รักดังฝัน
เขา นิมมาน อดีตชาติเป็นถึงพระยานิมมาน ผู้ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกสาวของศัตรู จนตัวตาย เขาก็พร้อมยกวิญญา แก่ยาใจที่รักสมิตาเพียงผู้เดียว แต่ผ่านมาพันปี นิมมานก็พบว่าความรักของเขาหมดลง ไอ้รักนิรันดร์ไม่มีจริงหรอก “ชาตินี้เจ้าจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่ก่อนเจ้าจะพบกับไอ้มนุษย์เนื้อคู่ของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ก่อน”

เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน


Tags: หลอนโรแมนติก แฟนตาซี นิมมาน สมิตา

ตอน: บทที่ 9 : ลมหายใจสุดท้ายของสมิตา

เชือกร่มเส้นเล็กสามสี แดง เหลือง และฟ้าถูกถักเป็นเปียขมวดแน่น คนถักเองอยู่ในสภาวะเหม่อลอย ครุ่นคิดต่อสิ่งที่พบเจอมาราวกับมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เสียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดต่อสิ่งที่เธอสงสัย ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ เป็นตายร้ายดีเธอจะไม่มานั่งกังวลแบบนี้จนนอนไม่หลับเด็ดขาด

ในเมื่อมันเกี่ยวกับเธอโดยตรง อย่างที่นิมมานบอกว่ามันเกิดขึ้นเมื่อพันปีที่แล้ว...

นาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสอง บรรยากาศมืดครึ้ม มีฝนโปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำ กอปรกับเสียงเพลงคลาสสิกเบาๆ เป็นบรรเลงเป็นเพื่อน พอจะลบความกลัวไปได้ ที่สำคัญคือตรงมุมห้อง ที่มีตะกร้าสานอันโต มีหมอนนุ่มสีเหลืองสดรองรับน้ำหนักแมวขี้เซา ข้างกายเจ้าเหมียวมีลูกบอลไหมพรมของเล่นชิ้นโปรดของถึก

ห้อยกระดิ่งบนเชือกร่มถักเรียบร้อย สั่นกรุ๊งกริ๊งไปมา อดไม่ได้ที่จะถอนใจอีกรอบ วางปลอกคอเจ้าถึกลงบนที่นอน ตัดสินใจว่าวันนี้เธอต้องคุยกับเขาให้ได้

“ท่านนิมมาน ท่านอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

รอยยวบบนที่นอนปรากฏขึ้นแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นร่างกายของเขา นิมมานมาตามคำเรียกของเธอ “ท่านมีฝาแฝดไหม”

“ไม่นี่ ข้าเป็นว่าที่คนปกครองเมือง ไม่มีแม้แต่พี่น้อง”

“ช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้ฉันฟังได้ไหม เรื่องระหว่างท่านนิมมานกับสมิตา เผื่อฉันจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ต้องไปแก้ไขตรงไหน ฉันถึงจะปลดปล่อยดวงวิญญาณของท่านได้”

“เจ้าเต็มใจช่วยข้าแล้วงั้นรึ”

หญิงสาวเจ้าของบ้านกัดริมฝีปากด้วยความอัดอั้น แต่ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างจำยอม ชีวิตของเธออาจจะเข้าสู่ความปกติมากกว่านี้ หากเรื่องของเขา ไม่ว่าจะนิมมานที่เป็นภูต หรือคน ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง

“ฉันจะช่วย”

“ข้าดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น” แก้มของสมิตานันรู้สึกเย็นยะเยือก สัมผัสจากนิมมานถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่รู้สึกถึงความเศร้าสร้อย “เล่าให้ฉันฟังได้ไหมท่านนิมมาน เรื่องของท่าน”

ตัดใจไม่เอ่ยบอกเขาถึงเรื่องคนหน้าเหมือน ลากความเหมือนยาวไปถึงชื่อ ถ้าหากเป็นคนอื่น คงตามสืบประวัติจนรู้หมดไส้หมดพุง แต่สำหรับเธอ ขลาดเกินกว่าจะทำความรู้จักเขาไปมากกว่านี้ หากแก้ไขเรื่องราวตรงนี้ได้ เธอเชื่อว่าความข้องเกี่ยวระหว่างเธอกับนิมมานจะจบสิ้นลง

