ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 9 อดีตที่เคยผิดพลาด (2)



วิหารโอซิริส

องค์มหาเทพโอซิริสทรงเรียกตัวให้ทารกน้อยที่อาศัยอยู่ในดอกบัวแก้วโลหิตเข้าเฝ้า พร้อมกับเทพอนุบิสที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะอยู่ร่วมด้วย พ่วงด้วยอาจารย์ที่อ้างว่ารออยู่ด้านนอกช่างเงียบเหงา รั้งท้ายด้วยโฮรัสซึ่งเป็นเงาตามตัวของอาจารย์อยู่แล้ว

“เจ้าช่วยให้ยมโลกพ้นข้อนินทาทารกน้อยในบัวแก้ว ข้าจึงอยากจะมอบรางวัลให้แก่เจ้า” เทพโอซิรีสรับสั่ง ในขณะที่ม่านเมรีเอาแต่ยืนนิ่งเกาะกลีบดอกบัวแก้วโลหิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยความระแวดระวังภัย สายตาเอาแต่ทอดมองไปทางเทพอนุบิสเท่านั้นราวกับกวางน้อยที่กำลังตกอยู่เนื้ออุ้งมือของนายพราน เนื่องจากนางยังคงลอยคว้างอยู่เพียงลำพังกลางท้องพระโรงของวิหารเทพแห่งนี้

“หม่อมฉันขอกลับไปอยู่กับพี่ชายเหมือนเดิมได้หรือไม่” นางไม่อยากได้รับรางวัลอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ต้องการคือได้กลับไปอยู่ข้างกายเทพแห่งความตายพระองค์นั้นเสียที

“เจ้า...ไม่ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ” องค์มหาเทพรับสั่งอย่างแปลกพระทัย พลางสบสายพระเนตรกับเทพีไอซีสผู้เป็นชายาอย่างขอความเห็น เพิ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ผู้ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากพระองค์ซึ่งเป็นถึงผู้นำสูงสุดของเหล่าเทพ

“ให้หม่อมฉันไปหาพี่ชายได้หรือยัง” ทารกน้อยยังคงยืนยันแบบนั้น พลางหันหน้ามองไปทางเทพอนุบิสที่ประทับยืนอยู่ด้านข้างด้วยแววตาของเด็กหลงทาง ไร้ที่พึ่ง สิ่งเดียวที่ยังคงทำให้นางยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้ก็คือวรองค์สูงใหญ่ ผู้มีพระพักตร์นิ่งขรึมองค์นั้น

เทพแห่งความตายที่อุตส่าห์สู้อดกลั้นเอาไว้ ครั้นเมื่อเห็นสมบัติของพระองค์กำลังแบะปากร้องไห้ออกมา ก็ทรงรีบก้าวพระบาทเร็วเข้าไปหาทันที ในขณะที่บัวแก้วโลหิตเองก็รีบผละออกมาเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะไปหยุดคว้างอยู่กลางพระหัตถ์ขาวของเทพอนุบิสเพื่อการปกป้อง

ทารกน้อยกลั้นเสียงร้องเอาไว้ แต่ทว่ากลับมีน้ำตาไหลมาเป็นทาง...ภาพที่ทุกผู้ต่างทอดพระเนตรกันเห็นอยู่เบื้องหน้า คือภาพของทารกน้อยเพศหญิงคนหนึ่ง ที่กำลังยืนเกาะกลีบแก้วอยู่ในพระหัตถ์ขวาของเทพอนุบิสด้วยร่างกายสั่นเทา ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของก็กำลังยื่นพระหัตถ์ซ้ายออกมา แล้วลูบไล้ศีรษะเล็กได้รูปไปมาเพื่อเป็นการปลอบโยน

“เจ้าอย่าร้องไห้ เห็นหรือไม่ว่าผู้อื่นกำลังหัวเราะเยาะข้า ว่าเลี้ยงเจ้ามาให้อ่อนแอเช่นนี้” ดูการปลอบเข้าสิฟังได้ที่ไหน ช่างขัดท่าทางที่แสดงออกยิ่งนัก ซึ่งปฏิบัติอย่างอ่อนโยนราวกับว่าเป็นของสำคัญในชีวิต

เทพโอซิริสทอดพระเนตรมองผู้เป็นหลานชายอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่เทพธอธและเทพโฮรัสกำลังมองมาด้วยความอิจฉา เห็นว่าบัวแก้วโลหิตเป็นของตนก็เลยเอาใหญ่ ไม่ยอมให้อยู่ห่างกายราวกับว่าอยากทะนุถนอมเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น

