รักดังฝัน
เขา นิมมาน อดีตชาติเป็นถึงพระยานิมมาน ผู้ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกสาวของศัตรู จนตัวตาย เขาก็พร้อมยกวิญญา แก่ยาใจที่รักสมิตาเพียงผู้เดียว แต่ผ่านมาพันปี นิมมานก็พบว่าความรักของเขาหมดลง ไอ้รักนิรันดร์ไม่มีจริงหรอก “ชาตินี้เจ้าจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่ก่อนเจ้าจะพบกับไอ้มนุษย์เนื้อคู่ของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ก่อน”

เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน


Tags: หลอนโรแมนติก แฟนตาซี นิมมาน สมิตา

ตอน: บทที่ 10 : กลับสู่จุดเริ่มต้น

ผู้หญิงคนนี้อะไรกันกล้าหลับใส่ ทั้งที่มีแขกผู้ชายนั่งอยู่ในบ้าน...นิมมานนั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่ง มองคนที่จมไปในกองผ้าห่ม และหมอนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คนๆ หนึ่งที่อยู่ในความฝันของเขามาเสมอนับตั้งแต่จำความได้ ภาพผู้หญิงชุดโบราณ อยู่เคียงข้างเขา ในห้องของเขาก็มีแต่รูปของสมิตานันเต็มไปหมด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผู้หญิงคนนี้จริงๆ อยู่ในโลก

ต่างกันตรงที่นางในฝันของเขาคนนั้น เรียบร้อย ไม่ได้เอะอะโวยวายแบบนี้ ครั้งแรกที่พบกันเธอคงคิดว่ามีแต่ตัวเองที่ตกใจล่ะมัง...วันนั้นไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจ เหมือนก้าวเท้าออกจากบ้านก็คิดได้ว่าต้องไปที่ห้างของครอบครัว ต้องวนรถขึ้นไปถึงชั้นห้า แทนที่จะตรงไปยังที่จอดพิเศษของฝ่ายบริหาร และที่นั่นก็ทำให้เขาพบ...ผู้หญิงในฝัน

นิสัยแตกต่างจากคนที่เขาฝันถึง จนต้องชะโงกหน้าดูใกล้ๆ สุดท้ายก็ยังโดนถ่ายรูป ซ้ำยังโดนตบหน้าเบาๆ ไปทีหนึ่ง หน้าตาของสมิตานันยามนั้น ยิ่งกว่าคนเห็นผีเสียอีก

ดวงหน้าสวยสะดุดตา จากความอ่อนโยนนุ่มนวลคอยลอยวนเวียนในความฝัน กลายเป็นผู้หญิงที่มีดวงตาประกายกล้าแกร่ง ไม่ยอมคน แต่ไม่ว่าอย่างไรนิมมานก็ลงความเห็นว่าคนๆ นี้เป็นคนเดียวกันกับแม่นางในฝันอย่างแน่นอน

เพียงแค่สัมผัสมือเรื่องราวที่เขาเคยฝันถึงแบบไม่ปะติดปะต่อก็ล้นทะลักเพียงไม่กี่วินาที...ยิ่งอยู่ใกล้เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่าง

แต่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้...โชคดีที่เขาเผอิญได้รับการดูแลการควบคุมงานสร้างรีสอร์ทที่ต่างจังหวัด คนงานจึงขุดพบฐานเมืองเก่าขึ้นมา มันประจวบเหมาะไปหมด เขาถึงได้มานั่งตรงนี้ มองหน้าหลับพริ้มติดอ่อนเพลียของสมิตานัน

ผู้หญิงที่ทำให้เขารักใครอื่นไม่ได้...นอนอยู่ตรงนี้แล้ว

“มองอยู่นั่นล่ะ” คนนอนหลับงึมงำ งัวเงีย ลืมตาขึ้นมองด้วยดวงตาเหนื่อยหน่าย ใช้หลังมือขยี้ตาเหมือนเด็กเล็กๆ อ้าปากกว้างหาวไม่รักษาสภาพหญิงไทยกุลสตรี “จะมานั่งในบ้านฉันให้ได้อะไร”

“คุณมีฝาแฝดไหม”

“ฝาแฝด?” ทวนคำด้วยความสงสัย “จะบ้าหรือไง หน้าสวยๆ แบบนี้มีคนเดียวในโลก คุณต่างหากที่มีฝาแฝด...เฮ้อ ช่างมันเถอะ ลืมที่ฉันพูดไป”

สมิตานันเหลือบมองเงาดำด้านหลังนิมมานร่างคนก่อนทอดถอนใจอย่างอับจน เธอจะปลดปล่อยความรักของนิมมานได้อย่างไร ในเมื่อเวลานี้สิ่งที่เธอมีคือความรู้สึกอยากช่วย หวังดี ความรู้สึกผิดส่วนหนึ่งในใจตอกย้ำว่าเธอทำให้เขาไปไหนไม่ได้

“คุณก็เห็นใช่ไหม”

“เห็นอะไร”

ยกมือสางผมให้เข้าที่ก่อนจะอุ้มเจ้าถึกมาวางบนตัก ลูบคอให้แมวน้อยได้หลับตาพริ้มสบายตัว ไม่ได้ใส่ใจว่านิมมานในร่างคนจะว่าอะไรออกมาเท่าไหร่นัก เห็นในความหมายเขาสำหรับเธอมันกว้างเกินไป เห็นผี เห็นภูต เห็นอดีต หรือจะเห็นอะไรอีกล่ะ

“ผมเห็นคุณมาตั้งแต่เกิด”

“หืม...นี่ฉันไม่ใช่ผีนะคุณ”

“ผมเคยคิดว่าคุณเป็นผี...ถึงได้มาหลอกหลอนในฝันของผมตลอด รู้ไหมวันไหนไม่ฝันถึงคุณ ผมรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”

