พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิิิิิขิต ตอนที่ 6

6

พลับพลึงค่อนข้างพอใจที่ธนดลเลือกที่จะมาอยู่เชียงใหม่เป็นเวลาสองเดือน ต่างก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง นับว่าสามียังมีความกรุณาอยู่มากที่ไม่ต้องให้เธอทนอยู่กับแม่สามีที่แสดงออกชัดว่าไม่ชอบขี้หน้า ต้องขอบคุณพ่อสามีด้วยที่สนับสนุนเต็มที่ให้อยู่เชียงใหม่นานๆ ท่านยังพูดด้วยว่า

'ไปเชียงใหม่ก็ดีเหมือนกัน นอกจากจะเป็นการหลบนักข่าวแล้ว ยังได้ทำงานด้วย'

ตอนนั้นจำได้เลยว่าพลับพลึงยิ้มอย่างขอบคุณท่านเลยทีเดียว ยังหนักใจอยู่เลยว่าจะบอกกับธนดลอย่างไรเรื่องงานที่ทำอยู่ จะให้ลาออกหรือ คงใช่ที่ แล้วถ้าทางฝ่ายสามีให้ลาออกจากงานจริงๆ จะทำอย่างไร โชคดีที่พ่อสามีเข้าใจจึงแนะนำให้มาฮันนีมูนกันที่เชียงใหม่ แถมบ้านพักยังอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองและไซด์งานของเธออีกด้วย

บ้านทรงไทยล้านนาหลังที่ธนดลเคยบอกว่าจะรื้อในเร็ววันนี้ ใครจะเชื่อล่ะว่าด้วยความเสียดายในวันนั้นจะได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อยเธอก็ออกมารับลมที่ชานบ้าน มุมหนึ่งเป็นที่นั่งเล่นแต่ถูกจับจองเสียแล้วด้วยเจ้าของบ้านตัวจริง เธอเดินเข้าไปหาหมายจะบอกกล่าวเรื่องบางอย่าง

“คุณดลคะ คือฉัน...”
ทำไมถึงได้รู้สึกกลัวที่จะพูดตามที่คิดขึ้นมาได้ เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาสบตารอฟัง
“นั่งก่อนสิ เหมือนคุณมีเรื่องอึดอัดใจนะ” ธนดลเชื้อเชิญอย่างเข้าใจ

“ใช่ค่ะ ฉันมีเรื่องอึดอัดใจจริงๆ ฉันคิดว่า เราไม่เห็นต้องอยู่บ้านเดียวกันเลยนี่คะ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราซักหน่อย ฉันคิดว่า เราน่าจะใช้ชีวิตในแบบเดิมของเรามากกว่า”
“คุณหมายความว่ายังไง” ธนดลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้กอดอก
“ก็...ฉันจะขอกลับไปอยู่ที่ไซด์งานตามเดิม ส่วนคุณก็อยู่ที่นี่”

“ไม่ได้”
เพียงเท่านั้นพลับพลึงก็เตรียมจะค้าน ในหัวมีเหตุผลร้อยแปดที่จะอธิบาย แต่ธนดลก็ไวกว่า
“คุณเข้าใจคำว่าสามีภรรยาหรือเปล่า สามีภรรยาคือคู่สมรส จะแยกกันอยู่ได้ยังไง ใครรู้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่ยอมเสี่ยงหรอก”

“แต่...”
“พอได้แล้ว คุณต้องอยู่ที่นี่ ถ้าคุณกลัวว่าผมจะทำอะไรล่ะก็ ผมเคยบอกคุณแล้วนี่”

คราวนี้คนเสียงขรึมกวาดตามองทั่วตัว สายตาอย่างนั้นทำให้พลับพลึงตัวชา มันไม่ใช่สายตาพิศวาสแต่เขามองเหมือนระอาและน่าสงสารมากกว่า สายตาแบบนั้นเหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า 'เธอนี่นะ มันไม่มีเสน่ห์ดึงดูดหรอก อย่ากลัวไปเลย' คนถูกมองแทบอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ

