ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 3 ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (1)

ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (1)


5 ปีต่อมา...

หลังจากการจากไปของเมรีรัตน์ ม่านเมรีก็ได้รับการเลี้ยงดูเปรียบเสมือนบุตรสาวคนหนึ่งของชายาฟีนาห์ซึ่งเป็นชายาเอกของชีคฮามานน้องชายของชีคเนมตีโดยมีเฮกาเป็นสาวใช้คนสนิท จนกระทั่งเวลาผ่านไปห้าปีแล้วในที่สุดชายาฟีนาห์ก็ได้ตั้งครรภ์สมใจ

“ชายาเพคะ เมรีมาเยี่ยมน้องฉาว” ม่านเมรีวิ่งเข้ามาในกระโจมของชายาฟีนาห์ โดยมีเฮกาเดินตามมาข้างหลังอย่างเป็นห่วง
“อย่างวิ่งเร็วอย่างนั้นท่านหญิง” เฮการ้องเตือน

นับตั้งแต่ที่ชายาเมรีรัตน์เสียชีวิตไป เมทาคนรับใช้ของชายาแพรฟ้าซึ่งเป็นชายารองของท่านชีคฮามานก็พยายามที่จะหาหนทางเพื่อขับไล่ม่านเมรีออกจากกองคาราวาน โดยให้เหตุผลว่า เด็กน้อยกำพร้าผู้นี้ไม่มีความสัมพันธ์อันใดอีกที่จะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในคาราวานแห่งนี้ได้
และเมื่อชายาฟีนาห์รู้เรื่องเข้า นางจึงแต่งตั้งให้ม่านเมรีเป็นถึงท่านหญิง และให้เธอมีศักดิ์เทียบเท่ากับบุตรของนางทุกประกาโดยที่ท่านชีคฮามานก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทำให้ชายาแพรฟ้าซึ่งมีลูกชายไปก่อนแล้วรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกชายของนางแม้จะดำรงตำแหน่งทายาทอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้เกิดจากชายาเอก

เฮกาจำได้ว่าในช่วงเวลานั้น ต่อให้ตัวเองจะต้องโดนขับออกจากกองคาราวานไปด้วยเนื่องจากไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าสาวใช้อย่างเมทาก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะเธอได้ตั้งใจเอาไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่า ยังไงเสียเธอจะต้องเลี้ยงดูม่านเมรีหรือไอมีอัตแทนชายาเมรีรัตน์ให้จงได้

และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่เฮกามิเคยบอกกล่าวให้กับผู้ใดทราบแม้แต่กระทั่งชายาฟีนาห์ก็คือ เด็กน้อยคนนี้ตกอยู่ในความคุ้มครองของเทพอนุบิสมาตั้งแต่ต้น

เฮกาเชื่อว่าสร้อยคอทองคำเส้นนั้นนั่นล่ะคือหลักฐานสำคัญในการยืนยันสถานะของม่านเมรีได้เป็นอย่างดี...สร้อยคอที่ทุกคนคิดว่าเป็นของเมรีรัตน์ที่ให้แก่ทารกน้อยเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า สร้อยคอที่แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึง 5 ปีแล้วก็ตาม แต่เมรีรัตน์ก็ยังคงสวมใส่ได้อยู่ราวกับว่ามันสามารถขยายขนาดเองได้ ตามการเติบโตของม่านเมรี

“เจ้าก็รู้เฮกาว่านางซุกซนเพียงใด ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตตามสบายของนางไปเถิด อย่าได้ไปบีบบังคับให้นางต้องทำอะไรที่ไม่ต้องการทำนักเลย” ชายาฟีนาห์กล่าวกับกับเฮกาที่กำลังคลานเข่าเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่จะก้มลงมองดวงหน้าอวบอิ่มขาวใส แก้มเต้นระริกสีชมพูเรื่อ นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทราวกับราตรีกาลคู่นั้นแล้วเอ่ยถาม

“เจ้ามาเยี่ยมน้องสาวในท้องของข้าทุกวันเช่นนี้ ไม่กลัวหรือว่าเด็กในท้องของข้าจะเป็นผู้ชาย” ม่านเมรีเมื่อได้ฟังดังนั้นก็พลันส่ายหน้า ฉีกยิ้มบานแฉ่งแล้วตอบคำถามกลับไปว่า

“ถ้าน้องฉาวของหม่อมฉันกลายเป็นน้องจาย หม่อมฉันก็จะรอน้องฉาวคนใหม่จากชายาเพคะ” ชายาฟีนาห์หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน นึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ยิ่งนัก พลางยกมือขึ้นมาลูบไล้หน้าท้องที่นูนโตไปมาเบา ๆ ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่นความทะนุถนอมออกมาว่า