นิ้วที่เกาขนคอถึกหยุดชะงัก หัวใจเผลอเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ ประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคบอกรักแสนหวาน ไม่ได้แฝงน้ำเสียงอย่างพวกหนุ่มกะล่อนเจ้าชู้ ถึงท่าทางเขาจะให้ แต่การฟังประโยคนั้น เหมือนคนจนปัญญา หาทางออกไม่ได้...จนกระทั่งพบเธอ

ทำไมถึงได้เหมือนกับนิมมานที่เป็นภูตแบบนี้ เธออยากคิดว่าเขาเป็นคนเดียวกัน แต่คิดในมุมกลับกัน คนสองคนจะมาอยู่ในห้วงเวลาเดียวกันแบบนี้ได้อย่างไร

ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้ แม้แต่นิมมานที่เป็นภูต เขาไม่เห็นแม้แต่มนุษย์หน้าเหมือนคนนี้

สมิตานันไม่เคลิ้มไปตามคำน่าสงสารนั้น ตั้งมั่นกับการลูบขนเจ้าถึกต่อไป “ฉันไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ไม่ว่าจะภูต ผี หรือคน ไม่มีอะไรที่อยู่ยั้งยืนยงหรอกนะ”

“นี่การที่ผมบอกแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าการเจอตัวจริงจะดีกว่าการอยู่แค่ในฝันหรอก”

หญิงสาวส่งเสียงหึ ไม่เชื่อคำแก้ตัวนั้นสักนิด “ถ้าไม่ดีกว่าแล้วจะมาเจอทำไม” พุ่งตัวไปใกล้เอียงคอมองท้าทายหน่อยๆ พอให้เห็นอาการผงะจากนิมมานบ้าง “ถ้าคุณเป็นคนเดียวกับที่ฉันรู้จัก อดีตชาติของคุณก็คงรักฉันมาก”

นิมมานไม่ได้หัวเราะ หน้าคมคายเครียดเขม็ง ยื่นหน้ามาใกล้พอกัน ความจริงจังไม่ติดตลกพานให้คนฟังรู้สึกหวาดหวั่น ไออุ่นจากกายของนิมมานเธอสัมผัสได้จริง

“ผมเองก็คิดแบบนั้น” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างตระหนก นิมมานสังเกตไม่คลาดสายตา เห็นการตอบสนองแบบนี้ถึงกับหัวเราะลั่น คนถูกหัวเราะตวัดตามองค้อน อุ้มแมวตัวเล็กออกไปที่อื่น “นี่คุณคิดว่าคนอย่างผมจะพูดจริงหรือไง”

“นี่ท่าน” สมิตานันเรียกร้องหาภูตหนุ่มเสียงดัง โดยไม่เกรงใจนิมมานที่เป็นคนสักนิด “แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาที ฉันกำลังเบื่อ เอาเป็นหน้าต่างเปิดปึงปังอย่างที่ท่านชอบทำก็ได้นะ”

“...”

ความเงียบเป็นคำตอบ หญิงสาวส่งเสียงหึขัดใจ ส่งสายตาไม่ถูกขี้หน้าไปยังคนที่หัวเราะงอหายจวนจะหน้าทิ่มกับพื้น อยากให้ตาของเธอมีเลเซอร์ออกมาจัดการมนุษย์ไร้มารยาทคนนี้เสียจริง จะได้กำจัดออกไปนอกโลกให้รู้แล้วรู้รอด

สมิตานันเม้มปาก กำมือแน่นสะบัดหน้าเดินขึ้นห้อง และเพียงแค่ปิดประตู เสียงห้าวกังวานของคนที่เธอรอคอยก็ดังขึ้น

“เจ้าพูดอยู่กับใคร”

พิธีกรคนสวยมองเงาดำตรงปลายเตียงของเธอก่อนทอดถอนใจอย่างปลดปลง “ท่านไงท่านนิมมาน ท่านในร่างมนุษย์ ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอมาคิดๆ ดูตามตรรกะเพี้ยนๆ ของฉัน ฉันว่าบางทีที่ท่านไม่เห็นเขา อาจเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเวลา ท่านยังมีจิตวิญญาณ ในขณะที่เขาเองก็เป็นคนธรรมดามีจิตวิญญาณเหมือนกัน ท่านกับเขาเป็นสิ่งเดียวกัน ท่านในตอนนี้จึงไม่เห็นเขา ไม่ได้ยินเสียง ฉันว่าบางทีท่านเองต้องได้มาเกิดเป็นเขาแน่นอน แต่ฉันสงสัยอยู่อย่างคือทำไมฉันได้พบเขาก่อนเวลา ทั้งที่จริงท่านยังอยู่”

รอยยวบบนที่นอนเป็นสิ่งที่สมิตานันมองเห็น เธอจึงเลือกยืนนิ่งอยู่ชิดบานประตู กอดอก ยกมือแตะคางสีหน้าครุ่นคิด “ถ้าเกิดว่าฉันย้อนเวลาไปในอดีต ฉันเองก็อาจไม่เห็นตัวของฉัน ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้”

“ท่านยมทูตคงจะทำขึ้นมาทั้งหมด”

ลมวูบหนึ่งพัดผ่านหน้าสมิตานันไปอย่างแรง หญิงสาวขนลุกซู่ เมื่อร่างของผู้ชายตัวสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบสงบเผยขึ้นต่อหน้าต่อตาด้วยเครื่องแต่งกายเดียวกับนิมมาน ต่างกันเพียงกระแสรายรอบตัวของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอยะเยือก และน่ากลัวยิ่งกว่า

หากเธอไม่พบนิมมานมาก่อน จิตเธอคงร่วงหล่นไปปะอยู่ตรงใต้ตาตุ่มหมด...

