♥ ♥ ♥ หัวใจร้อยดาว [ชุด ทางลัดสลัดโสด สนพ.อรุณ] ♥ ♥ ♥
อะไรนะ! ถ้าไม่แต่งงานภายในเก้าสิบวัน

เธอต้องขึ้นคานไปตลอดชีวิตเหรอ บ้าไปแล้ว!



ดอกเตอร์ โมนา วิมาลิน อยากอุทานเป็นภาษาต่างดาวชะมัด

แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เชื่อเรื่องงมงาย

แต่รุ่นพี่ที่เจออาถรรพ์ก็ขึ้นคานกันไปแล้วถ้วนหน้า

เธอจะเสี่ยงเป็นคนต่อไปจริงเหรอ...



นับว่าพระเจ้ายังไม่ใจร้ายจนเกินไป

เพราะท่านส่ง ชัชวิน มาจีบเธออย่างออกนอกหน้า

ตามมาด้วย เมอร์ซิเออร์ โนแอล เดอแบร์มองต์ สุดหล่อ

แถมยังมี เอกชัย เทรนเนอร์หล่อล่ำ

กับ กฤต นักดนตรี อารมณ์ศิลป์มาให้เลือกพร้อมเพรียง



โมนาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น

เพราะระหว่างหาทางลงจากคาน

เธอกลับต้องเผชิญปัญหาเรื่องการงานหนักหน่วง



ในท่ามกลางมรสุมที่พัดจนเธอซวนเซ

โมนาจึงได้เห็นความรักของใครบางคน...ชัดเจนขึ้นในหัวใจ

อยากรู้ก็แต่ว่า...อีกฝ่ายจะรักเธอมากพอ

และชวนเธอลงจากคานทันเวลาไหมหนอ


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ(แม่มณี) จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ(แม่มณี) มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^

♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥

เตรียมยิ้มและหัวเราะไปกับ ดอกเตอร์สาวตัวกลม ที่จะทำให้คุณเข้าใจนิยามของความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง

หัวใจร้อยดาว - เจ้าสาวร้อยชั่ง ในชุดทางลัดสลัดโสด


เขียนโดย สิริณ - ดวงมาลย์

จ่อคิววางแผงต่อจาก ใต้ปีกรักสีเพลิง เลยค่ะ

เชิญติชมกันได้เต็มที่เช่นเคย



ชวนเพื่อนๆนักอ่านไปกดไล้ค์แฟนเพจของสิริณกันด้วย

ตรงนั้นจะมีกิจกรรมร่วมสนุก แจกของที่ระลึกกันเป็นระยะ

(แน่นอนว่าของที่สิริณมีมากที่สุดคือ 'หนังสือ' :D )

ไปกดไล้ค์กันเยอะๆนะคะ

www.facebook.com/SirinFC
Tags: โนแอล โมนา ขิมคราม รอยตะวัน สลัดโสด

ตอน: ตอนที่ ๑๗

เจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์อ่านข้อความในเอกสารซ้ำถึงสองหนเพื่อให้แน่ใจว่ามิได้เข้าใจผิด ชายหนุ่มขยับแว่นอย่างอึดอัด หันไปเคาะแป้นคอมพิวเตอร์และนำเอกสารแจ้งความของลูกค้าขึ้นมาเทียบกับหน้าจอ แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ “ทางธนาคารคงอายัดเช็คใบนี้ตามที่คุณขอไม่ได้หรอกครับ เพราะเช็คใบนี้ถูกนำมาขึ้นเงินไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว”

“แต่มันเป็นเช็คเปล่านะคะ จะขึ้นเงินได้ยังไง”

“ขึ้นได้สิครับ เพราะมันเป็นเช็คที่มีลายเซ็นผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทถูกต้อง”

คนฟังอ้าปากค้างตะลึงลาน แค่นึกภาพที่ต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการทราบ ก็มองเห็นอนาคตด้านการงานของตนพังทลายลงต่อหน้าต่อตาแล้ว กระนั้นเธอก็ยังมีสติพอที่จะถามต่อ “จำนวนเงินที่สั่งจ่ายไปคือเท่าไหร่คะ”

“เก้าแสนบาทเศษครับ”

พนักงานบัญชีของลียองอยากเป็นลม “เก้าหมื่นหรือว่าเก้าแสนนะคะ”

“เก้าแสนเก้าพันเจ็ดร้อยหกสิบสองบาทครับ”

หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก จึงรีบควานมือลงในกระเป๋าหายาดมมาอังที่ใต้จมูกเป็นพัลวัน “พอจะบอกได้ไหมคะว่าใครเป็นคนมาเบิกเงินไป”

