เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 1 บุรุษปริศนา(จบตอน)



“กรี๊ด เตมี!”

“ฮาน่า! เจ้าเป็นอะไร”

“สะ ศพ เตมี มีศพคนอยู่ตรงนั้น!”

ถัดจากปลายเท้าของหญิงสาวไปไม่กี่คืบมีร่างบุรุษไม่ได้สตินอนคว่ำหน้ากับทรายอันร้อนระอุ สภาพโชกเลือดยังไม่อาจบรรยายได้หมดกับสิ่งที่ทั้งคู่เห็น เสื้อที่น่าจะเคยมีสีฟ้าถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงจนกลายเป็นคล้ำ คราบเกรอะกรังและรอยแผลหลายแห่งตามตัวและใบหน้าทำให้เตมีกลืนน้ำลายหันมามองเพื่อนรักอย่างไม่แน่ใจ ในขณะที่ใจนั้นเชื่อเต็มร้อยไปแล้วว่าที่เห็นอยู่นั้นคือร่างไร้วิญญาณ

“เบาๆ สิฮาน่าอย่าทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย เขา เขาอาจแค่หมดสติก็ได้” เตมีก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเช่นกันว่าสิ่งที่เพื่อนคิดจะไม่ผิด

“นอนแน่นิ่งขนาดนั้นทั้งที่ข้าแหกปากเสียงดังขนาดนี้นี่หรือ” ฮาน่าย้อนถามเสียงสูง

คนถูกย้อนหน้าเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมรับความเห็นของหล่อนอยู่ดี

“งั้นก็ทิ้งเอาไว้นี่แหละ” เตมีตัดบททำท่าจะเดินกลับไปทางเดิม

“ไม่ได้นะ ไหน ไหนเจ้าบอกว่าเขาอาจยังไม่ตายไงแล้วจะทิ้งไว้ได้อย่างไรกัน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดู เจ้ายืนรออยู่ตรงนี้แหละ” คนที่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมเมื่อครู่ก้าวฉับๆ ไปยังร่างสูงที่นอนแน่นิ่งอยู่โดยไม่ฟังเสียงห้ามของเตมีแม้แต่น้อย

“เจ้าจะบ้าเหรอ ข้าว่าเราทิ้งเขาไว้ที่นี่ดีกว่า ใครก็ไม่รู้ดีไม่ดีอาจเป็นคนร้ายก็ได้” เตมีฉวยเอาข้อมือเล็กไว้

“แล้วถ้าเกิดเขาแค่หมดสติล่ะ กลางคืนมิโดนสัตว์ร้ายมารุมทึ้งหรือ ชีวิตคนทั้งคนนะ อย่างน้อยหากเขาตายจริงๆ ก็ควรลากร่างเขาไปฝังสิ”

เตมีไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะช่วยเหลือคนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเอาไว้ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ร้ายหรือดี

ตรงกันข้ามกับฮาน่าหญิงสาวถูกปลูกฝังมาให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นและเติบโตมาในครอบครัวที่ให้การรักษาคนเจ็บไข้ย่อมเป็นเรื่องปกติหากเธอลังเลที่จะทิ้งบุรุษแปลกหน้าเอาไว้ตรงนี้ตามคำบอกกล่าวของเพื่อน ผิดกับเตมีแม้จะเป็นถึงลูกหัวหน้าเผ่าเขามองความเสียหายที่จะเกิดกับส่วนรวมเสมอ ซึ่งชายหนุ่มไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน หากก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจเพียงแค่จะไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งกับอะไรที่เสี่ยงนำภัยมาสู่ตัวเองและคนหมู่มากเท่านั้น แน่นอนเขาเห็นว่าบุรุษที่นอนเอาหน้าแนบทรายร้อนระอุนั้นเข้าข่ายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“นี่เจ้าจะช่วยเขาจริงๆ หรือ ข้าไม่เอาด้วยนะ” เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะหันหลังกลับมือเล็กก็รีบคว้าเอาชายเสื้อเขาเอาไว้รั้งให้อยู่เป็นเพื่อนกันพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลที่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องยอมฟัง

“เจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เราต้องช่วยกันสิ ข้าจะพาเขาไปหาท่านตาส่วนเจ้าต้องไปรายงานเรื่องนี้กับท่านหัวหน้าเผ่า เราต้องช่วยชีวิตเขา”

