รักดังฝัน
เขา นิมมาน อดีตชาติเป็นถึงพระยานิมมาน ผู้ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกสาวของศัตรู จนตัวตาย เขาก็พร้อมยกวิญญา แก่ยาใจที่รักสมิตาเพียงผู้เดียว แต่ผ่านมาพันปี นิมมานก็พบว่าความรักของเขาหมดลง ไอ้รักนิรันดร์ไม่มีจริงหรอก “ชาตินี้เจ้าจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่ก่อนเจ้าจะพบกับไอ้มนุษย์เนื้อคู่ของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ก่อน”

เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน


Tags: หลอนโรแมนติก แฟนตาซี นิมมาน สมิตา

ตอน: บทที่ 13 : การเปลี่ยนแปลงของสมิตา

“แค่คุณคนเดียวเท่านั้น...ตี้”

ชั่วโมงต้องมนต์...สมิตานันมองใบหน้าคมเข้มอย่างเผลอไผล รอยยิ้มหวานมอบให้ก่อนที่แววตาจะเศร้า “ขอบคุณ แต่สำหรับฉันมันไม่จำเป็นเลย”

“ทำไม”

หญิงสาวกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างไว้ สำหรับเธอ นับตั้งแต่รู้ว่าอดีตของบางคนไม่เคยเดินมาข้างหน้า และอนาคตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เธอกลัว...กลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน

“ถ้าทุกอย่างจบลง ฉันกับคุณอาจกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันก็ได้ ไม่มีความทรงจำพวกนี้มาหลอกหลอน และฉันปรารถนาสิ่งนั้นมากกว่า ไม่ต้องรักฉัน ไม่ต้องผูกพันเพราะอดีต ถ้าฉันกับคุณจะได้รักกันจริง ให้มันเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่แบบนี้”

“คุณกำลังกำหนดในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้นะตี้”

“ฉันไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น สำหรับฉันเรื่องของอดีตก็ให้จบลงในอดีต นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”

“ใจร้ายไปแล้วนะตี้”

คนใจร้ายเม้มปากแน่น เชิดหน้าขึ้น พยายามให้ดวงตาแข็งกร้าว เฉยชา ไม่สนใจทั้งที่ในใจเองรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่านิมมานตรงหน้าจะอยู่ในห้วงเวลาไหน สำหรับเธอความรู้สึกที่ว่าเขาล้วนเป็นคนเดียวกันก็ยังตรึงใจมากขึ้นทุกวัน

ก่อนหน้าเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่เพียรปฏิเสธว่าคนที่อยู่กันคนละห้วงเวลา ความทรงจำถูกหลงลืม ไม่ว่าอย่างไรก็คือคนละสิ่ง คนละคน แต่คนตรงหน้าสั่นคลอนความเชื่อมั่นของเธออย่างที่สุด...เขาคล้ายกับภูตนิมมาน ถึงหลายๆอย่างจะต่างออกไป

แต่สิ่งที่เหมือนก็คือเขารักเธอ...

“เราต่างทำหน้าที่ของเราดีกว่านะคะ...เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิดเลย”

ภาพแผ่นหลังขาวเนียนหมุนตัวจากไป สมิตานันคงไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ในความฝันของเขานานเท่าไหร่ ในขณะที่เธอคิดจะลืมอดีต แต่เขารู้สึกว่าเพราะอดีตทำให้เขามาพบเธอ

จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาจะหลุดพ้นจากคำว่ารอ...


ถึงจะไม่เคยเป็นหมอ แต่การปฐมพยาบาลของเธอก็ได้รับการฝึกฝนมาบ้างนับตั้งแต่เรียนมัธยม การได้เป็นนักเรียนประจำห้องพยาบาล และการต้องดูแลตัวเองเบื้องต้นจากการต้องอยู่บ้านของเธอเพียงคนเดียว มันไม่ลำบากสำหรับเธอ แต่การต้องมาทำให้กับทหารบาดเจ็บจากสงครามแบบนี้ มันช่างต่างจากการพยาบาลเด็กหัวแตก หรือปวดหัว แผลฉกรรจ์ตามตัว เห็นกี่ครั้งสมิตานันก็รู้สึกหดหู่ และจิตตกอย่างถึงที่สุด

