ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 4 ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (2)

ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (2)




7 ปีต่อมา....

จากเด็กน้อยในวันนั้น วันนี้ม่านเมรีเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาววัย 12 ปี ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทไปตลอดทั้งร่าง แถมยังมีผ้าปกปิดใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ครึ่งหน้าสีเดียวกันอีกต่างหาก เธอกำลังวิ่งออกจากกระโจมของตัวเองเพื่อมุ่งตรงไปยังกระโจมเมอริตของท่านหญิงน้อยวัย 7 ชันษา ด้วยความกระปรี้กระเปร่า

ครั้นมาถึงหน้ากระโจมจึงหยุดวิ่งแล้วหอบหายใจเบา ๆ ม่านเมรีบอกให้สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมเข้าไปรายงาน ก่อนที่เธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน

“มาแล้วหรือคะพี่ไอมีอัต ดูน้องสิ เวลาป่านนี้แล้วยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียที” เจ้าของกระโจมเป็นดรุณีน้อยตัวอ้วนกลมกำลังพอดี ผิวของนางเป็นสีน้ำผึ้งอมทองแลดูเปล่งปลั่ง

“เร็ว ๆ เข้าสิคีร่า เรายืนเป็นตุ๊กตาให้พวกเจ้าแต่งตัวมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ ยังไม่เสร็จกันอีกหรือ” ท่านหญิงน้อยเมอริคาเรเร่งถาม วันนี้เธออุตส่าห์รีบตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะว่ามีนัดกับพี่ไอมีอัตและทายาทอันดับสองของกองคาราวานแห่งนี้เชียวนะ

“ทำไมพี่ไอมีอัตแต่งตัวเร็วจัง” ท่านหญิงน้อยรับสั่งถาม

ม่านเมรีที่กำลังเดินจับโน่นแตะนี่ภายในกระโจมเมอริตเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลา หันกลับมาตอบคำถามของท่านหญิงน้อยกลับไปว่า “ก็พี่ไม่ต้องสวมใส่เครื่องประดับโน่นนี่ อีกทั้งมงกุฎแบบนี้เหมือนท่านหญิงเมอริคาเรนี่คะ”
ด้วยเพราะสิ่งประดับเพียงชิ้นเดียวที่ม่านเมรีสวมใส่อยู่นั้น มีแค่เพียงสร้อยคอทองคำร้อยกริชเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเธอที่มีฐานะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงจะไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่งหรอกนะ หากแต่ทว่าม่านเมรีไม่ชอบสวมใส่สิ่งอื่นใด นอกจากสร้อยคอเส้นนี้เพียงเส้นเดียวต่างหาก

ครั้งหนึ่งเธอเคยถามเฮกาว่าสร้อยเส้นนี้ท่านแม่เมรีรัตน์ทิ้งเอาไว้เป็นของต่างหน้าใช่หรือไม่ แต่ว่าเฮกากลับส่ายหน้า ไม่ยอมตอบคำถามด้วยคำพูดออกมาแม้เพียงคำเดียว และไม่ยอมบอกด้วยว่ามันเป็นของใครกันแน่

“เฮ้อ ~” เสียงถอนหายใจของท่านหญิงเมอริคาเรที่กำลังทำหน้างอคว่ำและความอดทนใกล้จะหมดลงไปทุกทีคน

“เรียบร้อยแล้วเจ้าคะ ท่านหญิงของหม่อมฉันทรงงดงามยิ่งนัก” คีร่ามองสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย รวมทั้งเครื่องประดับตกแต่งของท่านหญิงน้อยอีกครั้ง พลางเอ่ยชมตามความเป็นจริง

“ถ้าเรางดงาม แล้วพี่ไอมีอัตล่ะ นางเองก็งดงามใช่หรือไม่” คนไม่อยากงามแค่เพียงคนเดียวเอ่ยถาม และอยากเผื่อแผ่ความงามไปยังคนอื่นที่ยังคงเดินจับโน่นจับนี่ไปเรื่อยอย่างไม่สนใจ

หากแต่ว่าคำถามนี้ทำให้คีร่าไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไรดี เพราะนับตั้งแต่ 7 ปีก่อนซึ่งจู่ ๆ ท่านหญิงไอมีอัตผู้นี้ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงครึ่งหนึ่งของนางเอาไว้ จวบจนบัดนี้ยังไม่มีปรากฏเลยว่า มีใครได้ยลโฉมของท่านหญิงผู้นี้เลยซักคน!

