เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 2 ไม่น่าช่วยเจ้าเลยจริงๆ

บทที่ 2 ไม่น่าช่วยเจ้าเลยจริงๆ



ภายในกระโจมฮาน่าเฝ้าดูอัลนีดารักษาอาการของคนที่ยังคงไร้สติด้วยความกังวล หลายครั้งที่เธอละสายตาจากใบหน้าเรียบเฉยแต่คิ้วขมวดมุ่นอยู่ตลอดของผู้เป็นตาไปมองร่างแกร่งที่ยังคงไม่ได้สติ

“ท่านตา เขาจะตายไหม” เธอเอ่ยถามหลังจากที่หมอมือหนึ่งของเผ่าวางอุปกรณ์เย็บแผลลงบนภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว

“ไม่ตายหรอก น่าประหลาดใจถือว่าชายคนนี้ดวงแข็งมาก ร่างกายอึดเกินมนุษย์ปกติ ทั้งที่ร่างกายขาดน้ำมาหลายวัน ยังแผลเหวอะหวะที่อักเสบและเป็นหนอง กระดูกร้าวและหักอยู่หลายจุดแต่ชีพจรยังคงเต้นอยู่แม้จะเบามาก แล้วตอนที่เจ้าพบเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” อัลนีดาหันมาถามหลานสาวคนเดียวเพราะสภาพที่เขาเห็นชายผู้นี้คือสภาพหลังจากที่ฮาน่าช่วยเหลือปฐมพยาบาลไปเบื้องต้นแล้ว

“แย่มากจนหลานคิดว่าเขาตายแล้วเจ้าค่ะท่านตา” หญิงสาวนึกถึงเมื่อครู่ก่อนที่ท่านตาจะเข้ามา เธอทำความสะอาดบาดแผลและช่วยเหลือเขาในเบื้องต้นเท่าที่พอทำได้จากการถ่ายทอดของท่านตามาบ้าง ริมฝีปากแตกระแหงที่ติดกันแตกยับมีเลือดซึมออกมาตลอด บาดแผลที่เต็มไปด้วยเศษทรายและน้ำหนองดูชวนคลื่นไส้อย่างที่หากสาวๆ ได้เห็นต้องเก็บไปฝันสยดสยองเป็นแน่

อัลนีดาพยักหน้ารับรู้ หันไปมองคนเจ็บที่ตอนนี้อยู่ในความดูแลของเขาโดยสมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อเห็นลมหายใจสม่ำเสมอของคนเจ็บก็คลายดูสีหน้าเขาจะดีขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจเดินมานั่งลงตรงหน้าหลานรักเพียงคนเดียวเริ่มพูดคุยอย่างจริงจังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

“ฮาน่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการช่วยเหลือเขาในวันนี้หากเกิดอะไรขึ้นมาในภายภาคหน้า ทุกคนจะโทษว่าเป็นความผิดของเจ้า ตาเป็นคนสอนเจ้าให้รู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่บางครั้งมันก็ต้องมีข้อยกเว้น”

คนถูกอบรมมีสีหน้าสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัด อัลนีดาเองก็ไม่อยากจะต่อว่าซ้ำเติมให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่หากไม่เตือนเอาไว้บ้างวันข้างหน้าฮาน่าอาจจะไปเก็บเอาใครมาอีกก็ได้

“หลานจะให้เขาไปทันทีที่เขาได้สติ”

ดวงตาสีเทามองหน้าคนเจ็บที่มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกจะเห็นด้วยกับผู้เป็นตาด้วยซ้ำเพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงเธอเองก็คงรับผิดชอบไม่ไหว

“หลานขอโทษ ต่อไปหลานจะระวังมากกว่านี้ หลานจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ต่อไปหลานจะเลือกเก็บมาเฉพาะพวกสัตว์แล้วกันนะเจ้าคะ” ฮาน่าเอ่ยอย่างสำนึกผิด

อัลนีดาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมหลานรัก “เอาเถอะ บางทีเราอาจจะกังวลกันเกินไป เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้ตาจะดูแลให้เอง”

หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปพักที่กระโจม แต่เหมือนเธอจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีอะไรที่ไม่ได้บออกท่านตาอีก

“ท่านตา หลานพบนี้ในกระเป๋ากางเกงของเขาด้วย หลานไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเจ้าของมันหรือเปล่า เพราะดูมันน่าจะมีค่ามาก” เธอเดินไปหยิบเอาแหวนเพชรเม็ดเท่าเมล็ดถั่วขึ้นมาส่งให้ผู้เป็นตา

