ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!
เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น
ตอน: ตอนที่ 5 ศึกษา เล่าเรียน
ศึกษา เล่าเรียน
ใต้พื้นพิภพ
โลกแห่งความตาย...ดินแดนของเทพโอซิริส
เทพอนุบิสกำลังชั่งหัวใจของเหล่าวิญญาณกับขนนกของพระองค์ว่าสิ่งไหนเบากว่ากันด้วยตาชั่งน้ำหนักแห่งความยุติธรรม และถ้าหัวใจดวงนั้นหนักกว่าขนนกของพระองค์แล้วล่ะก็ ดวงวิญญาณดวงนั้นก็จะถูกโยนให้แอมมัต สัตว์ประหลาดที่มีร่างกายเป็นครึ่งสิงโตครึ่งฮิปโป ส่วนหัวเป็นจระเข้ กัดกินดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ได้รับความทุกทรมานให้สาสมกับความชั่วที่ได้กระทำมา ก่อนที่จะส่งไปยังแดนนรกเพื่อให้เทพโอซิริสพิพากษาต่อไป ส่วนหัวใจที่เบากว่าขนนกนั้น จะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ แล้วจะถูกส่งไปยังโลกแห่งวิญญาณใหม่ เพื่อรอไปเกิดอีกครั้งตามผลบุญและผลกรรมที่ได้ทำมา
เทพโฮรัสที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งหน้าที่ของพระองค์ในยมโลกนั้นก็การขานนามของผู้ที่ได้รับการชั่งหัวใจแล้วว่าสมควรไปอยู่ ณ ดินแดนใด ในขณะที่เทพธอธซึ่งเป็นเทพอาวุโสจะทำหน้าที่บันทึกคำตัดสินเพื่อรายงานต่อเทพโอซิริส
หลังจากเสร็จภารกิจเทพทั้งสามก็ตกลงกันว่าจะไปเข้าเฝ้าเทพโอซิริสพร้อม ๆ กัน
“เจ้าบอกกับนางแล้วใช่หรือไม่ว่าข้ากำลังต้องการตัว” เทพธอธในร่างกึ่งเทพที่มีเศียรเป็นรูปนกกระสารับสั่งขึ้นระหว่างการเดินทางไปเข้าเฝ้าเทพโอซิริส
เทพอนุบิสครั้นเมื่อได้ฟัง พระองค์เพียงแค่พยักพักตร์รูปสุนัขจิ้งจอกกลับไปเท่านั้น ข้างฝั่งเทพโฮรัสอดไม่ได้ และไม่ยอมถูกกันเป็นคนนอกที่ไม่รู้อะไรจึงตรัสถามขึ้นมาทันที
“พวกท่านมีความลับอะไรกันไม่ยอมบอกกล่าวกับข้างเช่นนั้นหรือ” ถือได้ว่าในเทพสามพระองค์นี้เทพโฮรัสเป็นเทพที่มีอายุน้อยที่สุด และมีอุปนิสัยคล้ายเด็กเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ทั้งเทพธอธและเทพอนุบิสก็ไม่เคยถือสาหาความแต่อย่างใด
“ถือเสียว่ายอมให้เทพน้อยที่มีอายุน้อยกว่าเป็นพัน ๆ ปี คนหนึ่งก็แล้วกัน” เทพธอธเคยกล่าวเช่นนั้น
“ข้าก็ถือว่ามีน้องชายกับเขาแค่คนเดียว เดี๋ยวผู้อื่นจะหาได้ว่าข้ารังแกเขา” เทพอนุบิสก็เคยรับสั่ง
“ว่าอย่างไรเล่า” เทพเอาแต่ใจถามย้ำอีกครั้ง มีความลับอะไรกันแน่ ทำงานร่วมกันมาเป็นพัน ๆ ปีแท้ ๆ ยังกล้ามีความลับกับเทพนภากาศอย่างเขาอีกเหรอ
ครั้นเมื่อเห็นว่าเทพอนุบิสไม่มีทีท่าว่าจะกล่าวสิ่งใด เดือนร้อนเทพอาวุโสอีกครั้งที่จะต้องเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้แก่เทพน้อยพระองค์นี้
“ข้าแค่อยากพบนางสักครั้งก็เท่านั้น” สมกับเป็นเทพแห่งปรมาจารย์ รับสั่งแต่ละครั้งต้องตีความด้วยตัวเองเสมอ
“ผู้ใดกันหรือท่านลุง” คำกล่าวนั้นทำให้เทพธอธถึงกับสำลัก ในขณะที่ริมฝีปากของเทพอนุบิสปรากฎรอยแย้มสรวลขึ้นมาเล็กน้อย โฮรัส เอ๋ย โฮรัส เจ้าช่างรนหาที่ตายแท้ ๆ พระแม้แต่พระองค์ก็ยังมิกล้าที่จะเอ่ยเรียกขานด้วยสรรพนามนั้น
ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เทพธอธที่ดูสูงส่ง สง่างาม หาใช่จะพระทัยดีอย่างรูปลักษณ์ไม่ มีครั้งหนึ่งที่พระองค์เคยสาปให้วิญญาณบาปที่คิดจะหลบหนี กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ต้องหิวโซอย่างทรมาน หนำซ้ำยังถูกไฟจากนรกโลกันต์เผาไหม้อยู่ใต้ฝ่าเท้าทุกๆวันอีกด้วย !
“เจ้าเรียกข้าว่าเยี่ยงไรหรือหลานรัก” ว่าแล้วไหมล่ะ ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน น้ำเสียงเยือกเย็นที่รับสั่งออกมาแต่ละคำนั้น ราวกับสาดอาวุธนับพันตรงมายังเทพนักรบในร่างกึ่งพญาเหยี่ยวเลยเชียวล่ะ
“เอ่อ...ท่านอาจารย์ ข้าหมายความว่าท่านอาจารย์หมายถึงผู้ใดกัน” เกือบไปแล้วไหมล่ะ อายุเกือบจะหมื่นปีแล้วกระมัง ท่านลุงของพระองค์ท่านนี้
“ข้าแค่อยากพบนาง สตรีที่เป็นชายาหนึ่งเดียวของเทพบางองค์” คร้านจะต่อความกับหลานนอกไส้ จะเคยสำนึกบ้างไหมว่าบิดาและมารดาของพวกเจ้าได้ถือกำเนิดมาเพราะผู้ใดกัน
ถ้าไม่ใช่ข้าออกอุบายในกาลครั้งนั้น มีหรือที่เทพโอซิริส เทพเซท เทพีไอซีส และเทพีเนฟทีส จะถือกำเนิดขึ้นมาได้
“ออ...ที่แท้ก็ชายาของเทพแถว ๆ นี้นี่เอง” พยักพักตร์รูปพญาเหยี่ยวหงึก ๆ อย่างเข้าพระทัย
“นางมาถึงเมื่อไหร่ ท่านอาจารย์อยากลืมชวนข้ามาร่วมสนุกด้วยล่ะ” แค่คิดก็เกษมสำราญแล้ว นานกี่ปีแล้วนะที่พระองค์มิได้เฝ้าดูนาง ดำริพลางโผทะยานตรงไปยังวิหารโอซิริสซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของขอบฟ้าเป็นพระองค์แรก
“ผู้ใดตามทัน ข้าจะยอมเป็นข้ารับใช้ห้าพันปี !!”
แน่ละจะมีผู้ใดกันที่จะติดตามเทพแห่งนภากาศได้ทัน !
เทพอนุบิสส่ายพระเศียรไปมาอย่างระอาในพระทัย พลางเหลือบมองไปยังท่านลุงซึ่งเป็นเทพแห่งการเวลาในร่างกึ่งเทพกึ่งนกกระสาที่อยู่เคียงข้างกัน
“ท่านอาจารย์มิอยากได้ข้ารับใช้ไว้คอยดูแลซักห้าพันปีหรือ” รับสั่งของเทพแห่งความตายทำให้เทพธอธทรงพระสรวลออกมาเสียงดัง
“เจ้าเองก็อย่าหาภาระเยี่ยงนั้นมาให้ข้านักเลย” รับสั่งของพระองค์มิได้บอกแน่ชัดว่าถ้าเกิดแข่งขันกันขึ้นมาจริงๆใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าให้เทพอนุบิสคาดเดาล่ะก็ พระองค์ถือข้างท่านลุงแน่แท้
“ส่วนเจ้าเองก็เช่นเดียวกัน อย่ามัวแต่เสียเวลาเดินทางผิดต่อไปอีกเลย” แม้แต่ความลับของพระองค์ที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ก็มิอาจรอดพ้นจากสายพระเนตรพระกรรณของเทพแห่งกาลเวลาได้
“จงอย่าให้มันสายเกินไป แล้วเจ้าจะสูญสิ้นทุกอย่างเลยนะอนุบิส” สิ้นรับสั่งพระองค์ก็เสด็จเข้าไปยังวิหารโอซิริสที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามในร่างเทพเต็มองค์ทันที ทิ้งให้เทพอนุบิสคิดทบทวนในสิ่งที่ได้รับฟังมา
“หรือข้าจะเดินทางผิดไปแล้วจริงๆ !!!”
วิหารโอซิริส
เทพบิดาผู้ดูแลภพภูมิเบื้องล่าง ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองกลางท้องพระโรง ด้านข้างมีพระชายาประทับนั่งเคียงข้างกันทั้งซ้ายขวา เทพีไอซีสผู้เป็นมารดาของเทพโฮรัส และเทพีเนฟทีสผู้เป็นมารดาของเทพอนุบิส
“มากันแล้วหรือ” ราชันแห่งมาตุภูมิรับสั่ง พลางชะเง้อหาบุตรชายอีกคนที่ไม่ได้เสด็จตามมาด้วย
“อนุบิสล่ะ” ตรัสถามอย่างกระวนกระวายพระทัย
“เสด็จพ่อก็เอาแต่ห่วงอนุบิสเช่นเคย” เทพโฮรัสรับสั่งออกมา แต่หาใช่ด้วยความอิจฉาริษยาแต่อย่างใด พระพระองค์ทรงให้เกียรติและเคารพพระเชษฐาองค์นี้เสมอ ยิ่งเมื่อครั้งเทพอนุบิสได้ช่วยเทพีไอซิสตามเก็บและร่วมรวมร่างของเสด็จพ่อเมื่อกาลก่อน พระองค์ก็ยิ่งซาบซึ้งในพระทัย
“ท่านอาจารย์ก็เสด็จมาด้วย” เทพโอซิริสก้าวลงจากบัลลังก์เสด็จลงมารับเทพธอธด้วยตัวของพระองค์เองพร้อมด้วยเทพีไอซีสและเทพีเนฟทิส
“ข้าแค่มาเป็นเพื่อนอนุบิสเท่านั้น” รับสั่งด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย
“แล้วอนุบิสเล่าเพคะ” เทพีเนฟทีสตรัสถามบ้าง นานแค่ไหนแล้วนะที่พระนางมิได้พบหน้าบุตรชายองค์นี้เลย
“กลับไปแล้วล่ะ” ว่าพลางแล้วเสด็จไปประทับนั่งบนบัลลังก์ทองพลางขมวดปลายเกศาสีขาวยวงที่ยาวเลยพระชานุเล่น
เห็นเทพธอธในลักษณะเช่นนี้ แต่พระองค์ก็มีพระพักตร์ราวเด็กหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดก็มิปาน ผิดกับเทพโอซิริสที่บัดนี้มีพระพักตร์อายุประมาณสี่สิบชันษาปลาย ๆ
“กลับไปแล้วหรือเพคะ” เทพีเนฟทิสมีสีพระพักตร์หมองเศร้า
“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอกน้องข้า เดี๋ยวข้าจะให้โฮรัสตามไปดู” เทพีไอซีสมีรับสั่งให้เทพโฮรัสติดตามพี่ชายไป
“ข้าทราบมาว่าท่านอาจารย์อยากพบนางเช่นนั้นหรือ” หลังจากทำพระทัยกับความผิดหวังที่มิได้เจอบุตรชายองค์โตได้แล้ว เทพโอซิริสจึงหันมาตรัสถามเทพธอธบ้าง
“ดวงชะตาของนางต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่ ถ้าข้ามิใช่ผู้สั่งสอนนางด้วยตนเอง เจ้าคิดว่าจะให้ผู้ใดสั่งสอนนางหรือ” เทพแห่งการเวลารับสั่งกลับมาอีกครั้ง
ชายาของเทพแห่งความตายใช่ว่าผู้ใดนึกอยากจะเป็นก็เป็นได้ ไหนจะต้องเสียสละพลังวิญญาณทุกครั้งเพื่อรักษาเทพอนุบิสผู้มีร่องรอยบาดแผลขนาดใหญ่ที่มิอาจให้ผู้ใดรับรู้ได้พระองค์นั้นอีก !!