“ฉันรู้ ฉันไม่ได้กลัวเรื่องนั้นหรอก เพียงแต่...ฉันไม่ชินกับการที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าต่างหาก”
“ก็ฝึกไว้ เดี๋ยวก็ชิน อ้อ วันนี้คนงานยังไม่มา เราคงต้องทำอาหารกินกันเอง หวังว่าคุณคงทำได้นะ” ว่าแล้วคนออกคำสั่งก็เดินลงจากเรือนไป




พลับพลึงทิ้งตัวลงนั่งกึ่งนอนเอนตัวไปพิงกับพนักโซฟาเมื่อธนดลเดินกลับขึ้นบ้านมาแล้วเดินเข้าห้องพัก บ้านพักบนเนินเขาของตระกูลสุทธิการบ้านช่องสะอาดสะอ้านมาก แสดงว่าที่มีแม่บ้านคอยดูแลอยู่ตลอด มองจากข้างนอกเหมือนจะประมาณชั้นครึ่ง เป็นสถาปัตยกรรมล้านนากึ่งยุโรป ดูก็รู้ว่าบ้านหลังนี้มีสถาปนิกมือทองเป็นคนออกแบบ ยิ่งภายในยิ่งน่าสนใจ มุมต่างๆ ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่ไม่ใคร่จะได้พบเห็น เป็นเครื่องเรือนกึ่งทันสมัยแต่ก็มีกลิ่นไอของล้านนา เหมาะเจาะลงตัวได้อย่างอัศจรรย์กับบ้านไม้สักทองทั้งหลัง ประมาณด้วยสายตาค่าก่อสร้างคงมากโขแทบจะไม่อยากคิดเป็นตัวเลข เพราะมันคงมากกว่าเงินที่เธอน่าจะหาได้ทั้งชีวิต มองแล้วก็ให้เสียดายที่อีกไม่นานมันก็จะถูกรื้อถอน พลับพลึงเดินไปเคาะประตูห้องพัก

“ฉันต้องพักห้องไหนคะ”
“ห้องนี้” เขาตอบ

“แล้วคุณละคะ”
“ก็ห้องเดียวกับคุณนี่แหละ”
“ได้ไง! ไม่ได้นะ”

พลับพลึงตาโต บ้านหลังเบ่อเร่อจะมานอนเบียดกันทำไมไม่จำเป็นเลย ทีอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ตั้งหลายวันยังแยกห้องกันนอนเลย
“คุณอยากให้คนในบ้านสงสัยหรือไง”

ใช่ว่าธนดลอยากจะทำแบบนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ บ้านนี้ไม่ได้มีแค่เขากับเธอ ขืนเรื่องที่เขากับภรรยาแยกห้องกันนอนแพร่ออกไป นักข่าวได้ขุดคุ้ยต่อนะสิ
“ฉันไม่เห็นว่าจะมีใคร” พลับพลึงเถียง

“ผมไม่ได้แจ้งว่าจะมาวันนี้ คิดว่าพรุ่งนี้น้อยคงจะมา”
เขาหมายถึงแม่บ้านที่จ้างไว้ดูแลบ้านหลังนี้
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราก็ควรจะแยกห้องกันก่อน”

“แล้วคุณจะทำให้เป็นเรื่องไปทำไมล่ะ เพราะยังไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องเก็บของมานอนห้องเดียวกับผมอยู่ดี ก็นอนซะคืนนี้เลยแล้วกันจะได้ไม่วุ่นวาย อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าน้อยจะมาเมื่อไหร่ เกิดมาตอนคุณยังไม่ได้เก็บของเข้าห้องล่ะ ผมขี้เกียจอธิบาย” ธนดลเลี่ยงที่จะบอกว่าแม่บ้านของที่นี่ช่างสงสัยและปากช่างนินทา ด้วยเคยเห็นหลายครั้งที่ไปจ้อกับเพื่อนบ้าน แต่ที่ยังจ้างอยู่เพราะความซื่อสัตย์และดูแลบ้านได้โดยไม่ขาดตกปกพร่องจึงมองข้ามข้อเสียข้อนี้ไปเสีย อีกอย่าง ครอบครัวเขาก็นานๆ มาที่นี่ที จะมีก็แต่ครั้งนี้แหละที่จะมาอยู่นานหน่อย

