รักดังฝัน
เขา นิมมาน อดีตชาติเป็นถึงพระยานิมมาน ผู้ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกสาวของศัตรู จนตัวตาย เขาก็พร้อมยกวิญญา แก่ยาใจที่รักสมิตาเพียงผู้เดียว แต่ผ่านมาพันปี นิมมานก็พบว่าความรักของเขาหมดลง ไอ้รักนิรันดร์ไม่มีจริงหรอก “ชาตินี้เจ้าจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่ก่อนเจ้าจะพบกับไอ้มนุษย์เนื้อคู่ของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ก่อน”
เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน
เธอ สมิตานัน ผู้หญิงสวย ดำรงตำแหน่งพิธีกรรายการดัง หลอนดีนัก...เดี๋ยวจัดให้ แต่จริงแล้ว คนที่ทำเก่งหน้าจอ แท้จริงกลับกลัวผีขึ้นสมอง ทั้งที่ไม่เคยเจอ แต่พอปุบปับกระหน่ำได้เจอจริง สมิตานันก็อยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน...เอ หรือที่จริงเธอไม่ได้ฝัน
Tags: หลอนโรแมนติก แฟนตาซี นิมมาน สมิตา
ตอน: บทที่ 19 : ความจริงจากอดีต
“ขอบคุณเจ๊กับมิลันมากเลย” คนบนเตียงนอนตะแคงในชุดคนป่วยสีเขียวมองชายตัวใหญ่กรีดกรายวางโทรศัพท์ของเธอลงบนโต๊ะ ตวัดตามองก่อนสะบัดหน้าเชิดคอขึ้นเก้าสิบองศากับพื้นโลก ทีแรกที่โดนตามตัวมา ด้วยข่าวน่าตกใจว่าน้องรักอย่างสมิตานันเข้าโรงพยาบาล งานการที่มีก็ยอมวางทิ้งไว้ ตรงดิ่งมาที่นี่ทันที ที่ไหนได้พบทราบเรื่องทั้งหมดจากปาริตา
เรื่องปวดหัวไม่มีสาเหตุกลางห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องจริง แต่กับเรื่องให้เขามาโกหกเรื่องความจำเสื่อม...มันน่านัก
“เจ๊ไม่เห็นด้วย...คิดสิเพิ่งแต่งงานกัน มาเล่นว่าความจำเสื่อม จะให้บอกว่าอะไรอยู่ดีๆ ความจำเสื่อมหรือไง น้องมิลันก็บอกน้องตี้แล้วนี่คะว่าตรวจละเอียดแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ”
คนแกล้งป่วยลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง สองแขนเท้ากับฟูกนุ่ม เงยหน้ามองคนสองคนที่เธอเชื่อใจในเวลานี้ โชคดีที่พอธนิทธิส่งเธอมาโรงพยาบาล จนตรวจร่างกายพบว่าเธอไม่เป็นอะไร รายนั้นวางใจจนจากไป โดยเธออ้างว่าจะกลับพร้อมปาริตา...เขาคงไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังสร้างเรื่องโกหกเรื่องใหญ่อีกเรื่องขึ้นมา
เรื่องเธอความจำเสื่อม เธออยากให้นิมมานรู้เพียงคนเดียว
“เดี๋ยวพอพี่ปอมมา...ทำตามที่ตี้บอกนะคะ”
กมลส่งสายตาขอความช่วยเหลือคุณหมอที่อาศัยการลอยตัว ไม่ขอโกหก ไม่ช่วย แต่ก็ไม่คัดค้าน เพราะใจจริงปาริตาก็รู้สึกเห็นใจสมิตานันอยู่มาก จากการตรวจสอบที่ไม่ใช่แค่การตรวจสมอง และร่างกายโดยละเอียด พอถามย้อนความทรงจำที่ผ่านมา ปาริตาก็รู้ได้ว่าเพื่อนของเธอความจำเสื่อมจริง...แต่เป็นการจำเรื่องราวไม่ได้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนวันเกิดตัวเองเมื่อปีที่แล้ว