“แล้วอเมนเททล่ะ จะทำอย่างไร” เทพีเนฟทีสตรัสถาม พระถึงอย่างเทพธิดานางนั้นก็เคยถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นชายาของอนุบีสมาก่อน และยังเป็นถึงเทพธิดาแห่งความตายผู้คอยประทานขนมปังและน้ำให้แก่ดวงวิญญาณที่หิวโหยก่อนที่จะส่งต่อไปยังดินแดนแห่งความตายอีกด้วย
“เทพีองค์นั้นเกี่ยวอะไรกับข้า” เทพธอธรับสั่งอย่างเบื่อหน่าย เพราะรู้ดีกว่าเทพีเนฟทิสอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งความคิดนี้ออกจะขัดแย้งกับพระองค์เล็กน้อย เพราะยังไงพระองค์ก็เอ็นดูเด็กสาวผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนั้นมากกว่า
อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ติดใจท่าทางร่ายรำแบบตัวหนอนตอนนางแสดงให้เทพอนุบิสดูแล้วพระองค์บังเอิญเดินทางไปเห็นก็เป็นได้ !
คืนวันเดียวกัน
ร่างกึ่งเทพสูงโปร่งปรากฏกายขึ้นมาภายในห้องนอนของม่านเมรี ผู้มาใหม่สาวพระบาทตรงไปยังหน้าเตียงของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่
“นี่นะหรือว่าที่ชายา” เทพผู้นั้นรับสั่งติดริมพระโอษฐ์พลางขยับเข้าไปใกล้ ทอดพระเนตรมองร่างทารกน้อยในความคิดของพระองค์ด้วยความเอ็นดู
“จะว่าไปแล้วก็น่ารักดี” เนื่องจากครั้งก่อนแค่แอบผ่านมาเห็น จึงมิได้พิจารณาให้ชัดเหมือนเช่นครั้งนี้
ม่านเมรีที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาแล้ว
“เอาตัวไปเลยก็แล้วกัน ข้าชักถูกใจขึ้นมาแล้วสิ” ร่างกึ่งเทพนั้นร่ายมนตราโอบล้อมร่างน้อยของม่านเมรีราวกับมีปีกจำนวนหนึ่งมารองรับ ก่อนที่พระองค์จะจารึกอักษรไว้กลางอากาศด้วยภาษาโบราณ ทิ้งไว้ให้ข้ารับใช้อย่างเฮกาที่นอนอยู่อีกห้องหนึ่งเอาไว้แก้ปริศนาดู
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเป็นผลงานของเทพองค์ใด !!!
กองคาราวานของชีคฮามาน
ท่านหญิงน้อยเมอริคาเรกำลังนอนฝันถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ไปมาก่อน สถานที่แห่งนั้นคล้ายวิหารของเทพเจ้าอียิปต์ในยุคโบราณ ด้านหน้าของวิหารมีรูปสลักของเทพผู้มีพระเศียรเป็นรูปพญาเหยี่ยววางอยู่
“วิหารเทพโฮรัส” ท่านหญิงน้อยวัย 13 ชันษาพึมพำกับตัวเอง พลางอมยิ้มน้อย ๆ ออกมา เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฝันอะไรแบบนี้
“เข้าไปดูเสียหน่อยแล้วกัน” ยังไม่ทันกล่าวขออนุญาตผู้เป็นข้าวของเสียด้วยซ้ำ เมอริคาเรก็วิ่งเข้าไปในวิหารทันที เพราะคิดว่าไม่ต้องขออนุญาตใครก่อนให้ยุ่งยาก ในเมื่อเป็นความฝันของเธอ เธอจะทำอะไรก็ย่อมได้
“สวยจังเลย วิหารหินอ่อนสีขาว” เด็กน้อยเดินไปจับโน่นจับนี่เล่นด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ ข้าวของภายในวิหารแห่งนี้ส่วนใหญ่ทำจากหินอ่อน ยกเว้นบัลลังก์สองอันที่วางอยู่ใจกลางวิหารเคียงข้างกันเท่านั้นที่ทำด้วยทองทั้งหมด
ตามที่รู้มาวิหารโฮรัสมีบัลลังก์อันเดียวมิใช่หรือ ?
เมอริคาเรคิดอย่างสงสัย ก็ในวิชาประวัติศาสตร์ที่นางเคยเล่าเรียนมา เทพีฮาเทอร์ผู้เป็นชายาของพระองค์มิได้ประทับอยู่ในวิหารด้วยกันนี่นา
“อ๋อ...รู้แล้วล่ะ นี่เป็นฝันของเมอริตนี่เอง ถ้าอย่างัน้นบัลลังก์อันนี้ก็เป็นของเมอริตนะสิ” ท่านหญิงน้อยคิดเองเสร็จสรรพ พลางวิ่งตรงไปยังบัลลังก์อันเล็กกว่างที่วางอยู่เคียงข้างกันทันที เห็นใกล้ ๆ แบบนี้จึงรู้ว่าบนพนักพิงประดับด้วยเพชรเป็นรูปพญาเหยี่ยวที่มีดวงตาสีมณีแดงอีกด้วย
“สวยจัง” เมอริคาเรอุทานออกมา พลางนั่งลงดู
“อืม ~...สบายชะมัด ชัดติดใจแล้วสิ อยู่ที่นี่ตลอดไปเลยดีไหม” ก่อนพูดออกไป ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดดีแล้วขนาดไหนกันเชียว
และในขณะที่เมอริคาเรกำลังสนุกสนานอยู่ในวิหารนั้น ข้างฝั่งเทพโฮรัสที่กำลังประทับอยู่กับเทพีไอซีสผู้เป็นมารดาที่วิหารของพระนางก็รับรู้ได้ว่า วิหารของพระองค์มีผู้บุกรุก
“หม่อมฉันขออนุญาตกลับวิหาร มีผู้บุกรุกเข้ามา ต้องกลับไปจัดการเสียหน่อย” รับสั่งเสร็จก็จำแลงกายเป็นพญาเยี่ยวโผทะยานออกไปทันที
ผู้ใดกันที่บังอาจเยี่ยงนี้ กล้าลองดีกับเทพแห่งนักรบเช่นพระองค์ !!!
เช้าวันต่อมา
ม่านเมรีที่นอนจนเต็มอิ่มค่อย ๆ ขยับเปลือกตาตื่นขึ้นมาทีละน้อย เด็กสาวลืมตามองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นแต่ข้าวของแปลกหูแปลกตาก็ให้รู้สึกตกใจ
‘ที่ไหนกัน !!’ ร่างนั้นทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งทันที พลางเบิ่งตากว้าง แล้วคิดทบทวน หวนคิดได้ว่าว่าเมื่อคืนเข้านอนแล้วก็ฝัน ฝันว่ากำลังเดินหมากกับนกกระสาตัวหนึ่งภายในสถานที่แปลกๆ อืม ~ จะว่าไปแล้วที่นี่ก็มีส่วนคล้ายอยู่
ครั้นเมื่อมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ก็เห็นร่างกึ่งเทพของคนผู้หนึ่งที่มีเศียรเป็นรูปนกกระสานั่งอยู่ตรงนั้น...ใช่เลย ! เหมือนความฝันทุกประการ ขาดแต่กระดานหมากรุกที่ไม่รู้ว่าหายไปตอนไหน
‘อา ~ ที่แท้ก็ฝันซ้อนฝัน’ คิดได้ดังนั้น จึงล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพื่อสานฝันต่อ คราวก่อนแพ้ไปสองกระดาน คราวนี้อย่าคิดเลยว่าเมรีจะยอมอ่อนให้ !
ว่าแล้วก็เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเพื่อดำเนินฝันที่ค้างเอาไว้ เล่นเอาเทพธอธที่พระทัยจดจ่อเฝ้ารอการตื่นขึ้นมาของนางทำอะไรไปถูกไปเลยเหมือนกัน
“เฮ้อ ~ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวถึงเจ้าว่าอย่างไรดี ใจแข็งเกินไปจนไม่กลัวสิ่งก็ไม่น่าใช่ หรือขวัญอ่อนเกินไปจนไม่กล้ายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่เชิง” เทพแห่งการเวลาส่ายพระเศียรไปมา ก่อนที่พระองค์จะจำแลงกายเป็นนกกระสาทั้งตัวเพื่อเข้าไปเล่นหมากรุกกับนางอีกครั้ง
บทเรียนบทแรกสำหรับลูกศิษย์พิเศษของพระองค์เอาเป็นวิชาหมากรุกก็แล้วกัน ไว้เต็มใจตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยมาเรียนอย่างอื่นกันอีกที
วิหารอนุบิส
เทพแห่งความตายทรงรับรู้ได้ด้วยพระองค์เองเช่นกัน ว่าบัดนี้ม่านเมรีถูกท่านลุงพาตัวมายังวิหารธอธเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่รอให้นางตื่นขึ้นมาเท่านั้น
“ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด !” เทพอนุบิสแสยะยิ้มออกมา พระองค์กล้ารับสั่งออกมาเลยว่า นางผวาจนไม่อยากตื่นต่างหาก เนื่องจากยังมิได้เตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนกับตอนเจอพระองค์ครั้งแรกแล้ววิ่งหนีอะไรแบบนั้น
ส่วนเรื่องสถานที่แปลกใหม่กับนกกระสาในร่างมนุษย์นั่นนะเหรอ เธอก็เห็นพระองค์แปลงเป็นร่างกึ่งเทพที่มีเศียรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกมาจนชินแล้วล่ะ !!
“ข้าจะรอดูสิว่า เจ้าจะหนีเทพธอธได้กี่ราตรีกัน !”