“ก็องค์มหาเทพน่ากลัวนี่นา...ข้ากลัวนี่” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆได้อย่างน่ารัก

“ข้าน่ากลัวเช่นนั้นหรือ” เป็นครั้งแรกที่มีผู้มากล่าวหาพระองค์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะดีพระทัยดีหรือเสียพระทัยดีเช่นกัน ผู้เป็นใหญ่เหนือเทพทั้งปวงไตร่ตรองถึงความชอบของทารกน้อยที่มีต่อยมโลกทันที ตัดสินพระทัยแน่ชัด แล้วรับสั่งออกมา

“ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นเทพีแห่งธารโลกันต์ รับผิดชอบดูแลดวงวิญญาณที่จะถูกส่งให้เป็นเกิดใหม่ในยมโลกเบื้องล่าง” รับสั่งพลางแย้มสรวล ในขณะที่ม่านเมรีเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

“แล้วหม่อมฉันจะได้อยู่กับพี่ชายหรือไม่” เอียงคอถามได้อย่างน่ารัก...ห่วงแต่อนุบิสนั่นล่ะ ไม่รู้เลี้ยงดูกันมายังไง ถึงได้ติดกันแจขนาดนี้

“ฮ่าๆๆ....ก็ต้องอย่างนั้นสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในยมโลกทำไมกันหรือ” รับสั่งพลางพระสรวลเสียงดัง ถูกพระทัยในความไร้เดียงสาของทารกน้อยยิ่งนัก

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะได้อยู่กับพี่ชายตลอดเวลาแล้วสิ” ม่านเมรีกระโดดโลดเต้นอยู่ในดอกบัวด้วยความดีใจ ก่อนที่ทารกน้อยจะยื่นมือทั้งสองข้างออกมาตรงหน้าเทพอนุบิส

“พี่ชาย...อุ้ม” เทพแห่งความตายส่ายพระเศียรไปมา ก่อนที่จะยอมอุ้มนางออกมาจากดอกบัวแก้วโลหิตด้วยความจำยอม พระทัยอ่อนเสมอสำหรับทารกน้อยนางนี้...เป็นมากถึงขนาดนี้เชียวหรืออนุบิส ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่งนัก...เทพแห่งความตายผู้เย็นชากับทารกน้อย



หลังจากนั้นเป็นต้นมา ม่านเมรีก็ได้ปฏิบัติหน้าที่คอยรับส่งดวงวิญญาณให้ไปเกิดใหม่อยู่ในยมโลกใกล้กับเทพอนุบิส ในขณะที่เทพธิดาอเมนเททก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน เพื่อที่จะได้เลื่อนขั้นกลับไปเป็นเทพีอีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง ....นวันที่เทพธอธ เทพอนุบิส และเทพโฮรัสไม่อยู่ หลังจากปฏิบัติหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็มารวมตัวกันยังท้องพระโรงกว้างของยมโลก

“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า เทพีน้อย” เทพธิดาอเมนเททรับสั่งถาม ในขณะที่เทพโอซิริสกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์พร้อมด้วยเทพีไอซิสผู้เป็นชายา และอนุชาเทพเซทกับชายาเทพีเนฟทิส

“ท่านมีเรื่องอันใดจะถามข้าหรือเทพธิดาอเมนเทท” คำว่าเทพธิดาทำให้อเมนเททมีสีพระพักตร์บึ้งตึง แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

“ว่ากันว่าเจ้าเกิดมาพร้อมกับตำราภพภูมิ จริงหรือไม่” รับสั่งของเทพธิดาอเมนเทท ทำให้เทพและเทพีทุกพระองค์ให้ความสนใจขึ้นมาทันที เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อน

“ท่านรู้ได้อย่างไร” เทพีน้อยเอ่ยถาม ถึงแม้ว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่นางก็มั่นใจว่า น้อยนักที่ความลับนี้จะมีผู้ใดรู้

“แล้วมันจริงหรือไม่” เทพธิดาอเมนเททถามย้ำอีกครั้ง ไม่ยอมบอกความจริงในสิ่งที่นางบังเอิญได้ไปรู้มา ข้างฝั่งม่านเมรีเองก็คิดตามประสาเด็กว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความลับแต่อย่างใด

“จริงอย่างท่านว่า” ม่านเมรีพยักหน้ารับ มองเทพธิดาอเมนเททด้วยสายตาเป็นคำถาม ซึ่งก็เข้าทางของเทพธิดาแห่งความตายทันที

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ทราบสิว่า เทพอนุบิสเป็นบุตรของเทพเซท” อเมนเททหยั่งเชิง ในขณะที่กำลังแย้มยิ้มในพระทัย รอดูเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น !!

