♥ ♥ ♥ หัวใจร้อยดาว [ชุด ทางลัดสลัดโสด สนพ.อรุณ] ♥ ♥ ♥
อะไรนะ! ถ้าไม่แต่งงานภายในเก้าสิบวัน
เธอต้องขึ้นคานไปตลอดชีวิตเหรอ บ้าไปแล้ว!
ดอกเตอร์ โมนา วิมาลิน อยากอุทานเป็นภาษาต่างดาวชะมัด
แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เชื่อเรื่องงมงาย
แต่รุ่นพี่ที่เจออาถรรพ์ก็ขึ้นคานกันไปแล้วถ้วนหน้า
เธอจะเสี่ยงเป็นคนต่อไปจริงเหรอ...
นับว่าพระเจ้ายังไม่ใจร้ายจนเกินไป
เพราะท่านส่ง ชัชวิน มาจีบเธออย่างออกนอกหน้า
ตามมาด้วย เมอร์ซิเออร์ โนแอล เดอแบร์มองต์ สุดหล่อ
แถมยังมี เอกชัย เทรนเนอร์หล่อล่ำ
กับ กฤต นักดนตรี อารมณ์ศิลป์มาให้เลือกพร้อมเพรียง
โมนาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
เพราะระหว่างหาทางลงจากคาน
เธอกลับต้องเผชิญปัญหาเรื่องการงานหนักหน่วง
ในท่ามกลางมรสุมที่พัดจนเธอซวนเซ
โมนาจึงได้เห็นความรักของใครบางคน...ชัดเจนขึ้นในหัวใจ
อยากรู้ก็แต่ว่า...อีกฝ่ายจะรักเธอมากพอ
และชวนเธอลงจากคานทันเวลาไหมหนอ
♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥
เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต
หากฝ่าฝืน สิริณ(แม่มณี) จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น
ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ(แม่มณี) มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥
เตรียมยิ้มและหัวเราะไปกับ ดอกเตอร์สาวตัวกลม ที่จะทำให้คุณเข้าใจนิยามของความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง
หัวใจร้อยดาว - เจ้าสาวร้อยชั่ง ในชุดทางลัดสลัดโสด
เขียนโดย สิริณ - ดวงมาลย์
จ่อคิววางแผงต่อจาก ใต้ปีกรักสีเพลิง เลยค่ะ
เชิญติชมกันได้เต็มที่เช่นเคย
ชวนเพื่อนๆนักอ่านไปกดไล้ค์แฟนเพจของสิริณกันด้วย
ตรงนั้นจะมีกิจกรรมร่วมสนุก แจกของที่ระลึกกันเป็นระยะ
(แน่นอนว่าของที่สิริณมีมากที่สุดคือ 'หนังสือ' :D )
ไปกดไล้ค์กันเยอะๆนะคะ
www.facebook.com/SirinFC
เธอต้องขึ้นคานไปตลอดชีวิตเหรอ บ้าไปแล้ว!
ดอกเตอร์ โมนา วิมาลิน อยากอุทานเป็นภาษาต่างดาวชะมัด
แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เชื่อเรื่องงมงาย
แต่รุ่นพี่ที่เจออาถรรพ์ก็ขึ้นคานกันไปแล้วถ้วนหน้า
เธอจะเสี่ยงเป็นคนต่อไปจริงเหรอ...
นับว่าพระเจ้ายังไม่ใจร้ายจนเกินไป
เพราะท่านส่ง ชัชวิน มาจีบเธออย่างออกนอกหน้า
ตามมาด้วย เมอร์ซิเออร์ โนแอล เดอแบร์มองต์ สุดหล่อ
แถมยังมี เอกชัย เทรนเนอร์หล่อล่ำ
กับ กฤต นักดนตรี อารมณ์ศิลป์มาให้เลือกพร้อมเพรียง
โมนาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
เพราะระหว่างหาทางลงจากคาน
เธอกลับต้องเผชิญปัญหาเรื่องการงานหนักหน่วง
ในท่ามกลางมรสุมที่พัดจนเธอซวนเซ
โมนาจึงได้เห็นความรักของใครบางคน...ชัดเจนขึ้นในหัวใจ
อยากรู้ก็แต่ว่า...อีกฝ่ายจะรักเธอมากพอ
และชวนเธอลงจากคานทันเวลาไหมหนอ
♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥
เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต
หากฝ่าฝืน สิริณ(แม่มณี) จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น
ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ(แม่มณี) มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥
เตรียมยิ้มและหัวเราะไปกับ ดอกเตอร์สาวตัวกลม ที่จะทำให้คุณเข้าใจนิยามของความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง
หัวใจร้อยดาว - เจ้าสาวร้อยชั่ง ในชุดทางลัดสลัดโสด
เขียนโดย สิริณ - ดวงมาลย์
จ่อคิววางแผงต่อจาก ใต้ปีกรักสีเพลิง เลยค่ะ
เชิญติชมกันได้เต็มที่เช่นเคย
ชวนเพื่อนๆนักอ่านไปกดไล้ค์แฟนเพจของสิริณกันด้วย
ตรงนั้นจะมีกิจกรรมร่วมสนุก แจกของที่ระลึกกันเป็นระยะ
(แน่นอนว่าของที่สิริณมีมากที่สุดคือ 'หนังสือ' :D )
ไปกดไล้ค์กันเยอะๆนะคะ
www.facebook.com/SirinFC
Tags: โนแอล โมนา ขิมคราม รอยตะวัน สลัดโสด
ตอน: ตอนที่ ๑๒
หลังจากสมัครเรียนเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว วันเสาร์ถัดมาก็สามารถเริ่มเรียนทำอาหารได้เลย ครั้งแรกที่ต้องหัดจับตะหลิว โนแอลอาสามาส่งเธอถึงหน้าโรงเรียน โดยจะไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆระหว่างโมนาอยู่ในชั้นเรียน และวกกลับมารับเธอพร้อมอาหารที่ประกอบในชั้น กลับบ้านตอนเลิกเรียนอีกที
แม้จะเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนตามลำพัง แต่โมนาก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตลอด เธอถนัดโทร.สั่งอาหารมารับประทานที่บ้านมากกว่า เรียกว่าบอกชื่อภัตตาคารมา โมนาไล่เมนูให้ฟังได้เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน จึงไม่แปลกที่คนใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศจะลืมห่วงสุขภาพจนปล่อยให้ตัวเองมีไขมันสะสมเช่นนี้ เพราะที่ที่เธอไปศึกษาจนหอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกลับมาด้วย คือประเทศซึ่งมีคนน้ำหนักเกินมากเป็นอันดับแรกของโลกทีเดียว!
การเข้าครัวที่โมนาทำเป็นมีแค่สองวิธี คือฉีกซองแล้วเทน้ำร้อน กับฉีกซองแล้วนำเข้าไมโครเวฟ! ชุดครัวราคาหลายแสนที่คอนโดเพิ่งได้ทำงานแลกค่าตัวก็ตอนที่มีโนแอลมาเช่าห้องอยู่ด้วย เพราะก่อนหน้านี้มันมีไว้สำหรับถ่ายรูปอัพเฟซบุ๊ก ต้มน้ำร้อน ชงกาแฟ หรือไม่ก็ล้างจานเท่านั้น!