“คนที่มาเบิกจ่ายเอาเงินเข้าบัญชีไปครับ แต่ผมไม่มีอำนาจเปิดเผยข้อมูลพวกนี้ คุณต้องให้ที่บริษัททำหนังสือแจ้งเข้ามา แล้วทางเราถึงจะเปิดเผยรายละเอียดให้ทราบครับ”

คนกำลังจะต้องขึ้นแท่นประหารเอื้อมมือรับเอกสารการแจ้งความกลับมาพับเก็บใส่กระเป๋า ท่าทางที่เดินออกจากธนาคารบอกชัดถึงความเครียดที่สะสมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆเงินเกือบล้านก็ถูกเบิกหายเข้ากลีบเมฆไปโดยเช็คที่เธอสะเพร่าทำหาย นี่เธอควรจะทำอย่างไรดี ทางเลือกที่ควรกระทำก็คือเข้าไปสารภาพกับโมนาตรงๆ แต่...นั่นเป็นหนทางที่ ‘แย่ที่สุด’ เท่าที่มันจะแย่ได้เลย

หญิงสาวพยายามหายใจเข้าลึกๆลากขาพาตัวเองมานั่งที่ป้ายรถประจำทาง หัวใจเต้นหวิวด้วยความหวาดหวั่น ขณะสีหน้าที่เผือดซีดอยู่แล้วแทบไม่มีสี และก่อนจะรู้ตัวอีกครั้ง เธอก็ได้ยินเสียงหวีดร้องจากรอบด้าน ตามด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหลด้านซ้าย เธอเหลียวไปมองแล้วร้องอุทาน

“กระเป๋า...ช่วยด้วยค่ะ คนกระชากกระเป๋า”

ช้าไปเสียแล้ว เพราะเสียงเร่งเครื่องของมอเตอร์ไซค์ดังกลบทุกสรรพสำเนียงรายรอบ หญิงสาวพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆและตั้งสติเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่หูกลับได้ยินเสียงคำพูดแผ่วเบาเป็นสิ่งสุดท้าย พร้อมกับที่สติดับวูบไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย! ช่วยด้วย คนเป็นลม!”



เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งๆมาตลอดทั้งวันเงียบลงตอนเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีเป๊ะ โมนาเก็บกระเป๋าแล้วล็อกห้อง จากนั้นหิ้วกระเป๋าก้าวยาวๆไปสุดโถงทางเดินจนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานของซีอีโอ วสันต์ซึ่งกำลังจัดเอกสารใส่แฟ้มถึงกับวางมือแล้วหันมาสนทนากับเธอด้วยท่าทางเป็นกันเอง

โมนาคุยกับผู้ช่วยของซีอีโออยู่เกือบสิบห้านาที จนได้ยินเสียงบานพับประตูดังเอียดอาดแผ่วเบา จึงบอกลาวสันต์ “โนแอลมาแล้ว โมคงต้องขอตัวก่อน เที่ยวเขาใหญ่ให้สนุกนะคะคุณสันต์”

หญิงสาวโบกมือให้เพื่อนร่วมงาน แล้วเดินไปสมทบกับผู้บริหารสูงสุดที่หน้าห้อง

“โทษที ผมประชุมติดพันไปหน่อย ไปกันเลยไหม” โนแอลเดินเคียงข้างกับหญิงสาวมุ่งไปยังทางออก พลางเอื้อมมาทำท่าจะคว้ากระเป๋าของเธอไปหิ้วให้แทน

โมนารีบเบี่ยงตัวหลบทันที “นี่มันกระเป๋าถือของฉันย่ะ ไม่ต้องมาทำท่าสุภาพบุรุษถือให้ เดี๋ยวคนมอง”

“อ้าว...ทีปกติผมถือกระเป๋าใส่ของไปฟิตเนสให้คุณ ยังไม่เห็นคุณบ่นเลย” ชายหนุ่มดึงประตูเปิดคอยท่าให้อีกฝ่ายก้าวออกไปยังโถงรอลิฟต์ก่อน

โมนาก้าวออกมายืนที่หน้าลิฟต์ซึ่งค่อนข้างโล่ง เพราะพนักงานส่วนใหญ่ทยอยลงไปตั้งแต่ตอนเลิกงานแล้ว “กระเป๋าฟิตเนสมันไม่เหมือนกระเป๋าถือนี่ยะ เวลาคนมองเขาคิดไม่เหมือนกัน นี่คุณจะหาเรื่องกวนฉันหรือไง ไม่ได้ทะเลาะกันแค่ไม่นาน คันปากมากละสิท่า”

ไม่มีเสียงตอบโต้จากคนข้างๆ โมนาจึงหันไปมองเขา ก็เห็นโนแอลยืนล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาสีน้ำเงินแกมฟ้ามองมาที่เธอนิ่งๆ หญิงสาวมองริมฝีปากบางที่ยกขึ้นช้าๆด้วยความรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก

“ผมคิดถึงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ชะมัดเลย ดีใจจังที่มันไม่ใช่ความฝัน”

หญิงสาวกะพริบตาปริบด้วยอาการไม่แน่ใจ คล้ายกำลังลังเลว่าหูฝาดหรือไม่ แต่เมื่อเห็นประกายวิบวาวในดวงตาคนตรงหน้า โมนาจึงยกมือฟาดเพียะที่ต้นแขนเขาอย่างอดใจไม่ได้

“ตาบ๊องนี่ เลิกพูดจาแบบนี้กับฉันสักที ถึงฉันจะรู้เต็มอกว่าคุณกำลังสวมบทบาทหนุ่มปารีเซียงคลั่งรักให้แนบเนียน แต่คุณทั้งพูดทั้งมองฉันด้วยสายตาแบบนี้บ่อยๆ ฉันก็อดหวั่นไหวไม่ได้เหมือนกันนะยะ”

โนแอลหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ เขากวาดสายตาไปรอบๆจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นแน่นอนแล้ว จึงยกมือขึ้นวางบนศีรษะผู้อำนวยการสาวคลำหากิ๊บที่เหน็บผมเธอไว้ให้เป็นมวยต่ำที่ด้านหลัง เมื่อพบแล้วก็ดึงกิ๊บออก ปล่อยให้ผมดำมันเงางามของโมนาทิ้งตัวหลุดออกจากมวยอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ขยี้เส้นผมละเอียดปล่อยให้แผ่กระจายเต็มแผ่นหลังของหญิงสาว

“เอ๊ะ! โนแอล! นี่คุณแกล้งฉันอีกแล้วเหรอ”

“ไม่ได้แกล้ง ผมแค่...ชอบมองเวลาคุณปล่อยผมมากกว่าก็เท่านั้นเอง”

“คุณเป็นผู้ชายที่เรื่องมากมากเลยรู้ไหม”

“เพิ่งมีคุณนี่แหละ เป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าประณามผมอย่างนี้ ผู้หญิงคนอื่นเขารู้จักแต่เออออห่อหมกกับสิ่งที่ผมทำนะ ยิ่งถ้าเขารู้ว่าผมชอบแบบไหน เขาก็มีแต่จะรีบทำตัวตามที่ผมชอบด้วย” เขาโวย แล้วหย่อนกิ๊บดำใส่กระเป๋าเสื้อสูท เมื่อเหลือบไปมองที่ช่องด้านบนลิฟต์แต่ละตัวซึ่งมีตัวเลขระบุว่าตอนนี้ลิฟต์อยู่ที่ชั้นไหน และพบว่าส่วนใหญ่มันอยู่ชั้นล่าง และคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะกลับขึ้นมารับเขา ชายหนุ่มตีหน้าเรียบ ถามลอยๆ “ช่วงที่เราหลบหน้ากันไปกันมา คิดถึงผมบ้างไหม”

“ไม่เลย บ้านฉันเงียบขึ้นเยอะ ไม่ต้องทนฟังเพลงฝรั่งเศสที่คุณเปิดให้ลั่นๆอยู่ทุกวันด้วย” โมนาลอยหน้าตอบ

“แต่ผมคิดถึงคุณนะเชรี ผมแปลกใจมาก เพิ่งรู้ว่าเราคิดถึงคนที่อยู่ห่างกันแค่กำแพงกั้นได้ด้วย”

โมนาปล่อยให้ถ้อยคำนั้นค่อยๆซึมผ่านความรับรู้เข้าไปชโลมในเนื้อหัวใจทีละนิด ทั้งที่มันเป็นคำพูดแสนธรรรมดาสามัญที่ใครต่อใครก็เอ่ยให้ฟังบ่อยๆ แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่โมนารู้สึกว่าคำ ‘คิดถึง’ ของใครสักคน สามารถทำให้หุบเหวลึกแห่งความอ้างว้างในหัวใจเธอค่อยๆตื้นขึ้นแคบลง

“เวลาเราคิดถึงใคร ถ้าคุณไม่บอกมันออกไป ความคิดถึงมันก็มาไม่ถึงสิ คราวหน้ามาเคาะประตูบอกนะ”

“ไม่มีคราวหน้าแล้วเชรี มีอะไรคุยกันตรงๆดีกว่า อย่าเยอะ”

“โอ้โห...นี่ไปอัพเลเวลความปากเสียมาหรือไงเนี่ย หาว่าฉันเยอะ น่าเกลียดที่สุด” โมนาทุบต้นแขนเขาอั้กใหญ่อย่างอดไม่ได้