“ไม่ใช่ !! แต่ไหนแต่ไรมา ท่านพี่ก็เป็นบุตรของมหาเทพโอซิรีส !” คำกล่าวของเทพีน้อยถึงกับทำให้ตะลึงกันไปถ้วนหน้า เทพโอซิริสมีสีพระพักตร์ซีดเซียว ในขณะที่เทพีเนฟทิสก็เช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ ! ต่อให้สามภพจะถูกทำลายจนย่อยยับลงต่อหน้า เทพแห่งสงครามอย่างพระองค์ไม่มีวันเชื่อ

แต่เมื่อเทพีน้อยยังคงยืนยันอย่างแข็งขัน อีกทั้งผู้เป็นดังเชษฐาเทพโอซิริส และชายาเทพีเนฟทิสมีท่าทางแปลกไป ไม่กล้าสู้สายพระเนตรของพระองค์เหมือนดังแต่ก่อน ครั้นจะไม่ให้หทัยสั่นคลอนลงไปก็คงไม่ใช่

“เจ้าว่าอะไรนะเทพีน้อย” เป็นเทพเซทที่รับสั่งถามออกมาอีกครั้ง ไม่ทรงเชื่อว่าเรื่องที่เพิ่งจะฟังมามันคือเรื่องจริง

และทุกสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ หลังจากที่ม่านเมรีได้แสดงภาพเหตุการณ์แต่หนหลังให้ประจักษ์แจ้งแก่ทุกพระองค์

“ทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันได้อย่างไร” เทพีไอซิสหลั่งอสุชลนองหน้า ตลอดมานางเฝ้าจงรักภักดีไปเพื่ออะไรกันแน่ !!

แท้ที่จริงแล้วนั้นเทพโอซิรัสกับเทพีเนฟทิสต่างลักลอบได้เสียกันตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ได้อภิเษกกับพระนาง ข้างฝั่งเทพเซทที่เอาแต่พระทับนิ่งอยู่นาน พระองค์ทรงร้าวรานไปทั่วทั้งพระหทัย

“ทำไมพระองค์ถึงทรงทำกับข้า ผู้เป็นดั่งอนุชาเช่นนี้ !!” เทพแห่งสงครามตวาดกร้าวอย่างน่ากลัว ทำเอาม่านเมรีที่ไม่รู้ว่าได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปหวาดกลัวจนรีบเข้าไปหลบอยู่ในบัวแก้ว

เทพธิดาอเมนเททครั้นเห็นว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปตามแผนการที่ได้วางเอาไว้แล้ว จึงรีบจำแลงกายออกไปตามเทพธอธ เทพอนุบิส และเทพโฮรัสให้กลับมาทันที

“ความภักดีที่ข้าและไอซิสสู้กระทำมา พวกท่านทั้งคู่ไม่ละอายแก่พระทัยบ้างหรือ” แม้จะรู้ดีแก่พระทัยอยู่ว่าองค์มหาเทพโอซิรีสทรงรักใคร่พอพระทัยอยู่กับเทพีเนฟทิสอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะกล้าทำกันถึงเช่นนี้

เทพโอซิริสเมื่อเห็นว่าความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ครั้นจะโทษเทพีน้อยที่ไร้เดียงสาก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็น จึงพยายามอธิบายและขอความเห็นใจจากผู้ที่พระองค์ได้พลั้งเผลอทำร้ายจิตใจกัน

“ฟังข้าก่อนเซท ข้ามิได้ตั้งใจให้เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น” รับสั่งอย่างร้อนรน ทำให้เทพีเนฟทิสที่เอาแต่กรรแสง ไม่ยอมสู้หน้าผู้ใด พระทัยหายวาบขึ้นมาทันที แม้จะรู้ดีว่าผิดแต่ก็รักเกินว่าที่จะห้ามพระทัยเอาไว้ได้

“ทรง...ไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ” ถามกลับไปอย่างคาดไม่ถึง