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนเหมือนกัน มันน่าเศร้า ยิ่งรู้ว่าข้าโดนเจ้าทรยศ”

“ทรยศ...สมิตาทรยศท่านอย่างนั้นเหรอ”

คนที่ไม่คิดว่าชาติปัจจุบันอย่างเธอคือคำว่าเจ้าในสรรพนามของนิมมานหยั่งเสียงถาม ใบหน้าปั้นปึ่งกับการถูกเรียกว่าเจ้า อย่างไรเสียเธอก็ยังภูมิใจกับการเป็นสมิตานัน และไม่เคยทรยศใครหน้าไหนทั้งสิ้น

หากในอดีตเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ความทรงจำทั้งหมดก็ได้ตายไปพร้อมกับลมหายใจนั้นๆ เรียบร้อย

“ใช่ เพื่อบ้านเมืองของเจ้า เจ้าถึงกับวางยาฆ่าข้า”

“ทำไมวิญญาณของท่านไม่อาฆาตฉันล่ะ น่าจะฆ่าฉันตายตกไปตามกัน ทำไมช่วยคนที่ฆ่าท่านให้มีชีวิตรอดต่อไป”

เสียงหัวเราะขมขื่นเจ็บปวดมากกว่าคำบรรยายออกมาเป็นคำพูด สมิตานันหน้าเศร้าลง ใจของเธอเองรู้สึกอ่อนแรง รู้สึกเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงวิญญาณของเขาไปไหนไม่ได้...เพราะรักมากเกินไป ใช่ไหม

“เพราะข้าโง่ต่างหาก”

สมิตานันเบะปากหมั่นไส้ ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ หลงนึกว่าอดีตชาติตัวเองนั้นคงสำคัญต่อเขามาก “ฉันว่าสมิตาต้องมีเหตุผลมากๆ แน่ถึงได้ทำเรื่องแบบนั้น โดยกมลสันดาน ฉันเชื่อว่าสมิตาต้องเป็นคนดี” คนยกยอตัวเองในอดีตยืดไหล่ ยืดหลัง สีหน้าโอ่ตัวเองนิดๆ “ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของบ้านของเมือง ฉันว่ามันต้องสำคัญมาก”

“จะพูดให้ตัวเองดูดี หรือจะฟังข้าเล่าเรื่องราว”

“ก็บอกแล้วว่าฉันกับสมิตาของท่านคนละคนกัน ฉันก็คือฉัน ส่วนสมิตาของท่านก็มีตัวตนอยู่แค่อดีตเท่านั้น”

“สรุปว่าจะไม่ฟัง”

“เฮ่! เดี๋ยวสิ นี่ท่านเป็นภูตผีขี้น้อยใจจังเลยนะ จะตั้งใจฟัง ไม่ขัดเลย ตกลงไหม”

นิมมานหัวเราะในลำคอตอบรับ ยื่นข้อเสนอมาง่ายๆ “หลับตานอนซะ แล้วข้าจะไปเล่าให้เจ้าฟังในความฝัน”

“เรื่องมากจริงๆ” จงใจบ่นเสียงดัง แต่กลับหยิบปลอกคอที่ตั้งใจทำให้ถึกวางไว้บนโต๊ะหนังสือข้างเตียง จัดการปิดไฟห้องนอน มุดตัวลงผ้าห่มหนานุ่ม หนุนหมอนใบโปรด หลับตาพริ้ม มีเสียงฝนขับกล่อม ดนตรีในเครื่องเล่นดังเกลาเบาๆ ในที่สุดสมิตานันก็พาตัวเองไปทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่ที่เขาจะเล่าความลับให้เธอได้ฟัง


ความรักของนิมมานน่าสงสาร...