“เจ้ารู้เหรอว่าเขาเป็นใคร เขาอาจเป็นโจรก็ได้ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนน่า...ฮาน่า”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทิ้งเขาให้นอนหมดลมหายใจอยู่ตรงนี้งั้นรึ เจ้าจะทิ้งชีวิตคนๆ หนึ่งทั้งที่เราสามารถช่วยเขาได้งั้นหรือ หากท่านหัวหน้าเผ่า พ่อของเจ้ารู้เรื่องนี้เข้าท่านต้องผิดหวังแน่ที่ลูกชายเป็นคนแล้งน้ำใจ”

“พ่อข้าต้องเข้าใจแน่ๆ ท่านต้องคิดเหมือนข้าคือไม่นำความเดือดร้อนมาสู้เผ่าเรา”

“คำก็เดือดร้อนสองคำก็เดือดร้อน เกิดเขาเป็นเจ้าชายที่ถูกลักพาตัวหรือทำร้ายมา แล้วเกิดเราช่วยเขาเอาไว้ พอหายเขาเกิดอยากตอบแทนให้พื้นที่ทำกินเราขึ้นมาละ”

“เฮอะ เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว”

ใบหน้าชื้นเหงื่อมองค้อนเมื่ออีกฝ่ายมองว่าคำพูดของเธอเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

“หากเจ้าไม่ช่วยเขา...เรื่องที่เจ้าแอบไปทำอะไรลับหลังพ่อของเจ้าได้ถูกเปิดโปงแน่” ฮาน่าเลิกคิ้วอยย่างคนที่ถือไผ่เหนือกว่า โดยไม่สนใจสีหน้าของคนถูกขู่เลยแม้แต่น้อย

“เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ” ใบหน้าเข้มเบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึงว่าจะถูกเพื่อนรักเอาความลับมาขู่

“เจ้าก็รู้ข้าไม่เคยขู่ใคร”

ชายหนุ่มสบถอย่างขัดใจ เขาไม่อยากโดนท่านพ่อบ่นและแน่นอนว่าไม่อยากให้ท่านรู้ด้วยว่าแอบไปทำอะไรเอาไว้ แม้จะอยากขย้ำคออีกฝ่ายแค่ไหน แต่ที่ทำได้มีเพียงการสงสายตาอาฆาตแค้นไปให้และยืนทื่ออยู่ตรงนั้นรอให้เพื่อนทรยศเดินไปดูอาการศพที่นอนแน่นิ่งตรงจุดเกิดเหตุและไม่วายพึมพำเบาๆ แสดงเจตนารมณ์

“หากหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นมาข้าไม่รับผิดชอบหรอกนะ” คนที่มุ่งมั่นกลับไม่สนใจฟัง หญิงสาวค่อยยอบตัวลงนั่งด้วยปลายเท้า ยื่นมือไปแตะชีพจรตรงตำแหน่งคอด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพียงครู่เดียวใบหน้าขาวที่เริ่มแดงเพราะแดดก็หันมาบอกคนที่ยืนรอด้วยความดีใจ

“เขายังไม่ตายนะเตมี เราต้องช่วยเขา มาเร็ว” ปลายนิ้วที่แตะชีพจรเมื่อครู่ยกขึ้นมากวักเรียกเพื่อนเข้ามาหา

“ฮึ้ย!” ชายหนุ่มสบถได้เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องมาร่วมกันหามร่างสะบักสะบอมไปที่กระโจมพยาบาลของเผ่า เตมีจัดการร่างของบุรุษปริศนาให้นอนลงบนเตียงคนไข้ แล้วทิ้งร่างไร้สติเอาไว้กับหญิงสาวหน้าตาระรื่นยินดีปรีดาระหว่างรอท่านหมอมาดูอาการก่อนจะออกไปรายงานให้บิดาซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าทราบเรื่อง

“มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องเอาตัวเองเข้ามาพัวพันเลยแม้แต่น้อย หากฟื้นขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเจ้าเป็นคนร้าย ข้าเอาเจ้าตายแน่” เตมีเข่นเคี้ยวใส่ใบหน้าฟกช้ำที่ยังคงไม่ได้สติ ก่อนจะตวัดสายตาไปยังใบหน้าที่ยิ้มเผล่ให้เขาอย่างอารมณ์เสีย

“ไว้ข้าจะรับผิดชอบเอง” น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวที่จุ่มผ้าสะอาดลงในภาชนะสังกะสีเล็กๆ ทำให้คนที่กำลังก้าวออกจากกระโจมชะงักหันขวับทันที

“เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอฮาน่า” ร่างสูงมองหญิงสาวเหมือนเห็นคนแปลกหน้า