“มะ...ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น” เทพโอซิริสรีบปฏิเสธทันที

“แล้วทรงหมายความว่าอย่างไร” เทพีไอซิสรับสั่งถามบ้างด้วยความชอกช้ำ เหตุไฉนไหนทั้งพระสวามีและพระกนิษฐาถึงกระทำเช่นนี้ต่อนางได้

“ข้าหลงเข้าใจผิดมานานว่าอนุบิสคือบุตรชาย แท้ที่จริงแล้วนั้นข้าเลี้ยงดูบุตรของใครอยู่กันแน่ !!” ความเจ็บปวดที่ได้รับเกินกว่าจะทนไหว เทพแห่งสงครามเข้าไปทำร้ายมหาเทพโอซิริสทันทีด้วยความคั่งแค้น

“หยุดน่าเพคะ อย่าทรงฆ่าพันกันเลย” เทพีเนฟทิสได้แต่ร้องห้าม ในขณะที่ม่านเมรีที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างหวาดหวั่น กำลังร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว

“ท่านพี่ไอซีสเพคะ โปรดช่วยห้ามทั้งสองพระองค์ด้วย” การสู้รบกันตรงหน้าทำให้เทพีเนฟทิสรีบเข้าไปอ้อนวอนให้เทพีไอซีสช่วยเหลือ

“เจ้าถอยออกไป ข้าไม่มีน้องสาวที่กล้าแม้กระทั่งทรยศข้าได้แบบนี้” เทพีไอซีสถอยหนีด้วยความรังเกียจ ในขณะที่เทพเซทใช้อาวุธที่อยู่ในพระหัตถ์ แทงเข้าอุระซ้ายของมหาเทพโอซิริสทันที

“อึ๊ก !!” เพียงชั่วพริบตา โลหิตสีเข้มบนอุระกว้างก็หลังไหลออกมาเป็นทาง เทพโอซิริสทรุดลงไปเบื้องบาทของเทพแห่งสงคราม ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มพระทัย

“ทรงปล่อยเทพโอซิริสไป แล้วฆ่าหม่อมฉันแทนเถิดนะเพคะ” เทพีเนฟทิสตรงเข้ามาอ้อนวอน...จนป่านนี้แล้วนางจะยังห่วงผู้อื่นที่ไม่ใช่พระองค์

“ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ความเจ็บปวดในครั้งนี้เจ้าจะต้องชดใช้คืนแก่ข้าโอซิริส !!” อาวุธที่อยู่ในพระหัตถ์ตรงเข้าฟาดฟันวรกายของมหาเทพโอซิริสทันทีนับครั้งไม่ถ้วน แยกชิ้นส่วนของร่างกายกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วทั้งท้องพระโรงกว้าง

เทพเซททรงสังหารผู้เป็นเชษฐาด้วยอาวุธของพระองค์เอง...ดาบวงเสี้ยว !!!

“ม้ายยยยยย !!!” เทพีเนฟทิสหมดสติลงไปทันทีอยู่แทบบาท ในขณะที่เทพีไอซีสมีแววพระเนตรเลื่อนลอย ปล่อยให้เทพเซทซึ่งมีอสุชลนองหน้า คว้าชิ้นส่วนของร่างกายเทพโอซิริสโยนออกไปกระจายทั้งสามภพ !!!

“จบสิ้นกันเสียทีความเป็นพี่น้องของเรา” เทพเซทรับสั่งพลาง ทอดพระเนตรมองเทพีไอซีสซึ่งมีชะตากรรมเดียวกันด้วยความเห็นพระทัยอย่างสุดซึ้ง แต่ในขณะนี้พระองค์เองแม้จะเป็นถึงพี่ชายก็มิอาจเป็นที่พึ่งให้แก่นางได้ ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในฐานะของสามีหรือพี่ชาย จึงทำให้เทพแห่งสงครามพระองค์นี้ไม่มีที่ที่จะให้พระองค์หยัดยืนได้อีกต่อไป!