ยาสมุนไพรบดตำรับยาที่ทิวาบอกแก่เธอว่าสมิตาในชาตินี้เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาถูกสอนให้ทำในระยะเวลาไม่นาน หญิงสาวก็ทำได้แบบไม่มีตกบกพร่อง คนไข้บางรายจำต้องตัดขา หรือตัดอวัยวะเพื่อรักษาลมหายใจ สมิตานันได้แต่เป็นผู้ช่วย รู้สึกอยากจะเป็นลมเสียหลายรอบ แต่ความรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์ แม้ไม่ใช่ในยุคของเธอ

แต่สามัญสำนึกสั่งให้เธอทำ

คนเจ็บหลายรายที่พยศหนักๆ ก็ต้องให้เธอออกโรงในฐานะเจ้านางสูงศักดิ์พานให้ผู้พบเจอได้แต่ยอมจำนนก้มหน้ารับการรักษาโดยง่าย

“ไม่คิดว่าเจ้าจะยังอยู่”

ผู้หญิงผมสั้น รับโครงหน้ามน ดวงตาสีเข้มมีรอยดุ สตรีบอบบางในชุดเกราะนักรบเดินหยุดตรงหน้าหญิงสาวที่ช่างแตกต่างจากตัวเธอราวฟ้ากับเหว หากสมิตาเป็นสีขาว คนอย่างฬาฬีก็คงอยู่ในโลกเงามืด บนกองเลือด และรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คน

สมิตานันเผลอลืมหายใจไปชั่วครู่ ปากอ้าน้อยๆ ในหัวของเธอมีใบหน้าของผู้หญิงที่เพิ่งพบไม่ถึงวันในยุคของเธอ สตรีผู้นั้นมีดวงตาน่ากลัว และบ่มเพาะความเกลียดไว้มากหมายมหาศาล...ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความกระด้าง แต่ไม่ได้เกลียดแบบนี้

เธอยังพบความเมตตาอยู่ในดวงตาคู่นี้...

“ข้าทิ้งประชาชนของข้าไปไม่ได้” อยู่นานกว่าหญิงสาวจะเริ่มปรับการแทนตัวเองให้ถูกต้องตามคนยุคนี้

“หึ...อย่างเจ้าจะทำอะไรได้สมิตา ข้าเห็นน้องของข้าสมควรที่จะไปอยู่ที่สุวรรณศรีที่สุด”

“ที่นี่คือบ้านของข้า ไม่มีที่ไหนที่ข้าควรอยู่เท่าที่นี่อีก”

ฬาฬีจ้องผิวหน้าของน้องสาวที่มีสีเลือดฝาด ไม่ได้ซีดเผือด ดูสุขภาพกายอ่อนแออย่างทุกที ความรักเมืองของน้องสาว อดทำให้เธอสงสัยไม่ได้ “อย่างเจ้าจะช่วยอะไรใครได้สมิตา”

“ถ้าท่านพี่มั่นใจ ข้าเชื่อว่าข้าจะทำได้ และดีด้วย กำลังข้าอาจไม่พอไปฆ่าใคร แต่สิ่งนี้” นิ้วชี้ไปยังศีรษะตัวเอง ดวงตาหมายมาด “ข้าเชื่อว่าข้าจะไม่เป็นภาระของท่าน”

นักรบสาวขมวดคิ้วมองการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของสมิตา ท่าทางมั่นอกมั่นใจที่หาไม่ได้จากน้องน้อยนั้น บัดนี้กลับเกิดขึ้นในตัวเจ้าหล่อน ยิ่งกว่าเป็นสิ่งของหายาก

“เจ้าจะทำอย่างไรกัน”

“ให้ข้าร่วมกับท่านได้หรือไม่...ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่สร้างปัญหา”

สตรีแข็งแกร่งมองดวงตากลมโต บัดนี้กำลังมีแต่ความจริงจัง และพร้อมสู้ “อีกหนึ่งชั่วยาม โถงกลางจะมีการวางแผนรบ ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ลองไปดู”

ฬาฬีกำลังเดินผ่านไป สมิตานันอดรนไม่ได้ เสียงหวานเครือเล็กน้อย ถามในสิ่งที่เธอกลัว

