ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 7 รอบตัดเชือก

รอบตัดเชือก


หลังจากผ่านการแข่งขันกันมาอย่างดุเดือด ทั้งม่านเมรีและเมอริคาเรก็ผ่านเข้ามายังรอบสี่คนสุดท้ายจนได้ โดยที่สองในสี่เป็นลูกศิษย์ของเทพธอธ และอีกสองเป็นลูกศิษย์ของเพทีบาสเท็ตกับเทพีอเมนเทท

ในรอบนี้ม่านเมรีจะต้องต่อสู้กับศิษย์คนโตของเทพีแห่งความตาย และนี่ก็เป็นการแข่งขันครั้งแรกของศิษย์ทั้งสองของเทพีอเมนเทท และศิษย์คนรองก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่เมอริคาเรมาแล้วในรอบก่อนหน้า

การประลองในรอบนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ผู้ใดอยากจะใช้อะไรก็สามารถนำออกมาใช้ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ม่านเมรีถนัดก็คือการใช้พิษ แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์เอกของเทพีแห่งความตายซึ่งถนัดเรื่องปรุงยาเช่นเดียวกัน จึงทำให้เธอไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถเอาชนะด้วยการใช้พิษได้

ด้านฝั่งเมอริคาเรคงไม่ยาก ศิษย์ของเทพีบาสเท็ตถนัดด้านดนตรี ซึ่งเมอริคาเรก็มิได้อ่อนด้อยในศาสตร์นี้ อีกทั้งท่านหญิงน้อยที่อายุแค่เพียง 12 ปีคนนี้ยังเก่งกาจด้านการสู้รบอีกต่างหาก เพียงแค่คู่ต่อสู้มิอาจใช้พิษ เมอริคาเรก็มีโอกาสชนะ

ในรอบนี้จะแบ่งการแข่งขันเป็นสองเวทีแล้วให้ต่อสู้พร้อมกัน ผู้ชนะในแต่ละเวทีจะได้รับรางวัลจากเทพอนุบิสและเทพโฮรัส โดยไม่มีการไขว้รอบ

“พวกเจ้าทั้งสองคิดว่าใครชนะ” เทพธอธรับสั่งถามพลางทอดพระเนตรไปยังเทพโฮรัสเป็นพระองค์แรก เหมือนจะแกล้งให้ลูกศิษย์ทั้งคู่วางตัวลำบาก ยุ่งยากใจ ก็ผู้ใดจะไปกล้าตอบ ในเมื่อมีศิษย์ของเทพธอธเข้าลงแข่งด้วย แถมทั้งเขาและอนุบิสก็เป็นศิษย์พี่อีกต่างหาก

“ข้าว่าคาดเดาได้ยากนะอาจารย์ พวกนางก็เก่งทั้งหมดนั่นล่ะ” เทพโฮรัสตอบอย่างเป็นกลาง

“เจ้าล่ะอนุบิส” ตรัสถามอีกครั้ง

“มิสู้ท่านลองถามศิษย์คนโตดูก่อนหรือ” โยนกันเห็น ๆ ทำไมเทพโฮรัสถึงไม่กล้าแบบเทพอนุบิสบ้างนะ

“อ้าว!..ก็ได้ เจ้าล่ะว่าไงโอซิริส” ศิษย์คนโตเริ่มประทับนั่งไม่ติด ช่างทำกันได้นะอนุบิส ไม่คิดสักนิดหรือว่าพระองค์เป็นบิดา
ครั้นเมื่อเห็นอาจารย์มีท่าทางสำราญยิ่งบนความทุกของเทพองค์อื่น ราชาแห่งเทพก็รับสั่งตอบกลับไปว่า

“ข้าอยู่ข้างศิษย์น้องอยู่แล้วอาจารย์ จริงไหม ไอซีส เนฟทิส” เรื่องอะไรจะถูกเสี่ยงให้ลงหม้อต้มยาเพียงพระองค์เดียว ในเมื่อชายาทั้งสองก็มีเอี่ยวในฐานะลูกศิษย์ของเทพธอธเช่นเดียวกัน แม้นว่าจะทรงเห็นพระทัยเทพีอเมนเททก็ตามที

ข้างฝั่งเทพีไอซีส พระนางแค่เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพยักพักตร์รับ ในขณะที่เทพีเนฟทิสแม้จะทรงรับว่าเห็นด้วย แต่ก็อดเกรงพระทัยว่าที่ลูกสะใภ้ที่แอบจับจองเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ข้าเองก็เพิ่งจะมีศิษย์น้องเป็นผู้หญิงครั้งแรก” เทพอนุบิสรับสั่งด้วยพระพักตร์นิ่งเฉย..เอ่อ...จะถือว่าเป็นการยอมรับกลายๆ...จะได้ไหม ?

“อย่างนั้นก็ดี...ม่านเมรี เมอริคาเร ข้าและบรรดาศิษย์พี่ของพวกเจ้าทั้งหมดในที่นี้ ต่างเอาใจช่วยพวกเจ้าอยู่นะ” เทพธอธรับสั่งด้วยสุรเสียงกึกก้อง ไม่บอกก็รู้ว่าทุกผู้ที่อยู่ในบริเวณการประลองได้ยินแจ่มชัด

เหล่าทวยเทพทั้งหลายเมื่อได้ยินว่าเด็กมนุษย์ทั้งสองคนต่างได้รับความเอื้อเอ็นดูเป็นพิเศษ จึงให้ความสนใจในตัวของม่านเมรีและเมอริคาเรเพิ่มมากขึ้น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ณ งานประลองในวันนี้ มีศิษย์ของเทพแห่งกาลเวลาอยู่กันเกือบครบ