“นับจากนี้ต่อไป ข้าจะไม่ปรากฏกายให้ผู้ใดเห็นอีก !!” ว่าแล้วก็ทรงจำแลงกายหายไปทันที ทิ้งให้เทพีไอซีสนั่งกรรแสงราวกับกำลังจะขาดพระทัยอยู่เพียงลำพัง



“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น !!!” ข้างฝั่งเทพทั้งสาม เมื่อได้รับแจ้งจากเทพธิดาอเมนเททก็รีบตามมา พบแค่เพียงร่องรอยของการต่อสู้ และหยาดโลหิตบนพื้นเท่านั้น เทพอนุบิสรีบกวาดสายพระเนตรมองหาดอกบัวแก้วโลหิตทันทีแต่ก็ไม่พบ

ข้างฝั่งเทพธิดาอเมนเททมีสีพระพักตร์ซีดเซียวขึ้นมาทันควัน นางไม่คิดว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงขั้นนี้ได้

“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจ !!!” เสียงร้องไห้สลับกับเสียงพูดดังขึ้นมาจากทางบึงโลกันต์ ทำให้เทพแห่งความตายรีบสาวพระบาทเร็วตรงไปยังทางนั้นทันที เห็นม่านเมรีกำลังนั่งตกตะลึงร้องไห้อยู่ในบัวแก้วโลหิตเพียงลำพัง

ครั้นเห็นผู้เป็นดั่งพี่ชายอยู่ตรงหน้า นางก็เอาแต่ถอยหนีไม่ยอมเข้ามาใกล้

“ข้ามิได้ตั้งใจ ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าไม่คิดว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ !!” นางเป็นแค่เพียงเทพีน้อยที่ไร้เดียงสาเท่านั้น จึงมิอาจควบคุมสถานการณ์ที่กำลังลุกลามทั้งหมดเอาไว้ได้ ยิ่งเมื่อได้เห็นการตายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ก็ยิ่งทำให้นางขวัญเสียจนแทบจะเป็นบ้า

“ข้ามิอยากให้ผู้ใดต้องมาตาย พี่ชายคือบุตรของเทพเซทก็ได้ มิใช่บุตรของมหาเทพโอซิริส” คำกล่าวต่อมาของม่านเมรี ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาตรงกลางหทัยของเทพอนุบิส!!!

“เจ้าว่าอะไรนะม่านเมรี ข้าคือบุตรของผู้ใดกัน” สิ่งที่ได้ฟังมาเกินกว่าจะรับได้ไหว ครั้นเมื่อทอดพระเนตรมองไปทางเทพธอธผู้เป็นอาจารย์ เห็นพระองค์เอาแต่ก้มพระพักตร์ไม่ยอมสบตา ก็ทราบได้ว่าเรื่องที่นางกล่าวมาล้วนเป็นเรื่องจริง !!

ทุกสิ่งราวกับจะดับสิ้นลงตรงหน้า เทพแห่งความตายทรงกู่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างมิอาจฝืนกลั้นเอาไว้ได้

“เหตุไฉนถึงไม่มีผู้ใดบอกข้า นี่คิดจะปิดบังกันไปจนถึงเมื่อไหร่กันแน่ !!” ทรงกรรแสงทั้งที่ไม่มีน้ำตา มองม่านเมรีอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าขอโทษพี่ชาย ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ” เทพีน้อยบอกให้บัวแก้วลอยเข้าไปหาเทพอนุบิส ในขณะที่พระองค์ก็เอาแต่ถอยพระบาทหนี

“พี่ชายอย่าโกรธเมรีอีกเลย” เทพีแห่งธารโลกันต์ร้องไห้ออกมาจนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ยิ่งเมื่อพยายามเข้าใกล้แต่ไม่เป็นผล นางก็ยิ่งเจ็บปวดเสียจนไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

“ท่าน...อย่าหนีข้าไป อย่าไปจากข้า”

และเมื่อเทพแห่งความตายจำแลงกายหนีนางไป ทารกน้อยที่อาศัยการมีชีวิตรอดมาได้เพราะหยาดโลหิตของผู้เป็นดั่งดวงหทัย ครั้นเมื่อผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการ นางก็มิอาจมีชีวิตอยู่

เพล้ง !!!

เสียงบัวแก้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับร่างของม่านเมรีที่กำลังจะแตกสลายตามไป !