“ก็เจ้าเอาแต่บ่น ข้าเลยจะรับผิดชอบเองยังไงล่ะ หากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วเป็นคนร้ายอย่างที่เจ้าว่าข้าจะรับผิดชอบเอง”

“เจ้าจะรับผิดชอบยังไง” เตมีถามหัวเสีย ไม่เข้าใจว่าเพื่อนของเขาจะออกรับแทนเจ้าคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี้ทำไม

คำถามของเพื่อนรักทำเอาฮาน่าตีหน้ายุ่ง จริงๆ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับผิดชอบด้วยวิธีไหน หากว่าบุรุษแปลกหน้าผู้นี้เกิดเป็นคนร้ายที่หนีการตามล่าหรือหนีความผิดมาก็เท่ากับว่าเธอเป็นคนนำความเดือดร้อนมาสู่เผ่า ชีวิตทั้งชีวิตของเธอไม่รู้จะชดใช้พอหรือไม่ ถึงอย่างนั้นอะไรบางอย่างก็ทำให้เธอทิ้งเขาไว้กลางทะเลทรายไม่ลง

“เจ้ารีบไปตามท่านตาข้าดีกว่า ปล่อยไว้นานเดี๋ยวเขาจะแย่เอา” พอให้คำตอบเพื่อนไม่ได้เธอก็เลือกที่จะตัดบทเปลี่ยนเรื่อง

“เออๆ นี่ถ้าฟารีดารู้ว่าเจ้าเก็บสิ่งมีชีวิตมารักษาอีกนางคงบ่นเจ้าหูชาแน่” เตมียังไม่วายขู่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดกับความคิดที่นำบุรุษร่างยักษ์คนนี้กลับมา



ฮาน่าสาวน้อยวัยยี่สิบหลานสาวของอัลนีดา หมอยาประจำเผ่าเป็นหมอที่ไม่ได้จบการศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จากหมาวิทยาลัยชั้นนำใดๆ หากแต่อาศัยการเรียนรู้สืบต่อกันมาจากอดีต บิดามารดาของฮาน่านั้นได้เสียชีวิตลงจากโรคระบาดเมื่อสิบปีก่อนขณะที่พวกเขากำลังอพยพย้ายถิ่น เธอจึงเติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของท่านตาผู้ทำหน้าที่รักษาคนป่วย จึงไม่แปลกหากเธอจะมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนที่กำลังเดือนร้อน

ดวงตาสีเทาอ่อนพินิศใบหน้าคมสันที่ถูกแดดแผนเผาจนผิวไหม้ของบุรุษแปลกหน้าแล้วได้แต่ย่นจมูกใส่ ความรู้สึกและลางสังหรณ์ที่ว่าเขาจะนำความวุ่นวายและเดือดร้อนมาสู่คนในเผ่าทำให้เธอลังเลกับการที่พาเขามาที่นี่ แต่จะให้เธอเดินหันหลังให้ปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายเธอก็ทำไม่ลง ได้แต่ภาวนาให้ลางสังหรณ์ของตัวเองและความหวาดระแวงของเตมีไม่เป็นความจริง

“ดูๆ ไปเจ้าก็ไม่เห็นเหมือนคนร้ายเลย นี่ทำไมถึงได้ถูกทำร้ายขนาดนี้นะ” เสียงหวานเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางได้คำตอบเดี๋ยวนั้น

“เจ้าพาใครมาน่ะฮาน่า” เสียงกังวานทรงพลังที่หาได้ยากในหมู่ผู้หญิงเอ่ยขึ้นหลังตวัดผ้าม่านกระโจมขึ้นแล้วพบร่างบุรุษปริศนาอยู่บนเตียงขณะที่เพื่อนสาวกำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้

คนถูกถามส่ายหน้าสีหน้าสลดลงเมื่อเห็นสายตาตำหนิแกมระอาของเพื่อนที่เธอรักอีกคนหนึ่ง

“เจ้านี่ มีวันไหนที่จะไม่มีอะไรติดมือกลับบ้านมาบ้าง วันก่อนก็นกปีกหัก นี่เลื่อนขั้นเก็บคนมาเลยหรือ”

“ฟารีดา เจ้าอย่าประชดข้าสิ เจ้าจะให้ข้าทำยังไงเล่าก็เขายังไม่ตายนี่นา” หญิงสาวโอด วางผ้าลงในภาชนะหันมาพูดคุยกับเพื่อนอย่างจริงจัง