ศิษย์ทั้งสองของเทพธอธโอบกอดกันก่อนขึ้นแข่งขัน และก็เป็นไปตามคาด ฝั่งเวทีของเมอริคาเรประลองเครื่องดนตรี ส่วนฝั่งของม่านเมรีนั้นความจริงแล้วน่าจะแข่งขันการปรุงยาถึงจะถูก

“นี่มันอะไรกัน !!” เทพอนุบิสลุกจากที่ประทับทันที เพราะความคาดไม่ถึง ในขณะที่เทพและเทพีองค์อื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“ก็แข่งขันการต่อสู้ไง” เป็นเทพธอธที่ตรัสออกมาด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย ไม่อีนังขังขอบกับอะไรเลย แม้รู้ทั้งรู้ว่าม่านเมรีอาจมีสิทธิ์แพ้

“นั่งลงเสียทีอนุบิส ข้าจะดูการแข่งขัน” รับสั่งพลางโบกพระหัตถ์ไปมา เป็นการบอกใบ้ว่าให้เทพแห่งความตายหลบไป เจ้าศิษย์นอกลู่นอกทางที่น่าเอ็นดูองค์นี้นี่ ปกติก็ควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไฉนครั้งนี้ถึงหลุดกิริยาออกมาได้

“ท่านอาจารย์บอกให้นั่งลงไง เจ้ายืนนิ่งเป็นท่อนไม้แบบนั้นมันบังข้านะ” เทพโฮรัสได้โอกาสดีที่จะเอาคืนบ้าง เห็นไหมละว่าไอมีอัตคนนี้มีความสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เทพแห่งความตายผู้นี้แสดงกิริยาที่เหนือความคาดหมายออกมาได้หรือ

สมแล้วที่แอบสรรหามาให้ตั้งนาน คัดเลือกจากวิญญาณที่รอการไปเกิดใหม่นับพัน ๆ ดวงเชียวนะ

“ทำไมนางถึงได้ใช้ดาบเสี้ยว มิได้ใช้กริชเหมือนเช่นเคย” รับสั่งต่อมาของเทพอนุบิสทำให้อาจารย์กับศิษย์คู่หนึ่งรีบทอดพระเนตรลงไปมอง เห็นม่านเมรีกำลังเรียกดาบวงเสี้ยวออกมาใช้จริง ๆ ด้วย

“ที่แท้ก็ตกพระทัยเพราะเรื่องอาวุธ ไม่ใช่วิธีการแข่งขันที่เปลี่ยนจากปรุงยาเป็นอาวุธเสียหน่อย” เทพโฮรัสอดที่จะโอดครวญออกมาด้วยพระทัยหดหู่มิได้ ก็ทรงอุตส่าห์ดำริเอาไว้ว่า ม่านเมรีอาจจะทำให้เชษฐาพระองค์ผู้นี้สนพระทัยขึ้นมาได้แล้วเชียว

“นางไปหัดมาตอนไหน แล้วไปหยิบฉวยเอาอาวุธของผู้ใดมา” รับสั่งต่อมาของเทพอนุบิส ทำให้เทพแห่งนภากาศคิดว่า ต่อให้รับสั่งจนตายเทพอนุบิสก็ไม่รับฟัง พระองค์ยังคงประทับยืนทอดพระเนตรมองม่านเมรีที่กำลังใช้ดาบวงเสี้ยวเข้าชิงชัยเหมือนมิเคยพบเห็น

อืม...จะว่าไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นจริง ๆ นั่นละ

เทพธอธลุกจากที่ประทับทันทีเป็นพระองค์แรกพลางรับสั่งว่า “ข้าจะลงไปดูยังขอบเวทีเพื่อเป็นบุญตาเสียหน่อย ทารกน้อยคนนี้ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริงเชียว”

“เดี๋ยวก่อนอาจารย์ ข้าจะลงไปเป็นเพื่อนท่าน” มีแค่ช่วงเวลาแบบนี้นี่ล่ะที่เทพโฮรัสนึกอยากจะเป็นศิษย์ยอดกตัญญูขึ้นมา ในขณะที่เทพอนุบิสกลับตัดสินพระทัยประทับนั่งอีกครั้ง
นางใช้อาวุธของผู้อื่นเช่นนั้นหรือ !!
ดำริภายในพระทัยด้วยความโกรธขึ้ง สีพระพักตร์บึ้งตึงไม่พอพระทัยฉายชัด ทำได้ดีมากไอมีอัต แล้วมาดูกันว่าพระองค์จะจัดการยังไงกับเด็กที่ผิดสัญญาคนนี้

การแข่งขันเริ่มดุเดือนขึ้นเมื่อเวลายิ่งผ่านไป ม่านเมรีที่ตอนนี้เริ่มอ่อนแรงลงไปมากพยายามประคับประคองตัวเองแล้วหาโอกาสจู่โจ่มอีกฝ่าย เธอจะต้องใจเย็นให้มากเพราะโอกาสนั้นไม่ได้มีมากมายนัก คู่ต่อสู่เองก็เก่งกาจด้านวิชาการต่อสู้ แถมนางยังใช้อาวุธต่าง ๆ ที่อย่างคล่องแคล่วเสมือนหนึ่งมือของตัวเองอีกต่างหาก เทพธิดามาอัตจึงเรียกอาวุธออกมาใช้หลากหลายชนิดสับเปลี่ยนกันไป ตั้งแต่ดาบ หอก ธนู และอีกหลาย ๆ อย่าง เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งรับไม่ทัน นางเป็นฝ่ายรุกจนกระทั่งม่านเมรีที่เป็นฝ่ายตั้งรับเริ่มท้อ