โนแอลหัวเราะหึๆ ลูบแขนป้อยๆ เมื่อลิฟต์เปิดออก เขาก็แตะข้อศอกโมนาให้เธอเดินเข้าไปก่อนเช่นเคย

น่าแปลก สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นแล่นผ่านจากปลายข้อศอกเข้าไปถึงหัวใจของโมนา หญิงสาวขยับมือออก พร้อมทั้งเดินหน้าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เขาแตะโดนตัวเธอไปมากกว่านี้ ดูเหมือนโนแอลจะไม่ทันสังเกตเห็นกิริยาของเธอ เพราะเขามัวแต่กดปุ่มลิฟต์ไปยังชั้นใต้ดินอยู่

“เบลอหรือเปล่าเนี่ยโนแอล กดลิฟต์ผิดชั้นเฉยเลย” โมนาบ่นอุบ ชั้นใต้ดินมันเป็นลานจอดรถนี่นา ถ้าจะออกทางประตูหน้าตึกต้องออกทางชั้นล็อบบี้ต่างหาก

“ผมมีเซอร์ไพร้ส์” เขาไม่เถียง และยังตอบแบบนี้มันเดาได้อย่างเดียว...

“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าคุณซื้อรถแล้วน่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า คลายปมเน็คไทแล้วรูดออกพลาง “เดาเก่งมาก พอไม่มีเพื่อนเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าด้วยกัน อะไรๆรอบตัวก็เหมือนเป็นโลกคนละใบกับที่ผมเคยรู้จัก โลกที่ไม่มีคุณอยู่ด้วยมันกว้างเกินไป เงียบงัน แล้วก็น่าเบื่อที่สุด ผมถึงรู้ว่า...ผมควรจะซื้อรถสักคัน เวลาไม่มีคนชวนกินหรือชวนออกกำลังกาย ผมจะได้ไปขับรถเล่นแทน”

“โอ้โห...นี่ฉันมีดีบ้างไหมเนี่ย คุณหาว่าฉันอ้วนจนคับโลกของคุณ พูดมากจนโลกของคุณมีแต่เสียงหนวกหู หาเรื่องปวดหัวมาให้ทุกวันจนคุณไม่เบื่อ แถมวันๆยังเอาแต่ชวนไปกินกับแค่ออกกำลังกายงั้นเหรอ”

“เก่งตลอด รู้ทันตลอด ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าเวลาไม่มีคนมาคอยขัดคอน่ะ มันเซ็งจะตาย”

โมนาหัวเราะคิกคัก “หายกันละกันนะโนแอล เพราะฉันก็เป็นเหมือนที่คุณว่าทุกอย่างนั่นแหละ เซ็งเป็นบ้าเลยเวลาไม่ได้ต่อปากต่อคำกับคุณน่ะ ว่าแต่...คุณเก็บความลับเก่งจัง ฉันไม่ระแคะระคายเรื่องรถนี่เลยสักนิด”

“ผมคิดเรื่องซื้อรถอยู่นานแล้ว แต่ก็เห็นว่ามันยังไม่จำเป็น แต่จังหวะมันลงตัวกันพอดี แวะเข้าไปดูที่โชว์รูมแล้วรถก็มีอยู่ ไม่ต้องสั่งจอง ไม่ต้องรอ ผมก็เลยคิดไม่นาน”

“เสียดายเนอะ ถ้าเราไม่ได้หลบหน้ากันอยู่ ฉันคงได้ไปลองขับกับคุณด้วย คงสนุกน่าดู”

“คุณหลบหน้าผมขนาดนั้นนะเชรี อย่าว่าแต่เทสต์ไดรฟ์เลย แค่จะเจอหน้ากันยังแทบไม่มี บางวันผมตื่นขึ้นมาแล้วก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า คอนโดของคุณมันมีประตูทะลุไปมิติอื่นหรือเปล่า เราถึงอยู่ในห้องเล็กๆแบบนั้นด้วยกันโดยที่ไม่ได้เจอหน้าตากันเลยเป็นอาทิตย์ๆได้ขนาดนั้น”

โมนากำมือชูนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ฉันขอโทษนะโนแอล ฉันมัวแต่ถือทิฐิโง่ๆ ทั้งโกรธที่คุณกล่าวหาว่าฉันโกงบริษัท แล้วก็กลัวว่าคุณจะรู้ว่าฉันทำงานบกพร่องด้วย ฉันถึงต้องหลบหน้าคุณอย่างนั้น”