“ตี้ไม่ได้โกหกแต่เป็นการบอกความจริงที่ไม่ให้เขาแตกตื่นต่างหาก” เธอเองก็ไม่อยากอยู่สภาพสมองกลวงขาวโพลนไม่รู้อะไรเลยตลอดหนึ่งปีนี้นัก มีอะไรที่ไม่ทำให้เธอต้องอ้ำอึ้งกับการพูดถึงอดีตที่เธอไม่รู้...การบอกให้เขารู้ว่าความจำเสื่อม อย่างพวกละครหลังข่าวเป็นอะไรที่เลิศสุด ณ ตอนนี้
“มันไม่ใช่ความจำเสื่อม แต่มันไม่มีความทรงจำในส่วนนั้นเลย...ถึงบอกว่าจำไม่ได้ แต่ตี้ก็บอกระยะเวลาที่ความทรงจำจะกลับมาไม่ได้เหมือนกัน ตี้ควรจะบอกความจริงทั้งหมด บอกว่าความจำล่าสุดที่จำได้คือเมื่อไหร่ มันออกจะน่าเหลือเชื่อ เกินจริง แต่ฉันเชื่อตี้เสมอ พี่ปอมเองก็จะเชื่อเหมือนกัน”
คำอธิบายของปาริตาทำให้คนฟังเงียบ และจมอยู่กับความคิดจนเหม่อมองพื้น เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พยายามค้นหาสาเหตุของบางสิ่งที่เธอเหมือนหลงลืมไป
มันไม่ใช่ระยะเวลา หรือหนึ่งปีผ่านมาเธอทำอะไรบ้าง...แต่มีบางอย่าง และสิ่งนั้นสำคัญมากพอที่เธอ...ต้องรู้ให้ได้
ไม่ว่ามีอะไรที่ทำให้เธอพบเจอ...เธออยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
“ใจเย็นๆ นะน้องตี้ ทุกอย่างมันมีคำตอบเสมอ อยู่ที่ว่ามันถูกซ่อนอยู่ที่ตรงไหน”
“บางทีมันอาจเป็นเส้นผมบังภูเขาก็ได้นะคะ...แต่ตี้ยังปัดเส้นผมเส้นนั้นไม่ออก”
สมิตานันคิดได้ก็รีบกระโดดลงจากเตียงมายืนอย่างตัดสินใจ ดวงตามีร่องรอยครุ่นคิด แต่ไม่มีวี่แววสับสน หรือฉงนใดๆ “ตี้จะออกเดินทาง”
“ไปไหน!” สองเสียงประสานกันอย่างตกใจ
“เดี๋ยวตี้เคลียร์กับพี่ปอมเอง” คนพูดว่าเคลียร์รีบหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่หัวเตียงมากอดไว้ตรงไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ ไม่บอกจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่เธอทำคือกดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากใครคนหนึ่ง
“พุท...พาพี่ไปสถานที่หนึ่งทีสิ”
ทำไมสมิตานันถึงชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย...
นิมมานรู้สึกว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมากับการไม่พบหน้าภรรยามันโหดร้ายอย่างยิ่งยวด ถึงเธอจะโทรกลับมาหาทุกครั้ง รายงานว่าวันหนึ่งไปทำอะไรมาบ้าง แต่เขาก็ไม่พอใจสักอย่าง...นี่น่ะหรือคนที่บอกว่าความจำเสื่อม เสื่อมที่ว่าคือจงใจจำเขาไม่ได้คนเดียว
เขาจะไม่ทนอีก...
