ชายาอนุบิส
ข้ารอคอยเพียงหนึ่งชายา ข้าปรารถนานางเพียงหนึ่งเดียว แม้จะต้องสูญสิ้นทุกอย่างก็ไม่เป็นไร !!

เทพอนุบิสจะทำเช่นไรเมื่อชะตากรรมของพระองค์ถูกกำหนดว่าที่พระชายาเอาไว้ให้แล้ว ชายาที่เป็นแค่เพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ม่านเมรีหรือไอมีอัต สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะเป็นจ้าวหทัยของเทพแห่งความตายผู้นี้ตลอดกาล
Tags: แฟนตาซี,เทพเจ้า,อียิปต์,อ่อนหวาน,อบอุ่น

ตอน: ตอนที่ 10 หน้าที่ยังวิหารอเตน

ในที่สุดดวงวิญญาณของเทพีน้อยแห่งธารโลกันต์ก็ถูกนำมากักขังเอาไว้อีกครั้ง ในขณะที่เทพอนุบิสกำลังช่วยเทพีไอซีสออกตามหาชิ้นส่วนของร่างกายองค์มหาเทพที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งสามภพ ความยากลำบากและความอดทนของเทพีไอซีสทำให้ได้รับการขนานนามจากเหล่าชาวสรรค์ว่าเป็นเทพีแห่งความรัก ในขณะที่เทพแห่งความตายพระองค์นั้นได้รับสมญานามใหม่เป็นเทพแห่งการทำศพจากแหล่ามนุษย์ควบคู่กันไป พระองค์เป็นผู้มัมมี่ให้แก่เทพโอซิริสหลังจากที่ได้รวบรวมชิ้นส่วนของร่างกายได้จนครบแล้ว โดยมีเทพธอธเป็นผู้ชุบชีวิตมหาเทพอีกครั้ง

เทพอนุบิสทอดพระเนตรมองบิดาซึ้งฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทางเฉยเมย ผิดกับเทพโฮรัสซึ่งบัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้วมีท่าทางดีพระทัยฉายชัด

“นับจากที่ท่านฟื้นขึ้นมา ท่านก็มิได้เป็นบิดาของข้าอีกต่อไป !” เทพแห่งความตายรับสั่ง การช่วยเหลือเทพีไอซีสในการรวบรวมชิ้นส่วนของร่างกายและเรียกดวงวิญญาณให้กลับคืนมาได้นั้น ถือว่าพระองค์ได้ทำหน้าที่ของบุตรชายได้สมบูรณ์แล้ว นับจากนี้ต่อไปจะไม่ยอมเกี่ยวข้องใด ๆ กับมหาเทพผู้นี้อีก !!

“บิดาของข้าจะยังคงเป็นเทพเซทเท่านั้น ส่วนท่าน...” ว่าพลางทอดพระเนตรไปทางเทพีเนฟทิสซึ่งได้รับการให้อภัยจากเทพีไอซีสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังเลื่อนขั้นเป็นชายารองของมหาเทพโอซิริสอีกต่างหาก

“แม้จะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดที่ข้ามิอาจนำหัวใจขึ้นชั่งได้ ในฐานะที่ข้าเป็นบุตรชายข้าขอคืนเลือดเนื้อและจิตวิญญาณนี้ให้กลับคืน” ยืนยันอย่างมั่นเหมาะ พลางให้กริชอาวุธประจำกายของตน แทงทะลุอุระซ้าย ควักหัวใจออกมาโยนขึ้นตาชั่งในทันที !!

เหล่าเทพและเทพีต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“อนุบิส ไม่ !!!” เทพีเนฟทิสรับวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นบุตรชาย ทรุดกายลงต่อหน้าเทพอนุบิสซึ่งยังคงหยัดยืนประทับนิ่งไม่ยอมล้มลง ประกาศให้รู้กันถ้วนหน้าว่าพระองค์คือบุตรของจอมราชันแห่งสงครามเท่านั้น

เทพเซทซึ่งแอบหลบอยู่อีกมุมหนึ่งรีบปรากฏกายขึ้นมาทันควัน รับร่างของเทพแห่งความตายเข้ามาในอุระทั้งที่อสุชลหลั่งไหล รู้ซึ้งถึงน้ำพระทัยของบุตรชายที่มิอาจเป็นบิดาได้ผู้นี้ยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เฝ้าฟูมฟักมาด้วยสองพระหัตถ์นี้

“ดีมากอนุบิส ข้าขอบใจเจ้า” เทพแห่งสงครามประคองร่างของผู้ที่รักประดุจบุตรชายตรงเข้าไปหาเทพธอธทันที ไม่แม้จะเหลียวมองไปทางเทพีเนฟทิสที่ยังคงคร่ำครวญอยู่ต่อหน้า

“ข้าขอใช้ดวงวิญญาณนี้แลกกับการกลับคืนมาของผู้บุตรชาย” แม้มิอาจเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดได้ แต่พระองค์ก็เป็นบิดาผู้ให้ชีวิตใหม่ได้เช่นกัน

เพื่อประกาศให้รู้ว่า เทพอนุบิสคือบุตรของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น !!