แม้แต่ท่านหญิงเมอริคาเรก็ไม่เคยเลยซักครั้ง และเมื่อเอ่ยถามกลับได้รับคำตอบกลับมาว่า นางได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้หนึ่งเอาไว้

“ว่ายังไงล่ะคีร่า” เมื่อเห็นสาวใช้คนสนิทเงียบไป จึงเรียกร้องเอาคำตอบอีกครั้ง

“เอ่อ...หม่อมฉัน”

“พวกเจ้าทั้งสองคุยอะไรกัน !” ผู้มาใหม่เอ่ยถาม ถือวิสาสะเข้ามาในกระโจมของผู้อื่นโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต และต่อให้ไม่อนุญาต เขาก็สามารถเข้ามาจนได้

“อุ๊ย ! ท่านชายมาร์คัส เสด็จเข้ามาด้านในได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เมื่อเห็นตัวช่วยเข้าทันเวลา คีร่าจึงถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องทันที
“ที่นี่กระโจมส่วนตัวของน้องนะคะ ท่านพี่มาร์คัสไม่สมควรเข้ามาก่อนได้รับอนุญาต” คนเป็นน้องยืนกอดอก แหงนหน้าขึ้นมองคนเป็นพี่ซึ่งเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แล้วทำปากยื่น

“ขืนพี่ไม่เข้ามา ก็ต้องยืนรอน้องสาวอย่างเจ้าจนแดดเผาตายอยู่นอกกระโจมนะสิ” ท่านชายมาร์คัสตอบกลับไป

“ส่วนพี่ไอมีอัตก็เหมือนกัน เมื่อไหร่จะเลิกตามใจเมอริคาเรจอมยืดยาดชักช้า แถมยังขี้บ่นเหมือนป้าแก่คนนี้เสียที” คนรอนานเริ่มพาลไปทั่ว ก็นัดกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้รวมหัวกันแกล้งให้เขารอตั้งนานสองนานแบบนี่

“พี่ว่าเรารีบไปดูท่านพี่ผ่านเมฆฝึกกองกำลังม้าที่ลานประลองกันดีกว่า” ม่านเมรีหมุนตัวกลับมา ก่อนที่จะเดินนำหน้าทุกคนออกนอกกระโจมไปทันที

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิคะ รอเมอริคาเรด้วย” ท่านหญิงน้อยรีบวิ่งตามคนเป็นพี่สาว ทิ้งให้พี่ชายแท้ๆ ยื่นส่ายหัวไปมาด้วยความระอานิด เอ็นดูหน่อย

“สรุปว่าเรามาร์คัสต้องคอยวิ่งตามรับใช้ท่านหญิงทั้งสองหรืออย่างไรกัน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ อยู่ฝึกกองกำลังกับท่านพี่ผ่านเมฆกว่าเหรอ” ทายาทลำดับสองของกองคาราวานกล่าวออกมาพลางเดินตามพวกนางทั้งสองไป





ลานฝึกทหาร

“นั่นไงละ ท่านพี่ผ่านเมฆ” ท่านหญิงเมริคาเรชี้ไปทางเด็กผู้ชายอายุประมาณ 15 ปีที่กำลังเอาจริงเอาจังอยู่กลางลานฝึก

“เท่ห์ชะมัดเลย เท่ห์กว่าท่านพี่มาร์คัสเป็นไหน ๆ” เอ่ยไปชมไปไม่ขาดปาก เดือดร้อนคนเป็นพี่ชายแท้ ๆ อีกแล้วที่ยอมรับความจริงไม่ได้

“เท่ห์ตรงไหนกัน ทายาทกองคาราวานไหน ๆ เขาเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น” ว่าพลางมองพี่ชายต่างมารดาอย่างชื่นชม

“พี่ไอมีอัตเห็นด้วยกับเมริคาเรใช่ไหม” คนเป็นน้องก็ไม่ใส่ใจ หันไปพูดกับคนเป็นพี่สาวไม่แท้เสียอย่างนั้น

“อืม” ตอบกลับมาสั้น ๆ แต่แววตาที่ทอดมองไปยังพี่ผ่านเมฆนั้นมีแต่ความชื่นชม

ผ่านเมฆที่กำลังฝึกม้าตัวใหม่จนสามารถควบคุมมันได้กำลังก้าวตรงมา เด็กหนุ่มส่งม้าให้แก่ทหารคนหนึ่ง แล้วเอ่ยกับม่านเมรีด้วยความเอ็นดู

“เจ้ามาดูพี่เหรอเมรี” มีแค่เพียงทายาทแห่งกองคาราวานแห่งนี้เท่านั้นที่เรียกเธอด้วยชื่อภาษาไทย

“โหยย ~ พี่ผ่านเมฆอ่ะลำเอียง” ท่านหญิงน้อยบ่นอย่างน้อยใจ มาพร้อมกันตั้งหลายคนทักเพียงคนเดียวใช้ได้ที่ไหน

“ข้าอยากฝึกมันแบบพี่ดูบ้าง” มาร์คัสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวของพี่ชาย