“เป็นอย่างไรเล่าน้องสาวของเจ้าคนนี้ นางโตขึ้นบ้างหรือไม่” ม่านเมรีเมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กน้อยก็รีบโผเข้าไปจับครรภ์ของชายาฟีน่าห์ทันที ด้วยมือขาว ๆ อวบ ๆ ของเธอ ลูบไล้เบา ๆ แล้วตอบกลับไปว่า

“น้องฉาวคนนี้ของหม่อมฉันโตขึ้นมาเลยเพคะ โตขึ้นกว่าวันก่อนเสียอีก สงสัยน้องฉาวคนนี้จะกินจุเหมือนหม่อมฉันแน่ ๆ” คำกล่าวของเด็กน้อยเรียกเสียงหัวเราะด้วยความขบขันได้ทั้งกระโจมกันเลยทีเดียว

“แล้วเมื่อไหร่น้องฉาวถึงจะออกมาวิ่งเล่นกับหม่อมฉันได้” หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน โดยการเอาหูแนบลงกับท้องของชายาเพื่อฟังเสียงของเด็กในท้อง จู่ ๆ ม่านเมรีก็เอ่ยถาม

“คงอีกไม่นานแล้วล่ะ ว่าแต่เจ้าได้คิดเอาไว้บ้างหรือไม่ว่า น้องสาวของเจ้าคนนี้จะเป็นเด็กน้อยเช่นไร” ชายาฟีนาห์รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เมื่อได้พูดคุยกับม่านเมรีเช่นนี้ มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่เธอเองก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้ได้

“หม่อมฉันอยากเห็นเด็กสาวตัวอ้วนพี น่ารักน่าชังและมีสีผิวเหมือนกับหม่อมฉันเพคะ” คำตอบของเด็กวัยเพียงห้าขวบ ทำให้ทุกคนในที่นั้นรู้สึกสะดุดใจ เป็นที่น่าสงสัยกันมานานอยู่แล้วว่า เหตุใดม่านเมรีจึงได้มีสีผิวที่ขาวประดุจน้ำนม ทั้ง ๆ ที่ท่านชีคเนมตีและชายาเมรีรัตน์ก็ที่มีสีผิวออกแทน

นี่ถือเป็นปมด้อยที่สำคัญที่สุดของม่านเมรีเลยก็ว่าได้ ภายในกองคาราวานแห่งนี้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีสีผิวผิดแผกไปจากผู้อื่น ที่แม้กระทั่งนางสนมไมย่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าขาวที่สุดซึ่งเป็นชายาบรรณาการมาจากกองคาราวานอื่น ก็ไม่ได้มีผิวขาวผ่องเป็นยองใยเหมือนกับเธอไม่

“น้องฉาวจะต้องมีสีผิวเหมือนกับหม่อมฉันในตอนนี้ใช่ไหมเพคะ” ม่านเมรีเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ เนื่องจากครั้งหนึ่งเธอก็เคยตั้งคำถามแบบนี้กับเฮกาเช่นเดียวกัน และกลับได้รับคำตอบกลับมาว่า

“เพราะท่านหญิงยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ ไว้รอให้โตกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวผิวพรรณก็จะคล้ำขึ้นมาเอง” หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของเฮกา ม่านเมรีก็คิดไปว่าทารกที่เพิ่งจะเกิดมาทุกคนล้วนแล้วแต่มีผิวขาวทั้งสิ้น ไว้รอให้โตขึ้นเหมือนชายาฟีนาห์หรือเฮกาเสียก่อน แล้วสีผิวจึงจะเป็นเป็นสีเข้มประดุจดั่งน้ำผึ้ง

สีผิวของชาวอียิปต์โดยทั่วไป มีผู้ใดบ้างที่จะขาวผ่องยองใยปานนั้น !!

‘แล้วสีผิวของม่านเมรีล่ะ นางมีสีผิวละม้ายคล้ายคลึงผู้ใดกันนะ’ เป็นครั้งแรกที่เฮกาได้หยุดคิดอย่างจริงจัง...ผิวสีอ่อนเช่นนี้ รูปร่างอวบอิ่มปานนั้น แถมริมฝีปากยังบางเฉียบแดงก่ำนั่นอีก มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เฮกาเคยรู้จักมาก่อน

‘เป็นไปไม่ได้ !’ เฮการีบปัดความคิดเหลวไหลที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของเธอออกไป...ไม่มีทาง !!...ไม่มีทางที่ชายาเมรีรัตน์จะทำเช่นนั้น