วิหารเทพโฮรัส
“ผู้ใดกันกล้าบุกรุวิหารส่วนตัวของข้า !” เทพนภากาศส่งเสียมาก่อนตัว ทำให้เมอริคาเรที่กำลังนั่งฝันหวานอยู่บนบัลลังก์ทองสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว
“ที่แท้ก็เป็นเทพธิดาน้อยปลายแถวนางหนึ่ง” เพราะมัวแต่ร่ายมนตราจำแลงกายกลับเป็นกึ่งเทพ จึงทำให้มองท่านหญิงน้อยกลายเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งไปเสียได้ และจะไม่ให้พระองค์ดำริเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อวิหารของพระองค์นั้นมักมีเทพธิดามาเยือนอยู่เป็นนิจในยามที่พระองค์ไม่ประทับอยู่
เนื่องจากมีมารดาเป็นถึงเทพีสูงสุดของเหล่าเทพธิดา ทำให้เทพอนุบิสเป็นเทพที่ได้พบปะกับเหล่าเทพีนางฟ้ามากที่สุดพระองค์หนึ่ง
และด้วยรูปกายเทพของพระองค์ก็ทรงสิริโฉมงดงามไม่น้อยไปกว่าพระเชษฐาแต่อย่างใด อีกทั้งอุปนิสัยก็เป็นมิตรมากตามเผ่าพันธุ์พญานกผู้สื่อสาร เลยทำให้เป็นที่นิยมชมชอบมิใช่น้อย
เมอริคาเรรอยคอยจนพระองค์จำแลงกายเสร็จจึงเอ่ยขึ้นมา
“เทพโฮรัส เทพแห่งนักรบเช่นนั้นหรือ” เทพโฮรัสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกพระทัยขึ้นมาเล็กน้อย พระองค์รีบสาวพระบาทเร็วตรงไปยังหน้าบัลลังก์ทอง ทอดพระเนตรเห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น
“ใครอนุญาตให้เจ้าขึ้นไปนั่ง !!” ตวาดออกมาเสียงดัง บัลลังก์นั้นพระองค์อุตส่าห์สร้างขึ้นมา เพื่อให้มีเหมือนกันแบบวิหารของเทพอนุบีสเชียวนะ นางถือสิทธิ์อะไรขึ้นไปนั่ง
ขนาดเทพีฮาเทอร์ผู้ที่ถูกวางตัวเอาไว้ว่าจะเป็นชายาของพระองค์อย่างแท้จริงและมาเยือนวิหารของพระองค์บ่อยครั้ง ยังมิกล้าขึ้นไปประทับนั่งเลย
“อะไรกัน ท่านทำให้ข้าตกใจนะ บัลลังก์นี้ข้าก็นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” สมเป็นท่านหญิงน้อยจอมซื่อบื้อของกองคาวานเสียจริง
“ลงมาเดี๋ยวนี้นางมนุษย์น้อย” ทรงรับสั่งอีกครั้งอย่างพระทัยเย็น แต่เมอริคาราก็ยังเชื่องช้าไม่รู้ความ นางเอาแต่ส่ายหน้าไปมา แล้วลูบบัลลังก์ทองอันเล็กของพระองค์เล่น
“หึ ๆ ๆ...เจ้าไม่ยอมลงมาอย่างนั้นใช่ไหม !” รอบแสยะยิ้มที่เลียนแบบพระเชษฐามา เพิ่งปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก นับว่านางก็มีดีเหมือนกันที่ทำให้เทพแห่งนักรบพระองค์นี้มีโทสะขึ้นมาได้
ต้องทราบเช่นกันว่ามีเพียงเทพเซทซึ่งเป็นท่านน้าของพระองค์ และคู่ปรับตลอดการเท่านั้นถึงจะได้เห็นสีพระพักตร์โกรธเกรี้ยวมีโทสะเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าครานี้เมอริคาเรคงจะรอดยาก
“รีบกลับไปซบอกบรรดาพี่ชายของเจ้าซะเด็กน้อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าไม่รับรองเลยว่าเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใด !!”
วิหารแห่งธอธ
สามราตรีที่ผ่านมา ม่านเมรีเอาแต่ดวลหมากกับเทพแห่งการเวลาผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะแพ้ทุกรอบแต่โดยนิสัยแล้วเธอก็ไม่เคยถอดใจ ไม่รู้ว่าสมัยเด็กๆอนุบิสสั่งสอนมายังไง ถึงติดนิสัยดื้อด้าน ยึดติดแบบนี้มาได้
“เหนื่อยหรือยัง” เทพธอธรับสั่ง ประทับนั่งอยู่ในร่างเทพที่มีเรือนผมสีเงินยวง พลางท้าวพระหนุด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ยังไม่คุ้นชินกับข้าอีกหรือ” คำตอบที่ได้มา ม่านเมรีแค่เพียงส่ายหน้าไปมาเท่านั้น
“เฮ้อ ~” เสียถอนพระทัยเสียงดัง
“เจ้าจะถ่วงเวลาอีกนานไหม !” มีเรื่องใดบ้างที่เทพแห่งกาลเวลาจะไม่รู้
“ท่านแอบอ่านใจเมรีเหรอ” ถ่วงเวลาได้อีกซัดนิดก็ยังดี
“เจ้าคิดว่าข้าคือใครกัน หมื่น ๆ ปีมานี้มนุษย์มีนิสัยเช่นไรบ้าง ข้าศึกษามาหมดแล้ว” สมกับเป็นเทพที่ไม่แก่ไม่ตายเสียจริง
“แอบนินทาข้าอยู่ล่ะสิ” รับสั่งต่อมาทำให้เด็กสาวหน้าม่อย ไม่เล่นแล้วก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่ชนะ แม้ว่าสามวันสามคืนที่ผ่านมา เธอจะมีความก้าวหน้าในเรื่องการเดินหมากไปมากก็เถอะ
“ดีมาก งั้นเรากลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันเลยดีไหม” เทพแห่งกาลเวลามีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
“เจ้าจะได้กราบข้าเป็นอาจารย์เสียทียังไงล่ะ” แทบจะทนรอไม่ไหวเชียวนะ ลูกศิษย์ผู้หญิงในรอบหลายพันปี แถมยังเป็นทารกน้อยที่อายุแค่เพียง 15 ปีอีกต่างหาก
“ไม่เห็นอยากจะเป็นเลย” คำตอบของนางทำให้สายพระเนตรของเทพธอธที่ทอดมองมาราวกับสาปให้เธอกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะมันทั้งเย็นชาที่น่ากลัว แม้จะแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแต่เธอก็สัมผัสได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเทพ เทพี เทพบุตรและเทพธิดากี่องค์กัน ที่ปรารถนาอยากเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ก็ไม่มีโอกาส” พระองค์เป็นถึงปรมาจารย์ของเหล่าเทพและเทพีเชียวนะ มีหรือที่จะยินยอมให้ทารกคนหนึ่งมาหยามเกียร์ติ
“ก็เมรีไม่อยากเป็นนี่น่า แล้วเมรีก็มีอาจารย์ที่อยากจะกราบเป็นศิษย์แล้วด้วย” ม่านเมรีบิดซ้ายบิดขวาคลายความปวดเมื่อย
“ผู้ใดกัน” รับสั่งที่ละคำด้วยสุรุเสียงเย็นยะเยือก คาดว่าผู้ที่กำลังถูกม่านเมรีเอ่ยนามออกมา คงจะมีชีวิตรอดยาก...หุ ๆ ๆ...เข้าทางเมรีล่ะ คราวนี้มาดูกันว่าเทพบ้าพระองค์นั้นจะเอาตัวรอดยังไง
“ก็เทพแห่งความตายยังไงล่ะ” ม่านเมรียกมือขึ้นมาป้องปาก พลางกระซิบบอกเสียงเบา ราวกับเกรงว่ามีผู้ใดจะได้ยิน พร้อมรอคำตอบอย่างใจจ่อ ลุ้นให้เทพแห่งกาลเวลาพิโรธขึ้นมาแล้วจับเทพบ้าแล้วตามไปคิดบัญชีกับเทพบ้าพระองค์นั้นเสียที
“ออ...อนุบิสนั้นเอง” ทำไมครานี้สุรเสียงของเทพธอธถึงได้ดูอบอุ่นราวกับดวงตะวันอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลยซัดนิด ผิดหวังชะมัด
“อะไรกัน ท่านไม่โกรธเลยหรือ” เสียเวลาคิดแผนการ เปลืองพลังงานสมองที่สุด
“เจ้าก็เอาแต่ผูกใจพยาบาทไปได้ รู้หรือไม่ว่าเทพแห่งความตายผู้นั้นมีความสำคัญต่อเจ้าเพียงใด” แค่นึกก็สำราญขึ้นมาแล้วล่ะ อยากจะให้นางรับรู้เสียทีว่าเทพอนุบิสคือใคร
“จะสำคัญขนาดไหนกันเชียว” ถามกลับไปแบบไม่ใคร่พอใจนัก
“ก็สำคัญขนาดเป็นพระสวา...(มี)” คำว่า ‘มี’ ยังมิทันพ้นพระโอษฐ์ออกมา จู่ๆเทพแห่งนภากาศองค์หนึ่งก็ส่งเสียงเรียกทักเข้ามาเสียก่อน
“ท่านอาจารย์ อนุบิส พวกท่านอยู่ไหน ข้าจะแนะนำข้ารับใช้คนใหม่ให้รู้จัก” ช่างไม่รู้จักเวลาร่ำเวลาเลยนะ เดี๋ยวก็สาปให้เป็นนกย่างไปเสียเลยดีไหม
“นางชื่อเมอริคาเรล่ะ หึ ๆ ๆ นางทาสตัวน้อยๆของข้า” ผู้ที่ส่งเสียงเข้ามารบกวนผู้อื่นโดยมิขออนุญาต แถมยังไม่ยอมปรากฏตัวออกมา มันน่าจับลงหม้อยาเสียจริง !
“เมอริคาเราอย่างนั้นเหรอ” กลับเป็นม่านเมรีที่มีปฏิกิริยาตอบรับ เด็กสาวรบเร้าให้เทพแห่งกาลเวลาพาไปดูนางทาสของเทพนภากาศพระองค์นั้น เผื่อว่าบางทีอาจจะเป็นคนที่นางรู้จัก
และก็เป็นไปดังคาด ! ใช่ท่านหญิงเมอริคาเรแห่งกองคาราวานของชีคฮามานจริง ๆ
“ท่านพี่ไอมีอัต ช่วยเมอริตด้วย” เมื่อเห็นว่าพี่สาวที่จากกันไปนานปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพร้อมด้วยนกกระสาตัวหนึ่ง ท่านหญิงน้อยที่ดูเหมือนจะทำใจได้แล้วว่า ตนได้หลุดมาอยู่ในวิหารของเทพโฮรัสจริง ๆ ก็ร้องเรียกให้หาให้ม่านเมรีช่วย
“เมอริคาเร ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” คนเป็นพี่สาวรีบวิ่งไปยังท่านหญิงน้อยทันที แต่ก่อนที่จะทันถึงตัวก็ถูกร่างกึ่งเทพของเทพโฮรัสขัดขวางเอาไว้
“แม้ในอนาคตท่านจะอยู่เหนือข้า แต่ตอนนี่ยังมิใช่ อย่าได้บังอาจเข้าใกล้นางทาสน้อย ๆ ของข้าเชียวนะ ไอมีอัต !” รับสั่งของเทพนักรบทำให้เทพธอธที่จำใจพาทารกน้อยม่านเมรีมาด้วยเริ่มสนพระทัยขึ้นมา
“ช่างวุ่นวายเสียจริง” เทพแห่งการเวลาส่ายเศียรในร่างนกกระสาไปมา เพราะรู้ดีว่าในภายภาคหน้าเมอริคาเรจะสร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้แก่เทพนักรบมากมายเพียงไหน
ผู้ไม่ใช่เนื้อคู่ที่ถูกลิขิตมาก็แบบนี้ล่ะ ไม่รู้ว่าจะเห็นพระทัย หรือสงสารนางดี !