การเข้าห้องเรียนทำกับข้าวในวันนี้จึงน่ากลัวสำหรับโมนาอย่างยิ่ง และความกลัวของเธอก็แสดงออกมาในกิริยาและท่าทางชัดเจน เพราะชายหนุ่มซึ่งบังเอิญใช้สถานีทำกับข้าวข้างเธอเอียงตัวมาให้กำลังใจด้วยการบอก
“วันแรกที่มาเรียน ผมก็เป็นอย่างคุณนี่แหละ คือกลัวไปหมด แต่พอหนที่สอง มันก็ไม่น่ากลัวแล้ว เคล็ดลับของผมก็คือทำทุกอย่างให้เบามือครับ แล้วน้ำมันจะไม่กระเด็นใส่คุณ น้ำเดือดจะไม่กระฉอกใส่หน้า ผมรับประกัน”
โมนายิ้มรับคำแนะนำด้วยสีหน้าโล่งอก “คุณพูดจริงนะคะ”
“จริงครับ มีอะไรถามผมได้ ยินดีช่วยเท่าที่ช่วยได้ครับ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” โมนาหน้าชื่น และรอยยิ้มนั้นคงอยู่บนใบหน้าตลอดอีกหลายชั่วโมงถัดมา
เพียงหมดคาบเรียนครึ่งวันเช้า นอกจากโมนาจะพูดคุยกับเพื่อนใหม่สนิทสนมถึงขั้นเรียกชื่อแทนตัวกันแล้ว นักเรียนทุกคนก็ได้ยำสามกรอบคนละจานเพื่อนำมารับประทานกับข้าวสวยเป็นมื้อกลางวัน โมนานั่งมองจานกับข้าวตรงหน้าด้วยความชื่นชม ทั้งยังถ่ายรูปไว้ทุกมุมมองด้วยความเห่อ
“นอกจากต้มมาม่าแล้ว นี่เป็นอาหารจานแรกที่โมทำเลยนะเนี่ย” โมนาตักปลากรอบเคลือบน้ำยำรสเข้มข้นชิม “แถมยังทำอร่อยด้วย โอ๊ย! มีความสุขจัง” เธอใช้ช้อนชี้จานยำของอีกฝ่าย “ขอชิมยำของคุณกฤตบ้างได้ไหมคะ”
“เชิญเลยครับ ตามสบาย ชิมแล้วติชมด้วยนะ” ชายหนุ่มรีบเลื่อนจานมาตรงหน้าเธอ
โมนาตักอาหารใส่ปากแล้วตาโต “พอชิมฝีมือคุณกฤตแล้ว โมว่ายำของตัวเองหวานไปหน่อยแฮะ ของคุณกฤตเปรี้ยวดี อร่อยกว่าของโมอีก”
กฤตยิ้มกว้าง ยกจานกับข้าวสลับกับของโมนา “งั้นแลกกันครับ”
“คุณกฤต! จะดีหรือคะ”
“ดีสิครับ ถ้าคุณโมไม่ถือนะ”
“โอ๊ย! ไม่ถือค่ะ ไม่ถือเด็ดขาดเลย แต่สงสารว่าคุณกฤตต้องกินของไม่อร่อยน่ะสิคะ”
ชายหนุ่มตักยำฝีมือโมนาไปชิม “ใครว่าไม่อร่อยครับ นี่ก็ใช้ได้แล้วนะ หวานนำน่ะดีเลย ผมชอบทานหวาน”
“จริงนะคะ ไม่ได้พูดเพราะเกรงใจโม หรือกลัวโมเสียกำลังใจแน่นะคะ”
“แน่สิครับ ผมต้องถือเป็นเกียรติมากกว่าที่ได้กินอาหารจานแรกในชีวิตที่คุณโมทำ”
รอยยิ้มอบอุ่นของผู้ชายตรงหน้าทำให้โมนารีบก้มลงซ่อนยิ้ม เริ่มนึกขอบใจโนแอลอยู่เงียบๆที่เขาบังคับให้เธอเรียนทำอาหาร มันไม่เลวร้ายอย่างที่กลัวไปล่วงหน้าจริงๆด้วย!
โนแอล เดอแบร์มองต์ ไม่ได้ไปห้างตามที่บอกหญิงสาว แต่เขาไปยังสำนักงานของลียอง ใช้กุญแจสำรองที่แอบทำไว้ล่วงหน้าไขเข้าไปห้องทำงานของเธอ และก็เป็นดังคาด เอกสารที่เขาสงสัย เมื่อมาหยิบแฟ้มหมายเลขเดียวกันที่ห้องโมนาตรวจสอบ ก็พบว่าเนื้อหา ‘ไม่ตรง’ กับสำเนาที่โต๊ะเขาสักฉบับ!
ชายหนุ่มสวมถุงมือยางถ่ายรูปเอกสารเก็บไว้ โดยวางกระดาษเขียนรหัสของแต่ละแฟ้มแนบไว้ด้วย เพื่อใช้เทียบกับตัวจริงที่อยู่กับเขา โนแอลจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่าจำนวนเงินทั้งหมดที่ถูกเปลี่ยนมือออกจากบริษัทไปสู่กระเป๋าโมนาและพวกพ้อง รวมเป็นมูลค่าทั้งหมดเท่าไร หลักล้าน สิบล้าน หรือมากกว่านั้น!
หลักฐานที่ยังอุ่นอยู่ในกล้องโทรศัพท์มือถือ ทำให้เขาวางหน้าไม่สนิทนักเมื่อกลับมาสมทบกับหญิงสาว ได้แต่ปั้นยิ้มไว้รอรับ ทั้งหือและอือไปตามเรื่องตามราวจนกลับถึงคอนโด เพียงไขกุญแจห้องผลักประตูเปิดออก โมนาถอดรองเท้าเสร็จก็โผไปทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่โซฟา บ่นโอดโอย
“ไม่อยากไปเรียนแล้ว เมื่อยไปหมดเลย คุณรู้ไหมว่าตอนทอดไอ้ของกรอบๆที่จะเอามายำ ฉันกลัวโดนน้ำมันกระเด็นจนแทบไม่กล้าหายใจเลย คุณกฤตก็ย้ำอยู่นั่นแหละว่าให้หย่อนของลงกระทะเบาๆ น้ำมันจะได้ไม่กระฉอกมาโดนตัว ปลาหมึกบ้านั่นก็อะไรไม่รู้ พอลงกระทะเท่านั้นแหละ ทำเสียงฟู่จนฉันเกือบหัวใจวาย จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ คุณกฤตยืนขนาบถือตะหลิวคุมเข้มเลย”
เขาหยิบรองเท้าของโมนาเรียงใส่ตู้ แล้วจึงเดินไปทยอยเปิดเครื่องปรับอากาศ ขณะหูฟังสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องรำพันผ่านๆ ไม่ได้สนใจจับใจความเลยแม้แต่น้อย
“คุณไม่สบายหรือเปล่า” จู่ๆคนที่จ้อมาตลอดทางก็ถามขึ้น ทั้งยังเอื้อมมาดึงข้อมือให้เขาไปนั่งข้างๆอีกด้วย
“ไม่นี่ ผมสบายดี ทำไมถามอย่างนั้น”
“ก็...” เธอบุ้ยปากไปทางหน้าห้อง “ปกติถ้าฉันถอดรองเท้าแล้วไม่เก็บเข้าตู้ คุณจะต้องบ่นๆๆ แล้วก็บังคับให้ฉันไปเก็บเองนี่นา วันนี้คุณเก็บรองเท้าให้ฉัน แถมยังไม่บ่นสักคำ มันผิดปกติมากนะ”
นั่นละ...โนแอลจึงได้สติ เขาควรทำตัวให้เหมือนเดิม อย่ามีพิรุธให้เธอเอะใจเด็ดขาดว่าเขาระแคะระคายเรื่องการทุจริต ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้แฉเธอพร้อมหลักฐาน โมนาอาจระวังตัวมากขึ้นและทำให้เขาขุดคุ้ยยากยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มฝืนยิ้ม “ก็เพราะรู้น่ะสิว่าบ่นไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า สู้เก็บๆไปให้หมดเรื่องหมดราวเลยดีกว่า”
“โดนทักว่าป่วยนิดเดียว ต้องรีบโชว์พาว กลับมาแรงม้าดีฝีปากกล้าอย่างเดิมเชียวนะ แล้ววันนี้ไม่เปิดเพลงเรอะ แปลกชะมัด” โมนาตวัดค้อน ชี้ไปที่เครื่องเสียงด้วยความสงสัย เพราะทุกวันเวลากลับถึงห้อง เขามักจะเปิดเพลงฝรั่งเศสคลอไว้ตลอด จากแรกๆที่รำคาญและหนวกหู ตอนนี้เธอกลับชินและเริ่มชอบขึ้นมานิดๆแทน
ชายหนุ่มลุกขึ้นกดเปิดเครื่องเสียงให้เล่นเพลงจากแผ่นที่ค้างอยู่ในเครื่อง เพียงเสียงดนตรีดังขึ้น เขาก็ชะงัก เพลงซึ่งเคยฟังรื่นหูอยู่ทุกวัน มาวันนี้กลับ...ขัดกับความรู้สึกของเขาอย่างประหลาด...