ร่างของเทพแห่งสงครามจางลงทันทีเมื่อเอ่ยคำปฏิญาณแทบจะกลายเป็นควัน ก่อนที่เทพเจ้าราห์ซึ่งนาน ๆ ครั้งจะปรากฏกายให้เห็นซักที จะมารับตัวไปเทพผู้นี้ไป โดยมิมีผู้ใดกล้าทัดทาน

หลังจากนั้นจึงเป็นตำนานเล่าขานต่อกันมาว่าไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเทพแห่งสงครามอีกต่อไป !



ม่านเมรีที่เหลือแค่เพียงดวงวิญญาณครั้นเห็นเทพอนุบิสควักหัวใจโยนทิ้งต่อหน้า นางก็มิอาจรวมรวมดวงวิญญาณให้กลับคืนมาได้ เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของร่างกายที่แตกสลายออกไปจึงมิอาจรวมตัวอีกครั้ง

เทพอนุบิสหลังจากฟื้นขึ้นมาในอ้อมพาหาของผู้เป็นอาจารย์ ก็ทรงทอดพระเนตรไปทางดวงวิญญาณที่กำลังจะสูญสลายด้วยหทัยที่เจ็บช้ำ แต่จนด้วยมิเคลื่อนไหวร่างกายนี้ได้ จึงได้แต่ร่ายมนตราเรียกหัวใจของพระองค์เอง ให้ไปรวมกับดวงวิญญาณที่กำลังจะสูญสลายของผู้เป็นดั่งดวงใจดวงนั้นทันที

ข้ามอบมันให้แก่เจ้าม่านเมรี ต่อจากนี้ไปจงใช้มันคู่กับของเจ้า !

เทพแห่งความตายฟื้นขึ้นมาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของแผ่นฟ้า ไร้ดวงหทัยจึงทำให้พระองค์เย็นชาแม้แต่กับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่เว้น
ข้างฝั่งเทพีน้อยหลังจากได้รับดวงหทัยของเทพอนุบิสมานางจึงสามารถรวบรวมดวงวิญญาณคืนมาได้อีกครั้ง แล้วกลายเป็นผู้เดียวที่มีดวงหทัยสองดวงคู่กัน

ความเจ็บปวดมากมายที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะรับได้ไหวนั้น ทำให้ร่างกายของนางเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสตรีที่งดงามเต็มตัวต่อหน้าเหล่าเทพทั้งหลาย แต่ทว่าความผิดที่ทำให้มหาเทพโอซิริสต้องสิ้นพระชนม์ลงไป ยังคงมีติดตัวจึงจะต้องถูกกักขังอีกครั้ง

โทษของนางคือการใช้ไฟโลกันต์เผาร่าง แต่ด้วยเพราะมีหัวใจสองดวงในร่างเดียวกัน จึงทำกลายเป็นกรณีพิเศษซึ่งมิอาจนำขึ้นตาชั่งของเทพอนุบิสได้

เทพแห่งการเวลาจึงใช้โอกาสนี้ลอบให้เทพโฮรัสไปขโมยดวงวิญญาณของม่านเมรีออกมา แล้วรีบสั่งดวงวิญญาณนั้นให้ไปเกิดใหม่ยังโลกมนุษย์ทันที

กลายเป็นม่านเมรีในชาตินี้ และเป็นไอมีอัตของเทพอนุบิสอีกครั้ง




อุทยานวิหารโอซิริส

ม่านเมรีเดินตามเทพธอธเพื่อไปนั่งยังตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ ศิษย์อาจารย์ทั้งสามสวมชุดสีขาวตลอดทั้งร่างเหมือนกัน เมอริคาเรมีผ้าคลุมศีรษะยาวจรดปั้นเอวปักลูกไม้งดงาม ในขณะที่ม่านเมรีปล่อยเส้นผมสีดำสนิทยาวสยายเลยกึ่งกลางหลัง ข้างฝั่งผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ลงทุนร่ายคาถาเปลี่ยนเส้นเกศาให้เป็นสีดำสนิทเพื่อให้ดูกลมกลืนกับลูกศิษย์ที่เดินตามกันมา

เสียงซุบซิบนินทาถึงเรื่องราวของเทพีแห่งธารโลกันต์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เทพโอซิริสเมื่อทอดพระเนตรเห็นม่านเมรีชัดเข้า พระองค์ก็ทรงตกพระทัยไปในทันที ข้างฝั่งเทพีอเมนเททถึงกับมีสีพระพักตร์ซีดเซียว เหลียวมองไปทางไหนก็มรแต่ความหวาดหวั่นในพระทัย
‘นางกลับมาอีกทำไมกัน !!’

