ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 8 อดีตที่เคยผิดพลาด (1)

อดีตที่เคยผิดพลาด (1)


เช้าวันต่อมา

ศิษย์อาจารย์ทั้งสามเร่งเดินทางจากวิหารธอธ ตรงไปยังอุทยานของเทพโอซิริสทันที เพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นพร้อมพิธีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะ วันนี้เมอริคาเรแต่งการด้วยชุดอียิปต์โบราณสีขาวตอลดทั้งร่าง ม่านเมรีก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่เผาชุดสีดำจนหมดสิ้นแล้วเด็กสาวก็เลิกใช้ผ้าคลุมใบหน้าด้วย

เทพธอธมองลูกศิษย์ทั้งสองด้วยความชื่นชม งดงามสมกับเป็นศิษย์ของพระองค์ทั้งคู่ ดูแล้วก็ชวนให้นึกไปถึงสมัยก่อนที่มีไอซีสและเนฟทีสเป็นศิษย์คู่กัน

“เจ้านั้นมีศักดิ์ด้อยกว่ามาอัตมากเมอริคาเร ดังนั้นเจ้าจึงต้องรับรางวัลจากเทพโฮรัส” รับสั่งกับศิษย์คนเล็ก คนที่เอาแต่บ่นมาตลอดทางว่าทำไมจะต้องเป็นผู้รับรางวัลจากเทพพระองค์นั้นด้วย

“ส่วนเจ้าเมรี มาดแม้นว่าจะไม่ชนะแต่เจ้าก็ต้องเข้าเฝ้ามหาเทพโอซิริส ดังนั้นเจ้าจะปฏิเสธไม่มาร่วงงานนี้ในครั้งนี้ไม่ได้” หันกลับไปมองลูกศิษย์อีกคนบ้าง ซึ่งออกอาการไม่อยากมาร่วมงานมาตั้งแต่ต้น และการที่นางเผยให้เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์ราวกับเด็กอายุน้อยเช่นนี้ ทำให้พระองค์สามารถสังเกตสีหน้าของนางได้ง่ายขึ้น

“เทพธอธและลูกศิษย์มาถึงแล้ว” เสียงประกาศจากนายทหารเทพที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มของอุทยานดังขึ้น ทำให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ต่างมองตรงไปทางศิษย์และอาจารย์ทั้งสามอย่างพร้อมเพรียงกัน

เป็นครั้งแรกที่ผู้มาร่วมงามได้ยลโฉมของม่านเมรี ต่างพร้อมใจกันอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“นางคือเทพีแห่งธารโลกันต์ใช่หรือไม่ !” เทพองค์หนึ่งรับสั่งขึ้น

“ได้ข่าวว่านางถูกกักเอาไว้ในกองไฟโลกันต์มิใช่หรือ” เทพอีกองค์กล่าวบ้าง

“แต่ข้าได้ข่าวมาว่าหัวใจของนางถูกเทพอนุบิสโยนให้แอมมัตกินไปแล้ว” เทพีที่อยู่ข้างกันแย้งขึ้น

“บ้างก็ว่านางได้หายสาบสูญไปตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น”

“แล้วทำไมนางจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แถมยังเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์อีก”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ้งแซ่ไปทั้งอุทยาน ทำให้ม่านเมรีที่รับฟังด้วยทิพยโสตมาตลอดทางต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ทั้งหมดที่กล่าวมาหมายถึงตัวนางมิใช่หรือ ?



ย้อนกลับไปเมื่อ 3500 ปีก่อนหน้านั้น

ยมโลกมีเทพแห่งความตายซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพหล่อเหลา สง่างาม อย่างไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้อยู่พระองค์หนึ่ง นามว่า อนุบิส

เทพพระองค์นี้แม้นว่าจะทรงเคร่งขรึม และเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่พระองค์ก็มีน้ำพระทัยที่กว้างขวางกว่าเทพองค์ใดในใต้หล้า ยามอยู่ต่อหน้าเทพบิดาและมารดาพระองค์จะทรงยิ้มแย้มเป็นนิจ ทำให้เหล่าเทพีและเทพธิดาทั้งหลายต่างหลงใหล

เทพเซทและเทพีเนฟทิส ได้ทาบทามเทพธิดาอเมนเททลูกศิษย์ของเทพเจ้าราห์ ซึ่งชนะการแข่งขันในงานประลองฝีมือในปีนั้นให้แก่บุตรของตน อีกทั้งยังมอบหมายหน้าที่ยังยมโลกให้แก่เทพธิดาองค์นี้ได้ลงไปปฏิบัติเพื่อเลื่อนขั้นจากเทพธิดาเป็นเทพีแห่งความตายคู้กับอนุบิสอีกด้วย

และในปีเดียวกัน นอกจากยมโลกจะได้ต้อนรับเทพีองค์ใหม่ซึ่งเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวแล้วนั้น ในบึงแห่งไฟโลกันต์ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวของยมโลก ก็มีสตรีอีกนางหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น