“ท่านพี่ไม่ได้เกลียดข้าใช่หรือไม่”

ร่างบอบบางที่ต้องแกร่งเกินหญิงสำรวจน้องสาวที่พูดน้อย ขี้ขลาด ช่างกลัวอย่างค้นคว้าอีกครั้ง ทำไมสมิตาคนนี้ถึงได้ช่างเจรจา ถามไถ่ และแปลกดีนัก

“เจ้าเป็นน้อง ข้าเป็นพี่ สายเลือดเดียวกันจะเกลียดกันได้อย่างไร”

“แต่...” ทำไมฬาฬีที่เธอพบถึงได้จงเกลียดเธอนักล่ะ

“มีอะไร”

“ไม่มีอะไรท่านพี่”

บางที นี่คงเป็นอีกเรื่องที่เธอต้องค้นหา...ด้วยตัวเอง


ทหารหน้าเป็นแผลที่ได้รับการแนะนำจากหมอยาทิวาว่าเป็นญาติของตนเองที่ยอมมาช่วยเหลือในการสงครามนั้นใช้นิสัยส่วนตัวที่ชอบเข้าสังคม สามารถเป็นจุดศูนย์กลางของกองทัพเล็กๆ นี้ได้ด้วยเรื่องเล่าประหลาด ไหนจะยังการมีสุราขับกล่อม และขอทำตัวเฝ้ายามกะดึกให้อีก

นิมมานรู้สึกว่าทหารชั้นล่างพวกเขาล้วนมาด้วยจุดประสงค์เพราะรักแผ่นดิน ไม่มีใครมีเจตนาร้าย และพร้อมยอมสละชีพเพื่อชาติ ตรงข้ามกับพวกทหารแม่ทัพ ที่ประกอบไปด้วยสามชีวิต เขาเหล่านั้นกลับดูมีลับลมคมใน

ชายหนุ่มรู้สึกว่าสายตาของหนึ่งในสามคนดูหลุกหลิกชอบกล อย่างน้อยๆ เขาก็ยังวางใจไม่ได้...

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นท่านนิมมาน”

ทหารเอกของกองทัพ ที่แม้จะไม่ใช่แม่ทัพ แต่คนที่บุกตะบันส่วนใหญ่ นิมมานเพิ่งรับรู้ว่าคือผู้ชายผิวสีร่างใหญ่ตรงหน้า ชื่อที่ถูกเรียกจากปากอย่างคล่อง ไม่มีความลังเลประการใดมาทำให้รู้ว่าคนพูดไม่มั่นใจทำให้ชายหนุ่มต้องทอดถอนใจ

“ทั้งใช่และไม่ใช่”

หมวกเหล็กถูกถอดวางลงข้างกาย ใบหน้าเรียบนิ่งเปิดเผยแก่คนมอง แม้หุ่นจะหนา และดูแข็งแรงกำยำ แต่สายตาที่มองเขาออกทะลุปรุโปร่ง ไหนจะโครงหน้าแบบนี้...พุทธา

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

“ทำไมถึงรู้”

พุทธาหัวเราะ ขณะยกมือของตัวเองขึ้นมาดู “ก็เพราะว่าผมคือพุทธา”

“ผม?” สรรพนามไม่คุ้นหูในยุคนี้ถูกเอ่ยจากชายหนุ่มนักรบชุดเกราะ

“ผมคือจิตของพุทธา”

นิมมานส่งเสียงในลำคอ นึกว่าจะมีเพียงแค่ตนและสมิตานันเพียงเท่านั้นที่มาถึงยุคนี้ได้ การได้พบพุทธา ในยุคนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

“ยมทูตส่งผมกลับมาช่วยพวกคุณ”

พุทธาตอบข้อสงสัยทั้งหมด ทรุดตัวนั่งลงเหยียดแขนขายาว ไม่อยากจะคิดว่าร่างนี้ปลิดลมหายใจของผู้คนมาเท่าไหร่

“มาถึงนานหรือยัง”

“ไม่กี่นาทีก่อนหน้า โชคดีที่พบคุณก่อนครับ”