“ถูกทุกอย่างที่เจ้าว่ามา...ข้าแค่ปรับช่วงเวลาเล็กน้อย ให้เจ้าได้พบกับเขาเร็วขึ้น” เสียงกังวาน ทุ้มต่ำกล่าวเนิบ เดินวนเวียนรอบห้องราวกับเป็นเจ้าของเสียเอง “หากจะแก้ไขเรื่องราวต้องเริ่มจากอดีต...ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ว่าตั้งใจอยากปลดปล่อยดวงจิตของท่านนิมมานจริงหรือไม่ ถ้าไม่ได้ตั้งใจจริง บางทีหากเกิดความผิดพลาดจนถึงแก่ความตาย เจ้าจะเสียดายชีวิตขึ้นมา”

“ถ้าเจ้าต้องตาย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ข้ามีตัวตนอยู่แบบนี้ยังดีกว่าไม่มีเจ้าอยู่บนโลก”

คำพูดของนิมมานทำให้สมิตานันรู้สึกตัวเบาลอยหวิว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีใครมาเห็นค่าเธอขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะไร้ตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่เขาก็ยังพะวงเป็นห่วงเธอเสมอ วันใดที่ไม่มีเขาขึ้นมา...ใครกันจะปกป้องเธอแบบนี้ แต่เธอเองก็เห็นแก่ตัวไม่ได้

“ท่านอยู่เพื่อฉันมาพันปี เท่านั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกทำร้ายท่านมากไปแล้ว ให้ฉันได้ไปแก้ไขในสิ่งที่ฉันพอจะทำได้เถอะ”

สัมผัสเย็นเฉียบเกี่ยวเอวบางของหญิงสาวไปกอดไว้แน่น สมิตานันหลับตายืนรับอ้อมกอดจากผู้ชายพันปีด้วยความยินดี “ไม่ต้องห่วงนะ ท่านเหนื่อยเพื่อฉันมามาก ให้ฉันได้ทำเพื่อท่านบ้าง มันคงจะดีไม่น้อยถ้าท่านกับสมิตาในอดีตจะสมหวังกันตั้งแต่เริ่ม”

ครามยิ้มมาให้พร้อมพยักหน้า เสียงของเขาดังก้องในหัวของเธอโดยไมได้ขยับด้วยความตั้งใจที่จะไม่ให้นิมมานได้ยิน

“นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องทำ...ไปแก้ไขให้ทันเวลา ก่อนที่มันจะซ้ำรอยเดิม”


สมิตานันกลัว...การเดินทางสู่ดินแดนที่เธอเคยอยู่อาศัยในอดีตชาติครั้งนี้ พอรู้ว่าในเวลาอันใกล้เธอต้องพบเจออะไรที่เหนือความคาดหมาย ไม่ก็หากเธอทำมันไม่สำเร็จ เธออาจเอาลมหายใจไปทิ้ง พ่อที่เป็นนักวิจัยทางเกษตรคงตะลึงไม่น้อยที่เธอโทรไปคุยเล่นยาวนานถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งที่นานทีปีหนเธอถึงจะยอมเอาเวลาทำงานของพ่อมาคุย พ่อที่เธอชอบบอกว่าโกรธกับการบ้างานของท่าน คุยกับแม่ได้แค่นาทีเดียวท่านก็ตัดสาย บอกว่ากำลังทำเล็บ แต่คนที่เธอบอกว่าอยากเจอ...เธอดีใจที่ปาริตามาตามคำเรียกร้องของเธอจริงๆ

“ทำไมทำตาแดงๆ แบบนี้ล่ะ นี่เค้กเจ้าโปรด เอาไปกินระหว่างทาง” ปาริตายื่นกล่องเค้กที่มีตราผู้หญิงแต่งชุดแม่มด บนกองลูกกวาด สัญลักษณ์ของสวีทเมจิก ห้างขนมหวานที่มีเพียงที่เดียวในไทย

สมิตานันรับมาถือด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาวน้ำ เธอไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาไหม “ขอกอดหน่อยสิมิลัน” เสียงสั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้

จิตแพทย์สาวโอบกอดเพื่อนรักไว้แน่น ลูบหลังขึ้นลงเหมือนพี่ที่ยังห่วงน้อง “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ฝากดูแลเจ้าถึกด้วยนะ” คนปากแข็งเลี่ยงตอบความจริงในใจ ผละจากอ้อมกอดที่หวังดีต่อเธอ เงยหน้าขึ้นอีกนิดพอให้อะไรก็ตามที่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาไหลย้อนกลับไป

“ไปนานเลยเหรอ” เหลือบมองรถกองถ่ายที่จอดรอได้สักพักก่อนที่หญิงสาวจะเดินทางมาถึง ปาริตาเพิ่งรู้ว่าสมิตานันไม่ออกเดินทางเพราะรอเธออยู่...มันมีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“รีบกลับมาเข้าใจไหม อย่าไปเที่ยวเถลไถล หรือติดใจจนไม่ยอมกลับมาล่ะ ที่นี่มีคนรอตี้อยู่ มีครอบครัว มีเพื่อน มีคนที่รักตี้ อย่าคิดมากสิ” ปาริตาเอ่ยปลอบเพื่อนด้วยความกังวลในใจ เห็นสมิตานันทำปากเบะจวนจะร้องไห้เธอยิ่งไม่อยากให้เพื่อนไปมากขึ้น “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้เป็นอย่างนี้ แล้วจะทำงานได้ไหม”

“มันจะเป็นงานสุดท้ายแล้วมิลัน ถ้าฉันปลดปล่อยเขาสำเร็จ”

“เขา...สิ่งนั้นน่ะเหรอ” ปาริตาถามอย่างระวัง ไม่คิดว่าการออกเดินทางของพิธีกรคนเก่งจะมีเป้าหมายจริงแอบแฝง การไปจัดรายการคงไม่ใช่เจตนาหลัก