ข้างฝั่งชายาฟีนาห์แม้จะแอบสงสัยอยู่บ้างแต่นางก็ไม่เคยเอ่ยถามเฮกาเลยซักครั้ง ยังมีสร้อยคอทองคำร้อยกริชที่ลำคอระหงนั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็ทราบแล้วว่ามูลค่าของมันมหาศาลปานใด

ไม่มีทางที่เมรีรัตน์ซึ่งเป็นแค่เพียงคนธรรมดาจะมีของแบบนั้นได้ หรือต่อให้เป็นท่านชีคเนมตีผู้ที่ได้ชื่อว่ามีทรัพย์สมบัติมากมายติดอำดับต้น ๆ ในอียิปต์ก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะสามารถมีของสิ่งนี้ไว้ในครอบครองได้
กริชทองฝังอัญมณีสีนิลกาลตลอดทั้งเล่ม จัดวางเหลื่อมล้ำกันได้อย่างงดงาม ตัวแทนแห่งอาวุธประจำกายของเทพอนุบิส เทพแห่งความตายพระองค์นั้น !!

ม่านเมรีเด็กคนนี้จะต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาแน่ ไหนจะสีผิวที่ฟ้องถึงความแตกต่างเด่นชัดอยู่แล้วนั่นอีกล่ะ นางเชื่อว่าคงจะเป็นเพราะองค์เทพเบื้องบนทรงประทานมาให้

และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชายาฟีนาห์ไม่อาจทนนิ่งเฉยปล่อยให้ม่านเมรีถูกขับออกจากกองคาราวานไป และนอกเหนือจากที่เด็กคนนี้จะเป็นลูกสาวของเมรีรัตน์ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สาวเพียงคนเดียวของนางแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ นางเชื่อว่าเฮกาคงจะมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับเด็กน้อยคนนี้ปกปิดเอาไว้เป็นแน่ แต่ที่ไม่เคยเอ่ยถามนั่นเพราะนางเชื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เฮกาก็คงจะเล่าความจริงทั้งหมดออกมาให้นางทราบเอง



กระโจมมาอัต...

กระโจมส่วนตัวของท่านหญิงม่านเมรี

เที่ยงคืนหลังจากที่เฮกานอนหลับอยู่หน้าเตียงแล้ว ม่านเมรีที่นอนหลับอยู่บนเตียงกลับลืมตาโพลงขึ้นมา หลังจากที่เธอได้เสแสร้งแกล้งหลับมานานมากกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้สาวใช้ประจำตัวคนนี้นอนหลับได้อย่างสบายใจ

เด็กน้อยค่อย ๆ ย่างเท้าอย่างเงียบกริบผ่านหน้าเฮกาไปอย่างยากลำบาก สองมือของเธอกำชายผ้ายาวระพื้นเอาไว้แน่น แล้วยกขึ้นสูงให้เหนือเข่าป้อม ๆ ของตัวเองด้วยท่าทางที่ชวนให้ผู้พบเห็นแลดูขัดตาขัดใจยิ่งนัก ชายผ้ายาวที่สวมใส่แนบกายอยู่นั้นกำลังสร้างความลำบากให้แก่นางเป็นอย่างมาก

‘รู้อย่างนี้น่าจะใส่ให้สั้นเสียหน่อย ตามคำแนะนำของเฮกาเสียก็ดี’ คนแอบย่องออกจากกระโจมคิดในใจพลางเบ้ปาก ก็ใครอยากให้เธอคิดอยากออกมาเดินเล่นตามลำพังหลังเที่ยงคืนไปแล้วในทุก ๆ 15 วันครั้งเช่นนี้กันล่ะ

ม่านเมรีในชุดสีดำสนิทซึ่งเป็นเป็นสีที่นางชอบสวมใส่ เดินย่ำเท้าเตาะแตะมาตามเส้นทางทอดยาวเพื่อมุ่งตรงไปยังโอเอซิสซึ่งอยู่ห่างหากตัวกระโจมที่พักไม่มากนัก เด็กน้อยร่างอวบอิ่มวิ่งเล่นอยู่ในโอเอซิสท่ามกลางความมืดมิดด้วยความสบายใจ เธอเป็นคนที่หลงใหลในช่วงเวลาที่สงบนิ่งเงียบเชียบในราตรีกาลเช่นนี้มาก นับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ม่านเมรีสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงและการมีอยู่ของตัวเองท่ามกลางความมืดสนิทเช่นนี้ มารู้ตัวอีกทีก็เกือบสว่างนั่นล่ะ เธอถึงยอมเดินลากขาป้อม ๆ ตำหนักกลับกระโจมด้วยความเสียดาย
และทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ม่านเมรีไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เธอได้ตกอยู่ในสายพระเนตรของเทพเบื้องบนถึงสองพระองค์พร้อมกัน