เธอรอโอกาสให้อีกฝ่ายเริ่มชะล่าให้แล้วจู่โจมอีกครั้ง ม่านเมรีรีบโผเข้าไปประชิดตัว พลางตวัดดาบวงเสี้ยวในมือได้อย่างคล่องแคล้วไม่น้อย อีกทั้งยังรู้ว่าเวลาไหนบุกเวลาไหนควรตั้งรับ

เทพธอธเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยความสนพระทัย ก่อนหน้านี้พระองค์คิดว่า ฝีมือของม่านเมรีอย่างดีก็สู้ได้แค่ไม่กี่ยกเท่านั้นกลับผิดไปจากที่คิดเอาไว้ นางทำได้อย่างไรกันนะในเวลาชั่วข้ามคืนถึงเก่งกาจได้มากขนาดนี้

ข้างฝั่งม่านเมรีก็อดที่จะนึกของคุณพี่ชายอย่างผ่านเมฆขึ้นมาไม่ได้ที่อุตส่าห์ฝึกสอนเธอมากับมือ แถมยังให้หยิบยืมดาบวงเสี้ยวอาวุธคู่กายมาใช้อีกต่างหาก สมแล้วกับที่เขาเป็นทายาทลำดับหนึ่งของกองคาราวาน วิชาการสู้รบเก่งกาจชนิดหาตัวจับได้ยาก แต่ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าใครเป็นอาจารย์ของเขา

“ผู้ที่จะใช่ดาบวงเสี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับมือของตัวเองมีไม่มาก และหนึ่งในนั้นข้าเองก็สนิทสนมมิใช่น้อย” เทพธอธรับสั่งออกมา
“ใครหรืออาจารย์” เทพโฮรัสที่ลุ้นอยู่ข้าง ๆ รับสั่งถาม

“เจ้าไม่รู้สักเรื่องได้หรือไม่” ตอบแบบนี้ผู้ใดจะกล้าซักไซ้ได้ต่อ

และระหว่างที่ต่างก็ลุ้นกันอยู่ว่าฝ่ายไหนกำลังได้เปรียบเสียเปรียบอยู่นั้น อีกเวทีหนึ่งการแข่งขันเพิ่งจะจบสิ้น เมอริคาเรอาศัยฝีมือที่ได้รับการถ่ายถอดมาจนสามารถเอาชนะศิษย์ของเทพีบาสเท็ทไปได้อย่างไร้ข้อกังขา เด็กน้อยรีบวิ่งลงจากเวทีแล้วมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าผู้เป็นอาจารย์ เทพธอธก้มพระพักตร์ลงมองมอง พลางยกพระหัตถ์ขวาขึ้นมาลูบไล้ศีรษะของเธอเบาๆอย่างเอ็นดูและภาคภูมิใจ

“เจ้ามิเคยทำให้ข้าผิดหวัง” รับสั่งเพียงประโยคเดียวก็ทำให้เธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ไม่ได้คาดหวังอะไรที่มากไปกว่าความรักความเอ็นดูจากผู้เป็นอาจารย์เท่านั้น

“ข้าก็เชื่อว่าพี่ไอมีอัตจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” เมอริคาเรกล่าวออกมา ก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปสนใจการแข่งขันที่ยังคงดำเนินต่อไปของอีกเวทีหนึ่ง

“เจ้า...รีบยอมแพ้ข้าดีกว่ามนุษย์น้อย เห็นชัดอยู่แล้วว่าเจ้าแทบจะไม่มีแรงแม้กระทั่งจะจับดาบ” เทพธิดามาอัตรับสั่งเป็นประโยคแรกหลังจากผ่านการต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนาน

“ท่านเองก็ไม่ได้ต่างจากข้านัก” ม่านเมรีตอบกลับไป เพราะอีกฝ่ายก็แทบจะยกดาบไม่ไหวแล้วเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาตัดสินกันเสียที ข้าเองก็มิอยากจะถ่วงเวลาอีกต่อไป !!” เทพธิดามาอัตพุ่งเข้าใส่ม่านเมรีก่อนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เด็กสาวเองก็ต่อสู้กลับไปอย่างอย่างสูสี เสียงดาบที่ทั้งคู่เลือกใช้กระทบกันหลายครั้งจนเกิดเป็นประกายขึ้นมา บาดตาแก่ผู้เฝ้ามองที่ลุ้นกันชนิดที่เรียกได้ว่าแทบลืมหายใจ

ทั้งคู่เข้าประชิดตัว ปะทะกันแลกดาบไปได้มาอย่างดุเดือด จนในที่สุดแรงสะท้อนของดาบที่กระทบกันครั้งสุดท้าย ทำให้ทั้งคู่กระเด็นออกจากกันราวแม่เหล็กต่างขั้ว ดาบวงเสี้ยวหลุดออกจากมือของม่านเมรีเช่นเดียวกับกับดาบของเทพธิดาที่ตกลงสู่พื้น
นี่แหละโอกาสที่เธอรอคอย !!

น้อยคนนักที่จะรับรู้ว่าดาบวงเสี้ยวก็เหมือนบุมเบอแรง ยิ่งกระเด็นไปด้วยแรงสะท้อนเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะวกกลับมาหาผู้ใช้ได้แรงเท่านั้น
ชัยชนะกำลังเป็นของม่านเมรีในอีกไม่ช้า เพราะทั้งเธอและเทพธิดาน้อยมาอัตต่างก็ได้รับปาดเจ็บทั้งภายนอกภายในด้วยกันทั้งคู่ จนมิอาจต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว

เพี้ยว !