พลับพลึงตั้งท่าจะค้าน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการที่ต้องกินอาหารทุกวัน แต่บนใบหน้าของธนดลเหมือนไม่ใช่เรื่องที่น่าเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย ใช่ซี้...เขาเป็นผู้ชายนี่ จะเดือดร้อนไปทำไม ไม่มีอะไรที่น่าเสียหายซักหน่อย มีแต่กำรี้กำไร ไหนจะได้นอนข้างหญิงสาวแม้จะไม่สวยมากก็เถอะ ไหนจะได้มองรูปร่างผอมเพรียวในชุดนอน แล้วไหนอาจจะได้แตะเนื้อต้องตัวยามเผลอไผ ยามหลับใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่เผลอแตะเนื้อต้องตัวกัน แต่ยังไม่ทันจะได้โต้เถียงธนดลก็ตัดบท

“นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว ผมว่าคุณเลิกคิดเรื่องนี้ แล้วรีบไปทำอาหารดีกว่า ผมหิวแล้ว”
พลับพลึงกระพริบตาปริบๆ เมื่อนึกถึงเรื่องอาหารเย็น หากว่าตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย สำหรับเธอนอกจากจะฝากท้องไว้กับเหล่าเพื่อนๆ และคนงานแล้ว ก็หวังพึ่งกับข้าวถุงในตลาดเสียส่วนใหญ่ เพราะเรื่องคิดจะทำกับข้าวกินเองไม่เคยมีอยู่ในหัว

“ในครัวน่าจะมีอะไรติดตู้เย็นอยู่บ้าง เพราะสองสามวันก่อนผมบอกน้อยว่าจะมา คุณก็จัดการต่อแล้วกัน”
พูดเสร็จธนดลก็เดินออกไปจากห้องปล่อยให้พลับพลึงยืนคิดเมนูอาหารต่อ แต่คนที่ธนดลคิดว่ากำลังยืนคิดเมนูอาหารนั้นกลับแบะปาก ทำปากขมุบขมิบต่อว่าต่อขานคนไม่มีน้ำใจ เขาไม่คิดจะถามซักคำเลยว่าเธอทำอะไรได้บ้างหรือแม้แต่จะมีนำ้ใจจะช่วยกันทำ




บอกแล้วไม่เชื่อว่าทำอาหารไม่เป็น!

เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่พลับพลึงลงมือทำอาหารควันก็โขมงเต็มห้องครัวสุดเริดหรูไปหมด ธนดลที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงรีบวิ่งเข้าไปด้วยความตกใจ เขาปัดมือไปมาเพื่อไล่ควันที่กำลังจะทำให้สำลัก สายตาก็หรี่สู้กับกลุ่มควันมองหาหญิงสาวที่ยังติดอยู่ในห้องนั้น
“คุณ! พลับพลึง คุณอยู่ไหนน่ะ”

“ฉันอยู่นี่ ชะ ช่วยฉันด้วย! คุณช่วยฉันด้วย ฉันจะสำลักควันตายอยู่แล้ว”

พลับพลึงเสียงติดขัดแถมยังไอคอกแคกติดๆ กัน ยิ่งทำให้ธนดลร้อนใจ อยากจะเข้าไปให้ถึงตัวเธอ เขาปัดป่ายมือไปตามกลุ่มควันรีบคว้าตัวเธอให้ออกจากห้องนั้นทันทีเมื่อถึงตัว เพราะเขาเองก็กำลังจะสำลักกลุ่มควันเช่นกัน แต่ก่อนที่จะออกจากห้องครัวก็ไม่ลืมที่จะปิดวาวแก๊สที่เป็นต้นเหตุให้เกิดกลุ่มควัน

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!”

ธนดลต่อว่าเมื่อออกมาพ้นกลุ่มควันอันแสนอันตราย เขายกมือขึ้นขยี้ตาที่แสบไปหมด ตามด้วยไอคอกแคกเพราะสูดกลุ่มควันเข้าไปเต็มปวดหลายครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่ไอคอกแคกไม่ต่างกันตรงหน้า ในมือของเธอยังกำตะหลิวไว้แน่นอย่างกับเป็นอาวุธสำคัญ ความโกรธเกรี้ยวที่เธอทำให้เกิดกลุ่มควันจางหายไปมากเมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนเขม่าจนด่างไปทั้งหน้าไม่ต่างจากแมวลายเสือ เขาเกือบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมา แต่ก็หุบยิ้มแล้วปั้นหน้าขรึมได้ก่อนที่พลับพลึงจะลืมตาขึ้นเต็มตาหลังจากที่ขยี้มันอยู่นาน