“ข้าว่านางช่างเหมาะสมกับท่านยิ่งนักอนุบิส และนางก็หลงใหลในความมืดสนิทของราตรีกาลเหมือนกับท่าน” เทพโฮรัสในรูปจำแลงเป็นพญาเหยี่ยวทั้งองค์ ที่อุตส่าห์ยอมทนอดหลับอดนอนเสียสละแท่นบรรทมนุ่ม ๆ ตามเสด็จเทพอนุบิสลงมาจากสรวงสวรรค์ รับสั่งขึ้นมาเป็นองค์แรก

“แต่ข้าคิดว่านางแปลกประหลาดจากผู้อื่นมากกว่า” เทพอนุบิสสวนกลับมาแทบจะทันที และคืนนี้พระองค์ก็ตัดสินพระทัยปรากฏกายในรูปของสุนัขจิ้งจอกสีดำเต็มองค์เช่นเดียวกัน

“ท่านว่ากล่าวนางผู้เปรียบเสมือนชายาของท่านเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า” เทพโฮรัสรีบกระพือปีกบินตามหลังสุนัขจิ้งจอกดำวัยหนุ่มที่กำลังย่างท้าวตามหลังม่านเมรี เพื่อส่งนางถึงหน้ากระโจมตามความเคยชิน

“นางเป็นชายาของข้าที่ไหนกัน นี่ถ้าเทพีไอซีสไม่กำชับและเซ้าซี้จนข้ามิอาจทนอยู่ในวิหารได้แล้วล่ะก็ มีหรือที่เทพแห่งความตายเช่นข้าจะต้องลงมาคอยเดินตามส่งนางต้อย ๆ เพื่อป้องกันอันตรายให้นางในทุกๆ 15 วันเช่นนี้” เทพอนุบิสรับสั่งออกมาอย่างขุ่นเคือง เนื่องจากเด็กน้อยคนนี้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า นางกำลังถูกจับตามองจากคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในทุก ๆ 15 วันเช่นเดียวกัน



15 วันต่อมา ในวิหารเทพอนุบิส

“คืนนี้ข้าคงลงไปยังโลกมนุษย์เป็นเพื่อนท่านไม่ได้แล้วล่ะ” เทพโฮรัสกล่าวพลางทำสีพระพักตร์ยุ่ง อดเสียดายนิด ๆ ไม่ได้ ที่คืนนี้พระองค์ไม่มีโอกาสที่จะได้ลงไปแหย่ผู้เป็นเชษฐาเหมือนเช่นทุกครั้ง

“นี่ท่านจะไม่ถามถึงเหตุผลเสียหน่อยหรือ” เมื่อเห็นว่าเทพอนุบิสยังคงนั่งประทับนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด จึงเอ่ยถามเสียหน่อย เผื่อว่าคนที่เฉื่อยชาไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายพระเนตรจะกันมาสนใจตนบ้าง

“ข้าคร้านจะถามเจ้าแล้วล่ะโฮรัส” รับสั่งกลับมาพลางลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วร่ายมนตราจำแลงกายเพื่อให้อยู่ในรูปของลูกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่ทำเอาเทพโฮรัสถึงกับอึ้ง คาดไม่ถึงว่าจะออกมาในรูปลักษณ์นี้ได้

“ท่านไม่คิดว่า...นี่มันออกจะเป็นลูกสุนักป่าที่ตัวใหญ่ไปเสียหน่อยหรอกหรือ” แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มันออกจะตัวใหญ่กว่าพ่อสุนัขจิ้งจอกที่โตเต็มวัยเสียด้วยซ้ำ

“ข้าจะลงไปทั้งแบบนี้ ถ้าอยากจะห้ามก็ตามมาสิ” เทพอนุบิสแค่นพระสรวลออกมาหนึ่งที ก่อนที่จะร่ายมนตราหายออกจากวิหารของพระองค์ไป ทิ้งให้เทพโฮรัสเจ้าแห่งนภากาศอย่างเขาต้องอยู่เฝ้าวิหารอันมืดมิดประหนึ่งวิหารของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
นี่ถ้าไม่ติดว่าจะต้องไปทำงานให้เสด็จแม่ไอซีสแล้วล่ะก็ เขาจะตามลงไปดูเลยว่าลูกสุนัขจิ้งจอกที่ตัวโตเท่าลูกช้างตัวนั้น จะทำอะไรในคืนนี้บ้าง