โชคดีที่เขาเข้าหาคนถูก กมลยอมคายความลับของสมิตานันให้เขารู้แบบหมดเปลือก
‘น้องตี้ต้องโกรธพี่มากแน่ๆ แต่ว่างานนี้พี่ยอมค่ะ’ กมลลดเสียงลง เมื่อเข้าเรื่องสำคัญผ่านทางโทรศัพท์ ‘น้องตี้บอกว่าจำคุณปอมไม่ได้ค่ะ’
‘จำผมไม่ได้อย่างนั้นเหรอครับ’ ถามออกไปเสียงอ่อนแรง เหมือนโดนของหนักตีศีรษะจนมึน
‘จริงๆ พี่ก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะคุณปอม แต่ว่าทั้งพี่ น้องมิลัน พุท รู้ว่าน้องตี้ไมได้โกหก น้องตี้คงกำลังสับสน’
‘รู้ไหมครับว่าตี้อยู่ไหน’ นิมมานพยายามไม่ให้ตัวเองโกรธที่สมิตานันเกิดปัญหาขนาดนี้กลับไม่มีการบอกกล่าวใดๆ พอรับรู้ที่อยู่ว่าสมิตานันกลับไปยังสถานที่ถ่ายทำเทปสุดท้ายของรายการหลอนดีนักเดี๋ยวจัดให้ที่เขาเคยมีโอกาสได้ไปเมื่อปีก่อน เขาก็รู้สึกกลัว
ถึงแม้ว่าหลังจากเหตุการณ์วิปโยคหนีผีกันอลหม่าน ตอนนั้นสิ่งเดียวที่เขาจำได้ก็คือลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางดงดอกซ่อนกลิ่น มีสมิตานันที่หน้าผากอาบไปด้วยเลือดนอนสลบอยู่ไม่ห่างกัน
ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้...นิมมานลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ความมืดที่หลับตาสนิทอยู่หมุนคว้างรุนแรงจนไม่กล้าลืมตาขึ้นมา แต่ความยะเยือก ลมหวีดหวิว และเสียงร้องระงมของแมลงกลางคืนดังก้องจนเขาต้องยอมลืมตาตื่นขึ้นมา
กลิ่นหอมอ่อนเย็นจมูกลอยอวลอยู่ปลายจมูกไม่ได้ห่าง ชายหนุ่มหยัดกายที่เมื่อยล้าขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วมองความมืดรอบกายที่ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าสายตาจะปรับเห็นเงาสูงใหญ่ของต้นไม้ หรือสีที่ตัดกับความมืดอย่างสีขาวของต้นกำเนิดกลิ่นหอม
พอกวาดตาพบเพียงความว่างเปล่า กับเหตุการณ์ในหัวคือการพบเจอวิญญาณบางชนิดจัดการทีมกองถ่ายจนกระเจิงบริเวณบ้านพักชายป่า นิมมานก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในป่านี้ได้
เสียงสวบสาบ ร้องโอดโอย ไม่ได้ทำให้เขาตะลึง ตกใจหรือคิดแง่ร้ายว่าเป็นผี ในใจกระหวัดถึงใบหน้าของผู้หญิงที่เขาห่วงมากที่สุด...สมิตานัน แค่เสียงหวานๆ นั่นเขาก็จำได้แล้ว
นิมมานลุกขึ้นยืน ใช้มือตบศีรษะไปมาพอให้อาการมึน ภาพเบลอๆ นั้นชัดเจน หมุนคอมองหาร่างที่ต้องการอยู่ไม่นานก็พบว่าถูกนอนคว่ำอยู่ไม่ห่างกัน ก้าวไปไม่ถึงสามก้าวก็ถึงตัวของสมิตานัน ชายหนุ่มยอบตัวลงช้อนกายบางจับพลิกหงาย เสียงเบารำพึงคล้ายละเมอ แม้สติจะยังไม่มี
คนมาช่วยต้องเงี่ยหูฟังอย่างเป็นห่วง และใจความประโยคนั้นก็ดังจนสั่นคลอนจิตใจเขาที่สุด
‘รัก...ฉันรักท่าน...นิมมาน’