สมิตานันนั่งแกว่งไกวชิงช้าไปมาเบาๆ มองเจ้าแมวขี้เซาสวมปลอกคอสีสดใสนอนอยู่บนตัก ในหัวมีเรื่องราวของนิมมานเล่าอยู่ในหัว สงครามสองอาณาจักร ระหว่างบุรเขต กับ สุวรรณศรี เมืองหนึ่งอุดมสมบูรณ์แต่ภายในไม่เคยสงบ กับอีกเมืองที่แม้จะแห้งแล้งไปบ้าง ประสบภัยด้วยเหตุธรรมชาติบ่อยครั้งกลับรักกันยิ่ง

บุรเขต คือเมืองแห้งแล้งที่ว่า แต่ทุกครั้งพวกเขากลับผ่านพ้นมาได้ สุวรรณศรีคอยสร้างสงครามต่อบุรเขตอยู่เนืองๆ นับเป็นร้อยปีทั้งสองเมืองก็ยังห้ำหั่นกันไม่เลิก หากหนึ่งในเมืองใดมีบุตรสาว ก็จะให้สมรสกับบุตรชายของอีกเมืองเป็นการกระชับสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น บาดแผลในใจของคนทั้งสองเมืองยากเกินกว่าจะประสาน

แต่น่าเสียดายที่ในปีนั้น บุรเขตมีสตรีผู้เก่งกาจอยู่ถึงสองคน ฬาฬี และสมิตา สองพี่น้องที่มีรูปโฉมงดงาม เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว บุคคลผู้เป็นสาเหตุแห่งสงครามจนใครๆ ต่างก็ต้องการ หมายปอง ฬาฬีนอกจากรูปงามซ้ำยังมีสมองเป็นที่น่ายกย่อง เป็นสตรีที่ออกรบ จับดาบฟาดฟันโดยไม่กลัวเกรง แม้ใครจะเข้ามาอย่างไร พร้อมสู้ไม่หวั่น

ตรงข้ามกับน้องสาว สมิตาอ่อนแอ ป่วยออดๆ แอดๆ แต่ทุกครั้งที่ออกมาจากในวังเยี่ยมชมประชาชนนั้น หญิงสาวกลับมีเมตตาช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือชาวบ้านยากแค้นแบบไม่มีแบ่งชนชั้น เรื่องน้ำใจของสมิตาจึงเป็นที่หนึ่ง เรื่องจะฆ่าใครนั้นไม่มีในความคิด เป็นดังแก้วงามที่ต้องซุกซ่อนเก็บไว้

หลายเมืองพยายามห้ำหั่นเพื่อช่วงชิงอาณาเขตเล็กๆ และดอกไม้งามทั้งสอง ในที่สุดบุรเขตต้องขอความช่วยเหลือไปยังสุวรรณศรี เมืองชิดใกล้ให้คุ้มครอง แม้จริงๆ แล้วสุวรรณศรีก็อยากได้บุรเขตมาครอบครอง มีนิมมานเป็นว่าที่ผู้ปกครอง เพื่อนเล่น และพี่ชายที่น่ารักของหญิงสาวทั้งสอง กษัตริย์และราชินีแห่งบุรเขตตัดสินใจเลือกสมิตาให้ไปอยู่ในแดนสุวรรณศรี ลูกสาวผู้อ่อนแอไม่ควรพบเจอเรื่องน่ากลัว

สมิตาไปถึงในฐานะว่าที่คู่หมั้นของนิมมาน แต่ไปถึงได้ไม่นานข่าวร้ายก็มาเยือน สมิตาสูญสิ้นบ้านเมืองปวงประชา พ่อแม่ ทุกอย่างจมหายไปในกองเพลิงใหญ่ ผู้ที่เหลือรอดมาได้ก็สภาพย่ำแย่คือฬาฬีกับกองทหารอีกเพียงหยิบมือ สภาพหนีตายโดยแท้