ผ่านเมฆเลิกคิ้วขึ้นมองน้องชายต่างมารดาด้วยความสนใจ น้องชายที่เอาแต่คอยวิ่งตามเขา น้องชายที่เกิดจากชายาเอกแต่ไม่เคยรังเกียจพี่ชายเช่นตน

“วันนี้เจ้าจะไปที่วิหารไหม” หันกลับมาคุยกับม่านเมรีอีกครั้ง ช่างลำเอียงเสียจริง

“อืม...งั้นเมรีไปนะ” ข้างฝั่งคนตอบก็เช่นเดียวกัน ไม่ทันไรก็วิ่งโร่ไปยังวิหารของเทพอนุบิสอีกแล้ว เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“งั้นข้าไปนะ” ผ่านเมฆหันมาคุยกับสองพี่น้อยเป็นครั้งแรกแล้วเดินผ่านไป

“อ้าว...ไปกันหมด ไหนนัดกันว่าจะไปขี่ม้ากันยังไงละ” สองพี่น้องเริ่มโวยวาย แต่ก็ไม่มีใครอยู่ฟัง จึงได้แต่เดินจูงมือกันเดินหงอยๆกลับไปยังกระโจมของตัวเองด้วยความจำใจ

เซ็งจริง ๆ โดนทิ้งครั้งที่เท่าไหร่แล้วนี่ !!




วิหารเทพอนุบิส

ซากปรักหักพังของวิหารที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานนับพัน ๆ ปี แต่ความศรัทธาและความยิ่งใหญ่ก็หลงเหลือมาให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน

ท่ามกลางความมืดมิดภายในซากปรักหักพังที่ได้รับการบูรณาการมากแล้วมากกว่า 5 ครั้ง ม่านเมรีค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังเข้าไปในวิหาร แม้ว่าทางเดินจะพาเธอลงสู่ใต้ดินเรื่อย ๆ แม้จะมีอากาศหลงเหลืออยู่น้อยนิด แต่เธอก็มิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงจนถึงใจกลางของวิหาร

“วันพรุ่งนี้เมรีจะต้องเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่เมืองไทยแล้วนะ เฮกาบอกว่าท่านพ่อกับท่านแม่อยากให้เมรีไปเล่าเรียนที่นั่น” ม่านเมรีปลดผ้าคุลมหน้าสีดำลงมา มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เธอสามารถปลดผ้าคลุมหน้าออกได้

“และวันนี้ก็ครบสัญญา 5 ปีของเมรีแล้วด้วย” เด็กน้อยยังคงบ่นกับรูปปั้นสีทองขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางวิหารของเทพอนุบิสต่อไป
“ดังนั้นเมรีจะถอดผ้าคลุมหน้าเสียที ไปเรียนที่ประเทศไทยทั้งที จะให้ปิดหน้าปิดตาเหมือนอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ได้ยังไง” บ่นไปตามประสาเด็กกำลังกินกำลังพูด

“ท่านไม่ตอบถือว่าท่านตกลงก็แล้วกันนะ เอาล่ะ พรุ่งนี้เมรีจะออกเดินทาง งั้นวันนี้เมรีจะรำถวายเป็นการส่งท้ายก็แล้วกัน” ม่านเมรีถวายความเคารพก่อนที่จะขับร้องเป็นเพลงออกมาด้วยภาษาโบราณที่ได้รับการสั่งสอนมาจากลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น ส่วนท่าทางการร่ายรำเธอแอบจำๆมาจากบรรดาพี่สาวภายในค่ายเวลาเลี้ยงฉลองรอบกองไฟแล้วนำมาประยุกต์ดูให้เข้ากัน

และในระหว่างที่เด็กสาวกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยและงดงามอยู่นั้น เบื้องบนภายในที่ประทับของเทพอนุบิส วันนี้ก็มีเทพแห่งนภากาศมาเยี่ยมเยือนเหมือนเช่นทุกที

“ท่านคิดเยี่ยงไร” จู่ ๆเ ทพโฮรัสก็กล่าวขึ้น ในขณะที่ทั้งสองพระองค์กำลังทอดพระเนตรลงมามองภายในวิหารอนุบิสของโลกมนุษย์

“เจ้าจะให้ข้าคิดเยี่ยงไรกับท่ารำอันยั่วยวนของเด็กอายุ 12 กันล่ะ” เทพอนุบิสรับสั่งด้วยท่าทีอันเฉื่อยชา ทว่าสายพระเนตรก็มิอาจละจากภาพตรงหน้าไปได้

“แต่ข้าว่าน่าเอ็นดูไปอีกแบบ” เทพโฮรัสตรงอย่างพอพระทัย แม้จะอดสรวลไม่ได้กับท่ารำของนางที่ออกจะเกินวัยไปบ้าง