นางถือกำเนิดขึ้นมาจากดอกบัวแก้วโลหิตอายุ 500 ปีที่เทพเจ้าอเตนได้ประทานมาให้ ในตอนแรกนั้นดอกบัวพระราชทานมีสีขาวใสคล้ายแก้ว สะท้อนสีเหลืองแดงของไฟโลกันต์งดงามจับตา เทพธอธถึงกับออกปากอยากนำมาปลูกยังวิหารของตน แต่ดอกบัวแก้วนั้นก็หายินยอมไม่

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป ดอกบัวแก้วก็ค่อย ๆ ขุ่นขึ้นไม่ขาวใสดังแต่ก่อน เดือดร้อนถึงเทพทุกพระองค์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ยังยมโลกไล่มาตั้งแต่ มหาเทพโอซิริส เทพธอธ เทพเซท เทพอนุบิส จนถึงเทพโฮรัส

“ขืนปล่อยไว้เช่นนี้อีกต่อไป คงจะถูกเทพเจ้าอเตนดูแคลนเป็นแน่แท้” มหาเทพโอซิริสรับสั่ง

“ท่านมีวิธีรักษาบัวแก้วหรือไม่ท่านอาจารย์” รับสั่งถาม ทำให้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ถึงกับสะดุ้ง

“ข้าไม่มี และในตำราของข้ามิได้เขียนอะไรเกี่ยวกับบัวแก้วเอาไว้ เจ้าก็รู้นี่ว่าเทพเจ้าอเตนเป็นเทพเจ้านอกรีต ดอกบัวแก้วของพระองค์มีหรือที่เทพอย่างพวกเราจะดูแลรักษาได้”

“แล้วเราจะทำเช่นไรกันดี” เทพเซทเทพแห่งสงครามซึ่งเป็นบิดาของเทพอนุบิสรับสั่งบ้าง

“ข้าจะส่งโฮรัสไปประลองกับเทพเจ้าอเตน เพื่อจะชนะและขอหยิบยืมตำราของพระองค์มาศึกษาดู เผื่อว่าจะมีวิธีการรักษาบัวแก้วดอกดีดีหรือไม่” มหาเทพโฮซิริสมองไปยังบุตรชายของพระองค์ ซึ่งยังอยู่ในร่างของทารกน้อยอายุประมาณ 10 ปีเท่านั้นด้วยสีพระพักตร์เป็นกังวลเล็กน้อย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเทพนักรบ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สนามการต่อสู่จริงๆ เลยซักครั้ง

เทพอนุบิสทอดพระเนตรไปยังผู้เป็นญาติสนิทที่รักประดุจน้องชายด้วยความเอ็นดู

“ให้อนุบิสไปประลองแทนโฮรัสเถิดท่านลุง” เทพแห่งความตายซึ่งอยู่ในร่างเทพบุตรหนุ่มแน่นรับสั่งกับเทพโอซิริสซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ตนให้ความเคารพเลื่อมใส และยังเป็นเชษฐาของเสด็จพ่อเซทและเสด็จแม่เนฟทิสอีกด้วย

“แต่ข้าคิดว่า....” เทพโอซิรัสมีสีพระพักตร์ยุ่งยากพระทัย หน้าที่นี้เป็นของโฮรัสโดยตรง จะให้ผู้อื่นไปปฏิบัติแทนก็ดูเหมือนพระองค์จะเข้าข้างบุตรชายไปเสียหน่อยกระมัง

“ให้อนุบิสไปแทนนะดีแล้ว ข้าเองก็เห็นว่าสมควร” เทพเซทรับสั่งกลับมา นึกภูมิใจในบุตรชายของตนยิ่งนัก สมแล้วกับเป็นบุตรของพระองค์เทพแห่งสงคราม

“ข้าจะรีบไปรีบมา อยากจะลองวิชาใหม่ที่ท่านอาจารย์เพิ่งจะสอนให้อยู่พอดี” เทพอนุบิสรีบจำแลงกายหายไปทันทีด้วยความดีพระทัย ถ้าจะทรงมั่นใจในวิชาของท่านอาจารย์ขนาดนั้น ทำไมไม่ส่งผู้เป็นอาจารย์ไปประลองเสียเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องมาคอยลุ้นกันแบบนี้

เทพโอซิริสพร้อมด้วยเทพเซท ทอดพระเนตรมองไปทางเทพธอธที่เอาแต่หยอกเย้าแล่นอยู่กับโฮรัสด้วยความระอาในพระทัย
“ข้าเป็นถึงเทพชั้นผู้ใหญ่ เรื่องอะไรจะไปสู้รบกับเทพนอกรีตให้เปลืองกำลัง” รับสั่งพลางอุ้มโฮรัสขึ้นทั้งตัว

“เราไปฝึกวิชากันดีกว่า คราวนี้ให้พี่ชายแสดงฝีมือไปก่อน ไว้คราวหน้าข้าจะให้เจ้าออกโรงบ้าง” รับสั่งเสร็จก็อุ้มโฮรัสหายไปทันที



ข้างฝั่งเทพอนุบิสเมื่อจำแลงกายเป็นลูกสุนัขจิ้งจอก เข้ามายังวิหารของเทพเจ้าอเตนได้แล้วนั้น พระองค์ก็เดินตามเทพเจ้าผู้นั้นทันที จนกระทั่งพบ