ยิ่งเมื่อทอดพระเนตรไปดูร่างของทารกน้อยที่กำลังยืนปาดน้ำตาอยู่เบื้องหลังเทพโฮรัสป้อย ๆ ก็อดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ อนุญาตให้นางเป็นลูกศิษย์สตรีของตนอีกคนก็แล้วกัน จะได้เป็นเพื่อนเรียนกับว่าทีชายาอนุบิสผู้นั้น
ดำริเสร็จสรรพ พร้อมกำหนดรับศิษย์เรียบร้อย โดยไม่ถามตัวก่อนเลยว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่ล่ะคืออุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุดของเทพผู้ขึ้นชื่อว่าเอาแต่พระทัยมากที่สุดพระองค์หนึ่งเช่นกัน
“ข้าจะรับนางไว้เป็นศิษย์ลำดับที่ 13 ต่อจากเมรี เจ้าก็จงมอบนางให้แก่ข้าเถิดนะโฮรัส” แม้จะเป็นรับสั่งขอคนที่อ่อนให้สามส่วน แต่ก็บ่งชัดว่าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
“ได้เยี่ยงไรกัน ! นางเป็นทาสของข้านะอาจารย์” ศิษย์ลำดับที่ 6 เริ่มต่อต้านอาจารย์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
เทพธอธร่ายมนตรากลับคืนร่างเป็นร่างเทพทันทีต่อหน้าเมอริคาเรที่เอาแต่จ้องมองพระองค์ด้วยดวงตาเบิ่งกว้าง สงสัยจะทรงทำให้นางตกใจขึ้นมาเสียแล้วกระมัง
“เป็นทาสของเจ้าก็เป็นไปสิ ข้าเองก็มิได้กล่าวห้าม เพียงตานางจะต้องมาเป็นศิษย์ของข้าด้วยเช่นกัน” รับสั่งพลางร่ายเวทย์ชิงตัวเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหลังเทพอนุบิสทันทีโดยมิทันให้ตั้งตัว พร้อมคว้าม่านเมรีที่จับต้นชนปลายไม่ถูกกลับวิหารแห่งธอธไปพร้อม ๆ กัน
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะท่านลุง เห็นข้ามีของเล่นสนุกทีไรก็มันมาแย่ง” เทพแห่งนภากาศทอดพระเนตรมองตามอย่างอ่อนพระทัย คอยดูนะ จะไปฟ้องอนุบิส !
ดำริเสร็จก็จำแลงกายเป็นพญาเหยี่ยวโผทะยานออกไปยังวิหารอนุบิสทันที
ทิ้งให้วิหารโฮรัสร้างผู้ดูแลอีกแล้ว ในขณะที่เทพีฮาเทอร์เพิ่งเสด็จมาถึง จึงคลาดกันอีกครา
หลังจากวันนั้นทั้งม่านเมรีและเมอริคาราก็ได้เข้าศึกษาศิลปะวิทยาการ รวมทั้งศาสตร์ต่าง ๆ ที่วิหารแห่งธอธทุกวัน โดยที่ในแต่ละวันก็จะมีหลากหลายวิชาให้เล่าเรียนกันไป มีเพียงแค่วิชาเดียวเท่านั้นที่เด็กน้อยทั้งสองคนรบเร้าอยากจะเล่าเรียนแต่ก็มิเคยสำเร็จเลยสักครั้ง
มันเป็นวิชาไหนกันนะ และวิเศษขนาดไหนกันนักเชียว !
“นะอาจารย์ สอนเมรีกับเมอริคาเรหน่อยสิ” ม่านเมรีซึ่งบัดนี้นางอายุได้ 17 ปีกำลังคุกเข่าอยู่หน้าพระชานุข้างขวาของเทพแห่งกาลเวลา ซึ่งประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์แก้วเจียระไน พลางอ้อนวอนผู้เป็นอาจารย์อย่างน่าสงสาร
“นั่นนะสิอาจารย์ สอนเมอริตกับพี่ไอมีอัตเถิดน้า” นี่ก็อีกคนกำลังเขย่าพระชานุซ้ายของพระองค์ไปมา
“พวกเจ้าก็เล่าเรียนศาสตร์แขนงต่าง ๆ จากข้าไปตั้งมากมาย ทั้งวิชาเคลื่อนย้ายห้วงเวลา หายตัว จำแลงกาย ข้าล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดให้ทั้งสิ้นอย่างไม่ปิดบัง ยังจะมารบเร้าข้าอีกเหรอ” เทพธอธส่ายเศียรไปมาอย่างเอือมระอานิด เอ็นดูหน่อย และพอพระทัยมากที่มีเด็กสาวน่ารัก ๆ มาออดอ้อนแบบนี้
ดีกว่าลูกศิษย์เพศชายที่เอาแต่วัดรอยเท้าอาจารย์แล้วเอาแต่ใจอย่างอนุบีสกับโฮรัสเป็นไหน ๆ
“ก็วิชาเหล่านั้นไม่ทำให้เมรีหน้าเด็กได้อาจารย์นี่นา อายุตั้งหมื่น ๆ ปีจนจะเป็นทวดของทวดของทวดกี่ขั้นแล้วก็ไม่รู้ยังดูเด็กอยู่เลย” ม่านเมรีเอ่ยชม แต่สีพระพักตร์ของเทพแห่งกาลเวลานี่สิ ดูจะขมขื่นยังไงไม่รู้ ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียจริงเด็กน้อยคนนี้ !
“นั่นสิค่ะ เมอริตก็อยากเป็นอมตะแบบอาจารย์บ้าง ลองคิดดูสิอยู่ได้เป็นหมื่น ๆ ปี แต่หน้ายังเด็กตลอดกาล มันน่าสนุกนักเชียว” นี่ก็ลูกคู่ที่ไม่อยากจะมีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าอยากจะลองเข้าไปอยู่ในหม้อยาของข้าดูก่อนไหมล่ะ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที” รับสั่งด้วยทาทีเฉยเมย แต่ทั้งม่านเมรีและเมอริคาเรต่างก็รู้ว่า อันตรายกับลังมาเยือนแล้วล่ะ อย่าได้ตอแยท่านอาจารย์อีกต่อไป
“แหะ ๆ ๆ...ไม่เรียนแล้วก็ได้ งั้นเมรีไปฝึกใช้กริชให้คล่องแคล่วอีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวเวลาทดสอบขึ้นมา เกิดไม่ผ่านอาจารย์จะอับอายได้” รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางต้องยกให้เธอล่ะ
“ส่วนเมอริตก็จะไปปรุงอาหารมาให้อาจารย์เสวยก็แล้วกันนะ” แม้จะซื่อบื้อไปหน่อย แต่เมอริคาเรในวัย 15 เช่นวันนี้ก็รู้จักหลบหลีกเอาตัวรอดขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน
แถมยังเอาใจเก่ง ด้วยการทำอาหารที่แสนจะอร่อยมาประจบพระองค์เสมอ อยู่ที่วิหารธอธมีลาภปากทุกวัน มิน่าล่ะทั้งพระองค์และม่านเมรีจึงไม่คิดที่จะไปฝากท้องยังวิหารของเทพและเทพีองค์ใด
เทพแห่งกาลเวลาทอดพระเนตรมองลูกศิษย์ที่ฟูมฟักสั่งสอนมากับมือด้วยความพอพระทัย ไว้รอให้พวกนางเก่งกล้าสามารถและมีวิชาติดตัวมากกว่านี้อีกนิด แล้วพระองค์จะถ่ายทอดศาสตร์ที่พวกนางอยากเรียนให้ เพราะจะว่าไปแล้วมีลูกศิษย์คอยอยู่เป็นเพื่อนอีกหมื่น ๆ ปีก็ดีเหมือนกัน พระองค์จะได้มิเหงา
ก็ทรงเฝ้ารอว่าที่ชายาอย่างเงียบเหงาเพียงพระองค์เดียวที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ยังมิถือกำเนิดขึ้นมาเสียทีเป็นเวลากว่า 5,000 ปีแล้วนะ บางทีก็ทรงรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เปล่าเปลี่ยวเช่นกัน
บัลลังก์แก้วเจียระไนสีชมพูที่วางอยู่เคียงข้างกันจะรอผู้เป็นเจ้าของอีกกี่ปีกันนะ อยากรู้จริง !