ข้อนิ้วขึ้นขาว ถูกกำแน่นไปบนพวงมาลัยรถ ความทรงจำในอดีต ณ วันนั้นยังแจ่มชัด เขาไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ ทำไมถึงได้ไม่พอใจพอรู้ว่าสมิตานันกำลังกลับไปที่นั่นอีกครั้ง...มันเป็นความกลัวชนิดหนึ่งที่จู่โจมแบบไร้ที่มาที่ไป
เขาไม่รู้ว่าอะไร หรือสิ่งไหนเป็นตัวกำหนดควบคุมชีวิตของทั้งเขาและสมิตานัน แต่เขาไม่ชอบเอาซะเลย ในวันนั้นการพบกับสมิตานันครั้งแรก เขารู้สึกได้ว่าคุ้นเคย มาคิดๆ ดูเขาเองก็เหมือนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขาไม่เคยอยากจะรู้ เพียงแค่มีสมิตานัน
นับจากวันนั้นที่เขาได้ยินคำว่ารักของหญิงสาวแบบที่เจ้าตัวไม่มีสติ คำๆ นั้นก็เหมือนบ่วงรัดตัวและจิตวิญญาณไว้ที่เธอ
ไม่ว่าใครพยายามมาทดสอบ หรือจากอดีตก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการให้สิ่งนั้นมาทำให้ความรักของเขามีปัญหา เขาหวังเพียงแค่ว่านับจากนี้ สมิตานันจะเชื่อใจเขามากพอที่จะให้เขารู้เรื่องราวความเป็นไปของเธอ
เลิกมองเขาเป็นคนแปลกหน้าเสียที...ความรักของเขามันก้าวมาไกลเกินกว่าจะเริ่มใหม่ แต่หากสมิตานันต้องการเริ่มใหม่ เขาก็พร้อมให้เธอเริ่ม
จุดหมายปลายทางคือสถานที่โบราณที่แต่เดิมเคยเป็นสถานที่ของครอบครัวเขา อยู่ต่างจังหวัด แต่เพราะขุดพบซากเมืองโบราณ สุดท้ายจึงตกอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร พัฒนาจนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีก่อนสมัยสุโขทัย
รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโตพุ่งทะยานตามเส้นทางโรยด้วยหิน ยังไม่ได้ทำเป็นถนนลาดยาง ผ่านสองข้างทางที่เป็นไม้ยืนต้นแนวยาว ภาพบ้านพักที่ยังอยู่ในความดูแลของครอบครัวเพียงสิ่งเดียวในบริเวณที่อยู่ก่อนถึงอาณาเขตของฐานเมืองเก่า
รถสีบลอนด์ที่เห็นและรู้ได้ว่าเป็นของสมิตานันจอดสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เศษใบไม้ที่ตกใส่หลังคาจนเต็มพื้นที่ทำให้รู้ว่าเป็นเวลานานพอสมควรที่รถไม่ได้เขยื้อนเคลื่อนไปไหน...นิมมานบังคับรถมาจอดข้างกัน พยายามไม่ให้อารมณ์ร้อนใจแบบหาที่มาที่ไปไม่ได้นี้เบาบางลงบ้าง
อดไม่ได้เมื่อเหยียบพื้นเสร็จ เขาจะเผลอระบายอารมณ์ใส่ด้วยการปิดประตูรถเสียงดัง หน้าบึ้ง ตาขวาง เดินดุ่มเข้าไปในบ้านตรงหน้า ประตูไม่ได้ล็อก เขาเปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย บุคคลที่นั่งไขว่ห้างกอดอกรออยู่นั้นเลิกคิ้วมองมา
สายตาของผู้หญิงผมสไลด์เป็นชั้น กรีดอายสีเข้ม ปัดแก้มสีชมพู ปากส้ม ใช้สายตารู้ทันจนคนมองหัวคิ้วกระตุก จ้องตาเขม็ง หน้าเริ่มแดงก่ำ
“น้ารู้” ชายหนุ่มต้องกัดฟันพูด ระงับไม่ให้ตะคอกออกไป ภาพน้องสาวแท้ๆ ของมารดาเขาที่ชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่น่าไว้ใจอวดรอยยิ้มหวานโชว์ฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวยส่งมา