C'est si bon
ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดี
De partir n'importe o?
ที่ได้ไปไหนต่อไหน
Bras dessus bras dessous
มือจูงมือกันไว้
En chantant des chansons[1]
ขับขานบทเพลงมากมาย
โนแอลปัดความรู้สึกที่รบกวนใจออก ฝืนยิ้มหันกลับมาใช้โหมดช่างแหย่เย้าตามคิวอย่างแนบเนียน “ไหนเอาอาหารที่คุณทำในห้องเรียนมาให้ชิมหน่อยซิ อยากรู้จริงๆเลยว่ารสชาติจะแย่ขนาดไหน”
แม่ครัวมือใหม่ที่เมื่อครู่ทำท่าจะนอนแผ่หลาหมดเรี่ยวแรง กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าภาคภูมิตื่นเต้น “งั้นเดี๋ยวฉันไปอุ่นให้คุณชิมเลยนะ”
“เอาสิ กินเลยก็ดีเหมือนกัน”
โมนาไม่ฟังเขาพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ แต่รีบกุลีกุจอถือถุงกับข้าวรี่เข้าครัวไปทันที เธอพูดแจ้วๆขณะมือตั้งใจกับงานตรงหน้า “ฉันได้ยินชื่อข้าวยำปักษ์ใต้มาตั้งนานแล้ว วันนี้ไม่ใช่แค่ได้เห็นครั้งแรกนะ แต่ได้ทำด้วย มันก็ทำไม่ยากนะ แค่ต้องเตรียมเครื่องเยอะแยะไปหมด อ้อ...ส่วนที่ยากที่สุดก็คือนี่ละ...น้ำข้าวยำ” เธอเงยขึ้นมา “ฝรั่งอย่างคุณจะกินได้ไหมเนี่ย บางคนก็บอกว่ามันเหม็น แต่ฉันลองดมดูตอนอยู่ในห้องเรียน มันก็หอมดีนะ”
คนไม่ค่อยมีความเป็นแม่บ้านนำข้าวสวยที่หุงด้วยน้ำอัญชัญเทผสมกับเครื่องปรุงในชามโคมใบใหญ่ แล้วเคล้าให้เข้ากัน แม้จะเป็นงานง่ายๆ แต่ท่าทางของเธอก็เก้งก้างทำส่วนผสมกระเด็นจนรอบๆโต๊ะเลอะเทอะไปหมด
โนแอลอดทนมองไม่ไหว จึงลุกขึ้นไปสมทบที่ครัว แล้วดึงชามโคมในมือเธอมาถือไว้แทน อีกมือก็แย่งช้อนไม้มาด้วย “คลุกเบาๆสิ ขืนรุนแรงอย่างนี้ เดี๋ยวผักก็ช้ำหมดหรอก โอ้โห...หั่นผักใหญ่เบ้อเริ่มเลย ยังต้องฝึกอีกเยอะนะเนี่ย อ้าว! แล้วคุณไม่ใส่พริกมะนาวเหรอ” เขาชี้มะนาวซีกและพริกป่นในถุงพลาสติกที่ยังไม่มีร่องรอยถูกแตะต้อง
“แบ่งขึ้นมาให้ฉันก่อนสิ ขืนใส่พริกเลย คุณก็ทำเผ็ดเกิน ฉันกินไม่ได้กันพอดี” แม่ครัวมือใหม่โวย
โนแอลจึงเดินไปหยิบจานมาตักข้าวยำออกบางส่วน พลางออกคำสั่ง “ตอนดูตารางเรียน เห็นบอกว่าวันนี้จะต้องหัดทำยำสามกรอบกับแกงเขียวหวานไก่ด้วยนี่ คุณไปเทใส่ชามแล้วอุ่นสิ”
“แกงน่ะอุ่นได้ แต่...ยำน่ะ ฉันกินหมดแล้ว”
“อาหารจานแรกในชีวิตที่ทำเองเป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” ชายหนุ่มวางมือซึ่งกำลังทำงานง่วน เงยขึ้นรอฟังคำตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
“ฉันเติมน้ำตาลมากไปหน่อย มันเลยหวานไปนิด คุณกฤตชอบรสหวาน เราก็เลยเอายำมาแลกกันแทน”
โนแอลไม่รู้ตัวสักนิดว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเลือนไปตั้งแต่เมื่อไร และเพราะเหตุใดกันแน่ ระหว่างการได้รู้ว่าผู้ชายคนอื่นได้ชิมอาหารจานแรกที่เธอทำ หรือตรงที่ได้ยินเธอพูดชื่อผู้ชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่กลับจากโรงเรียน!