“ไฟไหม้หรือเปล่าคุณ” เธอเอ่ยถามเสียงตื่นเมื่อลืมตาขึ้นเต็มตา

“ก็เกือบไปแล้วล่ะ ถ้าผมมาช้าอีกนิด ผมคงไม่ต้องจ้างคนงานมารื้อบ้าน” เขาส่ายหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจแรง

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันทำกับข้าวไม่เป็น โอ๊ะ...ทำไมควันมันยังไม่หมดอีกล่ะ คุณแน่ใจนะว่า มันจะไม่ลุกพลึ้บขึ้นมา” พลับพลึงตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เธอลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากจะเข้าไปดูให้แน่ใจว่าข้างในไม่ได้เกิดประกายไฟจริงๆ แต่ถูกธนดลรั้งข้อมือไว้

“อย่าบ้าน่า อยากสำลักควันตายหรือไง ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ มาช่วยผมเปิดหน้าต่างระบายควันดีกว่า คุณนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องเลย ผมอยากรู้จริงๆ ว่า นอกจากออกแบบบ้านแล้ว คุณทำอะไรเป็นมั่ง”

“ฉันก็บอกแล้วว่าฉันทำอะไรไม่เป็น แต่คุณก็ยังยืนยันจะแต่งงาน ฉันคงพูดได้แค่สมน้ำหน้า คุณคงต้องได้ครัวใหม่ซักวันแน่ถ้ายังขืนให้ฉันเข้าครัวอีก”

พลับพลึงโอดอย่างไม่เกรงใจ จริงๆ แล้วเรื่องครั้งนี้ต้องโทษธนดลคนเดียวเลยที่คิดให้เธอทำอาหารทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าทำไม่เป็น แล้วรีบไปเปิดหน้าต่างบานที่ยังปิดอยู่ช่วยเขาอย่างเร่งรีบ กว่าควันโขมงจะหมดลงคงอีกหลายนาที

“ไม่ต้องมาทำตาเขียวเลยนะคุณ ฉันเป็นสถาปนิกก่อนหน้านี้ฉันก็ฝากไว้กับกับข้าวถุง เพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องการให้ฉันอยู่ร่วมบ้านคุณก็ต้องทำใจกินกับข้าวถุงให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็หากินเอง”

ธนดลยิ้มเยาะแต่ไม่ใช่เยาะหญิงสาวแต่เยาะตัวเองมากกว่าที่ต้องลงทุนทำความสะอาดครัวใหม่แล้วยังต้องมาทนฟังเสียงภรรยาจำเป็นบ่นราวกับว่าเธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

“แล้ววันนี้จะกินอะไร”
ธนดลกอดอกถามหลังจากที่เปิดหน้าต่างให้มากที่สุด จนควันก็เริ่มจางลงไปจนเกือบจะเป็นปกติ

พลับพลึงไม่ตอบกลับเดินกลับเข้าไปในครัว ธนดลจำใจเดินตามเข้าไปอย่างหัวเสีย ชะโงกหน้าดูที่กระทะดำไหม้ที่ยังมีควันลอยคลุ้งขึ้นมาเหนือเศษอาหารดำเกรียมตามหญิงสาว

“นั่นอะไรน่ะ”
เขาทำหน้าแหยงราวกับเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏอยู่บนโลกใบนี้

“ไข่เจียวไง” เธอตอบเสียงตวัดค้อนให้กับใบหน้าแหยงรังเกียจอาหารในกระทะ
“คุณแน่ใจนะว่านั่นคือไข่เจียว”

เพราะที่เห็นคืออะไรซักอย่างเป็นก้อนๆ สีดำเกรียม ไม่มีลักษณะเป็นแผ่นอย่างที่ควรจะเป็น หากว่าเป็นแผ่นกลมๆ ยังจะพอเดาได้ว่าเป็นไข่เจียวอยู่บ้าง แต่นี่เละอย่างกับสิ่งปฏิกูลที่คนปนกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