สมิตากระทบกระเทือนจิตใจจนร่างกายอาการทรุดหนัก ในวันที่เธอได้พบฬาฬี ไม่นานนัก นิมมานก็ถูกวางยา ทุกอย่างชี้ชัดไปที่ฝีมือของสมิตา แต่หญิงสาวไม่ได้อยู่รอรับโทษ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยหัวใจของนิมมานที่แม้จะรอดจากยาพิษ แต่หัวใจกลับเจ็บปวดกับการตามหาคนที่รักตั้งแต่วัยเยาว์ไม่พบ วันแล้ววันเล่าได้แต่เฝ้าคอย ฬาฬีได้มาอยู่ตำแหน่งเดิมของสมิตา และถึงแม้เขาจะปกครองบ้านเมืองต่อไปได้อย่างราบรื่นเพียงใด หัวใจของเขาก็ยังโหยหาแต่สมิตา ไม่เคยล่วงเกินฬาฬีให้มีมลทิน แม้แต่ห้วงสุดท้ายของชีวิต เขาถึงได้สาบานว่าจะยึดมั่นในรักแต่สมิตา

จนกลายเป็นบ่วงรัดเขาไว้ไปไหนไม่ได้...

ไม่รู้ว่ามันเป็นความผิดของใคร ของเธอที่เกิดมาชาติแล้วชาติเล่าก็รักเขาไม่ได้ บางชาติเธอต้องมาหัวใจวายตายเพราะว่าเจอหน้าเขา อย่างที่เจ้าตัวเล่าติดตลก

เห็นเธอเป็นคนหัวเราะง่ายนักหรือไง...สมิตานันถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยากหายามาวางยาภูตนิมมานอีกสักครั้ง ลูบขนศีรษะนุ่มของแมวดำตัวน้อยอย่างเหม่อลอย แล้วนิมมานที่เป็นคนเขาเป็นใครกัน

ทำไมเธอรู้สึกว่าเขากับนิมมานเป็นคนๆ เดียวกัน แต่จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร

อยากให้มีโดเรม่อนพาเธอย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องราว หรืออย่างน้อยก็ให้เธอได้ชดใช้ความผิดกับเขา ปลดปล่อยดวงวิญญาณที่เฝ้าปกป้องเธอให้ได้เป็นอิสระเสียที...เธออยากช่วยเหลือเขาจับใจ

“คุณตี้ครับ”

เสียงเรียกอันคุ้นเคยที่มักมาพร้อมของอร่อยติดมือ พาให้ทั้งเธอ และเจ้าถึกได้อิ่มกันทั้งคู่ ช่วงหนึ่งเจ้าถึกถึงกับเดินตามติดธนิทธิอย่างกับเขาเป็นพ่อ แต่วันนี้มาแปลก เพียงผงกหัวขึ้นมามอง แบบเชิดคอนิดๆ ก็กลับมาหนุนนอนลงบนตักเธอเช่นเดิม

เป็นแมวที่ผีเข้าผีออกจริงๆ...สมิตานันอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวเบาหวิวไปวางบนที่ว่างของที่นั่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ออกเดินต้อนรับแขก

“มีโจ๊กเจ้าโปรดตี้ด้วย” หญิงสาวทักทายเสียงหวาน รับถุงโจ๊กมาถือไว้เอง รีบเปิดบ้านต้อนรับคุณหมอเข้ามา ธนิทธิตั้งใจไปทักทายเจ้าถึกอย่างปกติ แต่วันนี้แมวน้อยอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่มีอาการดีใจลิงโลดมาเลียแข้งเลียขา เดินก้นบิดเข้าบ้านไป

“อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เอาใจยาก”

“วันนี้คุณตี้ต้องออกไปทำงานอีกไหมครับ” ธนิทธิถามด้วยสุ้มเสียงเป็นห่วง สภาพของสมิตานันที่ไปพบในโรงพยาบาลเมื่ออาทิตย์ก่อนนั้น เห็นแล้วเขาอยากจะบังคับให้ลาออกจากรายการ...ถ้าเพียงแต่เขาจะเป็นคนสำคัญมากกว่าแค่คนรู้จัก แค่เพื่อน

“ไปค่ะ แต่ว่าจะออกเดินทางตอนเย็น เห็นพี่บูรณ์บอกว่าครั้งนี้มีลูกค้าติดต่อมาว่าให้ไปดูให้ที สืบๆ ดูทุกคนสนใจ ก็เลยจะไปกัน”