หวังว่าคงไม่ฉวยโอกาสลงไปแกล้งนางตอนที่ข้าไม่ว่างเช่นนั้นหรอกนะ




โอเอซิส

ม่านเมรีน้อยหนีฮากาออกมาวิ่งเล่นเหมือนเช่นเคย ในขณะที่เทพอนุบิสซึ่งจำแลงกายลงมาก็รอคอยนางอยู่ก่อนแล้ว วันนี้พระองค์จะแกล้ง เอ๊ย ! ไม่ใช่ วันนี้พระองค์จะต้องตักเตือนนางเสียหน่อยแล้วว่า ยามดึกเช่นนี้ไม่สมควรที่เด็กน้อยจะออกมาวิ่งเล่น

ม่านเมรีกำลังฝึกร่ายรำอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างและมวลหมู่ดาวเป็นเพื่อนเท่านั้น นางกำลังร่ายรำด้วยท่ารำประจำเผ่า ก่อนที่จะเห็นเงาๆหนึ่งผ่านเข้ามาทางหางตา

“หรือจะเป็นสุนัขจิ้งจอกออกมาล่าเหยื่อ !!” เด็กน้อยเกิดอาการตกใจขึ้นมาทันที หันซ้ายหันขวางมองหาอาวุธที่พอจะช่วยเหลือตนได้ พบแค่เพียงท่อนไม้ผุ ๆ อันหนึ่งจึงหยิบขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

เทพอนุบีสได้แต่กรอกสายพระเนตรไปมา พลางแสยะยิ้มได้อย่างน่ากลัว พลางคิดไปว่า

‘ไม่มีผู้ใดสอนนางหรือไงว่าสุนัขจิ้งจอกกลัวไฟ ไม่ได้กลัวไม้ผุ ๆ แบบนั้น’ สุนัขจิ้งจอกน้อยเยาะหยันก่อนที่จะปรากฏตัวออกมาทันที

“อุ๊ย ! มันไม่ใช่สุนัขจิ้งจอกหรอกเหรอ” ม่านเมรีขว้างไม้ทิ้งไป ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้ามาเดินวนรอบกายของมันสามรอบราวกับว่ากำลังสำรวจของแปลก

“ตัวใหญ่จัง” ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเอามือมาลูบไล้ไปทั่วอีกด้วย แถมฉวยโอกาสตอนที่พระองค์อึ้งไปโถมเข้ามาโอบกอดเพื่อวัดขนาดราวกับว่าพระองค์เป็นสัตว์เลี้ยง

“ทำแบบนี้ไม่กลัวหรือว่าเจ้าจะถูกข้ากิน” รับสั่งเสียงดังออกมาเสียให้สิ้นเรื่อง แล้วคอยดูซิว่านางจะทำยังไง

“............”

เมื่อเห็นว่านางเงียบไป ก็ทรงอดไม่ได้ที่จะแอบลอบชำเลืองมอง

“มะ....มันพูดได้ด้วย !” ม่านเมรีถอยหลังออกห่างไปหลายก้าว จ้องมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ในใจอยากร้องไห้ออกมาใจจะขาด แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าเลยกลั้นใจลากเท้าเข้าไปใกล้มันอีกครั้ง

“ถ้าเจ้าพูดอีกทีข้าร้องไห้จริง ๆ นะ” เป็นไงเป็นกัน อย่างมากก็ร้องออกมาเสียงดังแล้วมันก็จะวิ่งหนีนางไปเอง

ข้างฝั่งเทพอนุบิสที่จ้องมองนางตั้งแต่ที่นางถอยห่างออกไปแล้วย่องกลับเข้ามาใหม่ ใช่แล้วล่ะ ต้องใช้คำว่า ‘ย่อง’ เพราะนางเอามือกำชายผ้าแล้วย่องด้วยปลายเท้าเข้ามาหาพระองค์จริง ๆ

“เจ้าไม่กลัวข้าหรอกเหรอ”

“อึก...อึก...ฮือ~” คราวนี้ได้ยินชัด แล้วมันจะกัดนางไหม

“จะ...เจ้าเป็นตัวอะไรทำไมพูดได้” ถามออกไปพลางถอยห่างออกมาอีกก้าว ราวกับว่ารังเกียจ

“ข้าเป็นถึงเทพแห่งความตาย เจ้ามีสิทธิ์อะไรว่าเรียกขานข้าว่าตัวอะไรก็ไม่รู้” เสียเวลาเปล่าจริง ๆ ว่าจะแกล้งให้นางกลัวเสียหน่อย กลับมองพระองค์เป็นตัวอะไรที่แปลดประหลาดไปเสียอย่างนั้น