ชายหนุ่มมองดาวพร่างฟ้าผืนสีดำสนิท แสงไฟจากกระโจมตั้งกระจายอยู่ทั่วบริเวณนี้กลบความสว่างของแสงระยิบบนนั้นไม่ได้เลย มันเหมือนอิสรภาพที่ได้โหยหา แต่อยู่ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมมือไปถึง คนที่นี่อยู่ด้วยความหวั่นหวาด กลัว และโหยหาครอบครัว ไม่มีใครดีใจที่ต้องมารบรา แต่ก็ไม่มีใครยอมสละผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักให้พวกโลภ พวกเลว มาขโมย และเหยียบย่ำ

“เราคงต้องหาหนอนบ่อนไส้”

พุทธาพยักหน้ารับเห็นด้วย รำพึงเบาๆ อย่างทดท้อ “สามวัน แค่สามวันเท่านั้น”


การประชุมอันคร่ำเคร่งบนโต๊ะไม้ยาวดูจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนเกินครึ่งเมื่อพวกเขายังพบว่าเธอ ที่พวกเขาเข้าใจว่าคือเจ้านางสมิตา ยังคงนั่งยืนหยัดอยู่ตรงนี้

“เจ้ามันเห็นแก่ตัว”

ชายวัยล่วงห้าสิบปี ผมสีดอกเล่า เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเมือง ตามศักดิ์ที่ฬาฬีเรียกนั้นทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นท่านอา ใบหน้าริ้วรอยเคร่งเครียด ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีขาวขุ่น แต่อีกข้างจ้องหน้าเธออย่างผิดหวัง และกล่าวโทษ

“ข้ายอมเห็นแก่ตัว ดีกว่าทำตัวเป็นนางเชลยศึก ทิ้งบ้านทิ้งเมือง ใช่ว่าเมืองจะปลอดภัย”

“แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าไปแล้ว” อีกเสียงมาจากหญิงกลางคน ยังคงความสวยไม่สร่าง มองจิกเธออย่างเห็นได้ชัด เป็นหนึ่งในผู้ไม่พอใจกับการเห็นตัวตนเธอในเมืองบุรเขตแห่งนี้

“ข้าแค่เกือบจะไป...นี่ไง ร่างกายข้ายังอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณข้าจะจากบ้านเมืองได้อย่างไรกัน”

“ก็ข้าเห็นกับตา...” วาฬีรยังคงยึดมั่นกับภาพที่ตัวเองเห็น “ยกเว้นว่าเจ้าจะแอบหนีมา เจ้ากำลังทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เป็นหญิงงามเมือง”

“ขอบคุณท่านมากที่ชมว่าข้างาม ข้ารู้ตัวดี” สมิตานันพูดเนิบ แต่วาจาจิกกัดอย่างที่สมิตาตัวจริงไม่เคยทำมาก่อน หญิงสาวเองก็ไม่คิดเสแสร้งแกล้งเป็นใครอื่น เธอเป็นเธอ หน้าตาแบบนี้ ยังไงเสียก็หลอกตาคนได้ทั้งเมือง อย่างมากก็คงคิดว่าผีเข้าก็เท่านั้น “แต่ข้าไม่ใช่แค่งามแต่รูป ข้าเชื่อว่าไฟสงครามมันสงบลงไม่ได้ถ้าไม่ขุดรากเน่าจากภายใน”

“หมายความว่าอย่างไร” คนเป็นพี่ถาม สีหน้าเริ่มเครียด ในที่นี้คงตีใจความจากประโยคนั้นได้หมด

สมิตานันยิ้มมุมปาก ดวงตาจดจ้องบุคคลที่เธอไม่รู้จักด้วยดวงตาไม่ไว้วางใจสักนิด

“ข้าไม่เชื่อใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้แต่คนในเมือง คนที่ข้าเชื่อมีแต่ตัวเอง และประชาชน อำนาจลึกลับ มือที่มองไม่เห็น บางทีก็อยู่ในเมือง เป็นหนอนกัดกร่อนพวกเดียวกันให้รอวันตายก็ได้”