“อืม ก็ดีสำหรับคุณแล้วละ” หนุ่มปารีเซียงเสหยิบส้มโอมาโรยหน้าข้าวยำแล้วนำไปวางให้เจ้าถิ่นเงียบๆ ส่วนตัวเองใส่พริกป่นในชามแล้วคลุกเพิ่มจนเข้าเนื้อ แล้วจึงค่อยตักใส่จานอีกใบมาวางที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม
“ทำไมอยู่ดีๆก็เงียบไปอีกแล้วล่ะ” โมนาซึ่งตั้งปุ่มให้เตาไมโครเวฟอุ่นแกงเรียบร้อยแล้วฉงน
“ไม่มีอะไรนี่ ผมก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไร”
ดวงตากลมโตกวาดมองใบหน้าเขาอย่างจับสังเกต แล้วจึงเดินมายืนชิดโต๊ะ โน้มตัวมาใช้หลังมืออังหน้าผากเขา “ตัวรุมๆนะโนแอล สงสัยเพราะโดนแดดมากไปแหงเลย กินยากันไว้หน่อยละกัน เดี๋ยวฉันไปหายาให้ รอแป๊บนะ”
โมนาเดินหายไปทางห้องนอนนานแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่อาจขยับตัวแม้สักองคุลี รอยอุ่นที่แต้มอยู่ตรงหน้าผากเมื่อครู่คล้ายทิ้งไออุ่นอยู่ตรงนั้นอีกเนิ่นนาน ตลอดชีวิตวัยหนุ่มของโนแอล เดอแบร์มองต์ มีผู้หญิงจำนวนมากผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป บางคนชิดเชื้อกันมากยิ่งกว่ามาก หลายคนคบหาใช้ชีวิตวัยรุ่นสุดเหวี่ยงด้วยกัน แต่...เพิ่งจะมีผู้หญิงคนนี้ที่อาทรความเป็นไปของเขา ห่วงใยเขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับความเสน่หาร้อนแรง
“กินพาราก่อนละกัน ในห้องฉันก็มียาอยู่แค่นี้แหละ คุณแค่ตัวรุมๆ งั้นกินเม็ดเดียวก็พอ ถ้าคืนนี้มีไข้ค่อยกินเพิ่ม” เสียงแจ้วดังมาจากเบื้องหลังอ้อมผ่านตัวเขา ไปรินน้ำมาวางไว้ให้พร้อมกับซองยาในมือ “กินยาซะสิโนแอล”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบเพื่อเรียกสติเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อใกล้ๆ ผู้หญิงตรงหน้าคว้ามือเขาไปแบออกแล้ววางยาไว้บนนั้น ทุกกิริยาของเธอช่างเป็นธรรมชาติ ดูแล้วเพลิดเพลิน คาดเดาไม่ได้เลย
โนแอลกำมือที่มียาอยู่ในนั้นนิ่งๆ แล้วโมนาก็ดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะ กดไหล่เขาให้นั่งลง “คุณนั่งก่อนเหอะ คุณย่าเคยบอกว่าเวลาป่วยห้ามกินของรสจัด” เธอยึดจานข้าวยำไปวางไว้ข้างตัวอย่างรวดเร็ว “งั้นห้ามกินอันนี้ เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออะไรอ่อนๆมาให้กินแทนดีกว่า”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เขาเพิ่งหาคำพูดแรกพบ หลังจากปล่อยให้พายุหมุนไปรอบๆตัวจัดแจงอะไรต่อมิอะไร ทั้งยังสั่งเขาไม่ต่างกับที่มารดาเคยกระทำจนวุ่นวายไปหมด เขากินยาที่โมนาจัดมาให้อย่างว่าง่ายแล้วบอกแค่ “ผมคงเหนื่อยเพราะไม่ค่อยคุ้นกับอากาศข้างนอกน่ะ ปกติอยู่แต่ในห้องแอร์ ไปไหนมาไหนก็เฉพาะตอนเช้าๆกับตอนค่ำๆ วันนี้เจอแดดตรงๆก็เลยยังไม่ชิน” เขาดึงจานข้าวยำของตัวเองคืนมา “ยิ่งกินดึก เดี๋ยวจะยิ่งอ้วนนะคุณน่ะ ไม่ได้ออกกำลังกายมาสองวันแล้วนะ ลืมหรือไง”
โมนาหัวเราะคิกคัก “เมื่อก่อนฉันไม่เคยออกกำลังกายเลย ฉันก็ยังอ้วนระดับมาตรฐาน แต่เดี๋ยวนี้ฉันเริ่มออกกำลังกายแล้วนิดหน่อย เพราะฉะนั้นฉันคงไม่อ้วนขึ้นง่ายๆหรอก”
“ตรรกะชวนอ้วนจริงๆ” เขาส่ายหน้าระอา แล้วเริ่มรับประทานข้าวยำฝีมือของหญิงสาว รสชาติของน้ำยำที่คลุกในข้าวแปร่งๆเพราะเค็มน้อยไปนิดและหวานเกินไปหน่อย โดยมีกลิ่นคาวปลาติดตรงปลายจมูก โชคดีที่มีรสเปรี้ยวของมะนาวและส้มโอช่วยกลบกลิ่นได้บ้าง กระนั้นหากจะเทียบกับข้าวยำปักษ์ใต้ที่มารดาเคยทำให้รับประทาน ก็ต้องบอกว่าอาหารของโมนาห่างไกลจากคำว่า ‘อร่อย’ ค่อนข้างมาก ทว่าคำพูดที่หลุดจากปากกลับเป็น
“อร่อย!”
คนรอฟังคำชมยิ้มกว้าง “จริงเหรอ”
“จริง ทำครั้งแรกได้แค่นี้ถือว่าอร่อยแล้ว” เขาให้กำลังใจ “แต่ถ้าทำครั้งที่สองได้แค่นี้ จัดว่าใช้ไม่ได้”
“อี๋...คุณนี่มันปากเสียไม่เคยแรงตกเลยนะ” โมนาตักข้าวยำเข้าปากบ้าง แล้วก็เบ้หน้า รีบเอื้อมไปใช้ช้อนตักน้ำยำที่เหลือติดก้นถุงมาชิม “มันก็อร่อยแล้วนี่นา ทำไมพอเอามาผสมกันแล้วรสชาติมันแปร่งๆอย่างนี้ล่ะ ครูบอกต้องเค็มนำ หวานตาม แต่นี่มันไม่เห็นเค็มเลย”
แม่ช้อยนางรำจำเป็นหัวเราะหึๆ “เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงบอกว่าถ้าทำครั้งที่สองได้แค่นี้ใช้ไม่ได้”
โมนาหันรีหันขวาง “คุณกฤตบอกว่าถ้าไม่เค็มให้เติมเกลือได้นิดหน่อย รอเดี๋ยวนะ ฉันเอาเกลือมาปรุงเพิ่มดีกว่า” พูดจบผู้หญิงตัวกลมก็ไปหยิบกระปุกเกลือมาโรยใส่จานตัวเอง แล้วยังเอื้อมมือมาเหยาะใส่จานให้โนแอลอีกด้วย “เติมน้อยๆก่อนนะโนแอล คุณกฤตบอกว่าถ้าไม่เค็มแล้วเราใส่เพิ่มได้ แต่ถ้าเค็มไป มันจะแก้ไม่ได้”
ชื่อที่หลุดจากปากโมนาทำให้คนฟังอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก มือจึงคลุกข้าวในจานหนักมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาตักอาหารใส่ปากโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารสชาติดีขึ้นหรือไม่
“อร่อยขึ้นไหม” แม่ครัวยังคงคาดคั้นอยากได้คำตอบ
“ก็กินได้”
“แล้วระหว่างรอฉัน คุณไปเดินห้างเป็นไงมั่ง มีอะไรน่าสนใจไหม” โมนาถามขึ้นเมื่อนึกได้
“ก็...ไม่มีหรอก ผมไปนั่งร้านหนังสือ หาอะไรอ่านรอไปเรื่อยๆ” เขาตอบปัดๆพอให้พ้นตัว
“หนังสืออะไร ฉันไม่เห็นคุณถือติดมาเลยนี่”
คนโกหกอึกอัก “เอ้อ...ก็...ไปดูพวกคู่มือทำอาหารไว้ให้คุณนั่นแหละ แต่ไม่มีเล่มไหนถูกใจ เลยไม่ได้ซื้อมา”
“เออ...พูดถึงหนังสือแล้วนึกได้ มะรืนนี้วันหยุดคุณกฤตชวนฉันไปร้านหนังสือแหละ เขาบอกว่ามีตำราสอนทำอาหารเล่มนึงดีมาก อยากพาฉันไปซื้อ จะว่าไปแล้วคุณกฤตก็เหมาะจะเป็นเป้าหมายรายใหม่ของฉันนะว่าไหม เขาใจดี มีมนุษยสัมพันธ์ แถมยังไม่มองฉันแบบเหยียดว่าฉันเป็นยายอ้วนด้วย โนแอล คุณคิดว่ายังไง”
ฝรั่งตัวโตวางช้อนทันทีทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง เขาจิบน้ำหน้าบึ้ง บอกแค่
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ” จากนั้นลุกขึ้นหนีเข้าห้องไปโดยไม่เปิดโอกาสให้โมนารั้งเขาไว้เลย
หญิงสาวมองตามไปด้วยความงุนงน หน้ายู่มองจานอาหารของอีกฝ่าย “อย่าให้รู้นะว่าแอบไปอ้วกทิ้งลับหลังฉันน่ะ ถ้าจับได้ฉันวีนนายระเบิดแน่ๆ โนแอลเอ๋ย” ดวงตากลมโตตวัดค้อนไปทางประตูห้องนอนที่ปิดสนิทแล้วเบ้ปาก “ไม่อร่อยละสิ สมน้ำหน้า อยากบังคับเค้าไปเรียนทำอาหารดีนัก ก็จงต้องชดใช้กรรมด้วยการทนกินไปนี่ละ”
โมนาตักน้ำแกงเขียวหวานที่ใสแจ๋วแทบไม่มีกลิ่นเครื่องแกงราดข้าวยำรสเฝื่อนปร่า นำเข้าปากด้วยท่าทีผาสุก ใครพูดยังไงเธอก็ไม่สนหรอก อาหารฝีมือใคร คนทำก็ต้องว่าอร่อยอยู่แล้ว ยิ่งมันเป็นอาหารยากๆมื้อแรกที่เธอทำให้ตัวเองกินด้วยแล้ว ต่อให้รสห่วยกว่านี้ โมนาก็จะว่ามันอร่อยที่สุดในโลกอยู่ดี!