“ผมฟังเหตุผลของคุณจบ ผมก็หายโกรธคุณแล้วละ” เขายกนิ้วมาเกี่ยวกับเธออย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณค่ะโนแอล คุณเป็นกัลยาณมิตรของฉันเสมอเลยนะ” เธอยกคำเดิมที่เคยพูดมาใช้อีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อปัดความเก้อเขินออกจากบรรยากาศ “แหม...ตื่นเต้นจัง ชักอยากเห็นแล้วสิว่าคุณซื้อรถอะไร ให้ฉันทายนะ ฉันว่า...หนุ่มฝรั่งเศสชาตินิยมอย่างคุณคงต้องซื้อซีตรอง หรือไม่ก็เปอร์โยต์แน่ๆเลย...ใช่ไหม”

“เดี๋ยวก็รู้เอง” เมื่อลิฟต์เปิดที่ชั้นใต้ดิน อุ้งมือแข็งแรงก็ยื่นมาคว้าข้อมือเธอเดินเร็วๆด้วยท่าทางเหมือนเด็กอยากอวดของเล่นใหม่เต็มแก่แล้ว โมนามองช่วงไหล่กว้างของผู้ชายเดินนำอยู่ตรงหน้า รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทุกวันยามเดินไปสถานีไฟฟ้า ขึ้นคอนโด ไปไหนมาไหน เธอเคยเห็นแนวไหล่บึกบึนนี้อยู่ตรงหน้าตลอด หลายวันที่หลบหน้ากัน พาความเหงาที่เธอเกลียดนักหนาให้กลับมาทักทายกันที่หัวใจอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

โมนามั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนขี้เหงา นับจากวันที่คุณย่าซึ่งเป็นญาติคนสุดท้ายจากไป โมนาก็เหมือนตัวคนเดียวบนโลกนี้ การอยู่ลำพังตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีเพื่อนร่วมห้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเช่าห้องว่าง แต่ส่วนใหญ่โมนาก็แทบไม่สุงสิงกับใครอยู่แล้ว เธอใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจนชิน ไม่รู้สึกว่าจะต้องมีใครมาแบ่งปันวันเวลาในชีวิต

การมีโนแอลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งทำให้เธอคุ้นเคยที่จะหันไปทะเลาะ ได้วีน เหวี่ยง หรือแม้แต่จิกกัดด้วยถ้อยคำที่รู้ทันกันตลอดเวลา ถ้าวันหนึ่งโนแอลต้องกลับไปฝรั่งเศส เธอคงคิดถึงเขามากๆแน่นอน

เพียงนึกถึงวันเวลาที่ห้องในคอนโดจะว่างเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าในตะกร้ารอให้เธอส่งซัก ไม่มีอาหารเช้าวางรอที่โต๊ะ ไม่มีใครให้เธอทำอาหารให้รับประทาน โมนาก็ใจหายแล้ว และวินาทีนั้นเองที่เธอรู้สึก...ไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้จากไปไหนเลย หญิงสาวก้มลงมองข้อมือที่ถูกอีกฝ่ายยึดไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก จะดีแค่ไหนนะ...ถ้าทุกอย่างจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป!

“ท้าดา...นี่ครับ รถผมเอง” น้ำเสียงตื่นเต้นของเขาทำให้โมนารีบกะพริบตากรีดหยดน้ำร้อนๆที่มาเอ่ออยู่ตรงหัวตาให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว เธอมอง ‘รถ’ ตรงหน้าด้วยอาการคล้ายๆตกตะลึง “นะ นะนี่มัน...”

“สวยไหมเชรี” เจ้าของรถกุลีกุจอผายมืออวดพาหนะคันเก่งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับดูคาติ ไฮเปอร์โมตาร์ด ของผม”

โมนามองรถจักรยานยนต์คันยักษ์เบิ้มอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตัวรถ ล้อ และทุกอย่างที่เห็นมีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่เธอเห็นบนท้องถนนทั่วไปอย่างมาก นี่กระมังที่คนเขาเรียกกันว่าบิ๊กไบค์!

“คุณซื้อมอเตอร์ไซค์เหรอคะ”

“ใช่! รถติดๆอย่างกรุงเทพฯน่ะ ซื้อรถเก๋งไม่ดีหรอก ไม่คล่องตัว ตอนอยู่ปารีสผมก็ใช้บิ๊กไบค์อยู่แล้ว คันเก่าผมไม่มีที่นั่งให้ซ้อนเลย แต่คันนี้ผมเลือกแบบเบาะยาวๆ คนซ้อนจะได้นั่งสบายๆสำหรับคุณไงล่ะ”

“ฉันบอกตอนไหนว่าจะซ้อนรถคุณ ไม่เอาหรอก ฉันไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซค์ คุณย่าบอกว่าเนื้อหุ้มเหล็กชัดๆ”