เสียงดาบวงเสี้ยวที่กระเด็นออกไปโดยแรงกำลังวกกลับมาเข้าทางด้านหลังของม่านเมรีโดยที่เทพธิดามาอัตไม่ทันสังเกตเห็น เด็กสาวรอจนกระทั่งมันเข้ามาใกล้จึงเอี้ยวกายที่ยังคงล่องลอยอยู่กลางอากาศเนื่องจากแรงปะทะหลบไปเพื่อเปิดทางให้อาวุธพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม
เทพธิดามาอัตให้ดาบวงเสี้ยวพุ่งมาทางตนแต่ก็จนปัญญาที่จะหลบหลีกได้ทัน ได้แต่หลับตารอรับความพ่ายแพ้ทั้งๆที่ยังคอยลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกันอย่างมิใคร่เต็มใจนัก

และในขณะที่ผลการแข่งขันกำลังจะจบสิ้นนั้น จู่ ๆ ก็มีลำแสงประหลาดสว่างจ้าขึ้นมาก่อนที่ดาบเสี้ยวจะเข้าถึงตัวเทพธิดามาอัต
เสียงดาบกระทบกับกริชอันหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาช่วยเทพธิดามาอัตเอาไว้ กริชทองฝังอัญมณีสีนิลกาลแพรวพราวไปทั้งเล่ม !!
ม่านเมรีที่กำลังจะร่วงลงสู่พื้นเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ นางเสียใจจนกระอึกเลือดออกมาด้วยความคับแค้น เสียแรงที่หลงภักดีบูชา ไม่นึกเลยว่านางจะได้รับผลตอบแทนกลับมาเช่นนี้จากพระองค์ได้ !!

ตุบ !!

ร่างของเธอกระแทกลงกับพื้นเวทีประลองอย่างแรงราวกับว่ากำลังแหลกสลาย หัวใจแทบหยุดเต้นหดรัดอย่างรุนแรง จนกระทั่งหายใจไม่ออก

ม่านเมรีใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้นมากำตรงบริเวณสร้อยคอของเธอแทบจะทันที บัดนี้เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวที่เจ้าตัวสวมใส่เหลือเพียงสายสร้อย ไร้กริชน้อยเล่มนั้นที่เคยอยู่ข้างกายเป็นนิด

ในที่สุดก็ได้รับรู้เสียที่ถึงที่มาของเครื่องประดับชิ้นนี้ แถมยังเป็นการรับรู้ชนิดที่เรียกได้ว่าฆ่าเธอที่ละนิดได้อย่างเลือดเย็น

ร่างที่ร่วงลงมาในลักษณะตะแคงข้างพยายามมองไปทางเทพแห่งความตายที่ยังคงมีสีพระพักตร์เรียบเฉยด้วยความช้ำใจ ทรงเรียกกริชกลับคืนไปจากเมรีได้ถูกช่วงเวลายิ่งนัก แถมยังใช้มันช่วยอีกฝ่ายเสียด้วย

น้ำตาหยดแรกไหลรินออกมารดใบหน้าที่ที่มีผ้าคลุมเอาไว้ กระอักเลือดออกมาอีกครั้งย้อมผ้าสีดำจนเป็นวงกว้างออกมา สิ้นสุญกันเสียที่กับสัญญาจอมปลอมแบบนั้น !

เธอจะไม่สวมใส่อาภรณ์สีดำอีกต่อไป !!

เธอจะไม่ปกปิดใบหน้าอีกเช่นเดียวกัน

และ.....

เธอจะไม่บูชาเทพพระองค์นี้อย่างผู้ภักดีอีกต่อไป !!!

เทพธิดาน้อยมาอัตที่เรียกปีกของเธอออกมาได้ทันยังคงล่องลอยอยู่กลางอากาศ พลางนึกขอบพระทัยเทพอนุบิสในความช่วยเหลือของพระองค์

กริชทองที่มีอานุภาพขนาดต้านทานดาบวงเสี้ยวได้มีแค่เพียงกริชของเทพอนุบิสเท่านั้น เรื่องนี้เทพและเทพีชั้นสูงต่างก็รู้ดี เห็นได้ชัดว่าเทพอนุบิสคงประทานให้มาอัต เพื่อให้นางได้ใช้ในยามคับขัน เป็นที่แน่ชัดในบรรดาเหล่าเทพว่าน่าจะทรงทำเพื่อเทพีอเมนเททผู้เป็นดวงใจ

แต่ที่ไม่มีผู้ใดรู้ก็คือกริชเล่มนั้นทรงประทานให้แก่ม่านเมรีต่างหาก เว้นแต่มาอัตซึ่งนางย่อมรู้ตัวดี และเทพแห่งกาลเวลาเท่านั้น !!

“อนุบิสนี่เจ้า !!!” เทพธอธแหงนพระพักตร์มองไปทางเทพแห่งความตายด้วยความคาดไม่ถึง ทำถึงขั้นนี้พระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะรับสั่งต่อทั้งนั้น

ม่านเมรีค่อย ๆ รั้งตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ดาบวงเสี้ยวลอยมาหยุดตรงหน้าเธอแล้วโอบล้อมเอาไว้ราวกับปลอบโยนผู้ที่บอบช้ำ เด็กสาวกระชากผ้าคลุมหน้าออกอย่างแรงต่อหน้าทุกพระองค์ในที่นั้น เผยให้เห็นดวงหน้าขาวใส ที่งดงามชวนตะลึงไปทั้งงานประลอง

รอยโลหิตตรงริมฝีปากที่ยังคงไหลริน ขับให้ดวงหน้าขาวผ่องยิ่งโดดเด่นขึ้น ดวงตาเศร้าสร้อยล่องลอยคล้ายคนสิ้นหวังบีบรัดหัวใจทุกผู้ยิ่งนัก หลายองค์แทบอยากจะเข้าไปประคองแล้วถนอมไว้ในมือ

“ผู้ชนะคือเทพีมาอัต สิ้นสุดการแข่งขัน” เสียงประกาศดังขึ้น ปลุกให้ทุกพระองค์ตื่นจากความตกตะลึง เมอริคาเรรีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีทันทีแล้วคุกเข่าลงโอบกอดผู้เป็นดั่งพี่สาวเอาไว้