“เจ้าสุนัขเทพตัวน้อย มาเยือนถึงถิ่นของข้าด้วยเรื่องดอกบัวแก้วกระมัง” เทพอเตนเทพแห่งสุริยันตรัสถาม พลางทอดพระเนตรมองเทพบุตรน้อยความความเอ็นดู

“ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าข้ามาเพราะเรื่องอะไร งั้นเรามาต่อสู้กันเลยดีกว่า” ทรงจำแลงกายกลับเป็นร่างเทพอีกครั้ง พร้อมด้วยกริชทองซึ่งเป็นอาวุธพระจำพระองค์

เทพเจ้าอเตนทรงลุกจากแท่นพระทับ แล้วพระสรวลออกมาด้วยความพอพระทัย

“ข้าชื่นชมในความตรงไปตรงมาของเจ้ายิ่งนัก ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหมด ผู้ที่ข้าให้ความเคารพมีไม่มาก หนึ่งในนั้นก็คือบิดาของเจ้าในตอนนี้เทพเซท”

“ท่านรู้จักบิดาของข้าเช่นนั้นหรือ ?”

“เปล่า...ข้ามิได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ข้าก็เฝ้ามองเทพองค์นั้นมานาน น่าสงสารในดวงชะตายิ่งนัก เจ้าเองก็เช่นเดียวกัน”

“ท่านกล่าวอันใด ข้ามิเข้าใจความ ข้ามาที่นี่เพียงต้องการตำราหยิบยืมตำราของท่านไปรักษาบัวแก้วก็เท่านั้น ข้าอยู่กับมันมานาน ไม่อยากให้มันต้องตายไป”

“เจ้าชอบบัวแก้วมากขนาดนั้นเลยหรือ ?” ตรัสถามด้วยความสนพระทัย

“ใช่...ข้าชอบมันมาก บางทีอยากจะเอาไปเลี้ยงที่วิหารด้วยซ้ำ แต่ครั้งที่อาจารย์เคยจะเอามันไปเห็นบัวแก้วไม่ยินยอม ข้าก็ย่อมไม่อยากฝืนใจ” รับสั่งของเทพหนุ่มทำให้เทพรุ่นใหญ่พอพระทัยเป็นอย่างมาก สมแล้วกับที่เลือกมาด้วยพระองค์เอง

“ข้าถูกใจเจ้ามาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะบอกวิธีรักษาให้ เพียงแค่เจ้าจะต้องเสียสละบางอย่างเป็นการตอบแทน”

“อะไรหรือ ?”

“นั่นก็คือโลหิตของเจ้า ในทุกๆ เช้าเจ้าจะต้องให้โลหิตแก่ดอกบัวแก้ววันละหยด เจ้าจะยินยอมหรือไม่” รับสั่งถามในขณะที่ทอดพระเนตรมองเทพอนุบิสอย่างชั่งพระทัย

“แค่วันละหยดจะเป็นอะไรไป ข้าเป็นถึงเทพแห่งความตาย ไม่มีผู้ใดที่จะใหญ่กว่าข้า !” ตอบหลับมาอย่างทระนง

“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับที่ข้ารอคอย” เทพเจ้าอเตนรับสั่งออกมา แววพระเนตรมีความชื่นชมฉายชัด

“ข้าขอฝากบัวแก้วโลหิตไว้กับเจ้าด้วย สัญญากับข้าสิว่าจะไม่ทอดทิ้งนาง” รับสั่งของเทพอาวุโสแม้จะทำให้เทพอนุบิสงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็มิได้กล่าวค้านอันใด

“ตกลงข้ารับปากท่าน ข้าขอให้คำสัตย์ว่าจะไม่ทอดทิ้งบัวแก้วโลหิตเป็นอันขาด ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ หรือจนกว่าสามภพจะแตกสลาย” คำปฏิญาณนั้นถูกด้วยเทพสายฟ้าซึ่งบังเอิญผ่านมาพอดี เพราะองค์ตวัดตรีศูลเกิดไปฟ้าผ่าลงมา เป็นการบอกใบ้ว่ามีพยานรู้เห็นในการปฏิญาณของเทพแห่งความตายในครั้งนี้



หลังจากที่เทพอนุบีสกลับไปแล้วเทพเจ้าอเตนก็ได้รับการต้อนรับจากเทพรุ่นแรกองค์หนึ่ง

“ท่านมั่นใจในศิษย์ของข้าขนาดนั้นเชียวหรือ” เทพธอธอุ้มเทพโฮรัสที่ฝึกวิชาชนเหนื่อยหลับคาพระอุระเข้ามาในวิการของเทพเจ้าอเตน
“หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้น” รับสั่งถามกลับไป พลางสาวพระบาทเข้ามามองทารกน้อยที่เอาแต่นอนหลับ