“ที่ไหนครับ เผื่อผมจะตามไป ผมเป็นห่วง”

“ยังไม่รู้ค่ะ แต่ว่าจะส่งรายละเอียดให้ตี้ดูตอนแปดโมงเช้า”

รถยุโรปสีแดงแล่นจอดเทียบหน้าบ้าน สมิตานันขมวดคิ้วมอง และต้องตะลึงกับบุคคลที่เดินลงมาจากรถ แบกเป้ใบกะทัดรัดลงจากรถเดินผ่านประตูบ้านได้อย่างหน้าตาเฉย หยุดยืนห่างจากเจ้าของบ้านเพียงแค่หนึ่งก้าว ก้มหัวทักทายผู้ชายใส่แว่นเพียงนิด ยกมือปัดคางเนียนเบาๆ ให้ปากที่อ้ากว้างได้ปิดสนิท

“ผมจะไปด้วย เพราะงานนี้ผมเป็นคนติดต่อมาเอง”

“หมายความว่าไงคะ” เสียงถามหวาด ยกหลังมือเช็ดรอยสัมผัสเขาจากคาง โชคดีที่เธอไม่เห็นภาพอะไรประหลาดๆ พวกนั้นอีก

“ที่ที่จะไปเป็นอนุสรณ์เมืองโบราณ ตอนที่ตั้งใจจะไปบุกเบิกที่แถวนั้นทำเหมือง คนของเราขุดพบฐานเมืองโบราณ ผมเลยจะไปดูด้วย”

“ท่าทางจะว่างมากสินะคะ” อดกระแนะกระแหนใส่ไม่ได้ แต่คำว่าเมืองโบราณทำให้สมิตานันอดคิดถึงเรื่องเล่าจากปากของนิมมานไม่ได้ ถ้าทุกอย่างจะดูเหมือนบรรจบกันหมด

“ก็ว่างนะ ทำไมอิจฉาผมเหรอ”

น่าหมั่นไส้...สมิตานันเบะปาก ส่ายหน้ารำคาญ ตั้งใจจะเดินหมุนตัวกลับเข้าบ้านไปทานโจ๊กกับธนิทธิ มือของเธอก็ถูกสัมผัสอุ่นจับตรึงไว้แน่น แรกทีเดียวหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เพราะว่ามือข้างนั้นลงน้ำหนัก รวมทั้งขนาดมือไม่แตกต่างจากมือของภูตนิมมาน ต่างตรงที่นิมมานไม่ได้ดูอุ่น และมีความรู้สึกเท่ากับคนๆ นี้

ภาพมากมายไหลล้นทะลัก รวมไปถึงภาพผู้หญิงหน้าเหมือนเธอที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในป่า สมิตานันสะบัดมือออกอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตระหนกตกใจ เข่าอ่อนเกือบจะทรุดลงกับพื้น หากไม่มีมือของนิมมานมารั้งเอวไว้ก่อน ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ภาพเหตุการณ์ราวกับจะเล่าต่อ ผู้หญิงผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้า ตามตัว มีหนามเกี่ยวขาด แขนเป็นรอยแผล วิ่งสะดุดล้ม ภาพมีดเงื้อง้างของใครที่มองไม่เห็นหน้าสุดมือกำลังจู่โจมจากทางด้านหลัง

สมิตานันหวีดร้องลั่น ผลักนิมมานออกสุดแรง น้ำหูน้ำตาไหลออกมาด้วยความกลัว ร่างกายสั่นเทิ้มจนต้องกอดตัวเองไว้แน่น มันเหมือนจริงเกินไป หากนั่นคือสมิตา เธอกำลังได้เห็นจุดจบสุดท้ายของนางใช่ไหม