ก็ท่าทางยักย้ายส่ายสะโพกไปมาทั้งที่รูปร่างคล้ายท่อนไม้ตรงดิ่งแบบนั้น อีกทั้งท่าแอ่นหน้าอกที่ออกจะแบนราบราวกับไม้กระดาน จะไม่ให้ทรงนึกเอ็นดูขึ้นมาได้ยังไงกัน

“ข้าว่าเหมือนตัวหนอนที่กำลังบิดขี้เกียจมากกว่า” นี่ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินประโยคนี้เข้าล่ะก็ ไม่ว่าม่านเมรีจะอยากรำถวายเทพอนุบิสอีกไหม
“ท่านก็กล่าวเกินไป นางไม่ได้ร่ายรำได้น่าเกลียดอะไรขนาดนั้น” ข้างฝั่งเทพโฮรัสก็ยังคงเข้าข้างกัน นึกอยากจะรับนางไว้เป็นกนิษฐาบุญธรรมเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

“เข้าจะว่าอย่างไรก็ว่าไปเถิด ข้าจะลงไปยังเบื้องล่างเสียหน่อย” ไม่รอคอยให้ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายรับสั่งกลับมา เทพแห่งความตายก็จำแลงกายให้อยู่ในรูปกึ่งสัตว์เทพ แล้วร่ายมนต์หายตัวออกจากวิหารไปทันที

“ทิ้งให้ข้าเฝ้าวิหารแห่งนี้เช่นเคย” เทพโฮรัสถอนปัสสาสะออกมาพลางส่ายเศียรรูปพญาเหยี่ยว แล้วก้มลงมองม่านเมรีร่ายรำด้วยความสำราญต่อไป

ก็นางร่ายรำได้น่าดูกว่าพวกเทพีบนท้องฟ้าแห่งนี้เป็นไหน ๆ ดูสิท่าโยกซ้ายส่ายขวา เหมือนหนอนน้อยที่กำลังคืบคลานอย่างเทพอนุบิสรับสั่งไว้ไม่มีผิด !




ซากวิหารอนุบิส

หลังจากที่ร่ายรำจนจบเพลงม่านเมรีก็นั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงหน้ารูปปั้นทอง สายตาทอดมองไปยังรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกสีดำที่อยู่เคียงข้างกัน จะว่าไปแล้วรูปปั้นเหล่านี้นางเคยเห็นตัวจริงมาแล้วเสียจนชินตาเลยล่ะ

ก็ท่านผู้นั้นบอกว่ามาจากฟากฟ้า แต่นางว่าอาจจะเป็นผู้ที่แกร่งกล้าในอาคมมากกว่า หรือไม่ก็เป็นเหมือนพวกเซียนที่บำเพ็ญพรตอะไรแบบนั้น

ช่วยไม่ได้ที่เธอมีมารดาเป็นคนไทย เลยทำให้ประวัติเทพเจ้าต่าง ๆ ในสมัยอียิปต์โบราณจึงห่างไกลจากตัวนางนัก เพราะได้รับการกีดกัดจากชายารองแพรฟ้า เธอจึงไม่ได้ร่วมเล่าเรียนเรื่องราวของเทพเจ้ารวมกับพี่น้องคนอื่น ๆ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดสอนเรื่องเหล่านี้ให้เธออีกต่างหาก ม่านเมรีจึงรู้จักแค่เพียงเหล่าเทวดานางฟ้า หรือพวกเซียนตามศาสนาเดิมของผู้เป็นมารดาเท่านั้น

“ร่ายรำไม่กี่เพลงเท่านั้น นี่เจ้าเหนื่อยขนาดนั้นเชียวหรือ” ประโยคแรกที่ทรงรับสั่งเมื่อเสด็จมาถึง พลางทอดพระเนตรม่านเมรีกำลังกำลังนั่งแหมะอยู่กับพื้นวิหารก็รู้สึกเสียดาย ดำริว่าจะลงมาทอดพระเนตรให้เห็นด้วยตาเสียหน่อย กลับพลาดโอกาสไปเสียได้

“ในเมื่อข้าก็มาแล้ว อนุญาตให้เจ้าร่ายรำอีกเพลงก็แล้วกัน” รับสั่งด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม พลางสาวพระบาทตรงไปนั่งบนบัลลังก์ทองข้างรูปปั้นแทนพระองค์ทันที

ว่าแต่เมื่อครู่นี้ หลายวันก่อน หรือหลายปีก่อน ก็ไม่เคยมีบัลลังก์ทองวางอยู่ตรงนี้มิใช่เหรอ ม่านเมรีคิดอย่างแปลกใจ

“สงสัยอันใดไม่เข้าท่า รีบร่ายรำเสียทีข้าไม่มีเวลามาคอยนาน” มาดูคนอื่นรำ แทนที่จะขอร้องกลับไปดี ๆ กับวางท่าราวกับว่ายิ่งใหญ่เหนือสามโลกยังไงยังงั้น