“อะไรกัน เจ้าไม่กลัวข้างหรอกเหรอ” ถามกลับไปอีกครั้งด้วยร่างสุนัขจิ้งจอกตัวเท่าลูกช้างแบบนั้นล่ะ และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือการส่ายหน้าของนาง

“แล้วแบบนี้ละกลัวไหม” คราวนี้พระองค์ร่ายมนต์ใหม่จำแลงมาเป็นร่างมนุษย์ที่มีพระเศียรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกสีดำแทน
ม่านเมรีที่ตอนนี้ถอยออกมาหลายก้าวแล้วก็ยังส่ายหน้าไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเดิม ใจแข็งจริงนะ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่กลัวจนหมดสติหรือวิงหนีไปอีก

“หึ ! ข้าไม่เล่นแล้วล่ะ” คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเทพแห่งความตายอย่างพระองค์จะมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ เห็นทีกลับเป็นร่างเทพที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกประการดีกว่า แล้วมาคุยกับนางอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ เรามาคุยกันดีกว่า”

“โฮ ๆๆ” จู่ ๆ นางก็ร้องไห้ออกมา แล้ววิ่งหนีพระองค์ไปทันที

“นี่เดี๋ยวก่อน เจ้าวิ่งหนีข้าแบบนี้ไม่ได้ !” จะมีใครกล้าบังอาจกระทำเยี่ยงนี้กับพระองค์อีกไหมถ้าไม่ใช่นาง อุตส่าห์ลงทุนจำแลงกายแทบตาย สุดท้ายนางก็กลัวร่างเทพไปเสียนี่

รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั้น ร่างเทพที่เหล่าเทพีทั่วชั้นฟ้าต่างกล่าวขานกันว่าสง่างามจนมิอาจละสายตาได้ กลับเป็นที่น่าหวาดกลัวของเด็กน้อยคนหนึ่ง

“นึกหรือว่าจะหนีข้าพ้น” รับสั่งออกมาก่อนที่จะเสด็จกลับวิหารของพระองค์ไป




วิหารเทพอนุบิส

“อ้าว! ท่านกลับมาแล้วหรือ ทำไมเร็วนักล่ะ” เทพโฮรัสที่เพิ่งเสร็จจากธุระเอ่ยถามด้วยความแปลกพระทัย

“ที่วิหารของเจ้าไม่มีที่นอนหรืออย่างไรกัน” รับสั่งสวนกลับมาทันที พลางทำสีพระพักตร์ยุ่ง...หึๆๆ...สงสัยท่าจะอารมณ์ไม่ดีเสียกระมัง

“ก็ใครที่ไหนกันล่ะที่ละทิ้งวิหารของตัวเอง แล้วให้ข้าต้องเทียวไปเทียวมาเพื่อรับสารจากนักบวชแทน” นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพระเชษฐาแล้วละก็จะทรงตักเตือนเสียหน่อย

“เสร็จธุระแล้วก็กลับไปสิ ข้าจะนอน” คนอารมณ์ไม่ดีรับสั่งออกมาก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องบรรทม

‘อืม~...สงสัยอารมณ์คงไม่ดีเอามาก ๆ อยากรู้จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น’ เทพโฮรัสดำรัสในพระทัย เรื่องนี้ต้องขยาย ยิ่งมีผู้รู้มากและรู้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

เทพแห่งนภากาศรีบจำแลงวรกายเป็นพญาเหยี่ยวแล้วบินถลาออกไปทันทีเพื่อไปแจ้งข่าว ว่าผู้เป็นดั่งเชษฐาที่แสดงอารมณ์เป็นแค่เฉื่อยชาผู้นี้ถึงกับมีอารมณ์อื่นด้วย

ข้างฝั่งเทพอนุบิส หลังจากที่เทพโฮรัสเสด็จกลับไปแล้ว พระองค์ก็ได้แต่บรรทมอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนแท่นบรรทมอย่างมิอาจสงบพระอารมณ์ลงได้ นางยิ่งใหญ่เพียงใดกันจึงกล้ากระทำต่อพระองค์เยี่ยงนี้ กล้าวิ่งหนีในขณะที่พระองค์กำลังรับสั่งด้วยเช่นนั้นหรือ ไม่ได้การ หากไม่พูดคุยกับนางให้รู้เรื่องเห็นทีว่าราตรีนี้พระองค์คงจะบรรทมไม่ได้

“แล้วเราจะได้เห็นกัน ! ข้าอยากรู้จริงว่านางจะทำเยี่ยงไร ถ้าเจอข้าอีกครั้ง” เทพแห่งความตายแหยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะร่ายมนตราแล้วหายตัวไป




กระโจมไมอัต

ม่านเมรีน้อยกำลังนอนคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มผืนหน้าหลังจากที่ตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีให้แก่สุนัขจิ้งจอกพูดได้ตัวนั้น... สุนัขจิ้งจอกที่ออกจะตัวใหญ่ไปเสียหน่อยในความคิดของเธอ

“มันจะตามมาหรือเปล่า” นอนคิดอย่างกระสับกระส่าย

“แล้วมันจะกินเมรีไหม” พลิกซ้ายพลิกขวาภายในผ้าห่ม

“แล้วถ้ามัน....”