“ไม่ต้องเสียใจนะคะพี่ไอมีอัต” หยดที่เริ่มหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง ถูกปิดบังเอาไว้ด้วยหัวไหล่ของผู้เป็นน้องสาว กริชทองอันเล็กลอยกลับคืนมาสู่เธออีกครั้งในระหว่างที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ม่านเมรีปฏิเสธมันเป็นครั้งแรกโดนการปัดมันออกไปอย่างแรงราวกับว่าจะตัดความสัมพันธ์กันเพียงเท่านี้

เทพอนุบิสมีสีพระพักตร์เศร้าหมอง แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ใช่ว่าพระองค์จะเต็มพระทัยในการกระทำของพระองค์ในครั้งนี้
ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือดเช่นเดียวกัน

ใช่ว่าอยากจะตัดความสัมพันธ์กันง่ายๆแบบนี้ !!!

ภาพแห่งความหลังกำลังปรากฏขึ้นมาในพระทัย อีกนานแค่ไหนพระองค์ถึงจะหลุดพ้นจากความข่มขืนที่มิอาจบอกให้ผู้อื่นรับรู้นี่ได้เสียที
เทพธอธซึ่งรู้ดีทุกอย่างถอนปัสสาสะออกมากับชะตากรรมเหล่านั้น เทพโฮรัสที่ร่าเริงเป็นนิดมีสีพระพักตร์สร้อยสร้อยเจ็บปวดไปกับคนทั้งคู่

“อีกนานไหมอาจารย์กว่าอนุบิสจะพบกับความสุขเสียที” ทุกข์ตลอดมากว่า 3,500 ปี มันต้องเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ

“เฮ้อ ! นี่ก็ไม่ต่างกัน” เทพแห่งกาลเวลามองม่านเมรีที่ถูกเมอริคาเรประคองลงเวทีมาด้วยความเห็นใจ



วิหารธอธ

หลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง งานเลี้ยงฉลองและรับรางวัลจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น ม่านเมรีที่กลับมาจากการแข่งขันและนอนพักผ่อนจนฟื้นตัวแล้ว หญิงสาวลุกขึ้นมา หอบเอาเสื้อผ้าทั้งหมดที่ตัวเองเคยสวมใส่ เดินตรงยังหลังวิหารทันที

เมอริคาเรที่เห็นพี่สาวเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ยอมหยุดทักก็ยิ่งสงสัย ครั้นเมื่อเหลือบไปเห็นเสื้อผ้าในอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นพี่สาว เธอจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปตามหาเทพธอธทันที

“แย่แล้วอาจารย์ พี่ไอมีอัตเป็นบ้าไปแล้ว” เรียกเสียงดังชนิดที่ใครมาได้ยินแก้วหูแทบแตก แต่ก็ไม่พบร่องรอยของอาจารย์ภายในวิหารหรือห้องส่วนตัวแต่อย่างใด สงสัยคงจะมัวไปประทับอยู่กับสุริยาเทพราห์อีกแล้ว

แต่จะให้เด็กน้อยเช่นเธออยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ได้การ เมอริคาเรรีบวิ่งไปหาม่านเมรียังหลังวิหารทันทีด้วยความรีบเร่ง เมื่อไปถึงจึงเห็นว่าพี่สาวของเธอกำลังนั่งเผาเสื้อผ้าอยู่

ดูก็รู้ว่าทำไมจะต้องทำเช่นนั้น สงสัยจะโกรธเอาการ หรือไม่ก็อยากสาปแช่งให้มีอันเป็นไป !

ม่านเมรีที่นั่งยอง ๆ ในอาภรณ์สีขาว ที่คาดว่าน่าคงบุกรุกของส่วนตัวของเธอเข้าไปหยิบมาใส่ เด็กสาวกำลังโยนเสื้อผ้าทีละชิ้นเข้ากองไฟที่ตนเองก่อขึ้นด้วยความเฉยชา แต่ทว่าแววตากลับแสดงถึงความเยือกเย็นฉายชัด

เมอริคาเรค่อย ๆ เดินอ้อมไปอีกด้าน แล้วคุกเข่าลงนั่งยองหน้ากองไฟในฝั่งตรงข้ามกัน มองดูม่านเมรีที่กำลังโยนเสื้อผ้าทีละชิ้นเข้ากองไฟ เท่านั้นยังไม่พอ ไอ้พริกกับเกลือที่โยนตามไปนั่นนะ แน่ใจหรือว่าเป็นเชื้อเผาไหม้

อืม ~...เข้าใจแล้วว่าแค้นอาฆาตไม่ใช่เล่น ท่านหญิงแห่งกองคาราวานพยักหน้าหงึก ๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมาซักคำ เพราะเกรงว่าหากรบกวนความสงบของผู้เป็นพี่สาวในเวลานี้ ดีไม่ดีเธออาจจะโดนพริกกับเกลือสาดใส่ด้วยก็ได้

ไม่ต้องมีผู้ใดมาบอก เมอริคาเรก็รู้ว่าเผาพริกกับเหลือหมายความว่ายังไง เพราะเมื่อในสมัยเด็ก ๆ เธอก็เห็นพี่ผ่านเมฆทำอยู่บ่อย ๆ เวลาเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้

ทั้งพี่สาวและพี่ชายคู่นี่ช่างอันตรายจริงเชียว หวาดเสียวแทนคู่อาฆาตชะมัด

หลังจากเผาเสื้อผ้าพร้อมพริกกับเกลือจนเสร็จ ม่านเมรีก็ลุกขึ้นมาปัด ๆ ชุดสีขาวที่ตนเองถือวิสาสะหยิบของผู้อื่นมาใส่ แม้จะคับไปซักนิดด้วยวัยที่แตกต่างกัน แต่เธอก็เลือกเอาชุดที่ใหญ่ที่สุดมาแล้วนะ พอจะแก้ขัดไปก่อนได้