มนุษย์ก็ลำเอียงอย่างนี้ มักเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและดีที่สุดเสมอ
[1] เพลง C’est Si Bon ศิลปิน ฌอง มาร์โค (Jean Marco)
จบตอน
แม้จะเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนตามลำพัง แต่โมนาก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตลอด เธอถนัดโทร.สั่งอาหารมารับประทานที่บ้านมากกว่า เรียกว่าบอกชื่อภัตตาคารมา โมนาไล่เมนูให้ฟังได้เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน จึงไม่แปลกที่คนใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศจะลืมห่วงสุขภาพจนปล่อยให้ตัวเองมีไขมันสะสมเช่นนี้ เพราะที่ที่เธอไปศึกษาจนหอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกลับมาด้วย คือประเทศซึ่งมีคนน้ำหนักเกินมากเป็นอันดับแรกของโลกทีเดียว!
การเข้าครัวที่โมนาทำเป็นมีแค่สองวิธี คือฉีกซองแล้วเทน้ำร้อน กับฉีกซองแล้วนำเข้าไมโครเวฟ! ชุดครัวราคาหลายแสนที่คอนโดเพิ่งได้ทำงานแลกค่าตัวก็ตอนที่มีโนแอลมาเช่าห้องอยู่ด้วย เพราะก่อนหน้านี้มันมีไว้สำหรับถ่ายรูปอัพเฟซบุ๊ก ต้มน้ำร้อน ชงกาแฟ หรือไม่ก็ล้างจานเท่านั้น!
การเข้าห้องเรียนทำกับข้าวในวันนี้จึงน่ากลัวสำหรับโมนาอย่างยิ่ง และความกลัวของเธอก็แสดงออกมาในกิริยาและท่าทางชัดเจน เพราะชายหนุ่มซึ่งบังเอิญใช้สถานีทำกับข้าวข้างเธอเอียงตัวมาให้กำลังใจด้วยการบอก
“วันแรกที่มาเรียน ผมก็เป็นอย่างคุณนี่แหละ คือกลัวไปหมด แต่พอหนที่สอง มันก็ไม่น่ากลัวแล้ว เคล็ดลับของผมก็คือทำทุกอย่างให้เบามือครับ แล้วน้ำมันจะไม่กระเด็นใส่คุณ น้ำเดือดจะไม่กระฉอกใส่หน้า ผมรับประกัน”
โมนายิ้มรับคำแนะนำด้วยสีหน้าโล่งอก “คุณพูดจริงนะคะ”
“จริงครับ มีอะไรถามผมได้ ยินดีช่วยเท่าที่ช่วยได้ครับ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” โมนาหน้าชื่น และรอยยิ้มนั้นคงอยู่บนใบหน้าตลอดอีกหลายชั่วโมงถัดมา
เพียงหมดคาบเรียนครึ่งวันเช้า นอกจากโมนาจะพูดคุยกับเพื่อนใหม่สนิทสนมถึงขั้นเรียกชื่อแทนตัวกันแล้ว นักเรียนทุกคนก็ได้ยำสามกรอบคนละจานเพื่อนำมารับประทานกับข้าวสวยเป็นมื้อกลางวัน โมนานั่งมองจานกับข้าวตรงหน้าด้วยความชื่นชม ทั้งยังถ่ายรูปไว้ทุกมุมมองด้วยความเห่อ
“นอกจากต้มมาม่าแล้ว นี่เป็นอาหารจานแรกที่โมทำเลยนะเนี่ย” โมนาตักปลากรอบเคลือบน้ำยำรสเข้มข้นชิม “แถมยังทำอร่อยด้วย โอ๊ย! มีความสุขจัง” เธอใช้ช้อนชี้จานยำของอีกฝ่าย “ขอชิมยำของคุณกฤตบ้างได้ไหมคะ”
“เชิญเลยครับ ตามสบาย ชิมแล้วติชมด้วยนะ” ชายหนุ่มรีบเลื่อนจานมาตรงหน้าเธอ
โมนาตักอาหารใส่ปากแล้วตาโต “พอชิมฝีมือคุณกฤตแล้ว โมว่ายำของตัวเองหวานไปหน่อยแฮะ ของคุณกฤตเปรี้ยวดี อร่อยกว่าของโมอีก”
กฤตยิ้มกว้าง ยกจานกับข้าวสลับกับของโมนา “งั้นแลกกันครับ”
“คุณกฤต! จะดีหรือคะ”
“ดีสิครับ ถ้าคุณโมไม่ถือนะ”
“โอ๊ย! ไม่ถือค่ะ ไม่ถือเด็ดขาดเลย แต่สงสารว่าคุณกฤตต้องกินของไม่อร่อยน่ะสิคะ”
ชายหนุ่มตักยำฝีมือโมนาไปชิม “ใครว่าไม่อร่อยครับ นี่ก็ใช้ได้แล้วนะ หวานนำน่ะดีเลย ผมชอบทานหวาน”
“จริงนะคะ ไม่ได้พูดเพราะเกรงใจโม หรือกลัวโมเสียกำลังใจแน่นะคะ”
“แน่สิครับ ผมต้องถือเป็นเกียรติมากกว่าที่ได้กินอาหารจานแรกในชีวิตที่คุณโมทำ”
รอยยิ้มอบอุ่นของผู้ชายตรงหน้าทำให้โมนารีบก้มลงซ่อนยิ้ม เริ่มนึกขอบใจโนแอลอยู่เงียบๆที่เขาบังคับให้เธอเรียนทำอาหาร มันไม่เลวร้ายอย่างที่กลัวไปล่วงหน้าจริงๆด้วย!