เทพีแห่งความตายแทบจะลืมหายใจหลังจากนั้น แอบปลายพระเนตรมองไปทางเทพอนุบิสที่ประทับนั่งเคียงข้างกันด้วยความไม่สบายพระทัย เห็นเทพแห่งความตายยังคงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย ไม่กระตือรือร้นต่อสิ่งใด จึงมิอาจคาดเดาได้เลยว่าทรงรู้สึกอย่างไรกันแน่

ข้างฝั่งม่านเมรี เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าเทพและเทพีมากขึ้นเธอก็ยิ่งอึกอัดใจ ไม่รู้ว่าเธอแต่งตัวผิดกาลเทศะที่ตรงไหน ทำไมเหล่าเทพและเทพีทุกองค์ถึงเอาแต่จ้องเอาจ้องเอา ๆ ไม่ยอมกระพริบตาเช่นนั้น

“เมรีมีอะไรผิดปกติหรืออาจารย์” คนที่ไม่อยากให้ผู้อื่นมองนานเพราะไม่เคยชินเริ่มทำปากยื่น ฝืนอยู่นิ่งต่อไปอีกไม่ไหว แค่ประลองพ่ายแพ้เมื่อวานก็อับอายขายหน้าจะแย่ ดีนะที่เมอริคาเรไม่พ่ายแพ้ไปด้วย อย่างน้อยก็ช่วยกู้หน้าให้อาจารย์ได้ล่ะ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ พวกเธอทั้งคู่คงจะถูกจับถ่วงหม้อยาเป็นแน่

“ไม่มีอะไรผิดนี่ เจ้าอย่าคิดมาก” เทพแห่งการเวลารับสั่ง พลางทอดพระเนตรมองเหล่าเทพทั้งหลายด้วยความสบายพระทัย ถึงเวลาได้มาทวงหนีแค้นแล้วศิษย์น้องข้า ถึงแม้นตอนนี้เจ้าจะเป็นลูกศิษย์ข้า แต่อีกไม่นานข้าก็จะคืนตำแหน่งศิษย์น้องให้

เทพโฮรัสเองวันนี้พระองค์ก็ทรงมีความสุขเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นเหล่าเทพและเทพีบางพระองค์ถึงกับซีดเซียวลงไปนั้น พระองค์ก็ทรงเบิกบานพระทัยขึ้นมาทันที...รอเวลานี้มานาน...ข้าจะได้อาจารย์อากลับคืนมาแล้ว

“เป็นไงอนุบิส นางงามมากใช่ไหม” เทพแห่งนภากาศตรัสถาม ถูกพระทัยยิ่งนักม่านเมรีไม่ยอมคลุมหน้าอีกต่อไป นึกว่าจะซ่อนนางได้ตลอดหรือพระเชษฐา

ข้างฝั่งเทพอนุบิสเมื่อเห็นม่านเมรีมาปรากฏกายต่อหน้า แถมนางยังตั้งใจเมินพระองค์ไม่ยอมสบตา แม้สีพระพักตร์จะยังคงเรียบเฉย แต่ภายในอุระไหนเลยจะเป็นเช่นนั้น

ร้อนดั่งไฟโลกันต์แผดเผา และเจ็บแสบไปทั่วอณูของเรือนร่าง !!

“นางจะงามหรือไม่เกี่ยวอะไรกันข้าหรือโฮรัส” ช่างรับสั่งได้ไม่เถรตรงเหมือนกับตาชั่งของพระองค์เชียวนะเทพอนุบิสผู้นี้

“เฮ้อ ~...เห็นทีว่าความงามของนางคงจะสูญเปล่า” ก็ผู้เป็นเจ้าของไม่ยอมสนใจนี่น่า แต่สายพระเนตรที่ทอประกายแวววาวหลบซ่อนแบบนั้น อย่าคิดนะว่าพระองค์ที่เติบโตกันมาด้วยกันจะมองไม่ออก

“ใช่นางหรือไม่” มหาเทพโอซิริสรับสั่งออกมาอย่างพระทัยเลื่อนลอย ความผิดและความละอายพระทัยแต่หนหลังยังคงฝังแน่นในอุระ ไม่อาจบรรทมได้สนิทเลยซักครั้งตลอดระยะเวลา 3500 ปีที่ผ่านมา