“ฝากบุตรสาวเพียงคนเดียวไว้กับเทพฝั่งอริ ท่านมิคิดว่าเป็นการเสี่ยงไปหน่อยหรือ” เป็นที่รู้กันว่าเทพเจ้าอเตนซึ่งถูกตั้งให้เป็นเทพนอกรีต เนื่องจากเป็นเทพแห่งสุริยันเช่นเดียวกับเทพเจ้าราห์เทพสูงสุด ซึ่งจะมีได้เพียงหนึ่งเท่านั้น และถ้ามีสองขึ้นมา ผู้ที่เกิดหลังย่อมถูกกีดกันเช่นนี้เป็นของธรรมดา

“ข้าเป็นถึงอาจารย์ของเจ้าธอธ เจ้าจะใจดำปล่อยให้ศิษย์น้องถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาได้เชียวหรือ” เทพอเตนขอเทพโฮรัสมาอุ้มด้วยความถูกพระทัย

“ชะตากรรมของนางช่างอาภัพนัก หากวันใดนางสิ้นอายุไข เจ้าก็แค่ให้นางไปเกิดใหม่เสีย” รับสั่งอย่างเศร้าสร้อย น้อยนึกที่จะทรงรู้สึกเช่นนี้

“ชื่อของนางคือม่านเมรี ชื่อเดียวกันกับสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ข้ารัก” เทพอเตนรับสั่งต่อ พลางหยอกล้อกับเทพโฮรัสที่ตื่นขึ้นมาด้วยความเอ็นดู

“ข้ารู้น่าอาจารย์ ศิษย์น้องของข้าชื่อม่านเมรี” เทพธอธรับสั่งพลางรับเทพโฮรัสกลับมา

“นอกจากจะมีอาจารย์แล้วเจ้ายังมีอาจารย์ปู่ด้วยรู้หรือไม่โฮรัส” รับสั่งถามศิษย์ ซึ่งตอนนี้เอาแต่จ้องมองเทพอเตนด้วยความสนใจ

“ข้ารู้อาจารย์ ท่านผู้นี้คืออาจารย์ปู่ของข้า” คำตอบรับของทารกน้อยเรียกเสียงหัวเราะได้จากเทพทั้งสององค์

“และยังมีอาจารย์อาอีกด้วย ชื่อม่านเมรี จำเอาไว้ล่ะ” เทพอเตนรับสั่งกับทารกน้อย

“ดูแลอาจารย์อาของเจ้าให้ดี อย่าให้มีเทพีหรือเทพธิดาองค์ใดมารังแกอาจารย์อาของเจ้าได้เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจ อาจารย์อาคือดอกบัวแก้วโลหิตใช่หรือไม่”

“ใช่ ๆ ๆ...และนางยังเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้าในอนาคตอีกยาวไกลอีกด้วย” เทพเจ้าอเตนรับสั่ง พลางลูบพระเศียรของเทพโฮรัสด้วยความเอ็นดู

“เอาเช่นนั้นเลยหรือ” เทพธอธอดไม่ได้จึงรับสั่งถามบ้าง

“ใช่ ! ข้าถูกอกถูกใจในตัวเทพแห่งความตายพระองค์นี้มาก จนอยากจะจองตัวไว้ให้เป็นบุตรเขย” รับสั่งของอาจารย์มีหรือที่เทพธอธจะกล้าฝ่าฝืน

“เอาก็เอา เป็นไงเป็นกัน ข้าจะลงนรกเจ้าก็ต้องลงเป็นเพื่อนข้านะโฮรัส” เทพแห่งการเวลากล่าวกับศิษย์น้อย ๆ ของตนด้วยความจำใจ

“ข้ากลับก่อนนะอาจารย์ เดี๋ยวคนที่ยมโลกจะหาว่าอู้งานอีก” ว่าพลางก็รีบจำแลงกายพาเทพโฮรัสกลับไปทันที



วิหารอนุบิส

หลังจากที่เทพหนุ่มเสด็จกลับมาในวันนั้น ผ่านมาค่อนคืนพระองค์ก็มิอาจข่มพระทัยให้บรรทมลงได้ จึงตัดสินพระทัยเสด็จกลับไปยังยมโลกอีกครั้ง ทอดพระเนตรมองดอกบัวแก้วที่เป็นสีขาวขุ่นด้วยความไม่พอพระทัยฉายชัด

“เอากลับวิหารไปก่อนแล้วกัน ขืนรอพรุ่งนี้เช้ากลัวจะไม่ทันการ” เทพอนุบิสก้าวพระบาทลงในบึงโลกันต์ที่ร้อนระอุดังไฟ ชนิดที่แม้แต่มหาเทพโอซิริสก็มิอาจทนได้ แม้นจะทรงปวดแสบปวดร้อนจนแทบขาดพระทัย แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ลง เพราะความอดทนของเทพแห่งความตายเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเลิศเหนือเทพองค์ใด !

ครั้นเมื่อเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจะเด็กดอกบัวแก้วขึ้นมา เจ้าดอกบัวตัวดีก็ลอยละล่องหนีจากพระหัตถ์ของพระองค์ออกไปทันที !!
ความเจ็บปวดที่มีทำให้เทพอนุบิสมิอาจก้าวพระบาทติดตามต่อไปได้ แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นดอกบัวแก้วค่อย ๆขุนขึ้นทีละน้อย ๆ พระองค์ก็แทบทำอะไรไม่ถูก ร้อนพระทัยดั่งมีผู้ใดมาจุดไฟโลกันต์เผาไปทั้งร่าง เทพอนุบิสพยายามอีกครั้ง ก้าวเดินอย่างยากลำบากเพื่อไปให้ถึงบัวแก้ว

เจ้าบัวน้อยเมื่อรับรู้ว่าเทพผู้นั้นมิได้กระทำการจาบจ้วงและคุกคามตนแต่อย่างใด หนำซ้ำยังทรงพยายามติดตามอย่างมิยอมลดละ มันจึงยอมหยุดและยินยอมให้เทพอนุบิสแตะต้อง เทพหนุ่มลองยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัสอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ทำให้ความร้อนจากน้ำโลกันต์ที่กำลังแผดเผาร่างกายอยู่นั้น กลายเป็นสายน้ำที่เย็นฉ่ำทันทีเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึง

ครั้นแล้วพระองค์ก็ไม่รอช้า หยดโลหิตจากปลายดัชนีด้านขวาให้แก่บัวแก้วทันทีอย่างไม่ลังเลแต่อย่างใด

บัวแก้วสีขุ่นค่อย ๆ กลับคืนมากลายเป็นบัวแก้วสีใสอีกครั้ง มันลอยวนรอบร่างของเทพอนุบิสราวกับว่ากำลังดีใจ ก่อนที่จะยอมให้เทพแห่งความตายเด็ดขึ้นมาวางไว้บนพระหัตถ์ขวาตามประสงค์

“เจ้าก็ไปอยู่กับข้าที่วิหารก่อนแล้วกันบัวแก้ว” รับสั่งพลางร่ายมนตรากลับวิหารของพระองค์ไป



หลังจากนั้นในทุก ๆ วัน เทพอนุบิสก็เสียสละพระโลหิตวันละหยดให้แก่บัวแก้วดอกนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ยังยมโลกเสร็จแล้วเสด็จกลับมา พบว่าดอกบัวแก้วที่ลอยเอาไว้ในภาชนะดินเผาข้างแท่นบรรทมหายไป !!

เทพแห่งความตายแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว พลางทอดพระเนตรมองหาตำแหน่งที่พอจะซ่อนตัวของดอกบัวแก้วได้ทันที

เป็นเช่นนี้ในทุก ๆ 15 วัน ดอกบัวแก้วที่ทรงรักนักรักหนา จะแอบหนีซ่อนตัวเพื่อให้พระองค์ตามกลับมาทุกครั้ง...ไม่มีอะไรจะเล่นกันหรือไงนะคู่นี้

“ดอกมาเดี๋ยวนี้บัวแก้วโลหิต !!” รับสั่งด้วยสุรเสียงไม่พอพระทัย หมายมั่นเอาไว้ว่าพบเจ้าตัวปัญหาเมื่อไหร่ จะเด็ดกลีบสีแดงใสเพราะโลหิตของพระองค์นั่นทิ้งเสียเลย

บัวแก้วน้อยหลังจากที่แอบอยู่นานจนมันเองเริ่มจะมีรูปร่างเปลี่ยนไป กลีบดอกสีแดงสดค่อย ๆ ร่วงลงทีละกลีบ อย่างน่าใจหาย เทพอนุบิสทอดพระเนตรเห็นกลีบบัวใสประดุจแก้วสีแดงสดร่วงหล่นลงบนแท่นบรรทมก็รู้สึกร้อนพระทัยขึ้นมาทันที จึงรีบก้าวพระบาทเร็วตรงไปยังแท่นบรรทมนั้น เห็นบัวแก้วกำลังลอยคว้างอยู่ภายในมุมหนึ่ง และมีทารกน้อยกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในนั้น

ทารกเพศหญิงที่กำลังส่งเสียงร้องจ้าออกมา ปัดป่ายมือและขารอให้เทพแห่งความตายเข้ามาอุ้ม !!

เทพหนุ่มรับเด็กน้อยออกมาจากดอกบัวแก้ว ทอดพระเนตรแล้วก็รู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก พลางร่ายมนตราหาเสื้อผ้าในนางสวมใส เด็กน้อยเหมือนจะพออกพอใจ จึงหัวเราะร่าออกมา เป็นที่ถูกพระทัยของเทพแห่งความตายยิ่งนัก

“ข้าจะเอาไปอวดอาจารย์ สมบัติชิ้นแรกและชิ้นเดียวเพียงของข้า” ว่าแล้วก็ทรงอุ้มทารกน้อยเพศหญิงตรงไปยังวิหารของเทพธอธทันที



วิหารธอธ

เทพแห่งกาลเวลากำลังรอลูกศิษย์ของตนอย่างจดจ่อ ในขณะที่เทพโฮรัสก็กำลังเฝ้ารอผู้ที่นับถือประดุจเชษฐาเช่นเดียวกัน

“อนุบิสจะพาอาจารย์อามาจริง ๆ หรืออาจารย์” เทพนภากาศถามขึ้น

“เจ้าอย่าดึงชายภูษาข้าสิโฮรัส โน่นไงล่ะ มากันแล้ว” เทพธอธรับสั่ง พระทัยจดจ่ออยู่กับการมาของเทพอนุบิส