โนแอล เดอแบร์มองต์ ไม่ได้ไปห้างตามที่บอกหญิงสาว แต่เขาไปยังสำนักงานของลียอง ใช้กุญแจสำรองที่แอบทำไว้ล่วงหน้าไขเข้าไปห้องทำงานของเธอ และก็เป็นดังคาด เอกสารที่เขาสงสัย เมื่อมาหยิบแฟ้มหมายเลขเดียวกันที่ห้องโมนาตรวจสอบ ก็พบว่าเนื้อหา ‘ไม่ตรง’ กับสำเนาที่โต๊ะเขาสักฉบับ!
ชายหนุ่มสวมถุงมือยางถ่ายรูปเอกสารเก็บไว้ โดยวางกระดาษเขียนรหัสของแต่ละแฟ้มแนบไว้ด้วย เพื่อใช้เทียบกับตัวจริงที่อยู่กับเขา โนแอลจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่าจำนวนเงินทั้งหมดที่ถูกเปลี่ยนมือออกจากบริษัทไปสู่กระเป๋าโมนาและพวกพ้อง รวมเป็นมูลค่าทั้งหมดเท่าไร หลักล้าน สิบล้าน หรือมากกว่านั้น!
หลักฐานที่ยังอุ่นอยู่ในกล้องโทรศัพท์มือถือ ทำให้เขาวางหน้าไม่สนิทนักเมื่อกลับมาสมทบกับหญิงสาว ได้แต่ปั้นยิ้มไว้รอรับ ทั้งหือและอือไปตามเรื่องตามราวจนกลับถึงคอนโด เพียงไขกุญแจห้องผลักประตูเปิดออก โมนาถอดรองเท้าเสร็จก็โผไปทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่โซฟา บ่นโอดโอย
“ไม่อยากไปเรียนแล้ว เมื่อยไปหมดเลย คุณรู้ไหมว่าตอนทอดไอ้ของกรอบๆที่จะเอามายำ ฉันกลัวโดนน้ำมันกระเด็นจนแทบไม่กล้าหายใจเลย คุณกฤตก็ย้ำอยู่นั่นแหละว่าให้หย่อนของลงกระทะเบาๆ น้ำมันจะได้ไม่กระฉอกมาโดนตัว ปลาหมึกบ้านั่นก็อะไรไม่รู้ พอลงกระทะเท่านั้นแหละ ทำเสียงฟู่จนฉันเกือบหัวใจวาย จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ คุณกฤตยืนขนาบถือตะหลิวคุมเข้มเลย”
เขาหยิบรองเท้าของโมนาเรียงใส่ตู้ แล้วจึงเดินไปทยอยเปิดเครื่องปรับอากาศ ขณะหูฟังสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องรำพันผ่านๆ ไม่ได้สนใจจับใจความเลยแม้แต่น้อย
“คุณไม่สบายหรือเปล่า” จู่ๆคนที่จ้อมาตลอดทางก็ถามขึ้น ทั้งยังเอื้อมมาดึงข้อมือให้เขาไปนั่งข้างๆอีกด้วย
“ไม่นี่ ผมสบายดี ทำไมถามอย่างนั้น”
“ก็...” เธอบุ้ยปากไปทางหน้าห้อง “ปกติถ้าฉันถอดรองเท้าแล้วไม่เก็บเข้าตู้ คุณจะต้องบ่นๆๆ แล้วก็บังคับให้ฉันไปเก็บเองนี่นา วันนี้คุณเก็บรองเท้าให้ฉัน แถมยังไม่บ่นสักคำ มันผิดปกติมากนะ”
นั่นละ...โนแอลจึงได้สติ เขาควรทำตัวให้เหมือนเดิม อย่ามีพิรุธให้เธอเอะใจเด็ดขาดว่าเขาระแคะระคายเรื่องการทุจริต ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้แฉเธอพร้อมหลักฐาน โมนาอาจระวังตัวมากขึ้นและทำให้เขาขุดคุ้ยยากยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มฝืนยิ้ม “ก็เพราะรู้น่ะสิว่าบ่นไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า สู้เก็บๆไปให้หมดเรื่องหมดราวเลยดีกว่า”
“โดนทักว่าป่วยนิดเดียว ต้องรีบโชว์พาว กลับมาแรงม้าดีฝีปากกล้าอย่างเดิมเชียวนะ แล้ววันนี้ไม่เปิดเพลงเรอะ แปลกชะมัด” โมนาตวัดค้อน ชี้ไปที่เครื่องเสียงด้วยความสงสัย เพราะทุกวันเวลากลับถึงห้อง เขามักจะเปิดเพลงฝรั่งเศสคลอไว้ตลอด จากแรกๆที่รำคาญและหนวกหู ตอนนี้เธอกลับชินและเริ่มชอบขึ้นมานิดๆแทน
ชายหนุ่มลุกขึ้นกดเปิดเครื่องเสียงให้เล่นเพลงจากแผ่นที่ค้างอยู่ในเครื่อง เพียงเสียงดนตรีดังขึ้น เขาก็ชะงัก เพลงซึ่งเคยฟังรื่นหูอยู่ทุกวัน มาวันนี้กลับ...ขัดกับความรู้สึกของเขาอย่างประหลาด...
C'est si bon
ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดี
De partir n'importe o?
ที่ได้ไปไหนต่อไหน
Bras dessus bras dessous
มือจูงมือกันไว้
En chantant des chansons[1]
ขับขานบทเพลงมากมาย
โนแอลปัดความรู้สึกที่รบกวนใจออก ฝืนยิ้มหันกลับมาใช้โหมดช่างแหย่เย้าตามคิวอย่างแนบเนียน “ไหนเอาอาหารที่คุณทำในห้องเรียนมาให้ชิมหน่อยซิ อยากรู้จริงๆเลยว่ารสชาติจะแย่ขนาดไหน”
แม่ครัวมือใหม่ที่เมื่อครู่ทำท่าจะนอนแผ่หลาหมดเรี่ยวแรง กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าภาคภูมิตื่นเต้น “งั้นเดี๋ยวฉันไปอุ่นให้คุณชิมเลยนะ”
“เอาสิ กินเลยก็ดีเหมือนกัน”
โมนาไม่ฟังเขาพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ แต่รีบกุลีกุจอถือถุงกับข้าวรี่เข้าครัวไปทันที เธอพูดแจ้วๆขณะมือตั้งใจกับงานตรงหน้า “ฉันได้ยินชื่อข้าวยำปักษ์ใต้มาตั้งนานแล้ว วันนี้ไม่ใช่แค่ได้เห็นครั้งแรกนะ แต่ได้ทำด้วย มันก็ทำไม่ยากนะ แค่ต้องเตรียมเครื่องเยอะแยะไปหมด อ้อ...ส่วนที่ยากที่สุดก็คือนี่ละ...น้ำข้าวยำ” เธอเงยขึ้นมา “ฝรั่งอย่างคุณจะกินได้ไหมเนี่ย บางคนก็บอกว่ามันเหม็น แต่ฉันลองดมดูตอนอยู่ในห้องเรียน มันก็หอมดีนะ”
คนไม่ค่อยมีความเป็นแม่บ้านนำข้าวสวยที่หุงด้วยน้ำอัญชัญเทผสมกับเครื่องปรุงในชามโคมใบใหญ่ แล้วเคล้าให้เข้ากัน แม้จะเป็นงานง่ายๆ แต่ท่าทางของเธอก็เก้งก้างทำส่วนผสมกระเด็นจนรอบๆโต๊ะเลอะเทอะไปหมด
โนแอลอดทนมองไม่ไหว จึงลุกขึ้นไปสมทบที่ครัว แล้วดึงชามโคมในมือเธอมาถือไว้แทน อีกมือก็แย่งช้อนไม้มาด้วย “คลุกเบาๆสิ ขืนรุนแรงอย่างนี้ เดี๋ยวผักก็ช้ำหมดหรอก โอ้โห...หั่นผักใหญ่เบ้อเริ่มเลย ยังต้องฝึกอีกเยอะนะเนี่ย อ้าว! แล้วคุณไม่ใส่พริกมะนาวเหรอ” เขาชี้มะนาวซีกและพริกป่นในถุงพลาสติกที่ยังไม่มีร่องรอยถูกแตะต้อง
“แบ่งขึ้นมาให้ฉันก่อนสิ ขืนใส่พริกเลย คุณก็ทำเผ็ดเกิน ฉันกินไม่ได้กันพอดี” แม่ครัวมือใหม่โวย
โนแอลจึงเดินไปหยิบจานมาตักข้าวยำออกบางส่วน พลางออกคำสั่ง “ตอนดูตารางเรียน เห็นบอกว่าวันนี้จะต้องหัดทำยำสามกรอบกับแกงเขียวหวานไก่ด้วยนี่ คุณไปเทใส่ชามแล้วอุ่นสิ”
“แกงน่ะอุ่นได้ แต่...ยำน่ะ ฉันกินหมดแล้ว”
“อาหารจานแรกในชีวิตที่ทำเองเป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” ชายหนุ่มวางมือซึ่งกำลังทำงานง่วน เงยขึ้นรอฟังคำตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
“ฉันเติมน้ำตาลมากไปหน่อย มันเลยหวานไปนิด คุณกฤตชอบรสหวาน เราก็เลยเอายำมาแลกกันแทน”
โนแอลไม่รู้ตัวสักนิดว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเลือนไปตั้งแต่เมื่อไร และเพราะเหตุใดกันแน่ ระหว่างการได้รู้ว่าผู้ชายคนอื่นได้ชิมอาหารจานแรกที่เธอทำ หรือตรงที่ได้ยินเธอพูดชื่อผู้ชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่กลับจากโรงเรียน!