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
@ K ร้อยวจี >> อย่างอนุบิสหรือค่ะที่จะทั้งเมรีลง ไม่มีทางหร๊อกกก 55 ลงตอนใหม่ให้แล้วนะคะ
@ K Zephyr >> อย่าให้เทพธอธยกเมรีน้อยให้โฮรัสเลยนะคะ สงสารอนุบิสเถอะ เทพปากไม่ตรงกับใจแบบนั้น เดี๋ยวเมรีโตขึ้นเธอค่อยแก้แค้นคืนเอาก็ได้ ร๊ากกกกกพี่บิสต่อไปเถิดนะคะ
@ K กันต์ระพี >> ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ วู้ดดี้จะพยายามปรับปรุงแก้ไขค่ะ เพื่อให้เรื่องมีความน่าสนใจและน่าอ่านมากขึ้น เรื่องนี้เบาสบาย ๆ อ่านแล้วไม่เครียดไว้ผ่อนคลายตัวเอง อิๆๆ
@ K ใบบัวน่ารัก >> โอ๋ ๆๆ อย่าเพิ่งใจร้อนไปนะคะ เมรีได้เรียนหนังสือแน่นอนค่ะ แถมเรียนกับเทพแห่งกาลเวลาด้วยนะ ศาสตร์ทุกแขนงของท่านเหนือกว่าเทพใดทั้งปวงแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าเมรีน้อยจะต้องจกไปเป็นทาสของอนุบิสนะคะ มีเทพธอธปกป้องและเลี้ยงดูสั่งสอนอยู่ทั้งคน
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ติชม และกำลังใจจากทุกท่านนนะคะ วู้ดดี้สุญญาว่าจะนำไปแก้ไขและปรับปรุงให้ผลงานออกมาดีขึ้นจ้า เจอกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ ~
ใต้พื้นพิภพ
โลกแห่งความตาย...ดินแดนของเทพโอซิริส
เทพอนุบิสกำลังชั่งหัวใจของเหล่าวิญญาณกับขนนกของพระองค์ว่าสิ่งไหนเบากว่ากันด้วยตาชั่งน้ำหนักแห่งความยุติธรรม และถ้าหัวใจดวงนั้นหนักกว่าขนนกของพระองค์แล้วล่ะก็ ดวงวิญญาณดวงนั้นก็จะถูกโยนให้แอมมัต สัตว์ประหลาดที่มีร่างกายเป็นครึ่งสิงโตครึ่งฮิปโป ส่วนหัวเป็นจระเข้ กัดกินดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ได้รับความทุกทรมานให้สาสมกับความชั่วที่ได้กระทำมา ก่อนที่จะส่งไปยังแดนนรกเพื่อให้เทพโอซิริสพิพากษาต่อไป ส่วนหัวใจที่เบากว่าขนนกนั้น จะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ แล้วจะถูกส่งไปยังโลกแห่งวิญญาณใหม่ เพื่อรอไปเกิดอีกครั้งตามผลบุญและผลกรรมที่ได้ทำมา
เทพโฮรัสที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งหน้าที่ของพระองค์ในยมโลกนั้นก็การขานนามของผู้ที่ได้รับการชั่งหัวใจแล้วว่าสมควรไปอยู่ ณ ดินแดนใด ในขณะที่เทพธอธซึ่งเป็นเทพอาวุโสจะทำหน้าที่บันทึกคำตัดสินเพื่อรายงานต่อเทพโอซิริส
หลังจากเสร็จภารกิจเทพทั้งสามก็ตกลงกันว่าจะไปเข้าเฝ้าเทพโอซิริสพร้อม ๆ กัน
“เจ้าบอกกับนางแล้วใช่หรือไม่ว่าข้ากำลังต้องการตัว” เทพธอธในร่างกึ่งเทพที่มีเศียรเป็นรูปนกกระสารับสั่งขึ้นระหว่างการเดินทางไปเข้าเฝ้าเทพโอซิริส
เทพอนุบิสครั้นเมื่อได้ฟัง พระองค์เพียงแค่พยักพักตร์รูปสุนัขจิ้งจอกกลับไปเท่านั้น ข้างฝั่งเทพโฮรัสอดไม่ได้ และไม่ยอมถูกกันเป็นคนนอกที่ไม่รู้อะไรจึงตรัสถามขึ้นมาทันที
“พวกท่านมีความลับอะไรกันไม่ยอมบอกกล่าวกับข้างเช่นนั้นหรือ” ถือได้ว่าในเทพสามพระองค์นี้เทพโฮรัสเป็นเทพที่มีอายุน้อยที่สุด และมีอุปนิสัยคล้ายเด็กเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ทั้งเทพธอธและเทพอนุบิสก็ไม่เคยถือสาหาความแต่อย่างใด
“ถือเสียว่ายอมให้เทพน้อยที่มีอายุน้อยกว่าเป็นพัน ๆ ปี คนหนึ่งก็แล้วกัน” เทพธอธเคยกล่าวเช่นนั้น
“ข้าก็ถือว่ามีน้องชายกับเขาแค่คนเดียว เดี๋ยวผู้อื่นจะหาได้ว่าข้ารังแกเขา” เทพอนุบิสก็เคยรับสั่ง
“ว่าอย่างไรเล่า” เทพเอาแต่ใจถามย้ำอีกครั้ง มีความลับอะไรกันแน่ ทำงานร่วมกันมาเป็นพัน ๆ ปีแท้ ๆ ยังกล้ามีความลับกับเทพนภากาศอย่างเขาอีกเหรอ
ครั้นเมื่อเห็นว่าเทพอนุบิสไม่มีทีท่าว่าจะกล่าวสิ่งใด เดือนร้อนเทพอาวุโสอีกครั้งที่จะต้องเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้แก่เทพน้อยพระองค์นี้
“ข้าแค่อยากพบนางสักครั้งก็เท่านั้น” สมกับเป็นเทพแห่งปรมาจารย์ รับสั่งแต่ละครั้งต้องตีความด้วยตัวเองเสมอ
“ผู้ใดกันหรือท่านลุง” คำกล่าวนั้นทำให้เทพธอธถึงกับสำลัก ในขณะที่ริมฝีปากของเทพอนุบิสปรากฎรอยแย้มสรวลขึ้นมาเล็กน้อย โฮรัส เอ๋ย โฮรัส เจ้าช่างรนหาที่ตายแท้ ๆ พระแม้แต่พระองค์ก็ยังมิกล้าที่จะเอ่ยเรียกขานด้วยสรรพนามนั้น
ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เทพธอธที่ดูสูงส่ง สง่างาม หาใช่จะพระทัยดีอย่างรูปลักษณ์ไม่ มีครั้งหนึ่งที่พระองค์เคยสาปให้วิญญาณบาปที่คิดจะหลบหนี กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ต้องหิวโซอย่างทรมาน หนำซ้ำยังถูกไฟจากนรกโลกันต์เผาไหม้อยู่ใต้ฝ่าเท้าทุกๆวันอีกด้วย !
“เจ้าเรียกข้าว่าเยี่ยงไรหรือหลานรัก” ว่าแล้วไหมล่ะ ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน น้ำเสียงเยือกเย็นที่รับสั่งออกมาแต่ละคำนั้น ราวกับสาดอาวุธนับพันตรงมายังเทพนักรบในร่างกึ่งพญาเหยี่ยวเลยเชียวล่ะ
“เอ่อ...ท่านอาจารย์ ข้าหมายความว่าท่านอาจารย์หมายถึงผู้ใดกัน” เกือบไปแล้วไหมล่ะ อายุเกือบจะหมื่นปีแล้วกระมัง ท่านลุงของพระองค์ท่านนี้
“ข้าแค่อยากพบนาง สตรีที่เป็นชายาหนึ่งเดียวของเทพบางองค์” คร้านจะต่อความกับหลานนอกไส้ จะเคยสำนึกบ้างไหมว่าบิดาและมารดาของพวกเจ้าได้ถือกำเนิดมาเพราะผู้ใดกัน
ถ้าไม่ใช่ข้าออกอุบายในกาลครั้งนั้น มีหรือที่เทพโอซิริส เทพเซท เทพีไอซีส และเทพีเนฟทีส จะถือกำเนิดขึ้นมาได้
“ออ...ที่แท้ก็ชายาของเทพแถว ๆ นี้นี่เอง” พยักพักตร์รูปพญาเหยี่ยวหงึก ๆ อย่างเข้าพระทัย
“นางมาถึงเมื่อไหร่ ท่านอาจารย์อยากลืมชวนข้ามาร่วมสนุกด้วยล่ะ” แค่คิดก็เกษมสำราญแล้ว นานกี่ปีแล้วนะที่พระองค์มิได้เฝ้าดูนาง ดำริพลางโผทะยานตรงไปยังวิหารโอซิริสซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของขอบฟ้าเป็นพระองค์แรก
“ผู้ใดตามทัน ข้าจะยอมเป็นข้ารับใช้ห้าพันปี !!”
แน่ละจะมีผู้ใดกันที่จะติดตามเทพแห่งนภากาศได้ทัน !
เทพอนุบิสส่ายพระเศียรไปมาอย่างระอาในพระทัย พลางเหลือบมองไปยังท่านลุงซึ่งเป็นเทพแห่งการเวลาในร่างกึ่งเทพกึ่งนกกระสาที่อยู่เคียงข้างกัน
“ท่านอาจารย์มิอยากได้ข้ารับใช้ไว้คอยดูแลซักห้าพันปีหรือ” รับสั่งของเทพแห่งความตายทำให้เทพธอธทรงพระสรวลออกมาเสียงดัง
“เจ้าเองก็อย่าหาภาระเยี่ยงนั้นมาให้ข้านักเลย” รับสั่งของพระองค์มิได้บอกแน่ชัดว่าถ้าเกิดแข่งขันกันขึ้นมาจริงๆใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าให้เทพอนุบิสคาดเดาล่ะก็ พระองค์ถือข้างท่านลุงแน่แท้
“ส่วนเจ้าเองก็เช่นเดียวกัน อย่ามัวแต่เสียเวลาเดินทางผิดต่อไปอีกเลย” แม้แต่ความลับของพระองค์ที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ก็มิอาจรอดพ้นจากสายพระเนตรพระกรรณของเทพแห่งกาลเวลาได้
“จงอย่าให้มันสายเกินไป แล้วเจ้าจะสูญสิ้นทุกอย่างเลยนะอนุบิส” สิ้นรับสั่งพระองค์ก็เสด็จเข้าไปยังวิหารโอซิริสที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามในร่างเทพเต็มองค์ทันที ทิ้งให้เทพอนุบิสคิดทบทวนในสิ่งที่ได้รับฟังมา
“หรือข้าจะเดินทางผิดไปแล้วจริงๆ !!!”
วิหารโอซิริส
เทพบิดาผู้ดูแลภพภูมิเบื้องล่าง ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองกลางท้องพระโรง ด้านข้างมีพระชายาประทับนั่งเคียงข้างกันทั้งซ้ายขวา เทพีไอซีสผู้เป็นมารดาของเทพโฮรัส และเทพีเนฟทีสผู้เป็นมารดาของเทพอนุบิส
“มากันแล้วหรือ” ราชันแห่งมาตุภูมิรับสั่ง พลางชะเง้อหาบุตรชายอีกคนที่ไม่ได้เสด็จตามมาด้วย
“อนุบิสล่ะ” ตรัสถามอย่างกระวนกระวายพระทัย
“เสด็จพ่อก็เอาแต่ห่วงอนุบิสเช่นเคย” เทพโฮรัสรับสั่งออกมา แต่หาใช่ด้วยความอิจฉาริษยาแต่อย่างใด พระพระองค์ทรงให้เกียรติและเคารพพระเชษฐาองค์นี้เสมอ ยิ่งเมื่อครั้งเทพอนุบิสได้ช่วยเทพีไอซิสตามเก็บและร่วมรวมร่างของเสด็จพ่อเมื่อกาลก่อน พระองค์ก็ยิ่งซาบซึ้งในพระทัย
“ท่านอาจารย์ก็เสด็จมาด้วย” เทพโอซิริสก้าวลงจากบัลลังก์เสด็จลงมารับเทพธอธด้วยตัวของพระองค์เองพร้อมด้วยเทพีไอซีสและเทพีเนฟทิส
“ข้าแค่มาเป็นเพื่อนอนุบิสเท่านั้น” รับสั่งด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย
“แล้วอนุบิสเล่าเพคะ” เทพีเนฟทีสตรัสถามบ้าง นานแค่ไหนแล้วนะที่พระนางมิได้พบหน้าบุตรชายองค์นี้เลย
“กลับไปแล้วล่ะ” ว่าพลางแล้วเสด็จไปประทับนั่งบนบัลลังก์ทองพลางขมวดปลายเกศาสีขาวยวงที่ยาวเลยพระชานุเล่น
เห็นเทพธอธในลักษณะเช่นนี้ แต่พระองค์ก็มีพระพักตร์ราวเด็กหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดก็มิปาน ผิดกับเทพโอซิริสที่บัดนี้มีพระพักตร์อายุประมาณสี่สิบชันษาปลาย ๆ
“กลับไปแล้วหรือเพคะ” เทพีเนฟทิสมีสีพระพักตร์หมองเศร้า
“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอกน้องข้า เดี๋ยวข้าจะให้โฮรัสตามไปดู” เทพีไอซีสมีรับสั่งให้เทพโฮรัสติดตามพี่ชายไป
“ข้าทราบมาว่าท่านอาจารย์อยากพบนางเช่นนั้นหรือ” หลังจากทำพระทัยกับความผิดหวังที่มิได้เจอบุตรชายองค์โตได้แล้ว เทพโอซิริสจึงหันมาตรัสถามเทพธอธบ้าง
“ดวงชะตาของนางต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่ ถ้าข้ามิใช่ผู้สั่งสอนนางด้วยตนเอง เจ้าคิดว่าจะให้ผู้ใดสั่งสอนนางหรือ” เทพแห่งการเวลารับสั่งกลับมาอีกครั้ง
ชายาของเทพแห่งความตายใช่ว่าผู้ใดนึกอยากจะเป็นก็เป็นได้ ไหนจะต้องเสียสละพลังวิญญาณทุกครั้งเพื่อรักษาเทพอนุบิสผู้มีร่องรอยบาดแผลขนาดใหญ่ที่มิอาจให้ผู้ใดรับรู้ได้พระองค์นั้นอีก !!