“ท่านอาจารย์ ข้ามีอะไรจะให้ท่านดู” เทพหนุ่มยื่นห่อผ้าตรงหน้าไปให้ ภูมิใจกับทารกน้อยที่เฝ้าฟูมฟักมากับมือราวกับแม่ไก่

“เจ้า !!....หนีไปมีบุตรกับผู้ใดมา แล้วบิดามารดาของเจ้าทราบแล้วหรือไม่” รับสั่งหน้าตาย พลางหยอกเย้าทารกน้อยที่กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความเอ็นดู

“นางเป็นบุตรสาวของอนุบิสหรอกหรืออาจารย์ มิใช่อาจารย์อาของข้าหรอกหรือ” เทพโฮรัสรับสั่งถามอย่างงง ๆ แถมยังทอดพระเนตรมองไปยังเทพอนุบิสที่มีสีพระพักตร์บึ้งตึงด้วยความผิดหวัง...หนีไปแอบมีหลานสาวกลับมาให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นแก่ที่นางช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก งั้นข้าจะให้อภัยท่านก็ได้

“เจ้าก็อย่าเป็นไปตามอาจารย์นักเลยโฮรัส นางมิใช่บุตรสาวของข้า” รับสั่งอย่างรู้เท่าทันกัน ร้ายกาจทั้งศิษย์และอาจารย์เลยนะคู่นี้

“ม่านเมรี ทารกน้อยของข้า เจ้าช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง งั้นก็มาอยู่ที่วิหารของข้าเถิดนะ” เทพธอธโมเมยึดทารกน้อยไว้เป็นของตนทันที ส่งผลให้เทพโฮรัสที่ยืนอยู่ข้างกัน รีบแย่งเด็กน้อยมาอุ้มเอาไว้ในขณะที่อาจารย์ไม่ทันตั้งตัว

“นางจะต้องไปอยู่กับข้าต่างหากอาจารย์ ข้าจะได้มีเพื่อนเล่น” แค่คิดก็สนุกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าต่อไปพระองค์จะมีเด็กสาวตัวน้อยคอยเดินตามหลังต้อย ๆ เหมือนอย่างที่พระองค์คอยตามเชษฐา

“นางเป็นของข้านะโฮรัส” เทพแห่งกาลเวลาแย่งเด็กน้อยคืนมา

“นางเป็นของข้าต่างหาก” เทพนภากาศแย่งกลับไปอีกครั้ง

เทพอนุบิสที่เฝ้ามองสมบัติของตนถูกผู้อื่นยื้อแย่งกันไปมา ก็ให้รู้สึกไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก และเกิดหวงขึ้นมากะทันหัน คิดได้ดังนั้นจึงสาวพระบาทเข้าไปอุ้มเด็กน้อยออกมาเสียเลย

“นางเป็นของข้าเท่านั้น พวกท่านก็มิอาจมาแย่ง !!” รับสั่งเสร็จก็กระชับทารกน้อยไว้ในอุระอย่างหวงแหน ม่านเมรีอย่างนั้นหรือ แถมยังชื่อต่างภาษาอีกด้วย

“เจ้าเลี้ยงนางไม่ไหวหรอกนะอนุบิส มอบนางให้ข้าดีกว่า ข้าสัญญาว่าจะเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดี” เทพธอธลองขอทารกน้อยจากอ้อมกอดของเทพอนุบิสอีกครั้ง ทรงเอ็นดูนางยิ่งนัก แทบอยากจะยึดไว้เสียเอง

“เทพที่หน้าเด็กอย่างท่านหรือจะเลี้ยงนางได้” เล่นเอาปมด้อยของอาจารย์มาประจารเช่นนี้ ทำให้เทพแห่งการเวลามีสีพระพักตร์เหงางอยขึ้นมาเช่นกัน...หน้าเด็กอายุมากมันผิดนักหรือ อยากรู้จริง !!

“ข้าดูแลเองได้ แค่อยากจะพานางมาให้พวกท่านดูเท่านั้น” ว่าแล้วก็กระชับทารกน้อยให้แน่นเข้า ก่อนที่จะจำแลงกายออกจากวิหารธอธไปในทันที

“ถือว่าเป็นของตนแล้วยังไงกัน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ข้าจะแย่งมาเลี้ยงดูให้จงได้ !!” เทพแห่งการเวลารับสั่งอย่างหมายมั่น ในขณะที่มีเทพโฮรัสคอยเป็นกองกำลังเสริมอยู่ข้างๆ

“นั่นนะสิอาจารย์ ข้าอยากมีอาจารย์อาเป็นเพื่อนเล่น”



หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา บัวแก้วโลหิตที่มีทารกน้อยอาศัยอยู่ด้านในก็เอาแต่ลอยตามเทพอนุบิสไปทุกที่ ไม่ว่าจะเวลาไหน บ่อยครั้งที่เทพแห่งความตายเคยดุกล่าวว่าเตือนและห้ามไม่ให้ติดตาม แต่มีหรือที่มันจะยอมฟัง