“อืม ก็ดีสำหรับคุณแล้วละ” หนุ่มปารีเซียงเสหยิบส้มโอมาโรยหน้าข้าวยำแล้วนำไปวางให้เจ้าถิ่นเงียบๆ ส่วนตัวเองใส่พริกป่นในชามแล้วคลุกเพิ่มจนเข้าเนื้อ แล้วจึงค่อยตักใส่จานอีกใบมาวางที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม
“ทำไมอยู่ดีๆก็เงียบไปอีกแล้วล่ะ” โมนาซึ่งตั้งปุ่มให้เตาไมโครเวฟอุ่นแกงเรียบร้อยแล้วฉงน
“ไม่มีอะไรนี่ ผมก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไร”
ดวงตากลมโตกวาดมองใบหน้าเขาอย่างจับสังเกต แล้วจึงเดินมายืนชิดโต๊ะ โน้มตัวมาใช้หลังมืออังหน้าผากเขา “ตัวรุมๆนะโนแอล สงสัยเพราะโดนแดดมากไปแหงเลย กินยากันไว้หน่อยละกัน เดี๋ยวฉันไปหายาให้ รอแป๊บนะ”
โมนาเดินหายไปทางห้องนอนนานแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่อาจขยับตัวแม้สักองคุลี รอยอุ่นที่แต้มอยู่ตรงหน้าผากเมื่อครู่คล้ายทิ้งไออุ่นอยู่ตรงนั้นอีกเนิ่นนาน ตลอดชีวิตวัยหนุ่มของโนแอล เดอแบร์มองต์ มีผู้หญิงจำนวนมากผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป บางคนชิดเชื้อกันมากยิ่งกว่ามาก หลายคนคบหาใช้ชีวิตวัยรุ่นสุดเหวี่ยงด้วยกัน แต่...เพิ่งจะมีผู้หญิงคนนี้ที่อาทรความเป็นไปของเขา ห่วงใยเขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับความเสน่หาร้อนแรง
“กินพาราก่อนละกัน ในห้องฉันก็มียาอยู่แค่นี้แหละ คุณแค่ตัวรุมๆ งั้นกินเม็ดเดียวก็พอ ถ้าคืนนี้มีไข้ค่อยกินเพิ่ม” เสียงแจ้วดังมาจากเบื้องหลังอ้อมผ่านตัวเขา ไปรินน้ำมาวางไว้ให้พร้อมกับซองยาในมือ “กินยาซะสิโนแอล”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบเพื่อเรียกสติเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อใกล้ๆ ผู้หญิงตรงหน้าคว้ามือเขาไปแบออกแล้ววางยาไว้บนนั้น ทุกกิริยาของเธอช่างเป็นธรรมชาติ ดูแล้วเพลิดเพลิน คาดเดาไม่ได้เลย
โนแอลกำมือที่มียาอยู่ในนั้นนิ่งๆ แล้วโมนาก็ดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะ กดไหล่เขาให้นั่งลง “คุณนั่งก่อนเหอะ คุณย่าเคยบอกว่าเวลาป่วยห้ามกินของรสจัด” เธอยึดจานข้าวยำไปวางไว้ข้างตัวอย่างรวดเร็ว “งั้นห้ามกินอันนี้ เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออะไรอ่อนๆมาให้กินแทนดีกว่า”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เขาเพิ่งหาคำพูดแรกพบ หลังจากปล่อยให้พายุหมุนไปรอบๆตัวจัดแจงอะไรต่อมิอะไร ทั้งยังสั่งเขาไม่ต่างกับที่มารดาเคยกระทำจนวุ่นวายไปหมด เขากินยาที่โมนาจัดมาให้อย่างว่าง่ายแล้วบอกแค่ “ผมคงเหนื่อยเพราะไม่ค่อยคุ้นกับอากาศข้างนอกน่ะ ปกติอยู่แต่ในห้องแอร์ ไปไหนมาไหนก็เฉพาะตอนเช้าๆกับตอนค่ำๆ วันนี้เจอแดดตรงๆก็เลยยังไม่ชิน” เขาดึงจานข้าวยำของตัวเองคืนมา “ยิ่งกินดึก เดี๋ยวจะยิ่งอ้วนนะคุณน่ะ ไม่ได้ออกกำลังกายมาสองวันแล้วนะ ลืมหรือไง”
โมนาหัวเราะคิกคัก “เมื่อก่อนฉันไม่เคยออกกำลังกายเลย ฉันก็ยังอ้วนระดับมาตรฐาน แต่เดี๋ยวนี้ฉันเริ่มออกกำลังกายแล้วนิดหน่อย เพราะฉะนั้นฉันคงไม่อ้วนขึ้นง่ายๆหรอก”
“ตรรกะชวนอ้วนจริงๆ” เขาส่ายหน้าระอา แล้วเริ่มรับประทานข้าวยำฝีมือของหญิงสาว รสชาติของน้ำยำที่คลุกในข้าวแปร่งๆเพราะเค็มน้อยไปนิดและหวานเกินไปหน่อย โดยมีกลิ่นคาวปลาติดตรงปลายจมูก โชคดีที่มีรสเปรี้ยวของมะนาวและส้มโอช่วยกลบกลิ่นได้บ้าง กระนั้นหากจะเทียบกับข้าวยำปักษ์ใต้ที่มารดาเคยทำให้รับประทาน ก็ต้องบอกว่าอาหารของโมนาห่างไกลจากคำว่า ‘อร่อย’ ค่อนข้างมาก ทว่าคำพูดที่หลุดจากปากกลับเป็น
“อร่อย!”