“จะใช่นางได้อย่างไรกัน ดวงวิญญาณของนางได้แตกสลายไปแล้วต่อหน้าต่อตาพวกเรามิใช่หรือ” เทพีเนฟทิสรับสั่งบ้าง เพราะภาพลวงตาที่เทพธอธสร้างขึ้นในครั้งนั้น ทำให้เห็นเหมือนดวงวิญญาณของเทพีน้อยแห่งธารโลกันต์ได้แตกสลายไปแล้วจริง ๆ

“แต่ทำไมถึงได้เหมือนกันมากขนาดนี้” เทพีอเมนเททเอ่ยถาม เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันที ยิ่งเมื่อเทพแห่งกาลเวลาทอดพระเนตรมองมาทางนี้เหมือนจะรู้ทัน นางก็มิอาจทนเฉยอยู่ได้

“มอบรางวัลกันเสียทีข้าจะกลับไปทำงาน” คนที่เอางานมาบังหน้ารีบเปลี่ยนเรื่องได้อย่างแนบเนียน จนผู้เป็นอนุชาอดเลื่อมใสขึ้นมาไม่ได้ ไหนใครบอกว่าเทพแห่งความตายไม่มีหัวใจกัน สงสัยคงร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผาแล้วกระมังดวงหทัยที่วางเปล่าดวงนี้

“เชิญผู้ที่ชนะการแข่งขันขึ้นรับรางวัลได้” เสียงประกาศทำให้ทุกผู้กลับมาสนใจเหตุการณ์เบื้องหน้าอีกครั้ง เทพธิดามาอัตก้าวขึ้นรับรางวัลจากเทพอนุบิสเป็นองค์แรก ตามด้วยเมอริคาเรที่ขึ้นรับรางวัลจากเทพโฮรัสด้วยท่าทางอิดออดไม่เต็มใจ

เทพนักรบยืนรางวัลให้แก่นางพลางอดพระสรวลออกมาไม่ได้ ก็หน้าตาบึ้งตึง แง่งอนของนางน่าดูน้อยเสียที่ไหนกันล่ะ มันน่าจะจับไปขังเอาไว้ดูเล่นในวิหารโฮรัสเสียจริง

“ผู้ที่ชนะการแข่งขันทั้งคู่จะต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่ยังยมโลก เพื่อเลื่อนขึ้นเป็นเทพีต่อไป ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ในรอบชิงชนะนั้น...” มหาเทพโอซิริสทอดพระเนตรมองไปทางม่านเมรีที่กำลังนั่งหน้าบึ้ง ปัดป่ายมือไม้ไปมาเพราะโดนผู้อาจารย์แกล้งด้วยความติดพระทัย

“ศิษย์ของเทพีบาสเทตนางจะต้องลงไปยังโลกมนุษย์ กระทำความดีเพื่อเลื่อนขั้น” เช่นเดียวกับผู้เป็นอาจารย์เทพีบาสเทต และเทพีแห่งไนล์ ซึ่งเคยพ่ายแพ้ในรองชิงชนะเลิศเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงเทพี เพราะให้ความช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ไว้มาก

“ส่วนศิษย์ของเทพแห่งกาลเวลานั้น...” ยังไม่ทันที่พระองค์จะรับสั่งจบ จู่ ๆ ก็มีสุรเสียงเสียงหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ข้าจะให้นางไปเก็บกวาดวิหารอเตนที่อยู่นอกเขตสามภพ เพื่อกระทำความดีเลื่อนขั้น !!” เทพธอธชิงรับสั่งออกมา ในขณะที่ม่านเมรีได้แต่ตกตะลึงเพราะความคาดไม่ถึง....เก็บกวาดวิหารร้างมันจะเลื่อนขั้นได้อย่างไรกัน รอดจากหม้อยามาแล้วอย่างไร ส่งนางไปยังสถานที่ที่แม้แต่ทั้งสามภพยังไม่ยอมรับเนี้ยนะ ดูเหมือนจะลงโทษศิษย์รุนแรงเกินไปแล้วนะอาจารย์

ข้างฝั่งมหาเทพโฮซิริส เมื่อผู้เป็นอาจารย์เอ่ยปากเอง พระองค์ก็มิได้ขัดรับสั่งแต่อย่างใด

“อย่าลืมซ่อมอาวุธของข้าที่เสียหายเพราะเจ้าให้เรียบร้อยด้วยแล้วกัน !” เทพอุบิสรับสั่งบ้าง พลางร่ายเวทย์ส่งกริชเล่มเล็กของพระองค์ที่ม่านเมรีไม่ยอมเอากลับคืนให้นางอีกครั้ง แถมยังแอบริบดาบวงเสี้ยวที่นางยังอุตส่าห์พกติดตัวมาด้วยให้ขัดพระเนตรพระกัณฑ์ของพระองค์นั่นเสียเลย