“ไม่หรอกน่า ขอแค่ขับขี่อย่างมีสติและไม่ประมาท นั่งมอเตอร์ไซค์หรือรถเก๋งก็ปลอดภัยเหมือนกันนั่นแหละ อีกอย่าง...คุณไม่เคยดูหนังเรื่อง Moment of Romance ที่แอนดี้ หลิว แสดงเหรอ พระเอกขี่บิ๊กไบค์อย่างนี้แหละ เท่จะตาย วันนี้ผมจะให้คุณเป็นนางเอกสักวันยังไงล่ะ” เขายักคิ้วให้อย่างล้อเลียน

“ใครวะ แอนดี้ หลิว” โมนาขมวดคิ้วพึมพำเป็นภาษาไทย ก่อนจะนึกได้ “คุณหมายถึงหลิวเต๋อหัวตอนแสดงเรื่องผู้หญิงข้าใครอย่าแตะใช่ปะ”

นิ้วเรียวยาวจนน่าอิจฉาดีดหน้าผากเธอเบาๆอย่างล้อเลียน “ถูกละ เชรี คุณเก่งเสมอ ตามผมทันตลอดเลยนะ” ชายหนุ่มล้วงกุญแจมาไขเปิดกล่องเก็บของที่ยึดติดกับตอนท้ายของรถ หย่อนเน็คไทเก็บก่อน จากนั้นดึงแจ๊คเก็ตหนังออกมาสะบัด ชี้มาที่เธอ “อากาศค่อนข้างเย็น คุณถอดเสื้อสูทออกแล้วใส่ตัวนี้แทนดีกว่า”

โมนามองเสื้อหนังตัวใหญ่เท่าบ้านแล้วส่ายหน้า “คุณบอกเองนะว่าฉันต้องใส่เสื้อเข้ารูป จะได้ไม่ดูอ้วน”

“สูทที่คุณสวมอยู่ก็ไม่เห็นเข้ารูปตรงไหนเลย รับรองว่าใส่เสื้อผมจะต้องดูดีกว่าแน่นอน เอ้า! เปลี่ยนเร็วเข้าสิ เดี๋ยวยิ่งมืดก็หมดสนุกกันพอดี” จอมเผด็จการเอื้อมมือมาดึงเสื้อสูทสีกรมท่าของโมนาออก ทำให้เธอไม่มีทางเลือก จำต้องถอดเสื้อตัวนอก เหลือไว้เพียงเชิ้ตสีขาวด้านในเท่านั้น

โนแอลถือเสื้อหนังไว้คอยท่า โมนาจึงสอดแขนลงไปและสวมเสื้อหนังของชายหนุ่มแต่โดยดี เพียงรูดซิปขึ้นจนสุดตามที่ท่านผู้นำบังคับ โมนาก็ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยมาจากตัวเสื้อ

“นี่คุณเคยซักบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“เฮ้ย! เสื้อหนังใครเขาซักกันล่ะคุณ” โวยเสร็จ เขาก็หัวเราะลั่น คงเพราะเห็นหน้าตามู่ทู่ของเธอ “ไม่เหม็นหรอกน่า ผมไม่ได้ใส่ไปวิ่งอาบเหงื่อต่างน้ำ”

หญิงสาวก้มลงมองตัวเอง หากมีกระจกสักบานคงมองเห็นความตลกของตัวเองได้ง่ายกว่าจินตนาการเช่นนี้ เธอสวมเสื้อหนังตัวหลวมรูดซิปปิดสูงขึ้นมาถึงระดับเดียวกับกระดุมเชิ้ตเม็ดบน ชายเสื้อคลุมถึงสะโพก เห็นกางเกงแพนท์สูทขาบานสีกรมท่า ส่วนรองเท้าเป็นแคชชูส์หนังส้นเตี้ยสีขรึม นึกๆดูช่างไม่มีอะไรเหมาะกับการไปซิ่งสายฟ้าอย่างที่เขากำลังจะชวนไปเล่นสนุกสักนิด

วันนี้ชายหนุ่มคงงดทำตัวเป็นตำรวจแฟชั่นชั่วคราว เพราะเขาไม่วิพากษ์วิจารณ์เธอสักคำ ทั้งยังหยิบถุงมือหนังจากในกล่องเก็บของออกมาสวมที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นจึงนำหมวกกันน็อกแบบเต็มใบจากในกล่องออกมาส่งให้โมนา “เอ้า! สวมซะ ใบนี้ของคุณ”

โมนารับหมวกที่ค่อนข้างหนักมาสวมลงบนศีรษะอย่างเก้ๆกังๆ คนมองอมยิ้มตาพราวจึงถูกแหว “เอ๊ะ! นี่หัวเราะเยาะฉันใช่ไหมเนี่ย” พร้อมกับทำท่าจะถอดหมวกออก

โนแอลรีบยึดมือเธอไว้ แล้วรั้งมือเธอให้ปล่อยจากหมวก เขารัดสายที่ปลายคางให้ผู้โดยสารด้วยกิริยาอ่อนโยน “คุณต้องรัดสายให้แน่น เกิดมีอุบัติเหตุขึ้นมา หมวกกันน็อกจะช่วยปกป้องศีรษะของคุณได้”

โมนายืนนิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างจากใบหน้าเธอไม่ถึงฟุต พร้อมกับพยายามกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว บางที...เธอก็กลัวตัวเองจะถูกปลุกจากความฝันแสนหวานนี้เช่นกัน!