“ไปก่อนนะ ถ้าช่วงที่ฉันไม่อยู่ฝากดูแลพ่อแม่ฉันด้วย...แต่ไม่ว่ายังไง ที่นี่คือบ้านของฉัน ไม่มีบ้านหลังไหนดีเท่าที่นี่อีกแล้ว ยังไงฉันต้องกลับมา”

“ทุกคนจะรอตี้”

ปาริตายืนส่งเพื่อนจนลับสายตา หันกลับมา แมวเหมียวตัวน้อยที่เดินวนเวียนไม่ไกลจากประตูปรากฏเงาดำสูงใหญ่ขึ้น หญิงสาวมองด้วยความสงบ เงาใหญ่นั้นออกมาจากเจ้าเหมียวถึกที่บัดนี้นอนกระดิกหาง หลับตาพริ้ม

สิ่งนั้นแฝงอยู่ในตัวแมวอย่างนั้นเหรอ ปาริตาย่อตัวลงขึ้นอุ้มเจ้าแมวน้อยเพื่อเอาไปดูแลชั่วคราว ในใจคิดว่าเธอจะต้องไปทำบุญ เพื่อให้บุญเหล่านั้นคุ้มครองสมิตานันให้กลับมาอย่างปลอดภัย จากทุกสิ่งทุกอย่าง...เธอเชื่อว่าสมิตานันจะกลับมาอย่างปลอดภัย


กำหนดการถ่ายคือพรุ่งนี้ เพราะต้องออกเดินเท้าอีกเล็กพอประมาณถึงจะพบสถานที่ที่ถูกค้นพบ บังกะโลของครอบครัวนิมมานเป็นบ้านขนาดกลาง พอที่จะให้กองถ่ายเข้าพักได้หมด ทุกคนพร้อมใจกันมาประชุมงานกลางบ้านถึงแม้เวลานี้จะดึกสงัดแค่ไหนก็ตาม

รวมทั้งคนคิดอะไรแผลงๆ อย่างบูรณ์ ก็เล่นให้ทุกคนเตรียมตัวไม่ได้นอน

“ตรงนี้ก็ไม่ได้ไกลจากจุดนั้นมากว่าไหม...เรามาถ่ายคร่าวๆ กันสักหน่อยดีกว่า”

สมิตานันในชุดทะมัดทะแมงยังไม่ทันเปลี่ยนชุดทำหน้าเมื่อย ถ่ายคร่าวๆ ของบูรณ์จะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่ให้เธอหาเรื่องกับสิ่งที่ตามองไม่เห็น

อยากให้เจอแบบที่เธอเจอจริงๆ จะได้เลิกท้าทาย...หญิงสาวขมุบขมิบปากบ่น มองทีมงานที่เริ่มแบกกล้อง จอมอนิเตอร์ไปตั้งที่ลานกว้างข้างนอก

“พี่เพิ่งเห็นว่าตี้สวมพระ” บูรณ์สำรวจความเรียบร้อยของลูกน้องสาว หัวคิ้วชนเข้าหากัน เมื่อมองพระองค์เล็กอัดกรอบตรงคอ “ถอดออกได้ไหม เผื่อจะได้เจอ ได้เห็นของดีๆ”

“ไม่มากไปหรือไงบูรณ์” กมลที่กำลังแต่งหน้าให้สมิตานันแหวลั่น ขนาดสวมพระยังเจอโหดๆ ที่ทะเลมาแล้ว นี่ยังคิดจะให้ถอดพระออก ไม่เท่ากับยิ่งทำร้ายหญิงสาวตรงหน้าเธอเหรอ “ตี้ไม่ต้องถอด เชื่อเจ๊ ถ้ามันจะเจอก็ต้องเจอ แต่เราใส่ไว้เถอะ ให้คนแถวนี้เจอแทน เห็นทำเป็นกล้า เห็นวิ่งหางจุกตูดคนแรกตลอด”

คนสวมพระนิ่งคิดชั่วครู่ ความอยากรู้ อยากเห็นในอดีต ถึงยังไม่ใช่ตัวฐานเมือง แต่ที่นี่ก็น่าจะมีเรื่องราวอยู่ สมิตานันตัดสินใจถอดพระในที่สุด พนมมือไหว้พระ ขออนุญาตถอดออกจากคอ ก่อนฝากไว้ที่กมล และเพียงแค่ถอด เสียงแปลกๆ ก็เริ่มดังอยู่ข้างหู

เสียงพึมพำเหมือนคนนับร้อยนับพันกำลังกระซิบจนหญิงสาวหูอื้อ แต่สติยังพยายามตั้งไว้ให้เต็มร้อย

“ทำอะไรกันน่ะ” นิมมานเดินดุ่มเข้ามาจากบ้านอีกหลัง มองใบหน้าขาวซีดเป็นกระดาษของสมิตานันอย่างหวาดวิตก “ตี้คุณเป็นอะไร” หยุดถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง

สมิตานันไม่ตอบ แต่หลุบตาลงต่ำไม่ยอมมองบุคคลที่ในยามปกติก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเห็นผีอยู่เสมอ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”

นิมมานรั้งต้นแขนเรียวไว้มั่น ดึงมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าที่มีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ปากเม้มแน่น และมือจิกเกร็งทำให้เขาเริ่มรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหญิงสาว ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น

“ไม่เป็นไรแต่หน้าซีด เหงื่อตกแบบนี้น่ะเหรอตี้”

หญิงสาวสะบัดตัวออกอย่างรำคาญ แค่เสียงในหูเธอ กรีดร้องอย่างเจ็บปวด เสียงดาบฟาดฟันกันไปมา ในหัวเธอเหมือนมีใครเอาสงครามมาตั้งรบ...สงคราม รบรากัน