เมอริคาเรที่ลุกขึ้นตาม ครั้นเมื่อเห็นนกกระสาตัวหนึ่งบินลงมาจากฟากฟ้า เธอจึงกระโดดโลดเต้นพร้อมทักทายออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว ทางนี้ค่ะ เมอริตอยู่กับพี่ไอมีอัตตรงนี้” รอดตายแล้วเมอริคาเร นี่ยังแอบกลัวเลยว่าสิ่งที่พี่สาวจะเผาลำดับต่อไปคือวิหารแห่งธอธหลังนี้แหละ

เทพธอธเมื่อทอดพระเนตรเห็นทารกน้อยทั้งสอง พระองค์ก็ทรงบินร่อนถลาลงมาทันที แล้วจำแลงวรกายกลับเป็นร่างเทพต่อหน้าพวกนาง
“ข้าขอช่วยให้เทพีแห่งการช่างตัดเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เจ้า” ผู้เป็นอาจารย์ยื่นอาภรณ์สีขาวสะอาดส่งให้ม่านเมรีที่ยื่นมือออกไปรับ สมกับเป็นเทพแห่งการเวลาเสียจริง รู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ครั้นเมื่อทอดพระเนตรไปเห็นกองไฟที่กำลังจะมอดก็รู้สึกโล่งพระทัย นึกเหมือนกันว่าบางทีอาจจะต้องย้ายวิหารหลังใหม่ แต่เมื่อมันยังอยู่ดีมิได้ถูกไฟอาฆาตแผดเผาไปด้วย พระองค์ก็ดีพระทัยยิ่งนัก
อยู่คู่กันมากับตำหนักแห่งนี้เป็นหมื่น ๆ ปี แถมชายาที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วนั้น ยังไม่ทันตื่นลืมตาขึ้นมาได้เห็นอีกต่างหาก จะให้พระองค์ทำพระทัยได้หรือ

“ขอบคุณค่ะอาจารย์ เดี๋ยวเมรีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว จะเตรียมมื้อว่างให้ทาน เป็นสิ่งตอบแทนนะคะ” พูดหวานปานน้ำผึ้ง พลางแสยะยิ้มออกมา แล้วหอบเสื้อผ้าสีขาวชุดใหม่ตรงกลับห้องส่วนตัวทันที

ม่านเมรีเอ๋ย ม่านเมรี...ข้ายังมิอยากสิ้นลมเพราะการปรุงอาหารของเจ้าในเวลาเช่นนี้หรอกนะ จริงอยู่ว่าพระองค์เป็นอมตะ แต่มิใช่ว่าจะเฉียดสิ้นพระชนม์ไม่ได้!!

“ข้าจะลงไปยังยมโลก...(เสียหน่อย)” คำว่าเสียหน่อยยังมิทันได้หลุดจากพระโอษฐ์ออกมา เทพแห่งกาลเวลาก็ถูกลูกศิษย์ตัวน้อยล็อคด้วยอ้อมแขนเล็ก ๆ เสียก่อน

ท่านหญิงแห่งกองคาราวายส่ายหน้าไปมาในขณะที่กอดท่อนพระพาหาของพระองค์เอาไว้...เห็นใจข้าเถิดเมอริคาเร เทพธอธมีสีพระพักตร์เศร้าสร้อย ฝืนกล้ำกลืนเดินตามลูกศิษย์คนเล็กไปยังท้องพระโรงของวิหารอย่างมิใคร่เต็มพระทัยนัก

เรื่องอะไรจะปล่อยให้เมอริตอยู่ทานแค่คนเดียว งานนี้ท่านอาจารย์มีส่วนผิดด้วยเห็น ๆ บอกแล้วใช่ไหมล่ะว่า อย่าให้พวกนางลงแข่ง ผลออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องยอมรับชะตากรรมกันไป

“ข้าผิดไปแล้วเมรี ได้โปรดปล่อยอาจารย์ท่านนี้ไปเถิดนะ”




ท้องพระโรงวิหารธอธ

หนึ่งอาจารย์หนึ่งลูกศิษย์กำลังนั่งรอมื้อว่างด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น นานเท่าไหร่แล้วนะที่ม่านเมรีคลุกอยู่แต่ในห้องครัว กลิ่นอาหารที่หอมตลบอบอวนไปทั่วทั้งวิหาร ทำให้น่าหลงใหลชวนให้อยากทานยิ่งนัก แต่ทั้งศิษย์และอาจารย์กลับไม่อยากแตะต้อง

“เจ้าไปดูสิว่า เมรีน้อยของข้าปรุงอาหารไปถึงไหนแล้ว” เทพธอธรับสั่งด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย แต่ในพระทัยกลับรู้สึกตรงข้าม ช่างเป็นอาจารย์ที่ใช้อภิสิทธิ์บังคับฝืนใจลูกศิษย์เห็น ๆ

เมอริคาเรที่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับห้องครัวนัก แทบอยากจะมุดพื้นวิหารหนี ได้แต่รีบส่ายหน้าไปมาพลางโอบบั้นพระองค์ของอาจารย์แล้วซุกใบหน้าลงกับอุระของพระองค์เอาไว้

“ไม่เอานะอาจารย์ เมอริตไม่อยากจะเห็นภาพหวาดเสียวแบบนั้น” ว่าพลางรัดบั้นพระองค์แน่นเข้า