เมื่อเสร็จจากการช่วยแต่งตัวให้หญิงสาวจนพร้อมแล้ว เขาก็ดึงกระเป๋าหิ้วของโมนาไปถือ “หยิบแต่โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ก็พอ อย่างอื่นเกะกะ เดี๋ยวเอาใส่กล่องเก็บของไว้ก่อน”

โมนาเปิดหน้ากากใสของหมวกกันน็อกเพื่อหยิบของตามที่เขาสั่ง มองชายหนุ่มจับแอร์เมสของเธอยัดใส่กล่องเก็บของแล้วอดบ่นไม่ได้ “ถ้าขโมยรู้ว่ากล่องนี้เก็บอะไรไว้ มันคงยกทั้งกล่องหายไปเลยแหงๆ”

“ถ้าแอร์เมสคุณหายเพราะผม เดี๋ยวผมหามาชดใช้คืนให้” เขาติดสินบนดื้อๆ

หญิงสาวหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ดีเลย...ฉันกำลังอยากได้กระเป๋าใบใหม่ เดี๋ยวคุณเผลอ ฉันแอบปลดกล่องนี้ทำหล่นข้างทางดีกว่า”

“เชิญตามสบายเถอะแม่คุณ” เขาตวัดเสียงใส่ด้วยความเอ็นดู “ถ้าคุณทำกล่องใส่ของผมหล่น คุณก็ต้องซื้อใช้ผมเหมือนกัน เบอร์กิ้นคุณใบละสามแสน กล่องของผมใบละสามหมื่น!”

โมนาตวัดตามองกล่องใบละสามหมื่นของอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมิน มือก็เอื้อมไปเคาะกล่องสีดำที่เปิดฝาพับครึ่งออกได้ด้วยซิปเนื้อหนา ความแข็งที่ช่วงล่างและนุ่มๆตรงส่วนฝาทำให้เบ้ปาก “พลาสติกอะไรของคุณเนี่ยแพงจัง กระเป๋าฉันแพงเพราะหนังแท้นะ ของคุณน่ะพลาสติกเห็นๆเลย”

“ของถูกของแพงมันไม่ได้วัดกันที่ทำมาจากอะไร แต่วัดที่ความพอใจของคนซื้อ ของทุกอย่างมี ‘ราคา’ และ ‘คุณค่า’ ในตัวของมันเองทั้งนั้น คุณต้องหัดซื้อของด้วยความรู้สึกบ้าง ราคาไม่ใช่สิ่งบ่งบอกทุกอย่างหรอกนะ”

ชายหนุ่มกล่าวจบก็หันไปไขล็อกที่ใต้เบาะดึงหมวกกันน็อกอีกใบมาสวม เมื่อเรียบร้อยดีแล้วจึงก้าวขึ้นไปนั่งคร่อมอานรถ แล้วหันมาทางหญิงสาว “ขึ้นมาสิ รออะไรอยู่ล่ะ”

โมนาหายใจเข้าลึกๆ แม้จะถูกฝังหัวเรื่องการนั่งมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็กว่าอันตรายนักหนา แต่เพราะความเชื่อมั่นในตัวผู้ชายคนนี้ กอปรกับไอ้ที่เขาชวนมันก็...น่าสนุกดี แทนที่จะทำท่ากรีดกรายโวยวาย เธอจึง...

“ดีเหมือนกัน ฉันก็อยากรู้ความรู้สึกของการซ้อนมอเตอร์ไซค์แบบนางเอกผู้หญิงข้าฯมาตั้งนานแล้ว” เธอเหยียบที่วางเท้าแล้วเกาะบ่าโนแอลตวัดขาข้ามไปนั่งซ้อนท้ายอย่างว่าง่าย ทั้งยังซ่าก๋ากั่นพอที่จะชูมือขึ้นอย่างนึกสนุก ทว่ายังไม่ทันได้ซ่าดังใจปรารถนา เสียงเร่งเครื่องรถก็ครางกระหึ่มกลบทุกสรรพสำเนียงโดยรอบ แล้วม้าเหล็กสองล้อสัญชาติอิตาลีก็เคลื่อนตัวออกจากที่ ก่อนจะเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นจนคนซ้อนสะดุ้งโหยง รู้สึกได้ถึงสายลมที่ปลิวผ่านเส้นผมที่ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง โมนากอดเอวคนข้างหน้าหมับ หลับตาปี๋ด้วยความตกใจ