“แต่เมรีเหนื่อยแล้วล่ะ รำไปตั้งหลายเพลง ทำไมไม่ยอมรู้จักมาดู” เป็นแค่เซียนที่มีวิชาหน่อยเดียว อย่านึกนะว่าจะขู่ม่านเมรีได้ทุกครั้ง

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้าหรือไอมีอัต !” รับสั่งอย่างมิใคร่พอพระทัย แต่ทำได้แค่เพียงประทับนั่งด้วยท่าทางฮึดฮัดขัดพระทัยก็เท่านั้น

“เฮ้อ ~...นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันข้ามวันเจ้าก็ผิดสัญญากับข้าเสียแล้ว” ในเมื่อมิอาจกระทำสั่งใดได้ พระองค์ก็ยกสัญญาขึ้นมากล่าวทับเสียเลย

ข้างฝั่งคนฟังแม้จะเหนื่อยแทบตายแต่ก็ไม่อาจให้ผู้ใดมาว่าได้ว่าผิดสัญญาแต่หนหลัง นึกเจ็บใจตัวเองขึ้นมาครามครัน ในตอนนั้นไม่น่าเสียรู้ผู้มีวิชาท่านนี้เอาเสียเลย

“เมรีจะรำก็ได้ แต่ท่านต้องร้องเพลงเองนะ เมรีเหนื่อยแล้ว” คนที่อิดออดอยู่นานลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมจะรำอย่างเสียไม่ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าท่านที่กำลังนั่งอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนบัลลังก์ทองท่านนั้น จะร้องเพลงออกมาด้วยท่าทางยังไง

ก็นับตั้งแต่ที่สอนเธอร้องเพลงมาเป็นเวลา 5 ปี ไม่เคยเลยซักครั้งที่จะร้องให้ฟังซักที ดีแต่นั่งเล่นเครื่องดนตรีแล้วโยนเนื้อร้องมาให้เธอฝึกหัดเองก็เท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าตัวนี้ร้องเพลงให้แทนก็แล้วกัน” ว่าแล้วเทพอนุบิสก็ร่ายคาถาเสกนกพูดได้ขึ้นมาหนึ่งตัว

ม่านเมรีเห็นดังนั้นจึงอดเสียดายขึ้นมาไม่ได้ คิดว่าพอจะมีฤทธิ์เสกโน่นนี่ได้ก็เอาใหญ่เลยนะ ทำไมไม่เห็นจะยอมสอนวิชาคาถาเหล่านี้ให้กับเธอบ้าง

ดีแต่สอนให้ร้องเพลง กับเล่นเครื่องดนตรีโบราณอะไรทำนองนั้นก็เท่านั้น ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เธอเป็นเซียนเหมือนกับท่านได้ยังไง

เทพอนุบิสทอดพระเนตรมองม่านเมรีที่กำลังจำใจร่ายรำราวกับตัวหนอนบิดไปบิดมาด้วยความสำราญในพระทัย นึกขอบใจเทพโฮรัสขึ้นมาทันทีที่มอบนกตัวนี้ให้แก่พระองค์ ไม่เสียทีที่เป็นพี่น้องกันมานานหลายพันปี




วิหารเทพอนุบิสบนฟากฟ้า

ในระหว่างที่เทพโฮรัสกำลังประทับนั่งอยู่โยงเฝ้าวิหารเทพอนุบิสอยู่นั้น จู่ ๆ บัลลังก์ทองที่พระองค์กำลังนั่งประทับอยู่ก็หายไปราวกับมาผู้ใดมาเรียก

“ให้ตายเถอะอนุบิส คิดจะเรียกไปใช้ก็มิยอมบอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้า ขืนข้าได้รับบาดเจ็บขึ้นมา กลับวิหารไปแล้วจะรับสั่งกับเหล่าท่านแม่ว่าอย่างไรดี” เทพแห่งนภากาศที่อยู่ ๆ ก็ต้องลงไปนั่งประทับอยู่กับพื้นวิหารอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา อย่าให้เป็นทีของพระองค์บ้าง จะเอาคืนให้หนักกว่านี้เลยคอยดู !!