“ข้าไม่ได้หิวถึงอยากจะกินเจ้า ออกมาได้แล้ว” ในระหว่างที่ม่านเมรีน้อยนอนคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาทำให้เด็กน้อยถึงกับสะดุ้งโหยง

“มันพูดกับเมรีอีกแล้ว” คนในผ้าห่มแทบอยากจะร้องไห้โฮ ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรนักหนา ถึงทำให้เธอต้องมาพบเจอกับสุนัขจิ้งจอกพูดได้แบบนี้

ข้างฝั่งเทพอนุบิส เมื่อเห็นเด็กน้อยยังไม่ยอมโผล่หัวออกมา เห็นทีว่าพระองค์คงจะต้องช่วยกระตุ้นเสียหน่อย

“ออกมาเดี๋ยวนี้ไอมีอัต ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าจะกินเจ้า !” ม่านเมื่อรีสะดุ้งเฮือกทั้งตัว ผิวกายเนียนละเอียดสั่นระริกน้อยๆ ริมผีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่ แล้วฝืนตอบกลับไปว่า

“เนื้อของเมรีไม่อร่อยหรอกนะท่านสุนัขจิ้งจอก แถมมีแค่นิดเดียวกลัวท่านจะไม่อิ่ม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมรีจะยกเฮกาให้” ม่านเมรียกเนื้อชิ้นใหญ่กว่าให้อย่างใจป้ำ ทำให้เทพแห่งความตายพระองค์นั้นถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก

“หรือถ้าไม่พอ เมรีแถมเมทาให้อีกคนก็ได้ นางตัวใหญ่ เนื้อมาก” คนที่เอาแต่ขับไล่นาง ได้โอกาสแก้แค้นคืนแล้วก็จงอย่าพลาด นี่เป็นคำสั่งสอนของเฮกาที่ม่านเมรีจำได้ขึ้นใจเชียวนะ

ครั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีคำตอบกับมา เด็กน้อยจึงแอบโผล่หน้าออกมาดูเสียหน่อย

“หึ ๆ ๆ...ยอมโผล่หัวออกมาแล้วหรือเจ้าตัวดี !!” คราวนี้ม่านเมรีหลับตาปี๋แล้วรีบมุดเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง พลางบ่นพึมพำกับตัวเองไปมา

“ตัวใหญ่จัง !!!....ตัวเท่าท่านชีคฮามานเลย” เทพอนุบิสเมื่อเจอกับการถูกผู้อื่นหันหลังหนีเป็นครั้งที่สอง พระองค์ยอมรับไม่ได้ นางเป็นใคร แล้วพระองค์เป็นใคร เรื่องนี้ถ้ามีผู้อื่นรู้เห็นเข้า เกรงว่าพระองค์คงมิกล้าออกจากวิหารเป็นแน่แท้

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ขืนเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีกละก็ ข้าจะอมหัวเจ้าให้มิด” ไม่ผิดใช่ไหมที่พระองค์จะกระทำเช่นนี้
ม่านเมรีหลังจากโดนข่มขู่ ก็ยอมโผล่หน้าผากออกมาอย่างผืนใจ ครั้นเมื่อโดนสับทับกลับมาว่ากำลังจะอมหัวเธอเข้าไปแล้วนะ จึงยอมโผล่ตาทั้งสองข้างออกมา

“หวา...ที่แท้ก็เป็นคน เมรีตกใจแทบแย่” เด็กน้อยยิ้มแป้นแล่น แล้วลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา พลางบอกให้พระองค์นั่งลง หมายจะลูบคลำเศียรรูปสุนัขของพระองค์เล่น

“คุณน้าคนดี ขอเมรีจับหน่อยสิค้า~” เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ยอมทำตาม ม่านเมรีจึงลุกขึ้นยืนบนเตียง แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้น

“นิดเดียวน่า เมรีสัญญาว่าจะไม่จับนาน” ว่าพลางก็กระโดดเหยง ๆ หวังเพียงว่าจะได้สัมผัสกับพระพักตร์ของพระองค์