“ก็ไข่เจียวนะสิ คุณเอาตาข้างไหนมองถึงดูไม่ออกว่านี่คือไข่เจียว”
ธนดลถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาสลับกับเยาะหญิงสาว เขาแน่ใจว่าไม่ใช่แค่เขาหรอกที่มองไม่ออกว่าเป็นไขเจียว
“ก็ไข่เจียวของคุณมันไม่เป็นแผ่นนี่ แถมมีเศษอะไรก็ไม่รู้เป็นเส้นๆ เต็มไปหมด” ธนดลโต้

พลับพลึงมองอย่างเพิ่งพินิจก่อนจะถอนหายใจ เพราะไอ้เส้นๆ ที่เปลี่ยนจากสีขาว สีแดงเป็นสีดำนั้นคือหอมหัวใหญ่ซอยกับมะเขือเทศนั่นเอง เธอทำหน้าแหยงเมื่อชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นเหม็นไหม้ฉุนต้องย่นจมูกแล้วยกมือขึ้นเช็ดจมูกเพื่อไล่กลิ่น

“แค่นี้ก็ดูไม่ออก ก็หอมหัวใหญ่ซอยกับมะเขือเทศที่คุณจดในเมนูให้ฉันไง โทษคุณนั่นแหละที่อยากกินพิสดาร ถ้าสั่งไข่เจียวใส่น้ำปลาอย่างเดียวป่านนี้ก็ได้กินแล้ว สมน้ำหน้าไม่ต้องกินกันเลย” นั่นไม่รวมถึงข้าวที่หุงในหม้อหุงข้าวที่ธนดลเดินไปเปิด

“อะไรอีกล่ะ” พลับพลึงเอ่ยถามเสียงเขียวเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า
“ข้าว” เขาบอกแล้วผายมือให้มาดู พลับพลึงเดินไปชะโงกหน้าดูแล้วยักไหล่

“ดีกว่าที่คิด” เธอพึมพำ แต่กลับทำให้ธนดลกลอกตา นี่เธอชมตัวเองว่าดีกว่าที่คิดหรือ
“ข้าวแฉะจนเกือบจะเป็นข้าวต้มนี่นะคุณบอกดีกว่าที่คิด”

“ก็ใช่นะสิ ดีกว่าข้าวไม่สุก เพราะแฉะอย่างน้อยก็ยังกินได้” เธอตอบอย่างภาคภูมิใจ เพราะนี่คืออาหารอย่างแรกที่ทำสำเร็จตั้งแต่จำความได้

“ผมกินไม่ได้”
“แล้วคุณจะเอาไง” พลับพลึงยกมือขึ้นท้าวเอว ถลึงตามองใบหน้าที่เปื้อนเขม่าควันไม่แพ้เธอ
“ไม่รู้ล่ะ คุณต้องคิด เพราะคุณเป็นภรรยา”

“จะบ้าหรือไง แค่นี้คุณไม่เข็ดหรือไง”
“ถ้าไม่ทำก็หาวิธีอะไรก็ได้ที่ทำให้เราสองมีอะไรกินเย็นนี้” ธนดลประชดประชันก่อนจะเดินออกไปรอข้างนอก

พลับพลึงมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลง เธอมองชายหนุ่มคาดโทษ ด้วยอคติจึงได้แปลเจตนารมณ์ของเขาตามคำประชดว่า คุณชายนายแบงค์ช่างเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกินที่ปล่อยให้ภรรยาคิดหาทางหาอะไรให้สามีกิน แทนที่จะเป็นสามีช่วยแก้ปัญหา นี่คงจะให้เธอขับรถไปซื้อกับข้าวในเมืองตอนย่ำค่ำจริงๆ นะหรือ

“แมนมากเลยนะคุณ” เธอแขวะตามหลัง
พลับพลึงเม้มปากหน้าง้ำเมื่ออีกฝ่ายทำหูทวนลมทั้งๆ ที่เธอพูดออกจะดัง และก่อนที่คนตัวสูงจะเดินพ้นครัวออกไปพลับพลึงก็ตะโกนไล่หลังปนเข่นเขี้ยวอีกว่า

“ได้ เย็นนี้คุณได้กินแน่ ออกไปข้างนอกเลยไป”
ดินเนอร์ใต้แสงจันทร์สำหรับการฮันนีมูนวันแรกที่เชียงใหม่เด็ดแน่!