เหมือนคนขับจะรับรู้ถึงความกลัวของเธอ เพราะรถชะลอความเร็วลดลง ทั้งยังแล่นเป็นทางตรงไม่สวิงสวายน่าหวาดเสียวอย่างในชั้นแรก โมนาลืมตาอย่างกล้าๆกลัวๆ ในที่สุดจึงคลายแขนที่รัดเอวชายหนุ่มออก เปลี่ยนมาจับเสื้อสูทตรงเอวเขากำไว้เป็นหลักแทน ทั้งยังขยับท่านั่งมิให้แนบชิดกับแผ่นหลังอีกฝ่าย

เมื่อความกลัวเปลี่ยนแปรเป็นเคยชิน โมนาจึงมีโอกาสได้สำรวจภาพที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แผ่นหลังกว้างหนาบึกบึนราวกับกำแพงช่วยกันแรงปะทะจากลมให้เธอได้เป็นอย่างดี สายลมเย็นฉ่ำในช่วงกลางฤดูหนาวจึงไม่อาจแทรกเข้ามากระทบผิวเธอได้ กรุ่นกลิ่นน้ำหอมจางๆผสมกับกลิ่นเหงื่อที่โชยมาสัมผัสฆานประสาท บอกยากว่าลอยตามลมมาจากคนข้างหน้า หรือเกิดจากกลิ่นที่ตกค้างอยู่บนเสื้อหนังซึ่งเธอสวมอยู่กันแน่

โมนาหายใจเข้าลึก ไม่สนใจหรอกว่ามันหอมหรือให้ความรู้สึกใดกระทบใจบ้าง รู้แค่ว่า...บางวินาทีนั้น เธอไม่รังเกียจเหงื่อของผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว





(จบตอน)



ตอนนี้สั้นค่า เลยลงให้รวดเดียวเลย ^_^
อ่านแล้วหากอมยิ้ม จะกรุณากดชอบตอนนี้คนละที
ก็จะเป็นกำลังใจที่อบอุ่นอย่างยิ่งค่า
ขอบคุณล่วงหน้านะค้าาาาา <3 <3 <3




สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2556, 04:02:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ย. 2556, 04:02:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1715





<< ตอนที่ ๑๖    ตอนที่ ๑๘ (ครึ่งแรก) >>
konhin 21 พ.ย. 2556, 05:26:38 น.
ว้าวววววว หวานซ้าาาาาา ต้องรีบจัดการกับเช็คนะคะ ไม่งั้นแย่แน่ๆ


ree 21 พ.ย. 2556, 06:48:52 น.
อ๊ายหยา บรรยายซะได้กลิ่นเหงื่อไปด้วยเลร


sumitt 21 พ.ย. 2556, 06:50:27 น.
รักโนแอลที่ซู้ด


goldensun 21 พ.ย. 2556, 10:08:40 น.
พองอนกัน ห่างกันพักนึง เลยเห็นคุณค่าของกันและกัน ถึงจะไม่รู้สึกว่ารัก แต่ก็ทำให้รู้สึกขาดไม่ได้ได้เหมือนกัน
พนักงานบัญชีก็นะ แทนที่จะจิตตก ควรรีบแจ้งหัวหน้าสิ จะได้ดูว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีไหน
รู้สึกเหมือนว่า การโกงเช็คเพิ่งมีครั้งแรกเลย โมนาเซนต์ซะด้วยสิ


maybelittledevil 21 พ.ย. 2556, 10:50:25 น.
น่ารักกกกกกกกกกกอ่ะ


Pat 21 พ.ย. 2556, 12:02:11 น.
ปัญหารออยู่ข้างหน้าเน้อโมนา ตอนนี้ปล่อยให้แฮปปี้ก่อน


OhLaLa 21 พ.ย. 2556, 13:07:59 น.
ว้าว สองล้อกับสองเรา


sai 21 พ.ย. 2556, 19:41:40 น.
หวานจังงงงงงงงงงงงง ชอบบบบบ อยากมีอารมณ์นี้แบบโมนาบ้างงงง


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 พ.ย. 2556, 21:10:15 น.
ถึงจะสั้น แต่ฟินเต็มอิ่มขนาดนี้ ก็เริ่ดดดค่าาาา
อยากรู้จัง คนที่กระชากกระเป๋านี่จงใจมารึเป่า


Zephyr 22 พ.ย. 2556, 01:35:32 น.
ชักอยากเป็นสก๊อยเกิร์ลขึ้นมาตงิดๆ
ขอแว้นบอยเป็นโนแอลท่าจะเวิร์กมั่กมาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account