“ข้าเองก็ไม่อยากไปเห็นอีกครั้งเช่นกัน” เทพแห่งกาลเวลาถอนปัสสาสะออกมาเบา ๆ เพราะก่อนหน้านี้พระองค์และเมอริคาเรต่างได้แอบย่องไปมองกันมาแล้ว

“บางทีข้าอาจจะได้เรียนรู้ว่าความตายเป็นเช่นไร” ยิ่งรับสั่งก็ยิ่งหวาดเสียว เพราะลูกศิษย์บ้าอนุบิสองค์เดียวเชียว จึงทำให้พระองค์ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้

และอีกไม่กี่อึดใจต่อมา ม่านเมรีก็เดินนำอาหารออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่าก่อนหน้านี้มิได้มีเหตุการณ์ระทึกขวัญใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น

“ทานสิค่ะท่านอาจารย์ เมอริคาเร” มิหนำซ้ำยังชี้ชวนให้ทาน และบริการตัดอาหารให้อีกต่างหาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าอาหารตรงหน้าจะมีรสชาติเช่นไร

“เจ้าก็ละเว้นอาจารย์เสียซักคนจะได้หรือไม่” ในตอนนี้แม้พระองค์จะมีบุคลิกสูงส่งปานไหนก็มิกล้าทะนงตน

“นั่นนะสิพี่ไอมีอัต เมอริยังไม่อยากตายย....” เด็กวัยสิบสองยอมออกจากอ้อมอกของอาจารย์เพื่อมองดูอาหารตรงหน้าก่อนที่จะรีบซุกเข้าไปไหม เพราะแค่ได้มองก็เหมือนมีความตายมาจ่ออยู่รอเบื้องหน้า

“ไม่เอานะอาจารย์ ไม่ทานเด็ดขาดเลย” เมอริคาเรพูดจาอู้อี้อยู่กับอกอาจารย์ ถ้าเป็นไปได้เธออยากจะหายตัวเข้าไปอยู่ในพระทัยของเทพธอธเสียเลย

“ทานสิค่ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” ประโยคนี้ของม่านเมรีเหมือนกับรดยาพิษใส่พระองค์ทั้งร่าง เห็นทีจะไม่ได้การต้องรีบหาทางออกอย่างเร่งด่วน

“ขะ...ข้าจะเก็บไว้ทานพร้อมกับอนุบิสและโฮรัสยังยมโลก” ถือว่าช่วยเมริคาเรก็แล้วกัน เฉลี่ยให้เทพสามองค์แบ่งกันตาย อย่าน้อยก็ยังมีโอกาสรอด

ม่านเมรีเมื่อได้ยินนามของเทพแห่งความตายพระองค์นั้นออกมา เธอจริงแสยะยิ้มแล้วเอ่ยกลับไปว่า

“เดี๋ยวเมรีจะเข้าไปทำเพิ่มมาให้ อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ ไม่อย่างนั้นละก็..........”

“ข้าสัญญาว่าจะรอเจ้า” ผู้เป็นอาจารย์รีบรับสั่งทันที ทำให้ม่านเมรีมีสีหน้าพอใจ เด็กสาวหมุนตัวกลับไปยังห้องครัวอีกครั้ง เพื่อปรุงอาหารเพิ่มอีกสองชุด

“ท่านอาจารย์กับศิษย์พี่จะรอดไหมคะ เมอริตกลัวว่าจะไม่ได้พบเห็นพวกท่านอีกแล้ว” คนที่แน่ใจว่าตัวเองปลอดภัยแน่นอน เริ่มรู้สึกเป็นห่วงผู้อื่นขึ้นมา ซาบซึ้งในความเสียสละของอาจารย์และศิษย์พี่ยิ่งนัก

“นิ่งเสียทารกน้อยของข้า จงอย่าร้องไห้” รับสั่งไปพลางปลอบไปพลางด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว




ณ ยมโลก

เทพธอธที่เสด็จมาปฏิบัติหน้าที่เป็นองค์สุดท้าย ก้าวพระบาทที่ไม่รีบร้อนมากนักตรงมาทางลูกศิษย์ทั้งสอง “พวกเจ้าจะลองชิมอาหารจากวิหารของข้าหรือไม่” รับสั่งพลางเนรมิตอาหารออกมา

“ขอหม่อมฉันร่วมรับประทานด้วยได้หรือไม่” เทพีอเมนเททพาลูกศิษย์ทั้งสองเข้ามา แล้วรับสั่งขึ้น

เทพธอธเมื่อทอดพระเนตรเห็น ในตอนแรกอยากจะปฏิเสธกลับไปด้วยความหวังดี แต่เมื่อดำริไปถึงความคับแค้นที่เพิ่งจะโดนลูกศิษย์บีบบังคับมา มิหนำซ้ำตัวการทั้งหมดอยู่อยู่จนครบ ถ้าเช่นนั้นก็เฉลี่ยหายนะกันไปคนละนิดละหน่อยก็แล้วกัน

“ได้สิ...อาหารมีตั้งมากมายข้ากับศิษย์แค่สามองค์ เกรงว่าจะทานไม่หมดเสียด้วยซ้ำ” เป็นครั้งแรกที่เทพีแห่งความตายได้รับมิตรไมตรีจากเทพอาวุโสเป็นครั้งแรก พระนางรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก บางทีการที่ศิษย์ของนางชนะการแข่งขันอาจทำให้เทพแห่งกาลเวลาผู้นี้ยอมรับในตัวพระนางขึ้นมาบ้าง

ปฏิบัติหน้าที่ยังยมโลกร่วมกันมานานหลายพันปี ไม่เคยเลยซักครั้งที่เทพธอธจะหยิบยื่นไมตรีมาให้ อย่างดีก็แค่ทักทายปราศรัยกันตามสมควรเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันกับศิษย์ไม่เกรงพระทัยแล้วนะเพคะ” เทพีแห่งความตายประทับนั่งหลังจากที่เทพธอธทรงอนุญาต ตามด้วยลูกศิษย์ทั้งสอง