ร่างระหงวิ่งถลาออกมาด้านนอก ภาพมือสนิทที่เธอเคยคิดว่าจะเห็นถูกสุมไฟ เป็นสงครามกองเพลิง ภาพผู้คนล้มตายนอนเกลื่อน ดวงวิญญาณเหล่านั้นยื่นมือออกมาเพื่ออ้อนวอน และจะพูดบางอย่าง สมิตานันมองทุกอย่างนิ่งงัน นึกอยากจะล้มเป็นลม แต่ความเสียหาย และธงสีขาวมีรอยปักเป็นลายดอกไม้สวยจับตากำลังโดนไฟลามเลียทีละนิด

ปากบางเบะออก ปล่อยเสียงสะอื้นไห้ ทรุดนั่งลงกับพื้น พยายามเอื้อมคว้ามือของดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวด จะให้เธอมองเห็นทำไม ในเมื่อเธอช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้

ถ้าตามที่ภูตนิมมานบอกเธอไว้...ที่ที่เกิดสงครามเพลิงแบบนี้ ต้องเป็นบุรเขต ดินแดนบ้านเกิดของสมิตา

นิมมานวิ่งออกมาจากในบ้าน กอดร่างที่กำลังร้องไห้ราวกับสติไม่ได้อยู่ตรงนี้อย่างเป็นห่วง สมิตานันตัวสั่นงันงก ซบหน้าลงบนไหล่ของชายหนุ่ม ภาพผู้หญิงชุดดำยืนประจันหน้ากับเธอในระยะประชิด ดวงตานิ่งมีรอยอำมหิต ผู้หญิงสวยที่เธอพบในฝันมาแล้วครั้งหนึ่ง

ฬาฬี...ใบหน้าเริ่มปริแตกออกอย่างน่าเกลียดน่ากลัว สมิตานันได้แต่หลับตา สะอื้นหนักขึ้น หัวหนักอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก สงครามในลานกว้างที่เธอเห็นเป็นภาพซ้อนทับยังคงดำเนินต่อไป

เสียงสะอื้นเริ่มเบาลง ความอดทนของสมิตานันมาถึงขีดสุด ร่างกายก็เข้าสู่นิทรา นิมมานประคองร่างของหญิงสาวอย่างระวัง เลือดกำเดาไหลออกมาทางจมูกจนหยดลงบนพื้น จู่ๆ ภาพเหตุการณ์รอบด้านที่เป็นสีดำสนิท มีแต่ทีมงานยืนมองอยู่ไม่ไกลลุ้นว่าสมิตานันจะสงบเมื่อไหร่ ถูกเปลี่ยนเป็นไฟสงคราม

นิมมานโอบร่างที่สลบไปขึ้นแนบอก พยายามคิดว่ามันเป็นภาพไม่จริง ตั้งแต่เด็กเขามักพบเจอเรื่องประหลาดมาตลอด จนเกือบเป็นบ้า โชคดีที่ที่บ้านให้เขาไปฝึกจิตอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อ...ลูกชายเจ้าของห้างใหญ่ตั้งสติ สวดมนต์ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลอย่างใจเย็น พนมมือสมิตานัน ประคองกุมไว้ ให้เหมือนสวดมนต์ไปพร้อมกันๆ ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ

ดวงตาคู่หนึ่งจ้องเขาไม่วางตา นิมมานเงยขึ้นมองก็พบว่าเป็นหนึ่งในดวงตาของทีมงาน ดวงตาสีดำลึกล้ำยิ้มมุมปาก ลดมือที่พนมเช่นกันลงมา ความมีอำนาจในร่างของพุทธาเขารู้สึกว่าไม่ธรรมดาเลย

“น้องตี้เป็นอะไรคะคุณปอม” กมลถือยาดมติดมือ สีหน้าดูหวาดกลัวกับอาการของสมิตานันที่นับวันทุกครั้งที่จัดรายการจะมีอะไรแปลกๆ หลุดมาให้เห็นเสมอ

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ช้อนร่างเบาหวิวขึ้นอุ้ม ส่งสายตาขุ่นขวางไปทางทีมงานที่อยู่หน้าจอมอนิเตอร์ด้วยความไม่พอใจ “ถ้าตี้เป็นอะไร ผมจะทำให้รายการพวกคุณหายไปจากผังช่องแน่”

บูรณ์ย่นปากขัดใจ พอลับหลังพุทธาที่เข้าบังกะโลปิดท้ายขบวนนั้น ก็รีบกรอเทปบันทึกภาพทันที ภาพผู้หญิงสวย แต่ดวงตาแดงก่ำจ้องตอบกลับมาวาวโรจน์ ก่อนที่ภาพในจอจะขาวโพลน และดับสนิท

“เฮ่ย เป็นงี้ได้ไงวะ” บูรณ์บ่นเสียงดัง ถึงจะหลอนกับบุคคลปริศนาที่เพิ่งโผล่มาเมื่อครู่ แต่งานการของเขาก็สำคัญ

วิชาตากล้องของรายการแบกกล้องกลับมา ทำหน้าเครียด “พี่บูรณ์กล้องเสีย ถ่ายอะไรไม่เห็นเลย เห็นแต่ผู้หญิง”

“อะไรของแกวะ ผู้หญิง”

วิชชี่ สาวสุดห้าวผู้ไม่เคยกลัวอะไรมองกล้องในมือของวิชาบ้างก่อนตกใจร้องกรี๊ด ถอยออกมาหลายก้าว ชี้นิ้วไปยังสิ่งมีชีวิตที่เหมือนจะเป็นคน แต่ไร้ขา ที่สำคัญคือดวงตาแดงก่ำ

ทั้งสามแข้งขาอ่อนแรง ยกมือพนม ผมตั้ง หลับหูหลับตาพูดปากคอสั่น “อย่าทำอะไรลูกช้างเลย ลูกช้างผิดไปแล้ว”