“นี่...เจ้าตัวน้อย...หยุดกระโดดแล้วลูบคลำข้าเสียที” เทพอนุบิสรู้สึกหงุดหงิดนิด ๆ รำคาญหน่อย ๆ ที่เจ้าตัวน้อยไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวพระองค์อีกต่อไป

“อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่ได้ ขี้งกชะมัด” คนตัวเล็กกว่า ที่สูงเหนือบั้นพระองค์ขึ้นมาเล็กน้อยยืดกอดอกอยู่บนเตียงพลางทำปากยื่น
“ขืนถ้ายังไม่ให้เมรีจับอีกละก็ เมรีจะเรียกคนให้มาจับท่านออกไปแทนนะ” เป็นไงล่ะ ถึงจะตัวเล็กกว่าแต่ก็มีอำนาจไม่น้อยในกองคาราวานแห่งนี้เชียวนะ

“คิดหรือว่าข้าจะกลัว” เทพอนุบิสรับสั่งออกมา ร่ายมนตรากลับคืนเป็นลูกสุนัขจิ้งจอก...เอ่อ...ตัวเท่าลูกช้าง ต่อหน้าต่อตาม่านเมรีอีกครั้ง

“ฮือ ~....มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วพี่เฮกาอยู่ไหน” ม่านเมรีน้อยหันซ้ายหันขวา เห็นพี่เลี้ยงของตนนอนหลับแบบปลุกยังไงก็ไม่ตื่นอยู่หน้าประตูกระโจมเหมือนเดิม

“ทะ....ท่านเป็นใครกันแน่” ถามออกไปเองแท้ๆ แถมยังเป็นในกระโจมของตัวเองอีกต่างหาก แล้วทำไมเจ้าตัวถึงจะต้องถอยไปอยู่ในผ้าห่มด้วย

“หยุดเดียวนี้นะ !! ถ้าขืนเจ้าเข้าไปหลบข้าอยู่ในนั้นอีกละก็ ข้าจะอมเจ้าเดี๋ยวนี้ !!” รับสั่งพลางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ช่วยไม่ได้ ใครใช่ให้นางทำให้พระองค์หงุดหงิดจนบรรทมไม่กลับกันล่ะ

ม่านเมรีฝืนทำใจกล้าสลัดที่หลบภัยของตัวเองออกไป เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเอ่ยออกมา

“แบบนี้จะ...อึก...ไม่กิน...อึ๊ก...มะ...เมรี แล้วใช่ไหม” กลัวสุนัขจิ้งจอกตัวเท่าลูกช้างจะตายอยู่แล้ว จ้าวป่าจ้าวทะเลทราย จ้าวแห่งโอเอซิสช่วยเมรีด้วย

“อืม...ไม่กินก็ได้” รับสั่งเสร็จก็จำแลงวรกายในเทพในร่างมนุษย์ที่มีเศียรเป็นสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง เรียกรอยยิ้มพร้อมคราน้ำตาจากเด็กน้อยได้ทันที

สรุปว่าที่นางกลัวคือลูกสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้นหรอหรือ !!

เทพแห่งความตายดำริอย่างไม่เข้าพระทัย คิดไม่ถึงว่าลูกสุนัขพูดได้ตัวหนึ่งจะทำให้นางกลัวจนร้องไห้ได้แบบนี้
ข้างฝั่งม่านเมรีก็อยากจะบอกพระองค์อยู่หรอกนะว่า ที่กลัวนะไม่ใช่ลูกสุนัขจิ้งจอกที่พูดได้ แต่กลัวเพราะมันมีขนาดตัวเท่าลุกช่างต่างหากเล่า !!

“เรามาคุยกันหน่อยเป็นไร” รับสั่งเสร็จก็บอกให้ม่านเมรีตามเสด็จพระองค์ออกไปยังโอเอซิสอีกครั้ง ม่านเมรีแม้จะปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ครั้นเมื่อพระองค์รับสั่งจะว่าคืนร่างเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง เธอจึงรีบเดินตามหลังต้อยๆออกมาแต่โดยดี พลางแอบบ่นเฮกาที่เอาแต่นอนอย่างสบายใจมาตลอดทาง



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ย. 2556, 18:46:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2556, 18:31:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1141





<< ตอนที่ 2 กำเนิด (ว่าที่) ชายา   ตอนที่ 4 ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (2) >>
Zephyr 14 พ.ย. 2556, 19:55:24 น.
ตัวเท่าลูกช้าง น่าจะใหญ่อยู่นะ
อิอิ
แต่คงขนฟู นุ่ม น่าจับ


กันต์ระพี 14 พ.ย. 2556, 21:16:23 น.
สนุกดีค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ


ร้อยวจี 14 พ.ย. 2556, 21:46:37 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account