อัลนีดามองแล้วขมวดคิ้วก่อนจะกันไปมองคนเจ็บอีกครั้ง

“ไว้เขาตื่นมาแล้วเจ้าค่อยคืนให้เขาแล้วกัน ส่วนเขาจะได้มาจากไหนคงไม่สำคัญเพราะอย่างไรเราก็ต้องให้เขาออกไปจากที่นี่ทันทีที่เขาได้สติอยู่แล้ว เจ้าไปนอนได้แล้ว”

ฮาน่าย่นจมูกผิดหวังกับท่าทีของตาที่ดูจะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เธอบอกกล่าว หญิงสาวผินหน้าส่งค้อนให้คนที่ไม่ได้สตินึกต่อว่าเขาอยู่ในใจ

หวังว่าเจ้าคงไม่ได้ขโมยใครมาหรอกนะไม่งั้นก็เท่ากับว่าข้าช่วยเหลือโจร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงข้าผสมยาพิษให้เจ้ากินแน่ๆ



สามวันต่อมา

ร่างของบุรุษปริศนาถูกเคลื่อนย้ายมาที่กระโจมที่พักของฮาน่า เนื่องจากกระโจมพยาบาลนั้นจำเป็นต้องใช้ตรวจและรักษาคนไข้ในเผ่าที่มีมาทุกวัน ฉะนั้นการที่จะให้เขานอนอยู่ที่นั่นจนกว่าจะฟื้นย่อมเป็นไปไม่ได้

กระโจมขนาดกลางที่ทำขึ้นสำหรับพักพิงของสองตาหลานแคบลงถนัดตาเมื่อมีร่างสูงใหญ่มานอนเหยียดยาวอยู่บนฟูกของอัลนีดาซึ่งนานๆ จะกลับมาค้างที เพราะส่วนใหญ่ตาของฮาน่ามักจะค้างอยู่ที่กระโจมพยาบาลเสียส่วนใหญ่

ร่างเล็กนั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงคนเจ็บที่ยังคงนอนไม่ได้สติมากว่า 3 วัน ฮาน่าบ่นเช้าบ่นเย็นกับร่างแกร่งที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงหน้า หลายครั้งที่เขาทำท่าเหมือนจะได้สติร้องเรียกหาน้ำ แต่พอได้ในสิ่งที่ต้องการเขาก็หลับไปอีก

“...น น้ำ” ครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วันที่เขาเพ้อหาน้ำ ร่างเล็กที่สัปหงกเด้งตัวขึ้นมาทันทีรีบกุลีกุจอเอาน้ำมาจ่อริมฝีปากแตกยับที่เริ่มตกสะเก็ดดีขึ้นเรื่อยๆ สายตาสำรวจช่วงไหล่กว้างที่ถูกพันด้วยผ้าขาว

ดูเหมือนว่าเลือดจะหยุดซึมออกมาแล้ว ค่อยยังชั่ว

หลังจากให้น้ำแล้วร่างเล็กก็ถอยออกมาเพื่อยืนมองคนเจ็บให้เต็มตาอีกครั้ง บุรุษปริศนาผู้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือร้ายผู้นี้มีหลายอย่างที่ทำให้ฮาน่าสงสัยและแปลกใจ

เขาไปทำอะไรถึงได้ถูกทำร้ายร่างกายหนักขนาดนี้ ดูจากลักษณะบาดแผลไม่ใช่การสั่งสอนแต่ดูเหมือนจะเอาให้ถึงชีวิต เพราะแหวนเพชรเม็ดเป้งนั่นรึเปล่าที่เป็นสาเหตุ

คิ้วเรียวขมวดอย่างคนใช้ความคิด แต่ไม่ว่าจะคาดเดาไปทางไหนก็ล้วนแต่เป็นไปในทางร้ายมากกว่าดีทั้งสิ้น

“โธ่ ไม่น่าพาเจ้ามาด้วยเลย” หญิงสาวพ่นลมออกจาปากอย่างหงุดหงิด เริ่มจะสำนึกถึงโทษของความใจดีเกินเหตุของตนอย่าที่ฟารีดาเคยค่อนแคะเอาไว้