ฬาฬีกราดสายตามองวาวโรจน์ คิดได้เพียงชั่วครู่ ก็พุ่งทะลุเข้าไปในร่างของวิชชี่ หญิงสาวชักกระตุกอย่างแรง ก่อนนิ่งนอนราบไปกับพื้น บูรณ์กับวิชาถอยกรูดหลังชนกัน รู้แน่ว่าเกิดอะไรกับวิชชี่

“ไอ้ชี่ แกอย่าไปยอมนะโว้ย สู้สิ” บูรณ์เตือนเสียงสั่น อดตะโกนลั่นลานนั้นอีกครั้งไม่ไหว “พุท ช่วยพวกกูด้วยโว้ย ไอ้ชี่โดนผีสิง”

เสียงประตูเปิดผ่างออกมา แต่ช้าเกินไป เพราะร่างที่เคยสลบของวิชชี่ลุกขึ้นยืนตาแดงก่ำ ปากเหยียดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “ข้ารักท่านนิมมาน ทำไมท่านไม่เคยช่วยข้า ทำไมต้องให้ท่านนิมมานมาที่นี่ เพื่อจะกลับไป ทำไม!”

วิชชี่เสียงเปลี่ยนกรีดร้องลั่น ลมโยกไหวต้นไม้เอนวูบจนน่าหวาดเสียว ต้นไม้อยู่ใกล้สุดล้มครืนฟาดใส่อุปกรณ์ทำมาหากินของบูรณ์และวิชาพัง และกระทบไปถึงตัวที่นอนกลิ้งจุกอยู่ริมลาน

พุทธาเดินตรงแน่วแน่ พูดเสียงดังฟังชัดให้ฬาฬีในร่างวิชชี่ได้กรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทางด้านความรู้สึกอย่างรุนแรง “เพราะข้าควรได้เกิดเช่นกัน ฬาฬีเจ้าต่างหากที่ทำร้ายพ่อแม่ของข้า เจ้าทำอย่างนี้คิดว่าข้าจะปล่อยวิญญาณร้ายเช่นเจ้าอีกอย่างนั้นเหรอ”

บูรณ์ตะลึงงันกับคำของพุทธา แต่ไม่มีเวลามาใส่ใจ นอกจากพยุงวิชาหลบไปพักในบ้าน สภาพย่ำแย่เต็มที เจอหน้ากมลถึงกับเข่าทรุดน้ำตาร่วง หมดคราบผู้กำกับจอมสั่งทันตา

“ไม่เอาแล้ว ปิดรายการ ไม่มีการถ่ายทำอะไรอีก”


ทุ่งหญ้ากว้าง แสงแดดอ่อน และลมเย็นต้องผิวกายราวกับมันเป็นจริง สมิตานันหยัดกายขึ้นนั่ง มองสภาพแวดล้อมที่กลายเป็นคุ้นตาแต้มยิ้ม

“มันใกล้จบแล้วสมิตา”

ภูตนิมมานยื่นมือมาให้หญิงสาวได้ดึงฉุดกายลุกขึ้น แต่เธอสัมผัสได้เพียงอากาศ และความว่างเปล่า แม้ว่าภาพของเขายังชัดเจน สมิตานันใจหายวาบ กัดริมฝีปากอย่างอดทน

“จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเหรอคะ”

“มนุษย์คนนั้นเป็นข้าไม่ใช่เหรอ”

สมิตานันยั้งปากคำว่าไม่เหมือนกันด้วยรอยยิ้มเศร้า “ฬาฬีคือผู้หญิงชุดดำใช่ไหมคะ ฉันเห็นเขา”

“เขาทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอกสมิตา อย่ากังวลไป ก็แค่วิญญาณที่พาล จะว่าไปนางก็เหมือนข้า ความรักที่ไม่สมหวัง”

สมิตานันส่ายหน้าช้าๆ ทบทวนความรู้สึกวูบหนึ่งที่ได้เห็นดอกไม้ปักสวยงามนั้นบนธงที่ไหม้ในกองเพลิง กับดอกไม้ที่ปักอยู่ตรงชายชุดของนิมมานที่เธอเคยเห็นเมื่อตอนเห็นภาพอดีตครั้งแรก

“สมิตาเคยปักดอกไม้บนชุดของท่านหรือเปล่าคะ”

นิมมานชะงักไปนิด ยกมือไพล่หลังทำหน้าหวนรำลึก ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรักเมื่อหวนนึกถึง...สมิตา เขาหนีความรักของตัวเองไม่เคยพ้น ได้แต่หลอกว่าไม่รักเพื่อให้ตัวเองเข้มแข็ง ไม่ว่านานเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยังรักสมิตาไม่เปลี่ยน

“เคยสิ นางบอกว่าดอกหอมไกลที่นางปัก มีไว้ให้ข้าเพียงคนเดียว ทุกครั้งที่พบหน้านางจะนำดอกหอมไกลมาให้ข้าเสมอ”

สมิตาในชาติปัจจุบันดวงตาเป็นประกายหวาน หัวใจอุ่นวาบกับคำรำลึกนั้น “ท่านเชื่อฉันสิ ว่านางก็รักท่าน ความรักของนางอยู่ในใจท่านอยู่แล้ว”

“ข้ารู้...เป็นข้าที่ปล่อยอดีตไม่ได้สินะ”

“ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ฉันต้องตื่นแล้ว เพื่อช่วยเหลือท่าน ฉันจะมาเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้” ดวงตามุ่งมั่น และริมฝีปากอิ่มสีธรรมชาติมอบรอยยิ้มที่หวานที่สุดมอบให้แด่เขา...น่าเสียดายที่เธอรู้จักเขาช้าเหลือเกิน

“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าช้าหรอกสมิตา...เรารู้จักกันมาพันปี ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า อีกกี่ร้อย กี่พันปี จะเปลี่ยนไปใช้ชื่อไหน สุดท้ายก็จะมีแค่นิมมานและสมิตาเท่านั้น”