“อนุบิสเจ้าลองจานนี้ดูสิ ฝีมือของเม...เอ่อ...ศิษย์น้องของเจ้า” เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของวิหารธอธ คือเมอริคาเรผู้เป็นยอดด้านการปรุงอาหาร เหล่าเทพและเทพีหลายพระองค์อยากรับประทานฝีมือนางซักครั้ง แต่น้อยพระองค์นักที่จะได้รับโอกาสนั้น แม้แต่จะยืมตัวชั่วคราวเทพธอธก็ไม่เคยทรงอนุญาตเพราะ ‘หวง’

“งั้นหม่อมฉันขอลองด้วย” เทพีแห่งความตายรับสั่งขึ้น

“ตามใจเจ้า” เทพธอธยื่นไมตรีให้อีกครั้งโดยการเลื่อนอาหารจานนั้นมาให้

‘ข้าขอขอบใจเจ้าเป็นครั้งแรก อเมนเทท ขอให้เจ้าจงอยู่รอดปลอดภัย’

นางเป็นถึงเทพีแห่งความตาย อย่าน้อยก็แค่เจ็บหนักหน่อย ไม่ถึงกับขาดลมหายใจกระมั่ง

เทพแห่งกาลเวลาทอดพระเนตรมองศิษย์รักอนุบิสส่งอาหารจานนั้นเข้าพระโอษฐ์ไปเป็นองค์แรกด้วยความหวาดเสียว และเพียงเสี้ยววินาทีต่อมาสีพระพักตร์ของเทพแห่งความตายก็เปลี่ยนแปลงไป

“ฝีมือนางใช่หรือไม่อาจารย์” รับสั่งนั้นทำให้เทพธอธอดทึ่งไม่ได้

“จานนี้อร่อยดี ข้าขอเถิดนะอเมนเทท” รับสั่งพลางเอื้อมพระหัตถ์ไปฉกฉวยอาหารทั้งจานมาเป็นของตน จะทนได้ขนาดไหนกันนะอนุบิส แต่ก็ขอบใจเจ้าล่ะข้าในฐานะอาจารย์นับถือเจ้ายิ่งนัก !!

พิษร้ายแรงต่าง ๆ เริ่มเข้าสู่ร่างของเทพแห่งความตาย ทีละน้อย ๆ และม่านเมรีก็รู้ดีว่าอุปนิสัยของพระองค์ย่อมไม่มีทางที่จะทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนไปด้วยแน่

ที่แท้แล้วอาหารพวกนี้ก็ถูกปรุงขึ้นมาเพื่ออนุบิสนั่นเอง หลงให้พระองค์หวาดเกรงตั้งนาน ร้ายนักนะม่านเมรี ดูสิว่าอาจารย์อย่างข้าจะเอาคืนเช่นไร

เทพธอธเฝ้ามองดูเทพอนุบิสค่อย ๆ หยิบจานโน่นจานนี้ใส่ลงอุทรไปด้วยความเพลินเพลิน แล้วนิมิตอาหารชุดใหม่ที่เมอริคาเรเตรียมไว้ให้ออกมาให้โฮรัสกับอเมนเททและศิษย์ของนางทาน

“ชุดนั้นยกให้อนุบิสไปเถิด พวกเจ้าลองชุดนี้ดีกว่า” ว่าพลางก็ลงมือทานเป็นพระองค์แรก ส่งผลให้เทพโฮรัสที่เริ่มจะรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้วรบเออออเห็นด้วย

“นั่นนะสิอาจารย์ ชุดนั้นก็มอบให้อนุบิสไปเถิด” รอดตายแบบฉิวเฉียดเลยโฮรัสเอ๋ย คิดไม่ถึงเลยว่าไอมีอัตน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามปานนั้นจะเลือดเย็นขนาดดี

ดีนะที่นางมิใช่ของข้าโฮรัส !! ดำริพลางมองไปทางเชษฐาอย่างเห็นพระทัย

เทพีอเมนเททแม้จะทรงสงสัย แต่นางก็เป็นเพียงผู้น้อย จึงมิอาจรับสั่งถามอะไรให้มากความได้ จึงได้แต่ทานอาหารชุดใหม่ที่เทพอาวุโสหยิบยื่นมาให้เท่านั้น

ข้างฝั่งเทพแห่งความตาย แม้นตอนนี้จะทรงเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง แต่พระองค์ก็ยังคงรักษาอาการปกติเอาไว้ได้ ถือเสียว่าข้าชดเชยให้เจ้านะไอมีอัต หวังว่านางคงจะพอใจ



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2556, 12:59:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2556, 12:59:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1292





<< ตอนที่ 6 ประลองฝีมือ   ตอนที่ 8 อดีตที่เคยผิดพลาด (1) >>
ร้อยวจี 17 พ.ย. 2556, 18:56:23 น.
เรื่องแบบนี้จะชดเชยได้หรือ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรอีก รอค่ะ น่าติดตามมาก


Zephyr 18 พ.ย. 2556, 00:52:11 น.
โอ๊ย สมน้ำหน้าดีมั้ย ดันไปช่วยคนอื่น แต่นะ
เมรีจะเอาถึงตายเลยเหรอ ตอนประลองน่ะ โหดไปป่ะ รักษาภาพพจน์นิ้ดดดนึงงง
ที่อนูบิสทำ แค่ช่วยไม่ให้ตายป่ะคะ รึช่วยให้ชนะจริงๆ
ยังงั้นก็น่าน้อยใจอยู่นะ ง้อกันยาววววววววววววววว แน่ๆๆๆ
ยิ่งแค้นฝังหุ่นแบบนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account