ดวงตาสีเทาเข้มหรี่มองใบหน้าคมที่แม้จะมีรอยฟกช้ำหากก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขามีใบหน้าชวนมองอย่างที่เรียกว่ารูปงามอย่างที่หาไม่ได้ในเผ่าของเธอ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหนาเป็นกระจับ คางเหลี่ยมที่มีรอยแตกยับของแผลที่เริ่มตกสะเก็ด แก้มซีกซ้ายที่บวมนิดๆ ขนาดใบหน้ายังไม่เข้าร่องเข้ารอยเขาก็ยังดูดีกว่าเตมีจอมหลงตัวเองเป็นนักหนา

มิน่า เตมีถึงได้ไม่ชอบหน้าเจ้านัก รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าเมื่อเดาถึงสาเหตุที่เตมีมักมีปฏิกิริยาชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าเจ้าคนแปลกหน้านี่นัก

นอกจากเรื่องหน้าตาที่ดูดีผิดจากคนแถวนี้แล้วอีกข้อที่เธอสงสัยคือเขาเป็นคนชาติใด ดูไม่น่าใช่ชาวยุโรปอย่างฝรั่งตัวโตๆ ที่เธอเคยเห็นเมื่อคนพวกนั้นเดินทางมาถ่ายทำสารคดี แต่กลับมีส่วนคล้ายหนุ่มแถบทะเลทรายอย่างพวกเธอมากว่า จะผิดแผกก็เพียงแค่ร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่งกว่าและผิวสีน้ำตาลเนียนละเอียดชนิดที่ผู้หญิงอย่างเธอยังอาย น่าเสียดายที่เธอยังไม่ทันได้เห็นสีตาของเขา บางทีมันอาจจะเดาได้ง่ายขึ้นเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเขา

“ตื่นเสียทีสิ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน เจ้าจะนอนกินบ้านกินเมืองกะไม่ให้ข้าออกไปทำมาหากินเลยรึไงกัน นี่ได้ยินรึเปล่า” มือเล็กตบลงบนต้นแขนที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสองสามที

ยังคงมีเพียงแค่เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเขาตอบกลับมา เจ้าของมือเล็กถอนหายใจเสียงดัง

“นี่ข้าคิดผิดรึเปล่าที่เก็บเจ้ามาเนี่ย ตัวโตยังกับยักษ์ กลับเอาแต่นอนกินแรง” น้ำเสียงคนเฝ้าดูอาการเริ่มจะหงุดหงิด เขาทำให้เธอเสียเวลามาหลายวัน หากไม่ใช่เพราะท่านตาที่มีงานล้นมือสั่งให้เธอมาคอยดูอาการเขาอย่างใกล้ชิด ป่านนี้เธอคงอยู่ที่แปลงผักแล้ว

“ฮาน่าเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ” เสียงของเตมีดังขึ้นหลังจากที่ม่านกระโจมถูกสะบัดขึ้น ชายหนุ่มเดินขึงขังเข้ามาหาเพื่อนรักที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน

“เจ้าจะเสียงดังทำไม” ดวงตากลมโตขึงใส่อีกฝ่ายตาดุ เตมีเม้มปากขัดใจสายตามองไปที่ร่างไร้สติของบุรุษแปลกหน้าที่เพื่อนเก็บมาเมื่อหลายวันก่อน

“นี่เขายังไม่ฟื้นอีกเหรอ ข้านึกว่าเขาไปจากที่นี่แล้วเสียอีก”

“จะไปได้ยังไงเล่า เขายังไม่ได้สติเลย แล้วเจ้ามาหาข้ามีอะไร”

“ข้าจะออกไปล่าสัตว์ เจ้าจะไปด้วยไหม” ชายหนุ่มยิ้มชวนแววตาระริก

ดวงตากลมโตพราวระยับขึ้นมาอย่างตื่นเต้นแต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าเธอมีหน้าที่ค้างอยู่ดวงตาฉายแววเสียดายขึ้นมาทันที

“ข้าไปไม่ได้”

“เฮ้ ทำไมเจ้าไม่อยากไปรึ เจ้าไม่เคยปฏิเสธคำชวนข้านี่ อะไรกันฮาน่าเพราะเขาหรือ” เตมีถามหันไปมองคนที่ถูกพาดพิงด้วยสีหน้าขัดใจ

“ท่านตาสั่งให้ดูเขาเอาไว้ เจ้าไปชวนฟารีดาสิ” พอเอ่ยถึงเพื่อนอีกคนเตมีย่นจมูกทันทีพร้อมส่งเสียงงึมงำในลำคอ