คนฟังน้ำตารื้น ความอบอุ่นจากอ้อมกอดเย็นยะเยือกของเขาพานให้ใจเธอสงบ สมิตานันสัมผัสตัวเขาได้ช่วงสัมผัสมือ ลืมตาขึ้นมาเท่านั้น เธอก็พบว่าเธอกำลังอยู่บนหลังของสิ่งมีชีวิต และกำลังเคลื่อนไหว

เสียงลมหายใจหอบกระชั้นของคนแบกบอกให้รู้ว่าเขาวิ่งมาได้พักหนึ่ง สภาพแวดล้อมรอบด้านเป็นป่าไม้ดำมืด และคงจะน่ากลัวกว่านี้ถ้าแสงพระจันทร์เบื้องบนไม่ได้สว่างไสวเต็มดวง

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องวิ่ง” เสี้ยวหนาด้านข้างของนิมมาน บุรุษที่เธอเพิ่งล่ำลาในความฝันทำให้เธอวางใจ

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกที่ในที่สุดสมิตานันก็ฟื้นเสียที “เพื่อนคุณโดนผีเข้าสิง...พุทธา ไม่สิอะไรที่เข้าสิงพุทธากำลังคุมเชิงอยู่ เขาบอกให้ผมวิ่งมาทางนี้ แล้วคุณกับผมที่โดนผีตนนั้นหมายหัวจะปลอดภัย”

ได้ยินว่าทางกองถ่ายเดือดร้อนขนาดนั้น สมิตานันใจหล่นวูบ รู้สึกตัวเองทำคนอื่นเดือดร้อนไปหมด แต่ถ้าพุทธาบอกมาว่าทางนี้จะปลอดภัย เธอก็เชื่อ...ในเมื่อครามเป็นคนบอกเธอไว้ก่อนหน้าเช่นกัน

เธอกำลังไปแก้ไขเรื่องราวทั้งหมด...

“หาดอกหอมไกลนะคุณ” คนไม่มีเวลาคิดกอดคอนิมมานไว้แน่น ก้มหัวหลบกิ่งไม้ และเถาวัลย์ที่ยื่นมา สมิตานันรู้สึกว่าถูกสายตามากกว่าร้อยคู่จับจ้อง

ร่างโปร่งแสงในชุดทหารเกราะเหล็กร่างหนึ่งชี้มือไปยังแยกขวา นำทางเธอกรายๆ “เลี้ยวขวาคุณ”

ตลอดทางดวงวิญญาณที่จดจ้องเธออยู่นั้นค่อยๆ ชี้ทางบอก ไม่มีใครเข้ามาทำร้าย หญิงสาวได้ยินเสียงดวงวิญญาณเหล่านั้นร่ำไห้ แสงสีขาวนวลประหลาดสว่างขึ้นริมธารน้ำ ภาพดอกหอมไกลที่เธอจดจำได้ดีจากรอยปักที่เห็นมาแล้วถึงสองครั้งอยู่ตรงหน้า เป็นบริเวณกว้าง

“ดอกซ่อนกลิ่น” นิมมานกล่าว ยอบตัวลงให้หญิงสาวบนหลังได้ไปยืนบนแปลงดอกไม้ขนาดย่อม ที่เหมือนผุดขึ้นมาแบบเหนือธรรมชาตินี้

“คุณถอยออกไปค่ะ”

“ไม่ได้หรอก” นิมมานกระชับมือนุ่มไว้แน่น “ผมปล่อยให้คุณไปไหนคนเดียวไม่ได้”

เสียงบางอย่างพุ่งเฟี้ยวแหวกอากาศดังเฟี้ยว บางอย่างที่มองไม่เห็น กรีดผิวกายของเธอจนเป็นรอยแผล เลือดหยดรินลงกระทบกลีบสีขาวของดอกหอมไกล ร่างเพรียวระหงถูกรั้งไปกอดไว้แน่น เสียงกรีดร้องบาดลึกของบางสิ่งเสียดแทงใจคนฟังจนทั้งคู่ต้องหลับตาลงแน่น

แรงฉุดรั้งบางอย่างดึงร่างแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าของทั้งคู่ให้สั่นไหว สมิตานันรู้สึกว่าเธอกำลังอยู่ในเครื่องเล่นบางอย่างที่หมุนคว้างจนน่าเวียนหัว พอน้ำในหัวหยุดนิ่ง หญิงสาวรีบผลักนิมมานออก วิ่งไปโก่งคออาเจียนริมต้นไม้ใหญ่

แสงสีทองนวลสาดส่องไปทั่วบริเวณ หญิงสาวหัวเราะหึ ภาพป่ารก มืดทึบมีแต่ลานโล่งๆ กับพื้นหญ้า และสวนดอกไม้นานาพันธุ์

เธอย้อนเวลามาตามที่ครามว่าไว้แล้ว...ที่นี่คือหนึ่งพันปี เวลาของสมิตาใช่ไหม

คนอาการเวียนหัวเดินเป๋กลับมา นั่งยองๆ ข้างกับผู้ชายตัวโตที่กำลังขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย และคำถามของเขาก็ทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมา แม้ไม่ใช่เวลาน่ารื่นรมย์ก็ตาม

“นอกจากเลี้ยงกุมาร...คุณยังเป็นเพื่อนกับโดราเอมอนด้วยเหรอตี้”

“จะบ้าแล้วหรือไงคุณ” หญิงสาวกลั้วหัวเราะ มองฟ้าแจ่มใส อากาศบริสุทธิ์ สูดออกซิเจนเข้าปอด กางแขนออกสุดแขน “ที่นี่อาจจะเป็นบุรเขต หรือไม่ก็สุวรรณศรี แต่จากระยะทาง น่าจะยังอยู่ในบุรเขต...ว่าแต่คุณกลัวหรือเปล่า”