เทพธอธเห็นดังนั้นจึงรีบดึงดวงวิญญาณของทารกน้อยเอาไว้ พลางรับสั่งให้เทพโฮรัสนำดวงวิญญาณดวงนั้นไปกักขังเอาไว้ในธารโลกันต์ทันที รอให้ผู้เป็นดั่งเจ้าของกลับมาจัดการ

“รู้หรือไม่ว่าความพยาบาทของเจ้า นำมาซึ่งสิ่งใด !!” แม้นจะไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับยมโลกกันแน่ แต่เทพธอธก็ทรงทราบด้วยสติปัญญาอันเป็นเลิศของพระองค์ได้ว่า เทพธิดาอเมนเททจะต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ข้างฝั่งเทพธิดาอเมนเทท แม้นจะรู้ตัวดีว่าตนได้กระทำผิดลงไปแล้ว แต่ทว่าโทษทัณฑ์ที่จะได้รับก็หนักเกินกว่าที่นางจะรับไหว จึงได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แล้วโยนความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ให้แก่เทพีน้อยเป็นผู้รับไปทั้งหมด

หลังจากนั้เป็นต้นมา ทั่วทั้งสวรรค์จึงทราบเพียงว่า ผู้ที่กระทำความผิดจนหายสาบสูญไป คือเทพีแห่งธารโลกันต์แค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น !!



เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใหญ่ ทำให้เทพีแห่งธารโลกันต์ซึ่งเป็นเพียงทารกน้อยอายุแค่เพียง 7 ปีเท่านั้น ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้กล่าวออกไปนั้นมันร้ายแรงเพียงใด จนกระทั่งร่างเกือบแตกสลายและดวงวิญญาณถูกกักเอาไว้นั่นแหละ นางจึงรู้ว่า อย่าได้ไว้ใจผู้ใดนอกจากใจของตนเองเท่านั้น

เทพีน้อยแอบลอบหนีออกจากไฟโลกันต์ นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพื่อออกตามหาผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิต ที่มอบหยาดโลหิตหล่อเลี้ยงตนมาจนถึงทุกวันนี้ และแม้ว่าทุกครั้งจะถูกจับกลับมา นางก็ยังคงพยายามหลบหนีครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อออกตามหาเทพอนุบิสไปทั่วทุกหนทุกแห่ง นางอาศัยอิทธิฤทธิ์ของดอกบัวแก้วออกติดตามไปทั้งสวรรค์และยมโลก ขาดแต่เพียงโลกมนุษย์เท่านั้น

ม่านเมรีทำอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายวัน จนร่างกายที่ขาดการดูแลเริ่มอ่อนล้า ยิ่งเมื่อขาดโลหิตของผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิตมาหล่อเลี้ยงด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งอ่อนแอเพิ่มขึ้นทุกวัน ดอกบัวแก้วลอยละล่องจนมาสุดขอบสวรรค์ ถัดจากนี้ไปก็จะเป็นรอยต่อของโลกมนุษย์ ซึ่งมีแต่ความแห้งแล้งและกันดารยิ่งนัก

“พี่ชายอยู่ไหน” แม้จะอ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยัดยืนอยู่บนอยู่บนบัวแก้วอีกต่อไปได้ อีกทั้งแสงแดดที่แผดเผาและอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็ยิ่งทำให้ม่านเมรียิ่งร้อนใจขึ้นอีกเท่าตัว

“พี่ชายจะทิ้ง...อึก...มะ....เมรี...ไป...ฮือ...ใช่ไหม” ยิ่งมองหาก็ยิ่งท้อ แต่ก็ยังมิยอมถอดใจ เพราะนี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เธอจะสามารถหลบหนีออกมาตามหาเทพอนุบิสเช่นนี้ได้

“เทพอนุบิส...ท่านพระทัยร้ายนัก” มีสิ่งใดบ้างที่เธอเคยเรียกร้อง นับตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากบิดา เพราะดวงชะตาที่มิอาจอยู่ร่วมกันได้ นอกจากครั้งนี้

“รีบกลับไปกับข้าเถอะนะม่านเมรี” ในระหว่างที่กำลังท้อใจอยู่นั้น เทพธอธที่เห็นว่าปล่อยให้เธอออกมาตามหาเทพอนุบิสซึ่งไม่มีผู้ใดพบเห็นว่าหายไปอยู่ที่ไหนนานแล้ว ก็รีบมาตามม่านเมรีกลับไป

“ได้โปรดเถิดเทพธอธ ขอเวลาเมรีอีกเพียงครู่ ได้หรือไม่” อย่าเพิ่งไล่ให้นางกลับไปเลย ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะต้องแหลกสลาย นางก็ยอม...เทพีน้อยซึ่งมีน้ำตานองหน้า มองเทพแห่งกาลเวลาอย่างอ้อนวอน ขอร้องให้ท่านให้เวลาแก่เธออีกนิด ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ ต้อให้จะต้องต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เธอก็จะทำทุกสิ่งและใช้ทุกวิถีทาง เพื่อมิให้จะต้องกลับไป !