“เชื่อสิ ต่อให้เขาตายเจ้าก็คงขุดหลุมฝังศพให้เขาเป็นแน่”

ฮาน่ายิ้มแห้งเมื่อถูกอีกฝ่ายรู้ทัน

“เจ้าก็พูดเกินไป” แย้งเสียงอ่อยจนแทบกระซิบ

ฟารีดาหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนรักอีกคนที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งแม่หมอประจำเผ่าในไม่ช้าเหลือบมองฮาน่าแวบหนึ่งก่อนจะมองข้ามไปสำรวจคนที่หลับใหลทอดยาวไม่ได้สติอยู่บนเตียง

“บาดเจ็บขนาดนี้ ยังหายใจได้อีกนี่นับว่าอึดเกินมนุษย์ปกติจริงๆ แล้วท่านตาของเจ้าไปไหนเสียละ ยังไม่มาดูอาการเขาหรือ” แม่จะรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ฟารีดานับว่าเป็นมีความผู้ใหญ่กว่าเธอนัก จะด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องแบกเอาไว้ตั้งแต่เกิดหรือเพราะนิสัยส่วนตัวที่สุขุม จริงจังของเธอก็ล้วนทำให้คนอย่างฮาน่าไม่กล้าที่จะโวยวายงอแงใส่ได้อย่างที่ทำกับเตมี

“เตมีไปตามแล้วอีกเดี๋ยวคงมา ฟารีดาเจ้ามาดูหน่อยสิ เขาดูเป็นคนที่ไม่เป็นภัยต่อพวกเราหรือเปล่า ข้าสังหรณ์แปลกๆ ว่า เอ่อบางทีเขาจะนำอันตรายมาสู่เรา” สีหน้ากังวลและน้ำเสียงถามจริงจังของหญิงสาวบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

ผู้ที่มีสัมผัสพิเศษที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากตระกูลธิดาพญากรณ์เหลือบมองใบหน้าฟกช้ำอีกครั้งสลับกับใบหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนรักด้วยสายตาที่ไม่มีใครอ่านออก

“ความสามารถของข้ามีขีดจำกัดนะ จะให้เที่ยวดูให้คนนั้นคนนี้คงลำบาก ข้าบอกตอนนี้ไม่ได้หรอก”

“อ้าว ทำไมเล่า นี่ก็เรื่องคอขาดบาดตายนะ”

“ทุกอย่างฟ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ต่อให้ข้าบอกว่าเขาอันตรายก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่มันควรจะเป็น” ฟารีดาจ้องเพื่อนรักตาไม่กะพริบ เธอเห็นความงุนงงสงสัยในแววตาสีเทาของเพื่อนรัก

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรฟารีดา อะไรลิขิตอะไร” ฮาน่าถามด้วยสีหน้างงงวย หลายครั้งที่เธอไม่เข้าใจคำพูดของฟารีดา ครั้งนี้ก็เช่นกันที่คำตอบของเธอทำให้ฮาน่าต้องงุนงง

เพื่อนของเธอช่างเป็นคนมีลับลมคมในเสียจริง

“เอาเป็นว่าเจ้าคอยดูแลเขาให้ดีแล้วกัน การที่เจ้าไปพบเขากลางทะเลทรายร้อนระอุขนาดนั้นในสภาพที่ยังหายใจ ย่อมหมายความว่าเขายังมีโชค”

คำตอบที่ได้รับอดไม่ได้ที่จะทำให้คนใจดีอย่างฮาน่ารำพึงปากยื่น “หวังว่าโชคที่เจ้าพูดถึงจะไม่ใช่ข้าหรอกนะ”

แม้จะแค่เสียงงึมงำแต่คนหูดีอย่างฟารีดาก็ได้บินชัดเต็มสองหู ริมฝีปากบางยิ้มที่มุมปากมองเพื่อนรักด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาเอ่ยเพียงเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคนก่อนจะออกจากกระโจมทิ้งให้เธออยู่ดูแลบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง

“บางทีลางสังหรณ์ของเจ้าก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามนะฮาน่า”



แฮ่ >"< งวดนี้ทิ้งช่วงไปนาน หวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะคะ มาดูซิว่าตอนหน้าพระเอกฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นยังไง จะนำความเดือนร้อนมาสู่เผ่านางเอกอย่างที่กลัวเอาไว้รึเปล่า



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ย. 2556, 18:54:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 พ.ย. 2556, 18:54:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1384





<< บทที่ 1 บุรุษปริศนา   บทที่ 2 ไม่น่าช่วยเจ้าเลยจริงๆ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account