“แล้วอเมนเททล่ะ จะทำอย่างไร” เทพีเนฟทีสตรัสถาม พระถึงอย่างเทพธิดานางนั้นก็เคยถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นชายาของอนุบีสมาก่อน และยังเป็นถึงเทพธิดาแห่งความตายผู้คอยประทานขนมปังและน้ำให้แก่ดวงวิญญาณที่หิวโหยก่อนที่จะส่งต่อไปยังดินแดนแห่งความตายอีกด้วย
“เทพีองค์นั้นเกี่ยวอะไรกับข้า” เทพธอธรับสั่งอย่างเบื่อหน่าย เพราะรู้ดีกว่าเทพีเนฟทิสอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งความคิดนี้ออกจะขัดแย้งกับพระองค์เล็กน้อย เพราะยังไงพระองค์ก็เอ็นดูเด็กสาวผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนั้นมากกว่า
อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ติดใจท่าทางร่ายรำแบบตัวหนอนตอนนางแสดงให้เทพอนุบิสดูแล้วพระองค์บังเอิญเดินทางไปเห็นก็เป็นได้ !
คืนวันเดียวกัน
ร่างกึ่งเทพสูงโปร่งปรากฏกายขึ้นมาภายในห้องนอนของม่านเมรี ผู้มาใหม่สาวพระบาทตรงไปยังหน้าเตียงของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่
“นี่นะหรือว่าที่ชายา” เทพผู้นั้นรับสั่งติดริมพระโอษฐ์พลางขยับเข้าไปใกล้ ทอดพระเนตรมองร่างทารกน้อยในความคิดของพระองค์ด้วยความเอ็นดู
“จะว่าไปแล้วก็น่ารักดี” เนื่องจากครั้งก่อนแค่แอบผ่านมาเห็น จึงมิได้พิจารณาให้ชัดเหมือนเช่นครั้งนี้
ม่านเมรีที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาแล้ว
“เอาตัวไปเลยก็แล้วกัน ข้าชักถูกใจขึ้นมาแล้วสิ” ร่างกึ่งเทพนั้นร่ายมนตราโอบล้อมร่างน้อยของม่านเมรีราวกับมีปีกจำนวนหนึ่งมารองรับ ก่อนที่พระองค์จะจารึกอักษรไว้กลางอากาศด้วยภาษาโบราณ ทิ้งไว้ให้ข้ารับใช้อย่างเฮกาที่นอนอยู่อีกห้องหนึ่งเอาไว้แก้ปริศนาดู
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเป็นผลงานของเทพองค์ใด !!!
กองคาราวานของชีคฮามาน
ท่านหญิงน้อยเมอริคาเรกำลังนอนฝันถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ไปมาก่อน สถานที่แห่งนั้นคล้ายวิหารของเทพเจ้าอียิปต์ในยุคโบราณ ด้านหน้าของวิหารมีรูปสลักของเทพผู้มีพระเศียรเป็นรูปพญาเหยี่ยววางอยู่
“วิหารเทพโฮรัส” ท่านหญิงน้อยวัย 13 ชันษาพึมพำกับตัวเอง พลางอมยิ้มน้อย ๆ ออกมา เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฝันอะไรแบบนี้
“เข้าไปดูเสียหน่อยแล้วกัน” ยังไม่ทันกล่าวขออนุญาตผู้เป็นข้าวของเสียด้วยซ้ำ เมอริคาเรก็วิ่งเข้าไปในวิหารทันที เพราะคิดว่าไม่ต้องขออนุญาตใครก่อนให้ยุ่งยาก ในเมื่อเป็นความฝันของเธอ เธอจะทำอะไรก็ย่อมได้
“สวยจังเลย วิหารหินอ่อนสีขาว” เด็กน้อยเดินไปจับโน่นจับนี่เล่นด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ ข้าวของภายในวิหารแห่งนี้ส่วนใหญ่ทำจากหินอ่อน ยกเว้นบัลลังก์สองอันที่วางอยู่ใจกลางวิหารเคียงข้างกันเท่านั้นที่ทำด้วยทองทั้งหมด
ตามที่รู้มาวิหารโฮรัสมีบัลลังก์อันเดียวมิใช่หรือ ?
เมอริคาเรคิดอย่างสงสัย ก็ในวิชาประวัติศาสตร์ที่นางเคยเล่าเรียนมา เทพีฮาเทอร์ผู้เป็นชายาของพระองค์มิได้ประทับอยู่ในวิหารด้วยกันนี่นา
“อ๋อ...รู้แล้วล่ะ นี่เป็นฝันของเมอริตนี่เอง ถ้าอย่างัน้นบัลลังก์อันนี้ก็เป็นของเมอริตนะสิ” ท่านหญิงน้อยคิดเองเสร็จสรรพ พลางวิ่งตรงไปยังบัลลังก์อันเล็กกว่างที่วางอยู่เคียงข้างกันทันที เห็นใกล้ ๆ แบบนี้จึงรู้ว่าบนพนักพิงประดับด้วยเพชรเป็นรูปพญาเหยี่ยวที่มีดวงตาสีมณีแดงอีกด้วย
“สวยจัง” เมอริคาเรอุทานออกมา พลางนั่งลงดู
“อืม ~...สบายชะมัด ชัดติดใจแล้วสิ อยู่ที่นี่ตลอดไปเลยดีไหม” ก่อนพูดออกไป ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดดีแล้วขนาดไหนกันเชียว
และในขณะที่เมอริคาเรกำลังสนุกสนานอยู่ในวิหารนั้น ข้างฝั่งเทพโฮรัสที่กำลังประทับอยู่กับเทพีไอซีสผู้เป็นมารดาที่วิหารของพระนางก็รับรู้ได้ว่า วิหารของพระองค์มีผู้บุกรุก
“หม่อมฉันขออนุญาตกลับวิหาร มีผู้บุกรุกเข้ามา ต้องกลับไปจัดการเสียหน่อย” รับสั่งเสร็จก็จำแลงกายเป็นพญาเยี่ยวโผทะยานออกไปทันที
ผู้ใดกันที่บังอาจเยี่ยงนี้ กล้าลองดีกับเทพแห่งนักรบเช่นพระองค์ !!!
เช้าวันต่อมา
ม่านเมรีที่นอนจนเต็มอิ่มค่อย ๆ ขยับเปลือกตาตื่นขึ้นมาทีละน้อย เด็กสาวลืมตามองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นแต่ข้าวของแปลกหูแปลกตาก็ให้รู้สึกตกใจ
‘ที่ไหนกัน !!’ ร่างนั้นทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งทันที พลางเบิ่งตากว้าง แล้วคิดทบทวน หวนคิดได้ว่าว่าเมื่อคืนเข้านอนแล้วก็ฝัน ฝันว่ากำลังเดินหมากกับนกกระสาตัวหนึ่งภายในสถานที่แปลกๆ อืม ~ จะว่าไปแล้วที่นี่ก็มีส่วนคล้ายอยู่
ครั้นเมื่อมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ก็เห็นร่างกึ่งเทพของคนผู้หนึ่งที่มีเศียรเป็นรูปนกกระสานั่งอยู่ตรงนั้น...ใช่เลย ! เหมือนความฝันทุกประการ ขาดแต่กระดานหมากรุกที่ไม่รู้ว่าหายไปตอนไหน
‘อา ~ ที่แท้ก็ฝันซ้อนฝัน’ คิดได้ดังนั้น จึงล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพื่อสานฝันต่อ คราวก่อนแพ้ไปสองกระดาน คราวนี้อย่าคิดเลยว่าเมรีจะยอมอ่อนให้ !
ว่าแล้วก็เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเพื่อดำเนินฝันที่ค้างเอาไว้ เล่นเอาเทพธอธที่พระทัยจดจ่อเฝ้ารอการตื่นขึ้นมาของนางทำอะไรไปถูกไปเลยเหมือนกัน
“เฮ้อ ~ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวถึงเจ้าว่าอย่างไรดี ใจแข็งเกินไปจนไม่กลัวสิ่งก็ไม่น่าใช่ หรือขวัญอ่อนเกินไปจนไม่กล้ายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่เชิง” เทพแห่งการเวลาส่ายพระเศียรไปมา ก่อนที่พระองค์จะจำแลงกายเป็นนกกระสาทั้งตัวเพื่อเข้าไปเล่นหมากรุกกับนางอีกครั้ง
บทเรียนบทแรกสำหรับลูกศิษย์พิเศษของพระองค์เอาเป็นวิชาหมากรุกก็แล้วกัน ไว้เต็มใจตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยมาเรียนอย่างอื่นกันอีกที
วิหารอนุบิส
เทพแห่งความตายทรงรับรู้ได้ด้วยพระองค์เองเช่นกัน ว่าบัดนี้ม่านเมรีถูกท่านลุงพาตัวมายังวิหารธอธเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่รอให้นางตื่นขึ้นมาเท่านั้น
“ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด !” เทพอนุบิสแสยะยิ้มออกมา พระองค์กล้ารับสั่งออกมาเลยว่า นางผวาจนไม่อยากตื่นต่างหาก เนื่องจากยังมิได้เตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนกับตอนเจอพระองค์ครั้งแรกแล้ววิ่งหนีอะไรแบบนั้น
ส่วนเรื่องสถานที่แปลกใหม่กับนกกระสาในร่างมนุษย์นั่นนะเหรอ เธอก็เห็นพระองค์แปลงเป็นร่างกึ่งเทพที่มีเศียรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกมาจนชินแล้วล่ะ !!
“ข้าจะรอดูสิว่า เจ้าจะหนีเทพธอธได้กี่ราตรีกัน !”