ธนดลเดินฟึดฟัดออกมาจากห้องครัว คว้ากุญแจรถที่แขวนอยู่ข้างฝาเดินฉับๆ ออกมายืนรอหญิงสาวอยู่หน้าบ้าน เขาหันกลับไปมองภายในบ้าน ยกข้อมือขึ้นดูเวลาเพราะท้องของเขาเริ่มร้องเสียงดังมากขึ้นทุกที นี่ก็เลยเวลาอาหารเย็นมามากแล้ว ยิ่งนึกถึงห้องครัวที่คงต้องทำความสะอาดเสียยกใหญ่แล้วด้วยก็ยิ่งหัวเสีย รู้ว่าถึงอย่างไรก็ทำกับข้าวไม่สำเร็จก็น่าจะออกมาชวนเขาไปหาอะไรทานข้างนอกได้แล้ว จะหมกตัวอยู่ในครัวทำไมก็ไม่รู้

“นี่คุณ เสร็จหรือยัง ผมหิวแล้วนะ มัวทำอะไรอยู่”

คนข้างในยังคงเงียบ ธนดลฮึดฮัดหมายจะเดินกลับไปเรียกเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงสาวเลยซักแอะ แต่ยังไม่ทันผ่านประตูบ้านเข้าไปหญิงสาวก็เดินหน้าชะแล่มออกมา

พลับพลึงเดินตรงมาหาชายหนุ่ม เธอยิ้มให้เขาอย่างน่ารักพร้อมกับยกมือถูกกันไปมาโดยไม่สนใจอาการค้อนเคืองของชายหนุ่ม
“มัวทำอะไรอยู่ นี่ผมรอนานแล้วนะ ไม่ได้ยินหรือไงว่าผมหิว กว่าจะถึงตลาดก็เกือบชั่วโมง” ชายหนุ่มต่อว่าเสียงขุ่น

“อ้าว...จะออกไปทานข้างนอกก็ไม่บอก ไม่ต้องออกไปแล้วล่ะ รออีกหน่อยแล้วกันฉันกำลังทำกับข้าวอยู่”
พลางยกมือขึ้นแคะเล็บเพื่อรอเวลา ทำหน้าใจเย็นซึ่งแตกต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่หน้าหงิกหน้างอกับการทำกับข้าว
“หมายความว่าไง ถ้าคุณหมายถึงเมนูข้าวแฉะๆ ที่อยู่ในหม้อหุงข้าวนั่นล่ะก็ ผมทานไม่ได้หรอกนะ”

“ไม่ใช่หรอกน่า ไป ไป คุณไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะ อีกเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” พลับพลึงพยักพเยิดบุ้ยปากไปที่โต๊ะไม้สักตัวยาวใหญ่ที่นั่งได้ไม่น่าต่ำกว่าสิบคน ธนดลหรี่ตามองหญิงสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่หญิงสาวจะมาไม้ไหน แต่ก็ยอมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารตามคำสั่ง ในใจภาวนาขออย่าให้ได้เจอะเจอกับอาหารแปลกประหลาดเลย

แล้วพลับพลึงก็ก้าวฉับๆ เข้าไปในครัวที่ยังมีกลิ่นเหม็นไหม้อบอวลอยู่ท่ามกลางความงุนงงของธนดล ไม่นานเธอก็เดินออกมาจากครัวพร้อมกับชามใบใหญ่ที่วางบนถาดขนาดกลางสองชาม โดยชามสองใบนั้นมีฝาปิดมิดชิด


“อาหารสำหรับดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ของเรามาแล้วค่ะ”




แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2556, 11:44:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ย. 2556, 11:44:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1856





<< พ่ายพรหมลิิิิขิต ตอนที่ 5   พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 7 >>
mhengjhy 21 พ.ย. 2556, 11:57:26 น.
ผัก


alecigor 21 พ.ย. 2556, 13:06:47 น.
ไข่ต้ม


แว่นใส 21 พ.ย. 2556, 15:18:27 น.
มาม่าต้มเหรอไง


kaelek 21 พ.ย. 2556, 22:58:05 น.
มาม่าชัวร์ พลับพลึงเอ๊ยยย!!!


Pat 22 พ.ย. 2556, 13:16:13 น.
5555 มาม่าแหงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account