วารีกวาดมองอาการหลานที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเธอเท่าไหร่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ส่งเสียงหึในลำคอ ไม่ต่างจากการดูถูก
“ฉันต้องรู้สิ ว่าหลานสะใภ้คนโปรดของฉันอยู่ที่ไหน”
“ทำไมไม่บอกผม ผมห่วงตี้แทบบ้า”
“ทำไมต้องบอก ไม่ใช่หน้าที่ฉันนี่” เชิดคอตอบ “ช่วงนี้ชีวิตรักของหลานฉันก็ดูท่าจะล่มไม่เป็นท่าด้วย”
มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น นิมมานโกรธจนหูอื้อ ท่าทียียวน รวนใส่ของน้าสาวที่ตั้งใจถ่วงเวลาเขานั้น ไหนจะยังคำแช่ง ไม่มงคลต่อชีวิตรักระหว่างเขากับสมิตานันอีก “น้าต้องการอะไร”
“ฉันมาช่วยหรอก ไอ้หลานไม่ได้เรื่อง” วารีตวัดตามองค้อน นักโบราณคดีสาวโคลงศีรษะให้กับความเจ้าอารมณ์ของนิมมาน “รู้ไหมว่ามีเรื่องไม่น่าเชื่อที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่เรียนประวัติศาสตร์มา ฉันเองก็คิดว่ามันน่าจะเกิดจากบุญกรรมของเธอกับหนูตี้ บางทีมันอาจเป็นการลงโทษของกาลเวลา”
“น้าหมายความว่ายังไง”
“ฉันได้แผ่นหินแผ่นหนึ่งมา” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่เดินนำไปยังห้องๆ หนึ่ง โดยที่นิมมานทำได้แค่เดินตามมาดู ถึงแม้ในใจจะรู้สึกต่อต้านก็ตาม “แอบขโมยมาโดยไม่ให้กรมศิลรู้ จะว่ายังไงก็ช่างสิ ฉันไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไปมากกว่านี้”
“มีคนอย่างน้ามาเรียน ประวัติศาสตร์ก็เพี้ยนได้” นิมมานว่ากระทบคุณน้าที่อายุมากกว่าตนไม่ถึงห้าปีด้วยความเขม่น วารีนอกจากไม่เคยสนับสนุนการกระทำของเขา ยังมักขัดขวางเสมอ
ตอนที่พบสมิตานัน และพาไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เขาก็กลัวว่าวารีจะทำเสียเรื่อง ที่ไหนได้ ดูรัก เอ็นดูสมิตานัน เข้ากันดียิ่งกว่าหลานในไส้อย่างเขาอีก
“ตี้อยู่ที่ไหน”
“อ่านบางอย่างก่อนแล้วค่อยไป...ฉันว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุอาการประหลาดของน้องตี้” ตอบอย่างรำคาญ เปิดไฟในห้องให้สว่างโร่ เพื่อพบกับแผ่นหินเก่าแก่สูงขนาดหนึ่งเมตร กว้างไม่เกินครึ่งเมตร บนนั้นมีข้อความตัวอักษรที่สลักไว้เป็นระเบียบ ด้วยอักษรยุคปัจจุบัน
นิมมานเดินเข้าไปเหมือนถูกมนตร์สะกด ตัวอักษรภาษาไทยแกะสลักตัวเล็กขนาดต่อตัวไม่เกินสองเซนติเมตร ใจความของมันทำให้คนอ่านใจเต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยมี
‘สมิตานัน...เจ้าแก้ไขทุกอย่างสำเร็จ ข้าหมดห่วง หลุดจากพันธนาการนับพันปีของเจ้า เจ้าอาจลืมข้า จำข้าไม่ได้ แต่ข้าจะจำเจ้าไว้ ถึงมีชีวิตใหม่ข้าอาจลืม แต่ข้าเชื่อว่าหัวใจของข้าคงไม่ลืม สมิตา ข้ารักเจ้า...ไม่ว่าเจ้าเป็นใครก็ตาม มีชีวิตที่ดีนะตี้ ขอบคุณ...นิมมาน’