ม่านเมรีได้แต่นั่งเฉยทำอะไรไปถูกอยู่เป็นครู่ จนกระทั่งกริชเล่มน้อยลอยมาหยุดตรงหน้านั่นล่ะ นางถึงได้รู้สึกตัว

“ถอยไปเลยนะกริชบ้า กล้าทรยศข้าได้ ชิ่ว ๆ ๆ” แอบโบกมือเป็นการไล่ แถมยังเบี่ยงตัวหนีไปหลบอยู่ด้านหลังอาจารย์อีกต่างหาก กล้าแสดงออกว่ารังเกียจอาวุธของเทพอนุบิสขนาดนี้เชียวหรือ เดี๋ยวก็จับทำมัมมี่ทั้งเป็นเสียเลยนี่

เทพแห่งความตายรู้สึกไม่พอพระทัยขึ้นมาทันที จึงระบายโทสะลงกับดาบวงเสี้ยวที่แอบริบมานั่นเสียเลย




วิหารร้าง นอกเขตสามภพ

เทพเจ้าราห์ซึ่งเฝ้ามองดูงานมอบรางวัลผ่านกระจกแก้ว (ของเทพเจ้าอเตนที่หยิบมา) อยู่กับเทพเซทได้แต่พระสรวลเสียงดังออกมาอย่างถูกพระทัย ยิ่งเมื่อดาบวงเสี้ยวหักเป็นสองท่อนด้วยฝีมือของเทพอนุบิสด้วยแล้ว พระองค์แทบอยากจะหายตัวไปมอบรางวัลโทสะดีเด่นให้แก่แห่งความตายพระองค์นั้นเสียเลย

“เป็นอย่างไรเล่าเซท เลี้ยงกันมาแบบนั้น จะทำอย่างไรได้” ข้างฝั่งเทพเซทได้แต่ส่ายพระเศียรไปมาด้วยความระอา ว่ากันว่าคนเลี้ยงเป็นอย่างไรเด็กที่ถูกเลี้ยงมาก็จะเป็นอย่างนั้น

“ข้าเพิ่งจะรู้ซึ้งก็วันนี้ เป็นยังไงเล่าผ่านเมฆ ให้น้องสาวของเจ้ายืมไปดีนัก แล้วคราวนี้จะเอาอะไรใช้” ผ่านเมฆที่โดนผู้เป็นอาจารย์ลากมายังวิหารร้างด้วย ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ คิดไม่ถึงเลยว่าโทสะของเทพอนุบิสจะรุนแรงขนาดนี้ เห็นทีว่าจะต้องอยู่ให้ห่างม่านเมรีเสียหน่อยแล้วล่ะ

และในระหว่างที่สองเทพหนึ่งมนุษย์กำลังจะกลับไปยังวิหารของตัวเองนั้น เทพอนุบิสซึ่งรับสั่งว่าจะกลับไปทำงานยังยมโลกเป็นพระองค์แรก ก็กลับมาปรากฏกายที่วิหารแห่งนี้เสียนี่

“อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้จะรีบไปที่ใดกันหรือ” เห็นอยู่ว่าเตรียมจะหนีแล้วยังมีหน้ามาถามอีก

“ข้าจะรีบกลับไปทำงาน พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ได้พบกันมานาน อยู่คุยกันก่อนเป็นไร” เทพเจ้าราห์รีบรับสั่งพลางจำแลงกายหนีไปทันที ตัวใครตัวมันนะงานนี้ พระองค์ไม่มีสวนเกี่ยวข้อง

“อาวุธของบิดาข้าขอคืนให้” เทพอนุบิสยื่นดาบวงเสี้ยวที่หักเป็นสองท่อนคืนให้แก่เทพเซท ในขณะที่ปรายตามองไปทางผ่านเมฆที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยสายพระเนตรคมกล้า

“ข้าขอโทษเจ้าด้วยที่ทำมันหัก” รับสั่งกับบิดา แต่เหตุไฉนถึงมองไปทางผ่านเมฆแบบไม่กระพริบตาเช่นนั้น เทพแห่งสงครามรับดาบคืนมาโดยไม่มีคำกล่าวว่าแต่อย่างใด ในเมื่อมันหักได้ก็ย่อมซ่อมได้ แต่ทางด้านศิษย์คนแรกและคนเดียวของพระองค์นี่สิ ถ้าเกิดว่าเป็นอะไรไป ผู้เป็นอาจารย์จะไปทวงเอาดวงวิญญาณคืนมาจากที่ไหนได้ ถ้าไม่ใช่จากเทพแห่งความตายที่เอาแต่จ้องผ่านเมฆราวกับว่าจะผ่าออกเป็นสองท่อนองค์นี้