“นางคงไปหรอก”

“ไปสิ เดี๋ยวข้าชวนให้เอง” หญิงสาวอาสา รู้ดีว่าเตมีนั้นอยากให้มีผู้หญิงร่วมเดินทางไปด้วย เพราะอย่างน้อยในยามที่พวกผู้ชายเกิดบ้าระห่ำขึ้นมายังมีคนคอยเตือนสติ เพราะทุกครั้งที่เธอร่วมคณะไปด้วยเธอมักจะได้ทำหน้าที่คอยขัดและคอยเตือนสติเมื่อพวกผู้ชายเริ่มเกมล่าสัตว์และเริ่มจะเตลิดไปไกลอย่างบ้าระห่ำ

การล่าสัตว์ของเผ่าจะล่าเพื่อเป็นอาหาร ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่หลายครั้งหนุ่มๆ ที่อยู่ในวัยคึกคะนองมักจะพลั้งเผลอ จึงจำเป็นต้องมีคนคอยเตือนและความอ่อนโยนของสตรีคือเครื่องเตือนสติของเพวกเขาได้ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่พวกเขาจะฟัง ในเผ่านั้นมีสตรีไม่กี่คนที่จะหยุดอารมคะนองของพวกเขาได้ซึ่ง 1 ในนั้นก็มีฮาน่าและฟารีดา

“งั้นข้าฝากเจ้าด้วยแล้วกัน” เตมียอมรับข้อเสนออย่างไม่มีอิดออด ก่อนจะเดินออกจากกระโจมไปพร้อมรอยยิ้มที่ไม่มีวันให้ฮาน่าได้เห็น



“ข้าไม่ว่าง” ฟารีดาตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าออกจากตำรา คนถูกปฏิเสธทันทีถึงกับกรอกตาไปมาอย่างจนใจ

“ฟารีดาเจ้าไปแทนข้าหน่อยนะ นะๆ เจ้าว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับเตมีทะเลาะอะไรกัน แต่ยังไงเขาก็เพื่อนเรานะ”

มือบางจับอยู่ที่ขอบหนังสือชะงักกึก ตัดสินใจปิดตำราแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่อ้อนวอนอยู่ตรงหน้า

“ค่าตอบแทน”

ฮาน่าทำหน้าเหลอหลา ไม่แน่ใจว่าเพื่อนพูดอะไร แต่คิดว่าตัวเองไม่น่าจะได้ยินอะไรผิด

ค่าตอบแทนงั้นเหรอ

“เจ้าจะให้อะไรเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของข้า” เมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจฟารีดาจึงรีบให้ความกระจ่าง

“โธ่ ฟารีดา เจ้าก็รู้ข้าไม่มีอะไรมีค่าขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายใจดำกับข้านักนะ” ฮาน่าตัดพ้อปากยื่น

ผู้สืบทอดตำแหน่งแม่หมอประจำเผ่ากระตุกยิ้มมุมปาก เหมือนกะลังสนุกที่ได้เห็นท่าทีของอีกฝ่าย “ใครว่า ตัวเจ้าเองนั่นแหละมีค่ากว่าสิ่งอื่นใด เอาเป็นว่าข้าขอเวลาของเจ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน”

ฮาน่าค้อนปะหลับปะเหลือก ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าจะเอาเวลาของข้าไปทำอะไรล่ะ”

ฟารีดายิ้มอย่างมีเลศนัย สบนัยน์ตาสีเทาที่มองมาอย่างไม่ไว้ใจ “ไว้เมื่อไหร่ที่ข้าต้องการใช้มันข้าจะบอก”

หลังจากตกลงทำพันธะสัญญาซื้อขายเวลากับเพื่อนรักเรียบร้อย หญิงสาวก็กลับเข้ามาที่กระโจม ภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ทำให้เธอเผลอยกมือขึ้นอุดปากด้วยความตกใจ

แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลที่เริ่มตกสะเก็ดขาวลออตาที่ผ้าพันแผลหลุดลุ่ยเพราะน้ำมือเจ้าของเรือนกายแกร่ง ใบหน้าคมแกร่งดุดันเงยขึ้นมาเมื่อได้รับรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในกระโจม

ทั้งสองสบตากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา ฮาน่าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดคำใดออกไป อีกฝ่ายมองดูเธอคล้ายหยั่งเชิง