ตัวอักษรที่เป็นชื่อของเขาจบลง นิมมานรู้สึกว่าหัวใจของเขายังโยกไหวแรงเหมือนมีแผ่นดินเคลื่อนลูกย่อมๆ บริเวณอกด้านซ้าย มันสั่นสะเทือนจนโลกของเขาดูบิดเบี้ยว และทุกอย่างคืนสู่ความว่างเปล่า ขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
“อย่าคิดว่าฉันแกล้ง...แผ่นนี้เป็นของจริง ตัวอักษรสลักนั่นด้วย แล้วที่ฉันไม่ส่งแผ่นนี่ให้กรมศิลปากรก็เพราะว่าฉันเชื่อว่ามันไม่ได้เกิดจากการคิดค้นตัวอักษร แต่เป็นคนยุคปัจจุบัน หรือยุคไหนก็ช่างจงใจทิ้งข้อความพวกนี้มาให้ตี้ในยุคปัจจุบัน”
ปากอยากจะสวนกลับว่าไม่เชื่อ...แต่หัวใจของเขากลับเชื่อ นิมมานยกมือของตัวเองขึ้นดูพลางขมวดคิ้ว ความรู้สึกในใจมีแต่ความฉงน ห้วงความรู้สึกคือเหมือนตนเองเป็นคนสร้างข้อความเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ
“ปอม บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ตามทฤษฎีของฉัน ถ้าอดีตแรกเริ่มเปลี่ยน จากสิ่งที่ไม่เคยมีก็อาจมี สิ่งที่เคยมีก็อาจจะไม่มี จากแผ่นหินนี้ ฉันคิดว่าบางทีตี้เขาอาจไปแก้ไขเรื่องราว เพื่อให้มีนาย”
มือหนาลูบลงบนแผ่นหิวอย่างเผลอไผลถึงแม้ว่าจะไม่เห็นภาพอะไรแปลกตา ย้อนอดีต หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ความรู้สึกลอยได้เหมือนลูกโป่งอัดตัวอยู่ใต้ร่าง หากเรื่องบนแผ่นหินนี้คือความจริง แสดงว่าสมิตานันเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเขา...เขาที่เป็นนิมมานในอดีต
คิดมาถึงตรงนี้หัวใจที่เคยเต้นแรงหยุดลงแทบจะทันที ใบหน้าเกือบจะยิ้มติดบึ้ง เขาอิจฉาตัวเองในอดีต...ถ้าเกิดสมิตานันจำเขาในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นมา แต่จำคนในอดีตได้แทน
วารีมองหลานชายที่น่าปวดหัวเหมือนมีตัวร้ายมาปะทะกับเธอตั้งแต่เกิด เรียกเธอแบบไม่เคารพจนเธอหมั่นไส้มานานไหล่ตก ถอนหายใจเสียงดัง อารมณ์อยากแกล้ง หมั่นไส้ก็หมดไป เธอพอจะรู้ว่าอะไรที่นิมมานกลัว
“ในใจคงกลัวจะแพ้เกินครึ่งล่ะมั้ง”
“รู้ดี”
“ถ้าไม่รู้ดีฉันจะเรียกนายมาอ่านแผ่นหินนี้หรือไงจ๊ะคุณหลาน”
น้ำเสียงเย้า และสรรพนามแบบแดกดันว่าคุณหลานยิ่งทำให้หน้าของคนฟังเครียดเขม็งมากขึ้น “ตี้อยู่ที่ไหน”
“กำลังตามหาอดีตอยู่ คงอยากรู้ว่ามีอะไรที่ลืมไปเกิดขึ้น”
ท่าทางไม่ยี่หระของวารี แต่ใจความประโยคทำให้ชายหนุ่มได้ยินแล้ววิ่งออกไปไม่สนใจว่าน้าของตนหัวเราะไล่หลังแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขากระหวัดถึง ทั้งโกรธ น้อยใจในตัวหญิงสาวก็คือ
ทำไม...เขาในปัจจุบันแก้ปัญหาที่เธอพบเจอไม่ได้เลยหรืออย่างไร
....................................................................