วิหารเทพโฮรัส
“ผู้ใดกันกล้าบุกรุวิหารส่วนตัวของข้า !” เทพนภากาศส่งเสียมาก่อนตัว ทำให้เมอริคาเรที่กำลังนั่งฝันหวานอยู่บนบัลลังก์ทองสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว
“ที่แท้ก็เป็นเทพธิดาน้อยปลายแถวนางหนึ่ง” เพราะมัวแต่ร่ายมนตราจำแลงกายกลับเป็นกึ่งเทพ จึงทำให้มองท่านหญิงน้อยกลายเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งไปเสียได้ และจะไม่ให้พระองค์ดำริเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อวิหารของพระองค์นั้นมักมีเทพธิดามาเยือนอยู่เป็นนิจในยามที่พระองค์ไม่ประทับอยู่
เนื่องจากมีมารดาเป็นถึงเทพีสูงสุดของเหล่าเทพธิดา ทำให้เทพอนุบิสเป็นเทพที่ได้พบปะกับเหล่าเทพีนางฟ้ามากที่สุดพระองค์หนึ่ง
และด้วยรูปกายเทพของพระองค์ก็ทรงสิริโฉมงดงามไม่น้อยไปกว่าพระเชษฐาแต่อย่างใด อีกทั้งอุปนิสัยก็เป็นมิตรมากตามเผ่าพันธุ์พญานกผู้สื่อสาร เลยทำให้เป็นที่นิยมชมชอบมิใช่น้อย
เมอริคาเรรอยคอยจนพระองค์จำแลงกายเสร็จจึงเอ่ยขึ้นมา
“เทพโฮรัส เทพแห่งนักรบเช่นนั้นหรือ” เทพโฮรัสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกพระทัยขึ้นมาเล็กน้อย พระองค์รีบสาวพระบาทเร็วตรงไปยังหน้าบัลลังก์ทอง ทอดพระเนตรเห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น
“ใครอนุญาตให้เจ้าขึ้นไปนั่ง !!” ตวาดออกมาเสียงดัง บัลลังก์นั้นพระองค์อุตส่าห์สร้างขึ้นมา เพื่อให้มีเหมือนกันแบบวิหารของเทพอนุบีสเชียวนะ นางถือสิทธิ์อะไรขึ้นไปนั่ง
ขนาดเทพีฮาเทอร์ผู้ที่ถูกวางตัวเอาไว้ว่าจะเป็นชายาของพระองค์อย่างแท้จริงและมาเยือนวิหารของพระองค์บ่อยครั้ง ยังมิกล้าขึ้นไปประทับนั่งเลย
“อะไรกัน ท่านทำให้ข้าตกใจนะ บัลลังก์นี้ข้าก็นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” สมเป็นท่านหญิงน้อยจอมซื่อบื้อของกองคาวานเสียจริง
“ลงมาเดี๋ยวนี้นางมนุษย์น้อย” ทรงรับสั่งอีกครั้งอย่างพระทัยเย็น แต่เมอริคาราก็ยังเชื่องช้าไม่รู้ความ นางเอาแต่ส่ายหน้าไปมา แล้วลูบบัลลังก์ทองอันเล็กของพระองค์เล่น
“หึ ๆ ๆ...เจ้าไม่ยอมลงมาอย่างนั้นใช่ไหม !” รอบแสยะยิ้มที่เลียนแบบพระเชษฐามา เพิ่งปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก นับว่านางก็มีดีเหมือนกันที่ทำให้เทพแห่งนักรบพระองค์นี้มีโทสะขึ้นมาได้
ต้องทราบเช่นกันว่ามีเพียงเทพเซทซึ่งเป็นท่านน้าของพระองค์ และคู่ปรับตลอดการเท่านั้นถึงจะได้เห็นสีพระพักตร์โกรธเกรี้ยวมีโทสะเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าครานี้เมอริคาเรคงจะรอดยาก
“รีบกลับไปซบอกบรรดาพี่ชายของเจ้าซะเด็กน้อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าไม่รับรองเลยว่าเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใด !!”
วิหารแห่งธอธ
สามราตรีที่ผ่านมา ม่านเมรีเอาแต่ดวลหมากกับเทพแห่งการเวลาผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะแพ้ทุกรอบแต่โดยนิสัยแล้วเธอก็ไม่เคยถอดใจ ไม่รู้ว่าสมัยเด็กๆอนุบิสสั่งสอนมายังไง ถึงติดนิสัยดื้อด้าน ยึดติดแบบนี้มาได้
“เหนื่อยหรือยัง” เทพธอธรับสั่ง ประทับนั่งอยู่ในร่างเทพที่มีเรือนผมสีเงินยวง พลางท้าวพระหนุด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ยังไม่คุ้นชินกับข้าอีกหรือ” คำตอบที่ได้มา ม่านเมรีแค่เพียงส่ายหน้าไปมาเท่านั้น
“เฮ้อ ~” เสียถอนพระทัยเสียงดัง
“เจ้าจะถ่วงเวลาอีกนานไหม !” มีเรื่องใดบ้างที่เทพแห่งกาลเวลาจะไม่รู้
“ท่านแอบอ่านใจเมรีเหรอ” ถ่วงเวลาได้อีกซัดนิดก็ยังดี
“เจ้าคิดว่าข้าคือใครกัน หมื่น ๆ ปีมานี้มนุษย์มีนิสัยเช่นไรบ้าง ข้าศึกษามาหมดแล้ว” สมกับเป็นเทพที่ไม่แก่ไม่ตายเสียจริง
“แอบนินทาข้าอยู่ล่ะสิ” รับสั่งต่อมาทำให้เด็กสาวหน้าม่อย ไม่เล่นแล้วก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่ชนะ แม้ว่าสามวันสามคืนที่ผ่านมา เธอจะมีความก้าวหน้าในเรื่องการเดินหมากไปมากก็เถอะ
“ดีมาก งั้นเรากลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันเลยดีไหม” เทพแห่งกาลเวลามีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
“เจ้าจะได้กราบข้าเป็นอาจารย์เสียทียังไงล่ะ” แทบจะทนรอไม่ไหวเชียวนะ ลูกศิษย์ผู้หญิงในรอบหลายพันปี แถมยังเป็นทารกน้อยที่อายุแค่เพียง 15 ปีอีกต่างหาก
“ไม่เห็นอยากจะเป็นเลย” คำตอบของนางทำให้สายพระเนตรของเทพธอธที่ทอดมองมาราวกับสาปให้เธอกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะมันทั้งเย็นชาที่น่ากลัว แม้จะแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแต่เธอก็สัมผัสได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเทพ เทพี เทพบุตรและเทพธิดากี่องค์กัน ที่ปรารถนาอยากเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ก็ไม่มีโอกาส” พระองค์เป็นถึงปรมาจารย์ของเหล่าเทพและเทพีเชียวนะ มีหรือที่จะยินยอมให้ทารกคนหนึ่งมาหยามเกียร์ติ
“ก็เมรีไม่อยากเป็นนี่น่า แล้วเมรีก็มีอาจารย์ที่อยากจะกราบเป็นศิษย์แล้วด้วย” ม่านเมรีบิดซ้ายบิดขวาคลายความปวดเมื่อย
“ผู้ใดกัน” รับสั่งที่ละคำด้วยสุรุเสียงเย็นยะเยือก คาดว่าผู้ที่กำลังถูกม่านเมรีเอ่ยนามออกมา คงจะมีชีวิตรอดยาก...หุ ๆ ๆ...เข้าทางเมรีล่ะ คราวนี้มาดูกันว่าเทพบ้าพระองค์นั้นจะเอาตัวรอดยังไง
“ก็เทพแห่งความตายยังไงล่ะ” ม่านเมรียกมือขึ้นมาป้องปาก พลางกระซิบบอกเสียงเบา ราวกับเกรงว่ามีผู้ใดจะได้ยิน พร้อมรอคำตอบอย่างใจจ่อ ลุ้นให้เทพแห่งกาลเวลาพิโรธขึ้นมาแล้วจับเทพบ้าแล้วตามไปคิดบัญชีกับเทพบ้าพระองค์นั้นเสียที
“ออ...อนุบิสนั้นเอง” ทำไมครานี้สุรเสียงของเทพธอธถึงได้ดูอบอุ่นราวกับดวงตะวันอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลยซัดนิด ผิดหวังชะมัด
“อะไรกัน ท่านไม่โกรธเลยหรือ” เสียเวลาคิดแผนการ เปลืองพลังงานสมองที่สุด
“เจ้าก็เอาแต่ผูกใจพยาบาทไปได้ รู้หรือไม่ว่าเทพแห่งความตายผู้นั้นมีความสำคัญต่อเจ้าเพียงใด” แค่นึกก็สำราญขึ้นมาแล้วล่ะ อยากจะให้นางรับรู้เสียทีว่าเทพอนุบิสคือใคร
“จะสำคัญขนาดไหนกันเชียว” ถามกลับไปแบบไม่ใคร่พอใจนัก
“ก็สำคัญขนาดเป็นพระสวา...(มี)” คำว่า ‘มี’ ยังมิทันพ้นพระโอษฐ์ออกมา จู่ๆเทพแห่งนภากาศองค์หนึ่งก็ส่งเสียงเรียกทักเข้ามาเสียก่อน
“ท่านอาจารย์ อนุบิส พวกท่านอยู่ไหน ข้าจะแนะนำข้ารับใช้คนใหม่ให้รู้จัก” ช่างไม่รู้จักเวลาร่ำเวลาเลยนะ เดี๋ยวก็สาปให้เป็นนกย่างไปเสียเลยดีไหม
“นางชื่อเมอริคาเรล่ะ หึ ๆ ๆ นางทาสตัวน้อยๆของข้า” ผู้ที่ส่งเสียงเข้ามารบกวนผู้อื่นโดยมิขออนุญาต แถมยังไม่ยอมปรากฏตัวออกมา มันน่าจับลงหม้อยาเสียจริง !
“เมอริคาเราอย่างนั้นเหรอ” กลับเป็นม่านเมรีที่มีปฏิกิริยาตอบรับ เด็กสาวรบเร้าให้เทพแห่งกาลเวลาพาไปดูนางทาสของเทพนภากาศพระองค์นั้น เผื่อว่าบางทีอาจจะเป็นคนที่นางรู้จัก
และก็เป็นไปดังคาด ! ใช่ท่านหญิงเมอริคาเรแห่งกองคาราวานของชีคฮามานจริง ๆ
“ท่านพี่ไอมีอัต ช่วยเมอริตด้วย” เมื่อเห็นว่าพี่สาวที่จากกันไปนานปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพร้อมด้วยนกกระสาตัวหนึ่ง ท่านหญิงน้อยที่ดูเหมือนจะทำใจได้แล้วว่า ตนได้หลุดมาอยู่ในวิหารของเทพโฮรัสจริง ๆ ก็ร้องเรียกให้หาให้ม่านเมรีช่วย
“เมอริคาเร ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” คนเป็นพี่สาวรีบวิ่งไปยังท่านหญิงน้อยทันที แต่ก่อนที่จะทันถึงตัวก็ถูกร่างกึ่งเทพของเทพโฮรัสขัดขวางเอาไว้
“แม้ในอนาคตท่านจะอยู่เหนือข้า แต่ตอนนี่ยังมิใช่ อย่าได้บังอาจเข้าใกล้นางทาสน้อย ๆ ของข้าเชียวนะ ไอมีอัต !” รับสั่งของเทพนักรบทำให้เทพธอธที่จำใจพาทารกน้อยม่านเมรีมาด้วยเริ่มสนพระทัยขึ้นมา
“ช่างวุ่นวายเสียจริง” เทพแห่งการเวลาส่ายเศียรในร่างนกกระสาไปมา เพราะรู้ดีว่าในภายภาคหน้าเมอริคาเรจะสร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้แก่เทพนักรบมากมายเพียงไหน
ผู้ไม่ใช่เนื้อคู่ที่ถูกลิขิตมาก็แบบนี้ล่ะ ไม่รู้ว่าจะเห็นพระทัย หรือสงสารนางดี !
ยิ่งเมื่อทอดพระเนตรไปดูร่างของทารกน้อยที่กำลังยืนปาดน้ำตาอยู่เบื้องหลังเทพโฮรัสป้อย ๆ ก็อดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ อนุญาตให้นางเป็นลูกศิษย์สตรีของตนอีกคนก็แล้วกัน จะได้เป็นเพื่อนเรียนกับว่าทีชายาอนุบิสผู้นั้น
ดำริเสร็จสรรพ พร้อมกำหนดรับศิษย์เรียบร้อย โดยไม่ถามตัวก่อนเลยว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่ล่ะคืออุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุดของเทพผู้ขึ้นชื่อว่าเอาแต่พระทัยมากที่สุดพระองค์หนึ่งเช่นกัน
“ข้าจะรับนางไว้เป็นศิษย์ลำดับที่ 13 ต่อจากเมรี เจ้าก็จงมอบนางให้แก่ข้าเถิดนะโฮรัส” แม้จะเป็นรับสั่งขอคนที่อ่อนให้สามส่วน แต่ก็บ่งชัดว่าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
“ได้เยี่ยงไรกัน ! นางเป็นทาสของข้านะอาจารย์” ศิษย์ลำดับที่ 6 เริ่มต่อต้านอาจารย์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
เทพธอธร่ายมนตรากลับคืนร่างเป็นร่างเทพทันทีต่อหน้าเมอริคาเรที่เอาแต่จ้องมองพระองค์ด้วยดวงตาเบิ่งกว้าง สงสัยจะทรงทำให้นางตกใจขึ้นมาเสียแล้วกระมัง
“เป็นทาสของเจ้าก็เป็นไปสิ ข้าเองก็มิได้กล่าวห้าม เพียงตานางจะต้องมาเป็นศิษย์ของข้าด้วยเช่นกัน” รับสั่งพลางร่ายเวทย์ชิงตัวเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหลังเทพอนุบิสทันทีโดยมิทันให้ตั้งตัว พร้อมคว้าม่านเมรีที่จับต้นชนปลายไม่ถูกกลับวิหารแห่งธอธไปพร้อม ๆ กัน
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะท่านลุง เห็นข้ามีของเล่นสนุกทีไรก็มันมาแย่ง” เทพแห่งนภากาศทอดพระเนตรมองตามอย่างอ่อนพระทัย คอยดูนะ จะไปฟ้องอนุบิส !