“เจ้าเป็นคนช่วยข้าเอาไว้รึ” น้ำเสียงแหบต่ำถามโดยไม่ละสายตาไปจากวงหน้าเนียน เขาเห็นผู้หญิงมาก็มาก หากไม่เคยเห็นใครที่มีสีผิวเนียนสีน้ำผึ้งผุดผ่องอย่างเธอสักครั้ง

แน่ล่ะส่วนใหญ่ที่เห็นหากไม่คล้ำอย่างชาวตะวันออกก็ขาวตกกระอย่างสาวฝรั่งผมทอง

ดวงตาสีเทาเข้มที่เบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อมองเห็นเขาทำให้เขาไม่แน่ใจว่าคำถามที่ถามออกไปนั้นเธอฟังเข้าใจหรือไม่

“เจ้ารู้สึกตัวแล้วจริงๆ หรือนี่ แถมยังพูดภาษาเราได้อีกด้วย” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะตอบคำถามเขาก่อน “ใช่ ข้าเป็นคนช่วยเจ้า”

คิ้วที่แตกยับมีรอยเย็บขมวดเข้าหากัน นึกแปลกใจที่หญิงสาวฟังและตอบโต้ภาษาของเขาได้ คิ้วที่ขมวดเลิกขึ้นเหมือนนึกได้ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างรีบร้อน “ที่นี่ที่ไหน”

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมบุรุษแปลกหน้าถึงได้มีอาการแบบนี้ แต่ฮาน่าก็ให้คำตอบแก่เขา แต่พอได้คำตอบสีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปเหมือนกับคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นยังไง สีหน้าดูเครียดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจยาวจนเธออดถามไม่ได้

“ทำไมเจ้าเป็นคนแถวนี้เหรอ หรือเป็นคนของเผ่าเร่รอนในละแวกนี้”

“ข้าชื่อมูซา อายุมากกว่าเจ้า ถึงเจ้าจะเป็นผู้มีพระคุณกับข้าก็ใช่ว่าจะมาจิกเรียกข้าว่าเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ได้นะ” มูซาไม่ตอบคำถามเธอแต่เปลี่ยนเรื่องไปเสียเฉยๆ จะให้ตอบได้อย่างไรว่าอาณาเขตที่เผ่าของเธอตั้งอยู่ตอนนี้มันอยู่ในดินแดนอาณานิคมของอาซาลา

ให้ตายเถอะ อุตส่าห์หนีแทบตายสุดท้ายก็วนกลับมาอยู่ใกล้ท่านพี่อีกจนได้

“เผ่านากาของเราก็เรียกกันอย่างนี้ทั้งนั้น เจ้าเป็นคนนอกกล้าดียังไงมาว่าข้าเนี่ย ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้นะ” หญิงสาวชักโมโห มองคนที่เพิ่งฟื้นมาก็มาทำปากดีพูดจาโอหังราวกับชีวิตนี้ไม่เคยมีใครล่วงเกิน

“พวกเจ้าเป็นชนเร่ร่อน?” แม้จะไม่เคยอายต่อชาติกำเนิดของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของชาวนากาเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่พอบุรุษปริศนาตรงหน้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากลับถามถึงเผ่านากาของเธอด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึงทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าเขาดูถูกเธออย่างที่ชาวเมืองทำ แค่นี้ก็ทำเธอสิ้นความอดทนลงทันที

“ใช่ ทำไม ก็ไม่เพราะชนแร่ร่อนนี่หรือที่ช่วยให้เจ้ามีชีวิตรอดมายืนดูถูกข้าอยู่ตอนนี้ ข้าไม่น่าเสียเวลาลากเจ้ามาที่นี่เลยจริงๆ” ฮาน่าแผดเสียงใส่อีกฝ่ายอย่าหน้ามืดตามัวเพราะความโกรธ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกต่อว่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าอีกฝ่ายโมโหเขาเรื่องอะไร

แต่เสียงแหลมสูงที่รัวใส่เขาไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่เขาทราบว่าตนกำลังอยู่ในเผ่านากา ก็จะไม่ให้เขาสนใจได้อย่างไรในเมื่อเผ่านี้นับเป็นชนเผ่าเร่ร่อนหลักๆ ที่แข็งแกร่งและนับวันจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าการที่เผ่าใหญ่แข็งแกร่งและมีกำลังทหารมากมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเข้ายึดครองหมู่บ้านของประชาชนตามแถวตะเข็บชายแดน