“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าตามมา” เทพอนุบิสระอากับเจ้าบัวแก้วเหลือจะกล่าว พระองค์เดินก้าวมันลอยก้าว จนแทบจะกลายเป็นเงาตามตัวอยู่แล้ว

“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่...” บัวแก้วยังคงลอยตามไม่เลิก

“ไม่เข้าใจล่ะสิท่า เอาล่ะ ข้ายอมเจ้าก็ได้” ครั้นแล้วก็ตัดสินพระทัยยอมให้มันลอยมาอยู่ในมือ แล้วพาลงไปยังยมโลกด้วยกัน

เทพโอซิริสเมื่อเห็นผู้เป็นหลานชายปรากฏกายขึ้นพร้อมด้วยบัวแก้วสีแดงใส พระองค์ก็รีบเสด็จลงไปหา พลางทอดพระเนตรมองภายใน เห็นทารกน้อยผู้หนึ่งกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในนั้น นางมีผิวพรรณขาวเนียนละเอียด สองแก้มแดงปลั่ง ริมฝีปากบางเฉียบ อ้วนท้วนน่ารัก

“ใครหรืออนุบิส” รับสั่งถามด้วยแววพระเนตรเต้นระริก คงคิดอยากจะได้นางไปเลี้ยงดูเหมือนกันละสิท่า เทพอนุบิสแบะพระโอษฐ์ออกมาอย่างรู้เท่าทัน...ทำไมถึงอยากได้สมบัติเพียงชิ้นเดียวของข้ากันนักนะ ข้าไม่เข้าใจ ?

และนี่ก็คือสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำเทพแห่งความตายทรงไม่อยากให้ บัวแก้วโลหิตลอยตามพระองค์ไปในทุกที่

“นางเป็นของข้านะท่านลุง” ว่าพลางก็นำบัวแก้วโลหิตไปลอยไว้ในบึงโลกันต์เสียเลย เห็นเฉย ๆ ไม่แสดงอาการอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

แล้วทีนี้ใครกันละที่กล้าลงไป !!

เทพโอซิริสทอดสายพระเนตรมองตามอย่างอดเสียดายในพระทัยไม่ได้ ใจร้ายเกินไปแล้วอนุบิส




จวบจนกระทั่งทารกน้อยเติบโตขึ้นมาอายุได้ 7 ปี ยมโลกที่กำลังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเคร่งเครียด ก็ได้รับการมาเยือนจากบัวแก้วโลหิตอีกครั้ง สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่เทพอนุบิสหายลงมายังยมโลกนานเกินไป ทำให้ม่านเมรีน้อยที่อาศัยอยู่ในวิหารอนุบิสเกิดความเบื่อหน่าย ไม่รู้จะเล่นอะไรกับใครดี จึงได้ลงมาตามพี่ชายกลับไปด้วยตัวของนางเอง

ตามหามาทั่วยมโลก จนกระทั่งพบเห็นเทพอนุบิสกำลังเอาหัวใจขึ้นมาชั่ง หัวใจดวงนั้นที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าควรจะหนักกว่าขนนก แต่ทว่ากลับไม่ใช่

ม่านเมรีบอกให้บัวแก้วโลหิตลอยเข้าไปใกล้เพื่อสังเกตดูหน้าดวงวิญญาณผู้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น ก่อนที่จะเปิดตำราซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดขึ้นอ่าน จนกระทั่งแน่ใจแล้วนางจึงเอ่ยขึ้น

“ขนนกอันนั้นของพี่ชายไม่เที่ยงเสียแล้ว” ทารกน้อยในบัวแก้วโผล่หน้าออกมา ในขณะที่ลอยไปหยุดอยู่เหนือตาชั่ง มันเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วล่ะสำหรับยมโลก

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกันทารกน้อยของข้า” เทพธอธที่ยืนจดข้อมูลเพื่อส่งรายงานอยู่นั้นตรัสถาม ในขณะที่เทพอนุบิสกำลังเอาแต่ขมวดพระขนงมุ่นด้วยความสงสัย ทำให้เทพีอเมนเททที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่อีกด้านหนึ่ง รีบเดินเข้ามาร่วมสนทนาทันที

“ขนนกแห่งความจริงของข้ามิเคยผิดพลาดมาก่อน ทารกน้อยเช่นเจ้าคงเบื่อแล้วกระมัง เลยอยากหาอะไรมาเล่นแก้เบื่อ” แม้นว่าจะไม่พอใจในตัวเด็กน้อยนัก แต่ก็มิอาจแสดงอาหารออกมาได้ ขนนกชิ้นนี้ถือเป็นงานด้านเวทย์มนต์คาถาชิ้นแรกที่ทำให้พระนางเลื่อนขั้นจากเทพธิดามาเป็นเทพีเชียวนะ จะผิดพลาดได้เช่นไร แถมยังได้รับการยกย่องจากมหาเทพโอซิริสด้วยว่า เที่ยงตรงหาใดเปรียบ !!