“ขืนเจ้าตามหาอนุบิสอย่างไร้ทิศทางเช่นนี้ ก็ไม่เกิดอะไรดีขึ้น เชื่อข้าเถิดนะเทพีน้อย กลับไปรอยังบึงโลกันต์กับข้าดีกว่า ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานอนุบิสก็คงจะกลับไป” เทพแห่งกาลเวลารับสั่ง อดเป็นห่วงร่างย้อยที่กำลังจะแตกสลายขึ้นมาไม่ได้ อีกทั้งความเป็นมาของนางที่นอกจากพระองค์แล้ว ก็มีเพียงแค่เทพอนุบิสและเทพโฮรัสเท่านั้นที่รู้อีกนั่นล่ะ ไม่กล้าคิดเลยว่าหากเทพเจ้าอาเตนทรงทราบเรื่องเข้า ว่าบุตรีของตนต้องทนวิบากกรรมหนักหนาสาหัสถึงขั้นนี้ จะว่าอย่างไร

คงไม่ถึงขั้นทำลายล้างทั้งสวรรค์กระมัง !!

ม่านเมรีมองไปยังสุดขอบสวรรค์ที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ด้วยความอ้างว้าง แววตาของนางที่เหมือนกับเด็กหลงทางทำให้เทพธอธมิอาจพระทัยแข็งอยู่ได้

ในเมื่อนรกขีดเส้นตายรอให้พระองค์ลงไปหาแล้วอย่างไร ก็ในเมื่อไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบลงไป พระองค์นี่ละที่จะเป็นผู้กระทำมันเอง !!

“ไปกับข้าม่านเมรี ข้าจะพาเจ้าไปยังโลกมนุษย์นั่นเอง” เพราะรู้ดีว่าสถานที่ที่เทพอนุบิสจะพอหลบซ่อนตัวได้คือที่ใด แม้ข้อห้ามร้ายแรงของเทพคือห้ามก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่ครั้งนี้ล่ะที่เทพแห่งความตายจะขอละเมิดมันซักครั้ง

“ขอบคุณท่านมาก” ม่านเมรีร้องออกมาด้วยความดีใจ รีบสั่งให้บัวแก้วลอยตามร่างจำแลงของเทพแห่งกาลเวลาไปทันที



และสถานที่ที่เทพแห่งความตายหลบหนีมาอาศัยอยู่นั้น คือวิหารเทพอนุบิสที่เหล่านักบวชยังโลกมนุษย์ในสมัยอียิปต์โบราณสร้างขึ้นมา เพื่อถวายเป็นเครื่องสักการบูชานั่นเอง

เทพอนุบิสเมื่อทอดพระเนตรเห็นทั้งอาจารย์และเทพีน้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางตนจึงคิดที่จะหนีอีกครั้ง

“เจ้าห้ามไปไหนทั้งนั้นอนุบิส!!” รับสั่งของเทพแห่งกาลเวลา ทำให้ผู้เป็นศิษย์มิอาจขัดขืนได้

“พ...พี่ชาย” ม่านเมรีรีบก้าวออกจากดอกบัวเพื่อวิ่งมาหาด้วยความดีใจ ในขณะที่เทพแห่งความตายเอาถอยหนีเพราะยังมิอาจทำพระทัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทันที

“เจ้า...ถอยห่างจากข้าเดี๋ยวนี้เทพีน้อย ไม่เช่นนั้นล่ะก็ข้าจะเป็นฝ่ายไปเอง” รับสั่งอย่างเย็นชา ทำให้ม่านเมรีที่อุตส่าห์ตามมาถึงกับไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ รู้สึกปวดร้าวไปทั้งดวงใจเมื่อไม่เป็นที่ต้องการ เทพแห่งความตายเอาแต่กล่าวโทษม่านเมรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ข้ามันโง่เขลาเองที่ช่วยให้เจ้ามีชีวิตขึ้นมา เพื่อประจานต้นกำเนิดข้าเช่นนี้ !”

“ไปจากข้าเสียที อย่าให้ข้าได้พบเห็นเจ้าอีกต่อไป !!”