และหากเขาเดาไม่ผิดเผ่าของเธอกำลังคืบคลานเข้าใกล้หมู่บ้านของชาวอาซาลาเข้าไปทุกที

ร่างสูงที่เริ่มมีแรงทรุดนั่งลงบนเตียงอย่างใช้ความคิด หัวสมองที่กำลังตริตรองเรื่องชีวิตผู้คนในชาวอาซาลาและปัญหาที่จะตามมาทำให้มูซาไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงสาวกล่าวอีก

“นี่ นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยใช่ไหม” ฮาน่ามองผู้ชายตรงหน้าที่กำลังตกอยู๋ในห้วงความคิดของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ที่เธอสั่งสอนเขาไปเมื่อครู่ไม่ได้เข้าหูเขาสักนิด ร่างบางหอบหายใจด้วยความโกรธ เดินเข้าไปกระชากเขาลุกขึ้นมาจากที่นอน ด้วยสภาพร่างหายที่ยังไม่แข็งแรงดีนักทำให้ชายหนุ่มผวาตามแรงกระชากของร่างบาง ขณะเดียวกันฮาน่าก็ไม่คิดว่าร่างใหญ่โตของเขาจะติดมือเธอมาอย่างง่ายดายจึงไม่ได้คำนวณแรงเผื่อเอาไว้ทำให้เธอเสียหลักหงายหลังล้มลงไปบนพื้นพรมดีที่ได้ท่อนแขนของชายหนุ่มช่วยรองศีรษะเธอเอาไว้หัวจึงไม่กระแทกพื้น เสียงร้องโอดโอยของคนใต้ร่างดังขึ้น ในขณะที่มูซาทำเพียงนิ่วหน้าจากผลกระทบที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้หญิงอารมณ์ร้อน

“กรี๊ด พวกเจ้าทำอะไรกัน” เสียงหวีดร้องแหลมสูงคุ้นหูของคนๆ หนึ่งดังขึ้น เสียงที่ฮาน่าไม่อยากได้ยินที่สุดในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้

“เจ้ารีบลุกออกไปสิ ตัวหนักยังกับยักษ์ ข้าจะแบนแล้วไม่เห็นรึไง” ไม่ทันที่เธอจะผลักร่างยักษ์ของมูซาออกเสียงแปดหลอดของเจ้าของฉายา “ศูนย์กระจายข่าว” ก็เรียกแขกเข้ามามุงดูเธอและเขาในกระโจมได้ในระยะเวลาเพียงอึดใจเดียว

เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของอัลนีดาและบาบาลีหัวหน้าเผ่านากา

“ท่านตา!” คราวนี้ไม่ต้องรอให้ใครช่วยเธอก็สามารถผลักร่างยักษ์ของเขาออกจากร่างเธอได้ราวกับติดสปริง

อัลนีดาหันไปมองไปมองผู้นำเผ่าอย่างบาบาลีอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

บาบาลีในฐานะผู้นำเผ่าหันไปมองบุรุษที่นั่งตัวงออยู่ข้างกระโจมแวบหนึ่งสบตากับดวงตาตื่นๆ ของฮาน่าก่อนจะกระแอมไอสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง หลังจากกันทุกคนออกไปได้จนหมดให้เหลือเพียงเขา อัลนีดา ฮาน่าและชายปริศนา บาบาลีก็เข้าเรื่องทันทีแม้ลึกๆ จะลำบากใจและรู้ว่ามันอาจทำให้หลานสาวเพียงคนเดียวของพ่อหมอประจำเผ่าต่อต้านด้วยนิสัยไม่ยอมใครของฮาน่า แต่ในเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดดังเช่นเหตุการณ์เมื่อครู่ ในฐานะผู้ใหญ่และผู้นำเผ่าเขาจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตรงนี้เพื่อชื่อเสียงของฮาน่าเอง



+++กลับมาคราวนี้เพื่อมาทวงความฝันคืนน ฮาาาาาา หายไปนานเค้ากลับมาแย้วน้า^^" ตอนนี้ที่เพจของสนพ.กรีนมายด์มีเกมแจกของขวัญปีใหม่ให้กับผู้อ่านด้วยนะคะ ยังไงลองแวะเข้าเพจ สนพ.กรีนมายด์กันดูนะคะ ^^



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2556, 21:59:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2556, 22:10:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1298





<< บทที่ 1 บุรุษปริศนา(จบตอน)   บทที่ 3 เจ้าเป็นใครกันแน่ 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account