“คุณทำบ้าอะไรกับฉัน” หญิงสาวว่าผู้ชายที่โดนผลักล้มไปด้วยสายตารวดร้าว “เอาภาพอะไรมายัดใส่หัวฉัน” สองมือขย้ำเส้นผมตัวเองด้วยความเครียดจัด ธนิทธิมองอาการของสมิตานันอย่างเป็นห่วง ตั้งใจจะก้มลงปลอบโยน เสียงสั่นตะโกนลั่น

“อย่าแตะต้องตัวฉัน!...หมอธีคะ ตี้ขอให้หมอกลับไปก่อนได้ไหมคะ” ท้ายเสียงปรับให้อ่อนลง รู้ว่าธนิทธิไม่ได้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ

“แต่ว่า...เขาไว้ใจได้ใช่ไหมครับ”

นิมมานหันขวับไม่พอใจกับคำไม่ต่างการสบประมาท “ผมไม่ใช่คนตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่คิดถึงครอบครัว กับผู้หญิงธรรมดาๆ แบบนี้ผมไม่สนใจหรอกน่า”

พลั่ก...ถึงจะอยู่ในภาวะหลอนสุดขีด แต่หูคนฟังไม่ได้พิการ สมิตานันจึงจัดการยื่นเท้าไปยันก้นคนพูดมากจนล้มหน้าทิ่มจูบพื้นหญ้าให้ธนิทธิได้มองอย่างสะใจ

“มีอะไรคุณตี้โทรหาผม หรือร้องเรียกหากุมารนะครับ”

คำพูดนั้นพานให้คนหน้าทิ่มเด้งตัวขึ้นนั่ง ตั้งใจหันไปหาเรื่องธนิทธิที่ยังมองเขาเป็นตัวอันตรายไม่เปลี่ยนก็พบว่าเดินเร็วหายไปแล้ว เป่าเศษหญ้าที่ติดปากออกไป มองคนถีบเขาตาขวาง ส่งเสียงฮึ่มฮั่มเคืองจัด

“นี่มีของ เลี้ยงกุมารด้วย คุณนั่นแหละที่เล่นของใส่ผม มาถอนของออกไปจากตัวเลยนะ”

สภาพผู้ชายแต่งตัวเสื้อยืดสีขาว ทับเสื้อคลุมลายพรางนั่งขัดสมาธิหันหน้ามาเผชิญกัน สร้างความขบขันให้คนที่เพิ่งตระหนกกับเหตุการณ์เห็นภาพน่ากลัวได้อย่างรวดเร็ว

“ขำอะไร”

“คุณไง กลัวกุมารของฉันเหรอ ขอโทษนะกุมารของฉันหน้าตาหล่อกว่าคุณหลายขุม”

“หึ...จะกุมารสำนักไหนก็ช่าง แต่ที่ผมจะเดินทางไปกับคุณไม่ได้สนใจไอ้เมืองโบราณบุรสุวรรณอะไรนั่นหรอก”

สมิตานันกำลังลุกขึ้นยืน ปัดเศษหญ้าออกจากตัวถึงกับตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบ นึกอยากเป็นลมล้มพับ ตื่นขึ้นมาในวันฟ้าใส ปลอดโปร่ง ปราศจากคลื่นลมแห่งอดีตพันปี ก่อนที่เธอจะอายุยี่สิบเจ็ดปีแบบนี้

นิ้วพยายามบีบเนื้อแขนตัวเองอย่างแรง เผื่อว่าเธอจะยังหลับ แต่เปล่าเลย ภาพผู้ชายหน้าหล่อที่เหมือนกับกุมารอย่างกับแกะ ยังจ้องเธอมาด้วยดวงตาสีดำลึกล้ำไม่ต่างจากเขาตนนั้น

“บุรเขต สุวรรณศรีหรือเปล่า” หลับตากลั้นใจถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบคงไม่นอกเหนือจากนั้น

“ศึกษาข้อมูลมาแล้วสิ แต่เรื่องเมืองนั่นไม่ได้น่าสนใจหรอกรู้ไหม” นิมมานหน้าขรึมขึ้น สันกรามกัดกันแน่น พูดย้ำชัดถึงเจตนารมณ์ของตัวเอง “ที่ผมอยากรู้ที่สุด คือคุณเอาอะไรมาใส่หัวผม ภาพคนโบราณหน้าเหมือนผม หน้าเหมือนคุณมันคืออะไร แล้วทำไมมันจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่...”