ทุกคำกล่าวล้วนทิ่มแทงจนม่านเมรีมิอาจทนรับได้ เทพีน้อยค่อยๆแตกสลายลงไปต่อหน้าต่อตาเทพอนุบิสทันที

"เมรีจะจำเอาไว้ว่าไม่เป็นที่ต้องการ” ร่างที่ฝืนทนมานานค่อยๆแตกสลายลงทีละน้อยๆ ราวกับจะบอกถึงความเปราะบางของจิตใจน้อยๆที่ได้ถูกผู้ให้ชีวิตทำลายลงไป

“และขออธิฐานต่อแผ่นฟ้ากว้าง ว่าข้าจะไม่ขอเกิดมาเป็นเทพีอีกต่อไป” น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินออกมา ก่อนที่เทพีน้อยจะกระอักเลือดทั้งหมดออกมา เพื่อคืนมันแก่ผู้ที่มอบกลับไป

ข้างฝั่งเทพอนุบิสเหมือนจะได้สติกลับคืนมาทันที พระองค์เอาแต่โอบกอดชิ้นส่วนของม่านเมรีเอาไว้ พลางกู่ร้องไปทั่วแผ่นฟ้า ด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้

เพราะรักเกินกว่าชีวิตของตน แต่ก็รู้ตัวเมื่อสายเกินไป

แตกสลายไปก็ดีเหมือนกัน อยากน้อยจะได้ทำให้เทพแห่งความตายมิอาจลืมเธอได้ลง

เศษร่างน้อยๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นผงธุลีแล้วลอยตามกระแสลมไป เทพอนุบิสหลั่งอสุชลออกมา นึกโทษโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายแรงกับพระองค์ถึงเพียงนี้ได้ ใช่ว่าเทพแห่งความตายจะต้องพบเจอกับวิบากกรรมที่ผู้อื่นมิอาจทนรับได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“อ๊ากกก!!” เสียงกู่ร้องที่จะถูกล่ำลือไปอีกนาน ว่าเจ็บปวดเกินกว่าที่ทั้งสามภพจะชดใช้คืนได้

เทพแห่งกาลเวลารีบร่ายมนตรากักดวงวิญญาณของม่านเมรีเอาไว้อีกครั้ง ในขณะที่เทพอนุบิสเริ่มเสียสติมิอาจรับรู้สิ่งใด นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทรงทำผิดกฎสวรรค์ ก้าวที่เท่าไหร่แล้วนะที่ทรงจมดิ่งลงสู่นรกภูมิมากขึ้นทุกที

เพื่อลูกศิษย์ผู้อาภัพคนนี้ และเพื่อเทพีน้อยที่รักดังลูกหลานเช่นกัน

ข้างฝั่งเทพอาเตนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ผ่านกระจกมนตราของพระองค์นั้น แม้บัดนี้จะทรงโศกเศร้ากับชะตากรรมของทั้งคู่ปานใด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทรงบิดเบือนความจริงทั้งหมดได้

“แม้บุตรีของข้าเคยอธิษฐานเอาไว้ว่าจะไม่ขอมาเกิดเป็นเทพีอีกต่อไป แต่ข้าขอให้พันธะสัญญาของการเป็นชายาแห่งเทพอนุบิสผู้นั้น จะยังคงอยู่ต่อไปตราบชั่วนิรันดร์” เทพแห่งสุริยันใช้ความเป็นอมตะของชีวิตตน แลกกับพันธะสายสัมพันธ์เดิมที่ยังคงดำเนินต่อไป

แม้พระองค์จะมิอาจถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้

แม้พระองค์จะต้องถูกลืมก็ไม่เป็นไร....

มีเพียงผู้เป็นบิดามารดาเท่านั้น ที่จะมอบความรักอันยิ่งใหญ่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆให้แก่บุตรได้จริงๆ



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ย. 2556, 11:13:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ย. 2556, 10:28:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1257





<< ตอนที่ 8 อดีตที่เคยผิดพลาด (1)   ตอนที่ 10 หน้าที่ยังวิหารอเตน >>
ร้อยวจี 22 พ.ย. 2556, 12:54:32 น.
รอตั้งหลายวัน จะมีใครทบทวนความผิดของอเมนเททหรือเปล่าอยากรู้จัง รออยู่ค่ะ


Zephyr 22 พ.ย. 2556, 13:37:55 น.
โอย เศร้า แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไมพี่ชายทำกับเมรียังงี้ละ
อเมนเทท โดนทบต้นทบดอกบานแน่ๆ
เมื่อความจริงเปิดเผลนางคงกระอักน่าดู


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account