“ข้ากลับก่อนล่ะ และขออภัยอีกครั้งสำหรับเรื่องดาบที่ข้าพลั้งเผลอทำมันหักเล่มนี้” ว่าแล้วก็จำแลงกายหายไปทันที ทิ้งให้เทพแห่งสงครามกับผู้เป็นศิษย์ยืนทำอะไรไม่ถูกกันพักใหญ่

“ข้านึกว่าดวงวิญญาณจะถูกสูบเอาไปแล้วด้วยสายพระเนตรคู่นั้นนะอาจารย์” ผ่านเมฆเพิ่งจะพูกออกมาเป็นประโยคแรก ในขณะที่เทพเซทก็พยักพักตร์รับเป็นการเห็นด้วย



วิหารอนุบิส

เทพธอธกำลังนั่งดื่มน้ำจัณฑ์ร่วมกับเทพโฮรัสเพื่อฆ่าเวลารอให้ผู้เป็นเจ้าของวิหารกลับมา นานนักหนาแล้วที่ไม่ได้ร่วมสังสรรค์กันเช่นนี้
“ท่านว่าอนุบิสจะร่วมมือกับพวกเราไหม” เทพโฮรัสรับสั่งถาม พลางร่ายมนตรานำอาหารที่เมอริคาเรทำเอาไว้ให้ออกมาวางมากมาย คิดถูกแล้วที่ให้นางมาเป็นผู้ช่วยของตนในยมโลก

“เจ้าจะให้ข้าร่วมมือเรื่องอะไร” เทพอนุบิสปรากฎกายขึ้น ตีพระพักตร์ขรึม สาดสายพระเนตรดุดันไปยังผู้เป็นอนุชาเป็นเชิงเตือนว่า...ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า

เทพแห่งการเวลาถอนพระทัยออกมาเบา ๆ กลางเอานิ้วพันเส้นเกศาที่เปลี่ยนเป็นสีดำเล่น ด้วยท่าทางที่แสนสบายพระทัยยิ่งนัก ขัดกับตำแหน่งปรมาจารย์ของเทพทุกประองค์โดยชิ้นเชิง มองเผิน ๆ เหมือนหนุ่มน้อยที่ไม่จริงจังกับอะไรเลยมากกว่า เหมาะที่จะมาเป็นลูกศิษย์ของเทพโฮรัสยิ่งนัก นี่ถ้าสลับตำแหน่งกันได้เทพแห่งนภากาศคงทำไปแล้ว

“ข้ากับโฮรัสคิดว่าจะไปแอบขโมยบัวแก้วโลหิตออกมา ว่าอย่างไรล่ะ เจ้าสนใจหรือไม่” รับสั่งเหมือนกำลังจะไปเลือกซื้อของในตลาดด้วยความตื่นเต้น เฝ้ามองลูกศิษย์ผู้เย็นชาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เลี่ยงไม่ยอมก้าวเท้าลงนรกกับพระองค์มานาน คราวนี้ละจะไม่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเสียที เพราะตลอดระยะเวลา 3000 กว่าปีมานี้ ประตูนรกคงเปิดรอเทพแห่งการเวลามานาน จนขึ้นสนิมไปแล้วล่ะ

“เจ้าก็เอากับอาจารย์ด้วยหรือโฮรัส” รู้ก็รู้อยู่ว่าหากโดนจับได้โทษจะร้ายแรงขนาดไหน

“หรือเจ้าไม่เอากันล่ะ” ย้อนถามกลับไปอย่างรู้เท่าทัน ใครกันที่บอกว่าเทพอนุบิสเที่ยงตรงยิ่งนัก แต่พระองค์คิดว่าช่างเป็นเทพที่เต็มเป็นด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างหาตัวจับได้ยากต่างหาก

ช่างถ่ายทอดลักษณะของผู้เป็นอาจารย์ออกมาได้ดีจริงๆ !!

เทพอนุบิสแสยะยิ้มออกมาอย่างหมายมั่น คงเตรียมการณ์กันมาพร้อมแล้วละสิท่า ดูก็รู้ว่าอยากจะประกาศศักดาให้สามภพรู้ โดยเฉพาะผู้เป็นอาจารย์ นี่คงอยากจะหาหนทางฟื้นคืนชีพให้แก่เทพเจ้าอเตนเต็มแก่แล้วสิ

“ส่งม่านเมรีไปยังวิหารแห่งนั้น ท่านอาจารย์คิดว่าข้าจะคิดบัญชีกับท่านอย่างไรดี” ยังไงซะอดีตเทพีน้อยนางนั้นก็เป็นสมบัติของพระองค์ คิดจะใช้งานคนส่งเดชโดยไม่ถามเจ้าของ คิดหรือว่าพระองค์จะยอมปล่อยไป