สิ้นสุดคำของสมิตานันความเงียบเข้าครอบงำในห้องแคบไว้ใช้สำหรับประชุม ประมุขของเมืองทั้งสองบริเวณหัวโต๊ะมองลูกสาวราวกับโดนผีหลอก ลูกสาวอ่อนแอ ไม่เคยลุกสู้แบบนี้มาก่อน

“เจ้าจะวัดความเชื่อใจอย่างไรสมิตา” วาฬีรทำเสียงเยาะ มองเด็กรุ่นหลานด้วยความเกลียดชัง

หญิงสาวรอให้ทุกคนรับฟังคำของเธอมานานแล้ว “จัดทำพิธีสาบาน สาบานว่าจะยกชีวิตเพื่อเมืองนี้ ใครก็ตามผิดคำสาบาน มันจะตายตก ไม่ได้ผุดได้เกิด คนทรยศ คนเลวจะไร้ที่ยืนในแผ่นดินนี้”

“ใครกันล่ะจะทำเรื่องน่าเสียเวลาแบบนั้น” ท่านอาของสมิตาถาม

“ข้าว่าคนในเมือง และทหารต่างต้องการขวัญกำลังใจ ข้าเชื่อว่ามันไม่เสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน”

คำถามจากเด็กคราวลูกที่ตอบคำถามได้เสียงดังฟังชัด ไม่หลบตา ไม่เดินหนี และไม่เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวของหญิงสาวตรงหน้า อย่างไรก็ไม่เหมือนสมิตาสักนิด...ไม่เหมือนจริงๆ

“พรุ่งนี้จะทำตามที่สมิตาว่ากัน” ประมุขใหญ่ที่สุดในบุรเขตตอบด้วยรอยยิ้มยินดี สมิตานันมองบุคคลทั้งสองซึ่งเธอไม่ต้องไปหาว่ามาจากที่ใดก็รู้ พิมพ์หน้าของพ่อก็ยังเป็นพ่อ เค้าโครงหน้ากลม หูกาง รูปร่างเล็กไม่ได้สูงใหญ่ แม่ก็ยังสวยพริ้งเพราตามวัย ต่างกันเพียงทั้งสองนั่งเคียงข้าง มีรอยยิ้มใจดีอย่างนี้กระมัง

ไม่เหมือนยุคของธอสักนิด...ที่พ่อแม่เป็นบุคคลที่เคยรักกันเท่านั้น

“หวังว่าจะไม่มีใครขัดขวางงานเรียกความเชื่อมั่นในครั้งนี้” สมิตานันมองบุคคลที่เธอหมายหัวไว้ ก่อนมองผ่านเลยไปไม่ทิ้งสายตา ในตอนนี้ไม่ว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ แต่เท่ากับว่าเธอเปิดหน้ากากสู้

พวกมันต้องพร้อมเล่นงานเธอไม่ว่าเหตุผลใด...เธอยื่นเท้าสู่อันตรายแล้วก้าวหนึ่ง

..................................................
คุณ konhin รอดูกันต่อไปนะคะ ^^ จะทิ้งปมเรื่องไปอีกแค่ไหน

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ กระชากกลับมาด้วยมือของสมิตานันค่ะ ฮา เรื่องนี้จะหวานกุ๊กกิ๊กไหม บอกเลยว่ายังไม่มีเร็วๆ นี้ แต่อาจพอมีให้หวานนิดหน่อยบ้าง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ทั้งคอมเมนท์ ไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านด้วย ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ย. 2556, 18:40:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ย. 2556, 18:41:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1421





<< บทที่ 12 : เตรียมสวมรอย   บทที่ 14 : ความจริงถูกเปิดเผย >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 15 พ.ย. 2556, 20:47:49 น.
หวานพอปะแล่มๆ ก็ได้ค่า
สงสารนิมมานจิงๆ ท่าทางว่าครามกับนิมมานจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ถึงได้ผูกพันต่อกันขนาดนี้
แล้วๆๆๆ เค้าจะได้เจอนิมมานในอดีตอีกมั้ยอ่า คิดถึงฮีจุงงงง


konhin 15 พ.ย. 2556, 23:00:57 น.
ว่าแต่นางเอกรู้ได้ไงว่ามีหนอนบ่อนไส้อ่ะ มาอยู่ได้ไม่นานเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account