หลังจากนั้นม่านเมรีก็เดินทางมาเล่าเรียนยังประเทศไทย ประเทศบ้านเกิดของมารดาและตัวเธอเอง สามปีกว่าที่เล่าเรียนอยู่ที่นี่ เธอมีเพื่อนเยอะแยะ และรู้อะไรขึ้นเยอะ

แท้ที่จริงแล้วผู้มีวิชาอาคมผู้ในไม่ใช่เซียนหรือผู้บำเพ็ญพรตอย่างที่เข้าใจ แต่พระองค์คือเทพอนุบิสเทพแห่งปกรณัมอียิปต์ต่างหาก หลงให้เธอเข้าใจผิดอยู่เป็นนาน นี่คงจะคิดละสิว่า เธอเป็นแค่เด็กตัวน้อยที่โง่งมคนหนึ่ง

“ต่อไปนี้เมรีจะไม่เชื่อท่านอีกแล้วเทพบ้า !” คนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดบ่นพึมพำไปมาอย่างไม่พอใจ ตอนนี้เธออายุ 15 ปีแล้วนะ อ่านออกเขียนได้คล่องปร๋อทั้งภาษาไทยและอียิปต์เชียวล่ะ แถมเดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตก็มี ประวัติศาสตร์อะไรทำนองนี้ไม่ต้องพึ่งคนอื่นก็หาดูเองได้

“กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะไม่พูดด้วยเลยคอยดู” ม่านเมรีพลิกหนังสือไปมาอยู่แต่สามหน้านั้นจะกระดาษแทบขาด เทพอนุบิสเทพแห่งความตาย ราชาแห่งการทำมัมมี่อย่างนั้นเหรอ งั้นลองทำพระศพของพระองค์เองดูก่อนเป็นไง !

หลังจากแอบต่อว่าในใจจนหนำใจแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ม่านเมรีเลือกหนังสือได้สองเล่มก่อนที่จะเดินไปยืมกับบรรณารักษ์
“กลับบ้านดี ๆ นะเมรี ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน” เพื่อน ๆ ในกลุ่มโบกมือลาก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ม่านเมรีเดินเถลไถลแวะชมนั่นชมนี่ข้างทางตลอดทางกลับบ้าน ไม่สำนึกเลยซักนิดเลยหรือว่ามีคนรอคอยการกลับมาของเธออยู่

รู้ทั้งรู้ว่าพระองค์จะต้องเสด็จมาหาในทุก ๆ 15 วันครั้ง นี่ก็ถึงกำหนดเวลาพอดี ยังไม่รีบกลับมาให้พระองค์พบอีก เทพอนุบิสที่ยอมลงมายังต่างบ้านต่างเมืองกำลังนั่งประทับอยู่บนเตียงนอนของม่านเมรีด้วยความขัดเคืองพระทัย ไม่รู้อีกนานแค่ไหนนางถึงจะกลับมา นี่ก็รอแล้วรอเล่าจนเกือบจะบรรทมแล้วนะ

“กลับมาเสียที” ครั้นเมื่อได้ยินเสียงของเฮกาเรียกให้ม่านเมรีเข้าบ้านจากด้านล่าง พระองค์ที่อยู่ในห้องนอนชั้นสองก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความพอพระทัย เสร็จข้าล่ะไอมีอัต มาดูกันซิว่าข้ากับเจ้าใครจะแน่กว่ากัน

วรองค์สูงใหญ่ ผิวกายสีทองแดงในร่างเทพบุตรทั้งองค์ประทับยืนแล้วรอให้ม่านเมรีเดินเข้าห้องมา พระองค์รีบร่ายมนตราทำให้เด็กสาวมองไม่เห็น รอคอยเวลาที่จะแกล้งให้เธอตกใจเล่น โทษฐานที่ทำให้พระองค์รอนานบทลงโทษของนางก็ต้องแบบนี้ล่ะ

“เอ๊ะ !!” ม่านเมรีร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ที่จู่ ๆ ริบบิ้นผูกผมของเธอก็ถูกกระตุกอย่างแรงเหมือนมีคนมาแกล้งยังไงยังนั้น

เทพอนุบิสหลังจากที่ทรงแกล้งกระตุกสายผูกผมของเธอจนม่านเมรีแทบจะหายหลัง พระองค์ก็เริ่มปัดข้าวของบนโต๊ะของเธอเสียจนกระจัดกระจาย ดูคล้ายเหมือนหนังผีที่ม่านเมรีเคยดูกับเฮกาไม่มีผิด

‘คิดเสียกว่ากำลังดูหนัง 4 มิติก็แล้วกันนะม่านเมรี’คนกลัวผีน้อยกว่าศพนิดเดียว เสียวสันหลังวาบ แม้จะรู้แล้วล่ะว่าตัวเองคงจะโดนแกล้ง แต่มาแบบไม่เห็นตัวเห็นตนแบบนี้ใช่ว่าจะทำใจได้

“แหะ ๆ ๆ...เรามาคุยกันก่อนดีไหมเพคะ เมรีขอโทษก็ได้ที่กลับมาช้า” ลงทุนง้อก่อนแล้วนะ อย่าเล่นตัวให้มากนักล่ะ เดี๋ยวจะพาลโกรธไม่รู้ด้วย