“เจ้าก็ทำไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างก็ได้ ข้าหวังดีกับนางไม่อยากจะให้ไปลำบากยังโลกมนุษย์ก็เท่านั้น” ช่างแก้ตัวได้อย่างไม่ละอายพระทัยยิ่งนัก ม่านเมรีในชาตินี้เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา นางจะไปตกละกรรมลำบากยังถิ่นที่กำเนิดมาได้อย่างไร

“เอาเป็นว่าข้าอภัยให้ซักครั้ง หมดธุระกันหรือยัง ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” ไล่กันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ล่ะ ก็พระองค์เป็นเทพที่ไม่มีหัวใจนี่ จะมาโทษกันว่าแล้งพระทัยไม่ได้

“กลับกันเสียที่ก็ดีเหมือนกัน วิหารของข้าคงเงียบเหงา พระขาดทารกน้อยสองคนนั่นเสียแล้ว” รำพึงรำพันได้อย่างน่าสงสาร เห็นแล้วก็อดนับถือในความพยายามของเทพแห่งการเวลาไม่ได้

“เจ้าก็ให้เมอริคาเรกลับไปพักอยู่กับข้าเถิดนะโฮรัส” ว่าแล้วไหมล่ะ ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน นึกเห็นพระทัยในชะตากรรมของเทพโฮรัสที่จะต้องตกเป็นเบี้ยล่างของอาจารย์อยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนี้ยังไงเล่า ถึงอยากจะได้ทารกน้อยแห่งกองคาราวานนางนั้นไว้เป็นทาสส่วนตัวเล่น

ครั้นเมื่อเห็นทั้งศิษย์และอาจารย์จากไปแล้ว พระองค์ก็ประทับนั่งบนบัลลังก์กลางวิหาร ทอดพระเนตรมองม่านเมรีที่กำลังทำความสะอาดวิหารร้างผ่านมนตราของพระองค์ด้วยความรื่นรมย์สมพระทัย ยิ่งเมื่อมองเห็นนางทำแจกันตกแตกแล้วแอบร่ายเวทย์ให้มันประสายกันใหม่ เพื่อรอให้นางกลับมาทำแตกอีกครั้ง ก็ทรงอดพระสรวลเสียงดังออกมาไม่ได้ นิสัยเป็นอย่างไรในชาติก่อน ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เหมือนครั้งเมื่อตอนทำอ่างบัวของพระองค์ตกแตกยิ่งนัก

ชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ ชาตินี้อย่าหวังเลยว่าจะหนีจากพระองค์ได้ ต่อให้จะต้องเป็นศัตรูกับทั้งสามภพก็ตาม พระองค์ก็จะไม่ยอมให้นางต้องจากไปอีกแล้ว !

ดำริในพระทัยอย่างหมายมั่น ผู้ใดกันที่คิดว่าเทพแห่งกาลเวลาได้ก้าวสู่ประตูนรกแค่เพียงลำพัง รู้หรือไม่ว่าเทพแห่งความตายอย่างพระองค์นี่แหละ ที่ได้ลงไปเยือนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เพราะอีกตำแหน่งหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบมาก่อนเลยว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ ยกเว้นผู้ที่กระทำผิดร้ายแรงจนไม่อาจอภัยได้ นั่นก็คือเจ้าแห่งนรกนั่นเอง !!



วิหารร้างอเตน

ม่านเมรีกำลังปัดวาด ตกแต่งวิหารใหม่เพื่อให้กลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง นางทำงานอยู่ทั้งวันจนเริ่มเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยไปหมดทั้งแขนขา จนไม่อาจใช้งานได้อีกซักพัก

ว่าแล้วก็หาที่นั่งดี ๆ เพื่อทำการพักผ่อน ครั้นเมื่อได้ที่หย่อนก้นจนเรียบร้อยแล้วจึงล้วงเอาหม้อต้มยาออกมา ไม่ยอมไปจากข้านักใช่ไหมกริชบ้า ดีล่ะจะต้มลงหม้อยาซะเลยดูสิว่าจะตามเธอได้อีกหรือไม่

ว่าแล้วก็รีบปรุงยาพิษที่สามารถกัดกร่อนอาวุธเทพขึ้นมาทันที พลางแสยะยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เข้าข้างเทพอนุบิสกันดีนัก เธอก็โกรธเป็นเหมือนกันนะ อย่างหวังเลยว่าจะยอมให้อภัย

กริชน้อยที่ลอยไปลอยมาก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังมีอันตราย มันรีบลอยหนีทันทีเมื่อม่านเมรีกำลังจะจับมันลงหม้อด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะกริชบ้า ที่อย่างนี้ละหนีข้าทำไม” ทะเลาะกับอาวุธก็ได้ เชื่อนางเลยจริง ๆ เทพอนุบิสแอบมองการกระทำของนางทุกสิ่งด้วยความสีพระพักตร์อ่อนโยน คิดอีกทีการขโมยบัวแก้วคืนมาก็ดีเหมือนกัน

‘ไว้เป็นของขวัญแก่นาง ในเวลาที่กลับมานั่งยังบัลลังก์แห่งนี้’

ทอดพระเนตรมองบัลลังก็ที่ว่างเปล่าเคียงข้างกันด้วยสายพระเนตรแวววาว พลางยื่นพระหัตถ์ออกไปลูบเบา ๆ ราวกับว่าทะนุถนอมยิ่งนัก
คราวนี้ก็เหลือเพียงแค่ให้นางกลับมาสวมชุดสีดำเท่านั้น !!



หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน วิหารอเตนก็ได้รับการทำความสะอาดจนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ม่านเมรีถือโอกาสปลูกพืชพรรณหลายชนิดขึ้นรอบอุทยาน ถือว่าเป็นสถานที่ปรุงยาของนางก็แล้วกัน เงียบสงบเช่นนี้ เหมาะกับการฝึกวิชายิ่งนัก

กริชสีดำที่รอดจากหม้อยามาได้ยังคงแอบตามเธออยู่ห่าง ๆ นี่ถ้าหากมันพูดได้คงอยากจะบอกนักว่า โปรดให้อภัยมันเสียที
ม่านเมรีเองก็เริ่มเบื่อที่จะไล่ตามกริชบ้าแล้วเช่นกัน และหลายวันมานี่มันก็ยอมอ่อนข้อให้เธอไม่น้อย ถือว่าได้ระบายโทสะไปบ้างแล้ว ยอมอภัยให้ก็ได้

“มานี่มา ข้าไม่โกรธแล้วก็ได้” ม่านเมรียื่นสายสร้อยที่ครั้งหนึ่งเคยร้อยมันไว้ออกไป กริชเทพเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบลอยเข้ามากลับคืนไปในสายสร้อยทันที

“ดีนะที่ข้าไม่เคยโกรธใครนาน ไม่อยากนั้นล่ะก็เจ้าได้ลงหม้อยาไปแล้ว” ว่าพลางสวมสร้อยกลับคืนแล้วลูบไล่มันไปมาเบา ๆ จะว่าไปแล้วอยู่คนเดียวก็เหงาเหมือนกัน แอบไปหาอาจารย์ดีกว่า คนไม่รู้จักเวล่ำเวลารีบร่ายมนตราหายตัวไปทันที ทิ้งให้วิหารแห่งนี้ไร้ผู้อยู่อาศัยอีกครั้ง ช่างน่าน้อยใจแทนเทพเจ้าอเตนเสียจริง

และทุกสิ่งที่นางกระทำมายังคงอยู่ในสายพระเนตรของเทพเจ้าราห์ด้วยเช่นกัน...เห็นหรือไม่อเตนน้องข้า บุตรสาวของเจ้าเติบโตขึ้นมา สมกับที่รอคอยหรือไม่

สายลมที่พัดผ่านมาราวกับว่าตอบรับในคำกล่าวนั้น ทำให้เทพเจ้าแห่งสุริยันรับรู้ได้ว่าผู้เป็นดั่งอนุชายังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ถูกลืมไป...นานเท่าที่ผู้เป็นม่านเมรีกลับมาเกิดใหม่จนอายุได้ 17 ปีแล้วกระมัง

สายลมยังคงพัดแผ่วอยู่อย่างนั้น ราวกับจะปลอบโยนผู้เป็นเชษฐาที่เกิดมาคู่กัน แต่มิอาจอยู่ร่วมกันได้...ไม่เป็นไรพี่ชาย ข้าสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง



รรรรรรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ย. 2556, 19:17:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ย. 2556, 10:29:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1473





<< ตอนที่ 9 อดีตที่เคยผิดพลาด (2)   ตอนที่ 11 ง้อตามแบบฉบับเทพอนุบิส >>
ร้อยวจี 22 พ.ย. 2556, 20:11:50 น.
สมใจมากได้อ่านอีกตอนค่ะ สนุกมาก พรุุ่งนี้อย่าลืมมาอัพนะคะ รออ่านค่ะ อยากรู้ว่าอเมนเททจะได้รับกรรมที่ทำไว้ยังไง จะมีใครรู้ความจริงอีกบ้างนอกจากเทพธอธ รอค่ะ


Zephyr 23 พ.ย. 2556, 02:37:06 น.
ฟินจังค่า น่ารักอ่ะเรื่องนี้ ตอนนี้ติดมากมาย
เมื่อไรความจริงจะปรากฎนะ
อนูบิส ท่านทำให้เมรีแตกสลายตั้งสามครั้งเชียวนั
จะชดใช้ยังไงดีละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account