มืออุ่นยื่นมาจับมือเล็กไว้แน่นในช่วงที่สมิตานันเผลอ ครั้งนี้สมิตานันหลับตากรีดร้องลั่น เสียงลมหายใจขาดห้วง ทรุดตัวลงกองกับพื้นดิ้นทุรนทุราย

“อย่าทำข้า...ได้โปรดอย่าทำข้า...พี่ฬาฬี”

เสียงละเมอคล้ายคนใกล้จะสิ้นใจสร้างความหวาดหวั่นแก่นิมมานไม่น้อย ชายหนุ่มช้อนร่างเพรียววิ่งกลับไปในบ้าน วางลงบนที่นอน ต่อสู้กับการมองเห็นภาพเดียวกับที่สมิตานันกำลังเผชิญ

ประกายแสงของเงามีดเงื้อขึ้นก่อนจ้วงแทงลงบนร่างบอบบางไปหลายครั้ง ชายหนุ่มกุมมือนุ่มไว้แน่น คอยลูบไรผมที่ปรกหน้า ซับเหงื่อให้อย่างกังวล ภาพโหดร้ายพวกนั้นถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด พร้อมกับลมหายใจที่หยุดลงของคนในมโนภาพนั้น

เปลือกตาบางกระพริบสองสามครั้ง หยดน้ำกลิ้งหล่นลงจากหางตา ปากบางซีดเผือด สายตาจดจ้องแต่เพียงเพดานห้องนั่งเล่นในบ้านอันว่างเปล่า

เธอเห็นความตายของสมิตา...รวมทั้งคนที่ลงมือฆ่า ผู้หญิงคนนั้น ฬาฬี พี่สาวของสมิตา

มือที่บีบกระชับปลอบใจเธอนั้นทำให้สมิตานันเพิ่งรู้สึกตัว นิ้วยาวบรรจงเช็ดของเหลวบนแก้มให้อย่างเป็นห่วง ภาพทั้งหมดในยามนี้ไม่เห็นอะไรอีกต่อไป ทุกอย่างเป็นสิ่งปกติทั้งหมด

“ผมก็เห็น...เหมือนที่คุณเห็น”

สมิตานันถึงกับสะอื้นหนักขึ้น ยกแขนข้างที่ว่างขึ้นวางพาดบนหน้า ความเครียดกับการพบสิ่งแปลกประหลาดในโลกนี้ราวกับมีคนมาแบ่งเบาไปอีกครึ่ง

“ขอบคุณที่ไม่ทำให้ฉันรู้สึกบ้าไปคนเดียว”


นางคุยกับใคร...ภูตหนุ่มขมวดคิ้วมองความว่างเปล่า ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่หญิงสาวเจอคืออะไร แต่การต่อปากต่อคำ ไหนจะยังตัวลอยเหมือนคนถูกอุ้ม ทำให้นิมมานไม่เข้าใจ

คล้ายว่าเป็นมนุษย์ แต่เขามองไม่เห็น...อย่างนั้นเหรอ

ร่างสูงเบาบางราวกับเป็นอากาศธาตุยืนใกล้กับร่างของแมวถึกที่เขาชอบอาศัยเพื่อได้อยู่ใกล้ชิดสมิตานัน โดยที่เจ้าหล่อนไม่รู้ตัว อาการร้องไห้ฟูมฟาย บทสนทนาเหมือนโต้ตอบอะไรไปมา แต่เขาไม่เห็นอีกฝ่าย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียง

มันคืออะไร...