“อืม...ว่าง่าย ๆ เช่นนี้ ค่อยดูเป็นเจ้าขึ้นมาหน่อย” อย่าลอยมาแต่เสียงแบบนี้สิ มันยิ่งน่ากลัวไม่ใช่เหรอ

“เมรีแค่เผลอคุยกับเพื่อนนานไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” อ่อนให้อีกนิด เผื่อเทพที่ไม่ยอมปรากฏตนออกมาจะเห็นใจกันบ้าง

“ไม่ใช่ว่ามัวแต่เถลไถลไม่ยอมกลับมาพบข้าหรอกหรือ” รู้ดีเสียขนาดนี้แล้วยังจะถามทำไม

ม่านเมรีทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางทำปากยื่น เริ่มชินกับข้าวของที่ลอบไปลอยมาได้เองภายในห้องบ้างแล้ว

“ก็ไม่รู้ว่าเทพที่ไหน มาทำให้เมรีคิดไปเองว่าเป็นเซียนบ้างล่ะ เป็นผู้มีอาคมบ้างล่ะ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ แล้วจะไม่ให้เมรีโกรธได้ยังไง” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ถือโอกาสต่อว่าซะเลยอุตส่าห์ทำให้ตนเข้าใจผิดอยู่นาน

เทพอนุบิสเมื่อได้ยินนางกล่าวดังนั้นจึงหยุดร่ายเวทย์ที่ทำให้ข้าวของลอยไปมา แล้วมาแล้วปรากฏกายขึ้นเพื่อเจรจาความกับเด็กสาวตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง

ร่างเทพของเทพอนุบิสนั้นทั้งสูงใหญ่และกำยำ ทุกอณูบนร่างเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แสดงชัดถึงความแข็งแกร่ง พระฉวีวรรณสีทองแดงเข้มตามชาติกำเนิด วงพักตร์งามเลิศราวกับมีใครมาสลัก พระขนงดกหนาเป็นปื้นพาดเฉียงอยู่เหนือเนตรเฉียบคมสีนิลกาล แต่ทว่าริมพระโอษฐ์กลับบางเฉียบราวกับอิสตรีก็ไม่ปาน

ม่านเมรีที่เพิ่งจะเคยเห็นร่างเทพของพระองค์เป็นครั้งแรกโดยที่ไม่มีพระเศียรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกก็ตะลึงไปทันที ในขณะที่เทพแห่งความตายกำลังทอดพระเนตรมองเด็กสาวตรงหน้าซึ่งบัดนี้อายุได้ 15 ปีแล้วอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน นางในวันนี้มีไปหน้าเรียวยาวเป็นรูปไข่ ผิวพรรณเนียนละเอียดขาวใสราวกับแก้วที่เจียระไนแล้ว สองแกมแดงระเรื่อน่ามอง สองตากลมโตสดใส ดูเป็นเด็กที่น่ารักน่าใคร่ไม่หยอก

“จะจ้องข้าอีกนานไหม” ในที่สุดก็รับสั่งออกมาอย่างเสียไม่ได้ นางจะจ้องให้พระองค์มีเขี้ยวงอกออกมาด้วยหรือยังไงกันนะ

“เอ่อ...ก็เมรีไม่คิดว่า....”

“ไม่คิดว่าอะไร !” ตรัสถามออกไปอยากคุกคาม พลางสาวพระบาทเข้ามาใกล้เธออีกนิด

“ไม่คิดว่าจะทรงแกล้งกันแบบนี้” ผิดจากความคิดไปมาก ก็ใครจะไปรู้กันล่ะว่าร่างเทพของพระองค์ก็ทำให้เด็กคนหนึ่งถึงกับเคลิ้มได้

“แล้วผู้ใดกันที่จงใจผิดนัดกับข้าก่อน” ไม่ได้งอนอะไรหรอกนะ ที่ไม่ชอบรอใครนานก็เท่านั้น

ม่านเมรีถอนหายใจออกมาเสียงดังพลางทำใจ นี่เธอก็ง้อไปแล้วไง ยอมอ่อนให้ไปตั้งเยอะยังไม่พออีกเหรอ

“สิบห้าวันที่ผ่านมานี้ เจ้าทำอะไรบ้าง” รับสั่งถามแบบนี้ทุกครั้งที่มาเจอกัน ชวนเปลี่ยนเรื่องง่าย ๆ แบบนี้นี่ล่ะ ใครจะทำไม

“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย ไปเรียนหนังสือเหมือนกับทุกวัน ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ บ้าง...ตามวัย” ม่านเมรีจำไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่เธอตอบคำถามแบบนี้

“ก็ดี ...จะมาบอกเจ้าว่าถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องไปจากที่นี่” รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จตรงไปยังริมหน้าต่าง พลางดำริถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นยังวิหารของเทพธอธ