ดำริเสร็จก็จำแลงกายเป็นพญาเหยี่ยวโผทะยานออกไปยังวิหารอนุบิสทันที
ทิ้งให้วิหารโฮรัสร้างผู้ดูแลอีกแล้ว ในขณะที่เทพีฮาเทอร์เพิ่งเสด็จมาถึง จึงคลาดกันอีกครา
หลังจากวันนั้นทั้งม่านเมรีและเมอริคาราก็ได้เข้าศึกษาศิลปะวิทยาการ รวมทั้งศาสตร์ต่าง ๆ ที่วิหารแห่งธอธทุกวัน โดยที่ในแต่ละวันก็จะมีหลากหลายวิชาให้เล่าเรียนกันไป มีเพียงแค่วิชาเดียวเท่านั้นที่เด็กน้อยทั้งสองคนรบเร้าอยากจะเล่าเรียนแต่ก็มิเคยสำเร็จเลยสักครั้ง
มันเป็นวิชาไหนกันนะ และวิเศษขนาดไหนกันนักเชียว !
“นะอาจารย์ สอนเมรีกับเมอริคาเรหน่อยสิ” ม่านเมรีซึ่งบัดนี้นางอายุได้ 17 ปีกำลังคุกเข่าอยู่หน้าพระชานุข้างขวาของเทพแห่งกาลเวลา ซึ่งประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์แก้วเจียระไน พลางอ้อนวอนผู้เป็นอาจารย์อย่างน่าสงสาร
“นั่นนะสิอาจารย์ สอนเมอริตกับพี่ไอมีอัตเถิดน้า” นี่ก็อีกคนกำลังเขย่าพระชานุซ้ายของพระองค์ไปมา
“พวกเจ้าก็เล่าเรียนศาสตร์แขนงต่าง ๆ จากข้าไปตั้งมากมาย ทั้งวิชาเคลื่อนย้ายห้วงเวลา หายตัว จำแลงกาย ข้าล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดให้ทั้งสิ้นอย่างไม่ปิดบัง ยังจะมารบเร้าข้าอีกเหรอ” เทพธอธส่ายเศียรไปมาอย่างเอือมระอานิด เอ็นดูหน่อย และพอพระทัยมากที่มีเด็กสาวน่ารัก ๆ มาออดอ้อนแบบนี้
ดีกว่าลูกศิษย์เพศชายที่เอาแต่วัดรอยเท้าอาจารย์แล้วเอาแต่ใจอย่างอนุบีสกับโฮรัสเป็นไหน ๆ
“ก็วิชาเหล่านั้นไม่ทำให้เมรีหน้าเด็กได้อาจารย์นี่นา อายุตั้งหมื่น ๆ ปีจนจะเป็นทวดของทวดของทวดกี่ขั้นแล้วก็ไม่รู้ยังดูเด็กอยู่เลย” ม่านเมรีเอ่ยชม แต่สีพระพักตร์ของเทพแห่งกาลเวลานี่สิ ดูจะขมขื่นยังไงไม่รู้ ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียจริงเด็กน้อยคนนี้ !
“นั่นสิค่ะ เมอริตก็อยากเป็นอมตะแบบอาจารย์บ้าง ลองคิดดูสิอยู่ได้เป็นหมื่น ๆ ปี แต่หน้ายังเด็กตลอดกาล มันน่าสนุกนักเชียว” นี่ก็ลูกคู่ที่ไม่อยากจะมีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าอยากจะลองเข้าไปอยู่ในหม้อยาของข้าดูก่อนไหมล่ะ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที” รับสั่งด้วยทาทีเฉยเมย แต่ทั้งม่านเมรีและเมอริคาเรต่างก็รู้ว่า อันตรายกับลังมาเยือนแล้วล่ะ อย่าได้ตอแยท่านอาจารย์อีกต่อไป
“แหะ ๆ ๆ...ไม่เรียนแล้วก็ได้ งั้นเมรีไปฝึกใช้กริชให้คล่องแคล่วอีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวเวลาทดสอบขึ้นมา เกิดไม่ผ่านอาจารย์จะอับอายได้” รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางต้องยกให้เธอล่ะ
“ส่วนเมอริตก็จะไปปรุงอาหารมาให้อาจารย์เสวยก็แล้วกันนะ” แม้จะซื่อบื้อไปหน่อย แต่เมอริคาเรในวัย 15 เช่นวันนี้ก็รู้จักหลบหลีกเอาตัวรอดขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน
แถมยังเอาใจเก่ง ด้วยการทำอาหารที่แสนจะอร่อยมาประจบพระองค์เสมอ อยู่ที่วิหารธอธมีลาภปากทุกวัน มิน่าล่ะทั้งพระองค์และม่านเมรีจึงไม่คิดที่จะไปฝากท้องยังวิหารของเทพและเทพีองค์ใด
เทพแห่งกาลเวลาทอดพระเนตรมองลูกศิษย์ที่ฟูมฟักสั่งสอนมากับมือด้วยความพอพระทัย ไว้รอให้พวกนางเก่งกล้าสามารถและมีวิชาติดตัวมากกว่านี้อีกนิด แล้วพระองค์จะถ่ายทอดศาสตร์ที่พวกนางอยากเรียนให้ เพราะจะว่าไปแล้วมีลูกศิษย์คอยอยู่เป็นเพื่อนอีกหมื่น ๆ ปีก็ดีเหมือนกัน พระองค์จะได้มิเหงา
ก็ทรงเฝ้ารอว่าที่ชายาอย่างเงียบเหงาเพียงพระองค์เดียวที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ยังมิถือกำเนิดขึ้นมาเสียทีเป็นเวลากว่า 5,000 ปีแล้วนะ บางทีก็ทรงรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เปล่าเปลี่ยวเช่นกัน
บัลลังก์แก้วเจียระไนสีชมพูที่วางอยู่เคียงข้างกันจะรอผู้เป็นเจ้าของอีกกี่ปีกันนะ อยากรู้จริง !
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
@ K ร้อยวจี >> อย่างอนุบิสหรือค่ะที่จะทั้งเมรีลง ไม่มีทางหร๊อกกก 55 ลงตอนใหม่ให้แล้วนะคะ
@ K Zephyr >> อย่าให้เทพธอธยกเมรีน้อยให้โฮรัสเลยนะคะ สงสารอนุบิสเถอะ เทพปากไม่ตรงกับใจแบบนั้น เดี๋ยวเมรีโตขึ้นเธอค่อยแก้แค้นคืนเอาก็ได้ ร๊ากกกกกพี่บิสต่อไปเถิดนะคะ
@ K กันต์ระพี >> ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ วู้ดดี้จะพยายามปรับปรุงแก้ไขค่ะ เพื่อให้เรื่องมีความน่าสนใจและน่าอ่านมากขึ้น เรื่องนี้เบาสบาย ๆ อ่านแล้วไม่เครียดไว้ผ่อนคลายตัวเอง อิๆๆ
@ K ใบบัวน่ารัก >> โอ๋ ๆๆ อย่าเพิ่งใจร้อนไปนะคะ เมรีได้เรียนหนังสือแน่นอนค่ะ แถมเรียนกับเทพแห่งกาลเวลาด้วยนะ ศาสตร์ทุกแขนงของท่านเหนือกว่าเทพใดทั้งปวงแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าเมรีน้อยจะต้องจกไปเป็นทาสของอนุบิสนะคะ มีเทพธอธปกป้องและเลี้ยงดูสั่งสอนอยู่ทั้งคน
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ติชม และกำลังใจจากทุกท่านนนะคะ วู้ดดี้สุญญาว่าจะนำไปแก้ไขและปรับปรุงให้ผลงานออกมาดีขึ้นจ้า เจอกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ ~

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2556, 11:12:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2556, 18:31:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 1180
<< ตอนที่ 4 ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (2) | ตอนที่ 6 ประลองฝีมือ >> |

ร้อยวจี 16 พ.ย. 2556, 11:47:45 น.
สนุกค่ะ กำหนดให้เมอริตเป็นคู่กับธอธเลยดีไหมค่ะ ไหนๆก็ยังไม่ได้กำหนดคู่ (คิดเล่นๆค่ะ) รอตอนหน้าอยู่นะคะ
สนุกค่ะ กำหนดให้เมอริตเป็นคู่กับธอธเลยดีไหมค่ะ ไหนๆก็ยังไม่ได้กำหนดคู่ (คิดเล่นๆค่ะ) รอตอนหน้าอยู่นะคะ

ร้อยวจี 16 พ.ย. 2556, 11:50:12 น.
จริงๆแล้วที่รู้สึกสนุกเพราะเป็นนิยายที่แปลก นานๆจะอ่านแบบนี้สักที รีบมาอัพนะคะ
จริงๆแล้วที่รู้สึกสนุกเพราะเป็นนิยายที่แปลก นานๆจะอ่านแบบนี้สักที รีบมาอัพนะคะ

Zephyr 16 พ.ย. 2556, 16:53:50 น.
ฮ่าๆๆๆ ไหนๆ ตอนแรกอุตส่าห์คิดว่าเมอริตจะคู่โฮรัส
งั้นพี่น้องมีว่าที่ชายาพร้อมกัน แต่ แหม โฮรัสดันมีคู่หมายซะงั้น
งั้นยกเมอริตให้ท่านอาจารย์ละกันนะ
ไม่ต้องนั่งบัลลังก์ทองแล้ว นั่งบัลลังก์แก้วเจียระไนสีชมพูละกัน จบ
อิอิ ครบคู่อ่ะ ว่าที่ชายาผู้เพียบพร้อม สอนมาเองกะมือด้วยนะ ลุงธอธ สนป่ะๆๆๆ
ฮ่าๆๆๆ ไหนๆ ตอนแรกอุตส่าห์คิดว่าเมอริตจะคู่โฮรัส
งั้นพี่น้องมีว่าที่ชายาพร้อมกัน แต่ แหม โฮรัสดันมีคู่หมายซะงั้น
งั้นยกเมอริตให้ท่านอาจารย์ละกันนะ
ไม่ต้องนั่งบัลลังก์ทองแล้ว นั่งบัลลังก์แก้วเจียระไนสีชมพูละกัน จบ
อิอิ ครบคู่อ่ะ ว่าที่ชายาผู้เพียบพร้อม สอนมาเองกะมือด้วยนะ ลุงธอธ สนป่ะๆๆๆ