“ใกล้แล้วท่านนิมมาน”

ครามปรากฏตัวริมหน้าต่าง กอดอกมองภาพบุคคลสองคนที่ตนเห็นเต็มสองตาด้วยใบหน้าที่คล้ายจะยิ้ม แต่ก็ไม่เชิงว่ายิ้ม

“ท่านจะได้สมความปรารถนาในไม่นานนี้”

“หมายความว่าอะไร...นางจะรักข้าอย่างนั้นเหรอ”

ยมทูตหนุ่มยิ้มมุมปาก มองความเศร้าโศกของสมิตานันด้วยความสงสาร ไม่คิดว่าตัวเองจะเร่งรัดเรื่องราวครั้งนี้ จนไปทำให้หญิงสาวตรงหน้าใกล้จะเป็นบ้าเต็มที...แต่มันก็เพื่อให้เรื่องทุกอย่างเดินไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น

“เรื่องนั้นจะอยู่ที่หัวใจของเจ้านาง อยู่ที่ว่าในอดีต ความรักของท่านมั่นคงแค่ไหน”

“ด้วยชีวิตทั้งหมด”

“ท่านในอดีต และในปัจจุบัน จะเป็นคนแก้ไขเรื่องครั้งนี้”

นิมมานส่งเสียงครางในคอ กับคำพูดกำกวมไม่เข้าใจนั้น “ข้ามีความสามารถขนาดนั้นเชียว ไม่อย่างนั้นจะรอมาถึงพันปีเหรอท่านคราม”

“แล้วถ้าเป็นข้าที่มีความสามารถในการช่วยท่านล่ะ อย่ากลัวไปเลย เรื่องทุกอย่างจะดีเอง”

ภูตหนุ่มหันเหสายตากลับไปมองผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกกำลังใจให้ตัวเองฮึกเหิม หอบหิ้วคอมพิวเตอร์มานั่งทำงาน ดวงตาหรี่ลงอ่านอะไรไปมา มีเสียงพูดลื่นหูให้ได้ยิน

“ข้าไม่อยากให้สมิตาร้องไห้อีก”

“ท่านควรรู้ไว้อย่างหนึ่งท่านนิมมาน คนตรงหน้าท่านในตอนนี้ ไม่เหมือนสมิตาที่ท่านรู้จักอีกแล้ว”

ดวงตาดำขลับเศร้าขึ้นมา “ไม่ว่านางเป็นใคร ในยามนี้สิ่งที่ข้าต้องการให้นางมีคือความสุข ความปลอดภัย และมีชีวิตยืนยาว”

ครามไม่ตอบแต่ยิ้มพึงพอใจ ใกล้แล้ว เวลาที่นิมมานจะเป็นอิสระต่อพันธนาการทั้งปวง

หากไม่มีคนคอยขัดขวางอย่างที่หมั่นขยันสร้าง อย่างฬาฬีล่ะก็...

...............................................
คุณ ปอกะเจา เรื่องสองคนไม่รู้จะมีใครเดาถูกไหม ฮา ครามอยู่เบื้องหลังค่ะงานนี้ รอตอนต่อๆ ไปนะคะ ^^
ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ย. 2556, 01:39:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 พ.ย. 2556, 01:39:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1661





<< บทที่ 8 : นิมมาน   บทที่ 10 : กลับสู่จุดเริ่มต้น >>
ใบบัวน่ารัก 9 พ.ย. 2556, 06:56:21 น.
อืืมพี่น้องแย่งผอ. กัน
แย่จัง ว่าแต่ จะอย่างไรต่อ


ปอกะเจา 9 พ.ย. 2556, 14:25:50 น.
คุณครามสุดยอดมากค่ะ (ให้ห้าดาว) พ่อสื่อตัวจริงเสียงจริง หวังว่าท่านนิมมานกับนางเอกจะเจออุปสรรคน้อยลงสักที?? / มีเรื่องติดใจนิดนึงค่ะไรท์เตอร์ คืออ่านบทที่แล้วกับบทนี้รู้สึกว่าความต่อเนื่องของการพบกันระหว่างนางเอกกับนิมมาน(ภาคคนเป็น) ดูรวบรัดจังเลยค่ะ อ่านแล้วเลยงงนิดหน่อย หรือสืบเนื่องมาจากคุณครามต้องการให้เป็นแบบนี้เอ่ย


รักเร่ 9 พ.ย. 2556, 16:32:25 น.
ทำไมนิมมานมีสองตัว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account