“ไม่ไป !...เมรียังเรียนอยู่เลยนะ แล้วจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” นึกอยากจะไปก็ไปได้เลยที่ไหนกัน เธอไม่ใช่เทพเจ้าอย่างพระองค์นี่ถึงจะได้หายไปเฉย ๆ ได้

“แต่เทพธอธมีรับสั่งออกมาแล้วว่าต้องเป็นเจ้า ต่อให้ร้องจนคอแห้งตาย คราวนี้ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้” เทพอนุบิสรับสั่งออกมาโดยไม่ไขข้อข้องใจให้ม่านเมรีใด ๆ ทั้งสิ้น

“แม้แต่พระองค์ก็ช่วยเมรีไม่ได้ย่างนั้นเหรอ” คนไม่อยากไป เริ่มปลุกความทะนงตนในเทพแห่งความตายพระองค์นี้ขึ้นทันที เพราะรู้ดีว่าอุปนิสัยของพระองค์ไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียร์ติได้

“แล้วเจ้ามีความสำคัญขนาดไหนกันเชียว ข้าจะต้องเหลียวแลเจ้าหรือ” รับสั่งกลับไปด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย เล่นเอาม่านเมรีสะอึกไปเลยด้วยความคาดไม่ถึง

“อย่างดื้อดึงอีกเลยเมรี เสียเวลาเปล่า ข้ามาเพื่อบอกเจ้าเท่าแค่นี้ล่ะ และจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมทุกเมื่อ” และพระองค์ก็ทรงเบื่อที่จะเล่นกับนางแล้วเช่นกัน แต่หลายปีมานี้ก็นึกขอบใจนางอยู่ไม่น้อยที่ทำให้พระองค์เกษมสำราญได้บ้าง

“ข้าไปล่ะ คิดว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” รับสั่งสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไป ยิ่งนางโตมากขึ้นเท่าไหร่พระองค์ก็ยิ่งไม่อยากเจอ
‘เผลอเล่นกับนางครู่เดียวผ่านไปตั้งหลายปีขนาดนี้เชียวหรือ ?’ ทรงดำริอย่างตกพระทัย

เห็นทีจะไม่ได้การ ทรงเสียเวลาไปกับนางนานเกินไปแล้วจริงๆ !

ข้าไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่เทพธอธกล่าวมาจะแก้ไขไม่ได้ คู่ครองเป็นเรื่องที่พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน หรือต่อให้คิดสตรีนางนั้นพระองค์จะต้องเป็นผู้สรรหาด้วยพระองค์เอง
ไม่ใช่สตรีที่เห็น ๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษให้จดจำ !!



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ย. 2556, 09:13:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2556, 18:31:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1161





<< ตอนที่ 3 ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (1)   ตอนที่ 5 ศึกษา เล่าเรียน >>
รรรรรรณ์ 15 พ.ย. 2556, 09:18:00 น.
@ K ร้อยวจี อัพตอนใหม่แล้วนะคะ

@ K กันต์ระพี ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะสำหรับกำลังใจ

@ K Zephyr ตัวใหญ่เท่าลูกช้างขนาดนี่กอดน้า ~ จะว่าไปแล้วก็น่าลองจับดูคะ


ร้อยวจี 15 พ.ย. 2556, 11:32:17 น.
รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ อยากรู้จัง นายอนูบิสจะทิ้งเด็กได้ลงคอหรือเปล่า


Zephyr 15 พ.ย. 2556, 12:36:46 น.
ไม่มีไรให้จดจำ จริงเร้ออออ
เห็นมาตั้งแต่เกิดนะ แหย่เล่นมาตั้งแต่เด็กนะ มาหาทุกสิบห้าวันไม่เคยขาด
ดูแลอย่างดีไม่มีริ้นไรไต่ตอมเลย เลี้ยงต้อยมานานขนาดนี้ ยังบอกไม่มีไรให้จำ
เฮอะ เทพปากแข็งไม่ตรงกับใจ เทพธอธยกยายไอมีอัตนี่ให้โฮรัสเลยๆๆๆๆ
ยกเลยๆๆๆๆ ในเมื่ออนูบิสไม่สนใจ ช่างท่านเถอะะะะะะะ


กันต์ระพี 15 พ.ย. 2556, 20:43:05 น.
อ่านแล้วอมยิ้มค่ะ ไม่เครียด
ถ้าเพิ่มการบรรยายสถานที่อีกนิดก็คงดี จะได้อรรถรสและน่าติดตามมากขึ้นค่ะ


ใบบัวน่ารัก 16 พ.ย. 2556, 07:17:57 น.
เซ็ง ใจคอจะไม่ให้เรียนหนังสือกันเลยหรือไร
ให้ใช้ชีวิตเป็นนางทาส โง่ๆๆโดนคนอื่นแกล้ง
ว่าเอาได้ว่าโง่ไม่มีการศึกษา.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account