คนรอฟังคำชมยิ้มกว้าง “จริงเหรอ”
“จริง ทำครั้งแรกได้แค่นี้ถือว่าอร่อยแล้ว” เขาให้กำลังใจ “แต่ถ้าทำครั้งที่สองได้แค่นี้ จัดว่าใช้ไม่ได้”
“อี๋...คุณนี่มันปากเสียไม่เคยแรงตกเลยนะ” โมนาตักข้าวยำเข้าปากบ้าง แล้วก็เบ้หน้า รีบเอื้อมไปใช้ช้อนตักน้ำยำที่เหลือติดก้นถุงมาชิม “มันก็อร่อยแล้วนี่นา ทำไมพอเอามาผสมกันแล้วรสชาติมันแปร่งๆอย่างนี้ล่ะ ครูบอกต้องเค็มนำ หวานตาม แต่นี่มันไม่เห็นเค็มเลย”
แม่ช้อยนางรำจำเป็นหัวเราะหึๆ “เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงบอกว่าถ้าทำครั้งที่สองได้แค่นี้ใช้ไม่ได้”
โมนาหันรีหันขวาง “คุณกฤตบอกว่าถ้าไม่เค็มให้เติมเกลือได้นิดหน่อย รอเดี๋ยวนะ ฉันเอาเกลือมาปรุงเพิ่มดีกว่า” พูดจบผู้หญิงตัวกลมก็ไปหยิบกระปุกเกลือมาโรยใส่จานตัวเอง แล้วยังเอื้อมมือมาเหยาะใส่จานให้โนแอลอีกด้วย “เติมน้อยๆก่อนนะโนแอล คุณกฤตบอกว่าถ้าไม่เค็มแล้วเราใส่เพิ่มได้ แต่ถ้าเค็มไป มันจะแก้ไม่ได้”
ชื่อที่หลุดจากปากโมนาทำให้คนฟังอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก มือจึงคลุกข้าวในจานหนักมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาตักอาหารใส่ปากโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารสชาติดีขึ้นหรือไม่
“อร่อยขึ้นไหม” แม่ครัวยังคงคาดคั้นอยากได้คำตอบ
“ก็กินได้”
“แล้วระหว่างรอฉัน คุณไปเดินห้างเป็นไงมั่ง มีอะไรน่าสนใจไหม” โมนาถามขึ้นเมื่อนึกได้
“ก็...ไม่มีหรอก ผมไปนั่งร้านหนังสือ หาอะไรอ่านรอไปเรื่อยๆ” เขาตอบปัดๆพอให้พ้นตัว
“หนังสืออะไร ฉันไม่เห็นคุณถือติดมาเลยนี่”
คนโกหกอึกอัก “เอ้อ...ก็...ไปดูพวกคู่มือทำอาหารไว้ให้คุณนั่นแหละ แต่ไม่มีเล่มไหนถูกใจ เลยไม่ได้ซื้อมา”
“เออ...พูดถึงหนังสือแล้วนึกได้ มะรืนนี้วันหยุดคุณกฤตชวนฉันไปร้านหนังสือแหละ เขาบอกว่ามีตำราสอนทำอาหารเล่มนึงดีมาก อยากพาฉันไปซื้อ จะว่าไปแล้วคุณกฤตก็เหมาะจะเป็นเป้าหมายรายใหม่ของฉันนะว่าไหม เขาใจดี มีมนุษยสัมพันธ์ แถมยังไม่มองฉันแบบเหยียดว่าฉันเป็นยายอ้วนด้วย โนแอล คุณคิดว่ายังไง”
ฝรั่งตัวโตวางช้อนทันทีทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง เขาจิบน้ำหน้าบึ้ง บอกแค่
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ” จากนั้นลุกขึ้นหนีเข้าห้องไปโดยไม่เปิดโอกาสให้โมนารั้งเขาไว้เลย
หญิงสาวมองตามไปด้วยความงุนงน หน้ายู่มองจานอาหารของอีกฝ่าย “อย่าให้รู้นะว่าแอบไปอ้วกทิ้งลับหลังฉันน่ะ ถ้าจับได้ฉันวีนนายระเบิดแน่ๆ โนแอลเอ๋ย” ดวงตากลมโตตวัดค้อนไปทางประตูห้องนอนที่ปิดสนิทแล้วเบ้ปาก “ไม่อร่อยละสิ สมน้ำหน้า อยากบังคับเค้าไปเรียนทำอาหารดีนัก ก็จงต้องชดใช้กรรมด้วยการทนกินไปนี่ละ”
โมนาตักน้ำแกงเขียวหวานที่ใสแจ๋วแทบไม่มีกลิ่นเครื่องแกงราดข้าวยำรสเฝื่อนปร่า นำเข้าปากด้วยท่าทีผาสุก ใครพูดยังไงเธอก็ไม่สนหรอก อาหารฝีมือใคร คนทำก็ต้องว่าอร่อยอยู่แล้ว ยิ่งมันเป็นอาหารยากๆมื้อแรกที่เธอทำให้ตัวเองกินด้วยแล้ว ต่อให้รสห่วยกว่านี้ โมนาก็จะว่ามันอร่อยที่สุดในโลกอยู่ดี!
มนุษย์ก็ลำเอียงอย่างนี้ มักเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและดีที่สุดเสมอ
[1] เพลง C’est Si Bon ศิลปิน ฌอง มาร์โค (Jean Marco)
จบตอน
สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2556, 05:48:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2556, 05:48:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1759
<< ตอนที่ ๑๑ (จบตอน) | ตอนที่ ๑๓ (ครึ่งแรก) >> |
Pat 11 พ.ย. 2556, 06:23:26 น.
ต่อมหวงเริ่มทำงานแล้วสินะโนแอล
ต่อมหวงเริ่มทำงานแล้วสินะโนแอล
sumitt 11 พ.ย. 2556, 07:17:26 น.
โนแอลงอนไม่รู้ตัวอ่ะ
โนแอลงอนไม่รู้ตัวอ่ะ
รักเร่ 11 พ.ย. 2556, 18:32:45 น.
น่าน...เข้ามาหาโมนาด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ สุดท้ายตกหลุมตัวเอง ไม่สงสารนะโนแอล
น่าน...เข้ามาหาโมนาด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ สุดท้ายตกหลุมตัวเอง ไม่สงสารนะโนแอล
นักอ่านเหนียวหนึบ 11 พ.ย. 2556, 23:11:48 น.
เอ๊ะ หึง หรือ โกรธ หรือ หวง หรือ เอ๊ะ ยังไง เอ๊ะ โนแอล เอ๊ะ คุณกฤต เอ๊ะ ใคร ตัวร้าย รึเปล่า เอ๊ะ รอ ดีกว่า 555
เอ๊ะ หึง หรือ โกรธ หรือ หวง หรือ เอ๊ะ ยังไง เอ๊ะ โนแอล เอ๊ะ คุณกฤต เอ๊ะ ใคร ตัวร้าย รึเปล่า เอ๊ะ รอ ดีกว่า 555
ree 13 พ.ย. 2556, 02:29:44 น.
สัมพันธภาพเริ่มซับซ้อน
สัมพันธภาพเริ่มซับซ้อน
ketza 10 ธ.ค. 2556, 13:56:02 น.
น่ารักมาก
น่ารักมาก