอย่างกับเห็นผี” นิมมานในร่างคนวางมือลงบนหลังมือเย็นเฉียบของผู้หญิงที่ทำการอุกอาจแล้วหนีมา การเห็นผู้หญิงหน้าซีดปากสั่น มันน่าสนุกที่ได้แกล้งน้อยเสียที่ไหน

แต่ภาพบางอย่างที่ไหลทะลักเพียงแค่สัมผัส มันทำให้นิมมานต้องถอนมือกลับอย่างรวดเร็ว จ้องดวงหน้าสมิตานันไม่วางตา ทำไมในภาพพวกนั้น ถึงมีแต่คนตรงหน้า กับเรื่องราวที่เขามั่นใจว่าไม่เคยพบเจอ

“คุณเป็นใคร”

“เราไม่ควรรู้จักกัน” สมิตานันลุกขึ้นยืน พยายามดึงสติตัวเองกลับมาให้มากที่สุด ย้ำให้ตัวเองไม่ต้องสนใจเรื่องของนิมมาน ไม่ว่าจะคนหรือภูต ไม่ว่าเขาเป็นสิ่งไหน ก็ไม่ควรมาอยู่รอบกายเธอ

ไม่ควรเลยจริงๆ...เพียงแค่สัมผัสเขา ผู้ชายชุดโบราณก็อยู่ในความคิดเธอเต็มไปหมด

มันเรื่องบ้าอะไร เขาเป็นใคร แล้วภูตนิมมานล่ะเป็นใคร สมิตานันก็เริ่มไม่มั่นใจ ว่าแท้ที่จริง แม้แต่ตัวเธอล่ะ...เป็นใคร


.........................................................................................
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ บทแตงกวาตอนสิ้นสติเป็นอะไรที่ไม่ชอบเหมือนกันเลย แต่พอตัวร้ายได้สติ เธอดูสวยขึ้นมาทันตา ฮา ฬาฬีเรื่องนี้ไม่รู้ตอนจบจะกลับใจได้ไหม
คุณ ใบบัวน่ารัก นั่นสิคะ เรื่องนี้มีแต่คนไม่ยอมปล่อยวาง ทุกข์เพราะรักกันทั้งนั้น
คุณ ปอกะเจา ต้องจูนใหม่เยอะค่ะสำหรับท่านนิมมาน แต่กับนิมมานที่เป็นคนนี่ก็เพิ่งมา ฮา มาให้งงเพิ่มกันเข้าไป
คุณ รักเร่ อดใจอีกนิด เดี๋ยวได้รู้แน่ค่ะ ต้นเหตุของความวุ่นวายเริ่มมาจากอดีต



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2556, 14:24:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2556, 14:24:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1474





<< บทที่ 7 : กุมารเกเร   บทที่ 9 : ลมหายใจสุดท้ายของสมิตา >>
ปอกะเจา 8 พ.ย. 2556, 17:35:44 น.
มีท่านนิมมานสองคน!!!! เวอร์ชั่นผีกับเวอร์ชันคน ชักจะงงไปกันใหญ่แล้วค่ะ


รักเร่ 9 พ.ย. 2556, 16:16:37 น.
เริ่มจะสับสนล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account