“ขนาดคุณไม่กลัวแล้วผมจะกลัวได้ยังไง...และต่อให้คุณกลัว ผมก็ยิ่งต้องเข้มแข็ง ปกป้องคุณให้ได้ ที่นี่คือวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนสิบเอ็ด สมิตาจะถูกส่งตัวให้นิมมาน”

“หืม...คุณรู้ได้ยังไง”

ชายหนุ่มจับต้นแขนเรียวไว้มั่น บอกชัดถึงความจริง ดวงตาดำขลับตรึงให้เธอต้องมอง และหลบเลี่ยงไปไหนไม่ได้ หัวใจเธอเช่นกัน มันรับฟังเหมือนว่าเธอเห็นภูตนิมมานกำลังพูดอยู่กับเธอ “เพราะผมคือนิมมาน ผู้ชายจากอนาคต และเป็นเนื้อคู่...ของคุณ”

อารมณ์ซึ้งพลันหาย หญิงสาวหัวเราะลั่นไม่มีเกรงใจ น้ำหูน้ำตาจะไหลออกมา “ผู้ชายอะไรขี้ตู่เอาโล่”

“ตลกนักหรือไง” นิมมานย่นจมูกทำหน้าดุ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนเหยียบย่างเท้าลงบนพื้นที่นี้ ข้อมูลมากมายก็ถูกยัดลงในสมอง วันเดือนปี เหตุการณ์สำคัญ ชายหนุ่มนึกเล่นๆ ถ้าหากเด็กโบราณคดีได้ข้อมูลในสมองเขาไปคงเซ่นไหว้เขาร้อยปีร้อยชาติ

“ตลกมากค่ะ”

รอยยิ้มกวนของหญิงสาวถึงมันกวนหัวใจคนดูแต่นิมมานไม่มีเวลาคิดมาก เปลี่ยนมาจับข้อมือเล็กไว้มั่น เห็นรอยแผลบริเวณต้นแขนของเธอรู้สึกเจ็บปวด

“เจ็บตัวยังทำหน้าระรื่น”

“เจ็บกว่านี้ฉันก็เคย” สมิตานันยิ้มไม่ทันหายไปจากใบหน้า ถูกนิมมานฉุดมือไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ บริเวณนี้เหมือนเป็นสวนธรรมชาติ สงบ และติดลำธารมีน้ำไหลผ่าน เสียงเหยียบใบไม้แห้งทำให้ทั้งสองไหวตัวทัน สตรีที่มีพิมพ์หน้าเดียวกับสมิตานันเดินเหม่อลอยในชุดทรงยศผ้าแพรสีชมพูพันกาย ดวงตาสีน้ำตาลสวยมีรอยเศร้าฉายชัด เคร่งคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง

สมิตาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รอไม่นานทหารในชุดเกราะเหล็ก พร้อมอาวุธเดินขบวนเข้ามา “เสลี่ยงพร้อมแล้ว เชิญแม่นางสมิตาเถิด”

นิมมานรู้สึกว่าคนตัวผอมจากยุคเดียวกับเขากำลังเล่นอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวแตะมือเขา เดี๋ยวปล่อย เดี๋ยวแตะ และก็ปล่อยอีก ครั้งสุดท้ายเขาถึงกุมไว้แน่นเอง พอพ้นหลังแม่นางสมิตา นิมมานถามเสียงดุจัด

“เล่นอะไรน่ะตี้”

“ฉันก็แค่สงสัย”

“สงสัยอะไร ไม่ตามเขาไปกันเหรอ”

สมิตานันเม้มปากใช้ความคิด มองมือของนิมมานที่กุมยกขึ้นดูอย่างฉงนสงสัย พูดรำพึงรำพันไม่เข้าใจ “ทำไมพอจับมือคุณ ฉันถึงเห็นตัวเองในอดีต แต่พอปล่อยมือ ฉันกลับไม่เห็นอะไรเลยที่เป็นสมิตา”

“ทีนี้เชื่อหรือยังว่าผมเป็นเนื้อคู่ของคุณ”

สมิตานันเข่นเขี้ยว สะบัดหน้าขณะเดินนำออกไป ในใจตอบคำถามของเขาชัดเจน...ไม่เชื่อเด็ดขาด

..........................................................................
คุณ ใบบัวน่ารัก พากลับมาสู่เริ่มต้นของเรื่องแล้วค่ะจะเป็นไงต้องติดตามตอนต่อไป
คุณ ปอกะเจา แอบเฉลยความสำคัญของครามไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะสังเกตไหม ฮา ครามต้องช่วยคนคู่นี้อยู่แล้วค่ะ มาลุ้นว่าตี้กับปอมจะแก้อดีตทันไหม
คุณ รักเร่ เป็นแผนของครามค่ะ ไว้จะเฉลยเรื่อยๆ ในตัวเรื่องนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน รวมทั้งนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่า




ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ย. 2556, 14:43:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ย. 2556, 14:43:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1621





<< บทที่ 9 : ลมหายใจสุดท้ายของสมิตา   บทที่ 11 : ร่ำลา >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 10 พ.ย. 2556, 23:21:55 น.
หุๆ ในที่สุด นิมมานก็มีร่างคนแล้วว
นั่นสิ จิงๆ ปมเรื่องนี้ไรท์เตอร์เอามาจากกุมารทองของไทย กะโดเรมอนของญี่ปุ่นใช่ป้ะ
ดูสิว่า ผู้ชายทั้งหลายที่รายล้อมหนูตี้ ฮีๆ จะช่วยให้หนูตี้รอดกลับมาได้จิงมั้ยย
จะว่าไป เฮียพุทก็ดูคนดี๊ คนดี มีองค์ เล่นของ ดูเหมาะกะ หมอจิตนะเคอะ 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account