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น และมันก็ไม่ได้เที่ยงมาตั้งแต่ต้น หากแต่เผอิญว่ายังไม่มีดวงวิญญาณดวงใดที่มีอาคมแกร่งกล้าจนสามารถพิสูจน์มันได้ก็เท่านั้น” เทพแห่งสงครามหรือเทพเซทที่เพิ่งเสร็จจากการออกไล่ล่าดวงวิญญาณที่แอบหนีไปให้กลับคืนมา ปรากฏกายขึ้นพลางรับสั่งบ้าง เนื่องจากพระองค์ก็เฝ้าสังเกตมันมานานแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงครั้งนี้

“มนต์ของเทพีอเมนเททยังไม่เที่ยง ฤทธิ์เดชของท่านยังมิอาจก้าวขึ้นมาเป็นเทพีได้” ทารกน้อยยังคงเอ่ยปากต่อไปด้วยความไร้เดียงสา แต่ทว่าความสามารถของนางมากล้นเกินกว่าที่ผู้ใดจะประมาณได้ จึงทำให้ต้องพาลพบกับโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า

“ขนนกสมควรเบากว่าหัวใจดวงนี้ ไม่เชื่อก็ของใช้ข้าดูสิ ข้ารับรองเลยว่าต่อให้เจ้าของหัวใจเก่งกาจในมนตราเพียงไหนก็มิอาจปกปิดความจริงได้” คำพูดของทารกที่อยู่ในบัวแก้ว ทำให้ดวงวิญญาณที่เป็นเจ้าของหัวใจรีบหาหนทางหลบหนีทันที !

ความจริงแล้วดวงวิญญาณดวงนี้ คือดวงวิญญาณของเทพนอกรีตที่กระทำแต่ความชั่วร้ายมาทั้งชีวิต เพียงแต่ทว่าอาคมของเจ้าตัวนั้นสูงส่งเกินกว่าที่เทพีน้อยอย่างอเมนเททจะประเมินได้

“ตามจับดวงวิญญาณร้าย ที่บังอาจตบตายมโลกกลับคืนมาให้ได้นะโฮรัส” เทพโอซิริสรับสั่ง ทำให้เทพแห่งนักรบต้องโผทะยานติดตามดวงวิญญาณนั้นไปทันที

เทพีอเมนเททครั้นเมื่อรู้แน่ชัดว่ามนตราของนางมิอาจสู้ได้แม้กระทั่งทารกน้อยคนหนึ่ง นางจึงกรรแสงออกมาด้วยความอับอายเป็นอย่างมาก ได้แต่ร้องขอขนนกกลับคืนไป แล้วเอ่ยวาจาคืนตำแหน่งเทพี กลับเป็นเพียงแค่เทพธิดาอีกครั้ง

ข้างฝั่งเทพอนุบิสที่กำลังชั่งพระทัยอยู่นั้น พระองค์ทรงโดนทารกน้อยที่กำลังยื่นขนนกอันใหม่ออกมาให้เร่งเร้า กระทั่งยอมรับขนนกนั่นมา

“ขอบใจเจ้ามากม่านเมรีที่ทำให้ข้าไม่หลงผิด ตัดสินความผิดพลาดไป” เทพแห่งความตายเอื้อมพระหัตถ์ออกมาลูกศีรษะของทารกน้อยที่เกาะกลีบบัวแก้วโลหิตลอยอยู่เหนือตาชั่งด้วยความซาบซึ้งในพระทัย ข้างฝั่งม่านเมรีก็ดีใจเป็นอย่างมากที่ทำให้พี่ชายยิ้มออกมาได้ จึงหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างมีความสุขด้วยความไร้เดียงสา โดยไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ จากเทพีองค์หนึ่งซึ่งกระทำผิดพลาดและแอบเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ

พวกเจ้า...ทารกน้อยและเทพเซทจะต้องชดใช่ให้ข้า อเมาเททผู้นี้ !!



~~~~~~~~~~~~

ฝากเรื่องทัณฑ์วิวาห์อีกเรื่องด้วยนะคะ เพิ่งจะลงเป็นตอนแรกอยากให้ลองอ่านดูกันค่ะ

http://home.love-stories.net/lovestories/viewnovel/14390



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ย. 2556, 17:22:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ย. 2556, 18:05:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1316





<< ตอนที่ 7 รอบตัดเชือก   ตอนที่ 9 อดีตที่เคยผิดพลาด (2) >>
ร้อยวจี 18 พ.ย. 2556, 21:43:23 น.
อเมนเททเป็นเทพีขี้อิจฉาสินะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ไม่สมควรคู่กับอนูบิสเลย จะมีใครรู้ความจริงบ้างรออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ


Zephyr 19 พ.ย. 2556, 02:19:50 น.
เลี้ยงต้อยกันมานานเยี่ยงนี้เอง
แถมพระบิดาบัวแก้วก็เห็นดีเห็นงาม ยกให้เลยอีก
เลี้ยงมาด้วยเลือด อีกตะหาก
มิน่า นางโหดได้ใจดีแท้!!!!!
แต่เหตุอะไร ทำให้ม่านเมรีคนนั้นมาเป็นม่านเมรีคนนี้ละ
แล้วม่านเมรีที่เทพอเตนรักคือใคร???
อเมนเทท นิสัยเป็นงี้เอง ไม่น่ารักเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account