คุณ konhin ไม่ได้เสื่อมยาวค่ะ ฮา ตอนนี้น่าจะเปิดเผยความจริงไปได้เยอะแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากค่า
เรื่องปวดหัวไม่มีสาเหตุกลางห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องจริง แต่กับเรื่องให้เขามาโกหกเรื่องความจำเสื่อม...มันน่านัก
“เจ๊ไม่เห็นด้วย...คิดสิเพิ่งแต่งงานกัน มาเล่นว่าความจำเสื่อม จะให้บอกว่าอะไรอยู่ดีๆ ความจำเสื่อมหรือไง น้องมิลันก็บอกน้องตี้แล้วนี่คะว่าตรวจละเอียดแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ”
คนแกล้งป่วยลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง สองแขนเท้ากับฟูกนุ่ม เงยหน้ามองคนสองคนที่เธอเชื่อใจในเวลานี้ โชคดีที่พอธนิทธิส่งเธอมาโรงพยาบาล จนตรวจร่างกายพบว่าเธอไม่เป็นอะไร รายนั้นวางใจจนจากไป โดยเธออ้างว่าจะกลับพร้อมปาริตา...เขาคงไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังสร้างเรื่องโกหกเรื่องใหญ่อีกเรื่องขึ้นมา
เรื่องเธอความจำเสื่อม เธออยากให้นิมมานรู้เพียงคนเดียว
“เดี๋ยวพอพี่ปอมมา...ทำตามที่ตี้บอกนะคะ”
กมลส่งสายตาขอความช่วยเหลือคุณหมอที่อาศัยการลอยตัว ไม่ขอโกหก ไม่ช่วย แต่ก็ไม่คัดค้าน เพราะใจจริงปาริตาก็รู้สึกเห็นใจสมิตานันอยู่มาก จากการตรวจสอบที่ไม่ใช่แค่การตรวจสมอง และร่างกายโดยละเอียด พอถามย้อนความทรงจำที่ผ่านมา ปาริตาก็รู้ได้ว่าเพื่อนของเธอความจำเสื่อมจริง...แต่เป็นการจำเรื่องราวไม่ได้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนวันเกิดตัวเองเมื่อปีที่แล้ว
“ตี้ไม่ได้โกหกแต่เป็นการบอกความจริงที่ไม่ให้เขาแตกตื่นต่างหาก” เธอเองก็ไม่อยากอยู่สภาพสมองกลวงขาวโพลนไม่รู้อะไรเลยตลอดหนึ่งปีนี้นัก มีอะไรที่ไม่ทำให้เธอต้องอ้ำอึ้งกับการพูดถึงอดีตที่เธอไม่รู้...การบอกให้เขารู้ว่าความจำเสื่อม อย่างพวกละครหลังข่าวเป็นอะไรที่เลิศสุด ณ ตอนนี้
“มันไม่ใช่ความจำเสื่อม แต่มันไม่มีความทรงจำในส่วนนั้นเลย...ถึงบอกว่าจำไม่ได้ แต่ตี้ก็บอกระยะเวลาที่ความทรงจำจะกลับมาไม่ได้เหมือนกัน ตี้ควรจะบอกความจริงทั้งหมด บอกว่าความจำล่าสุดที่จำได้คือเมื่อไหร่ มันออกจะน่าเหลือเชื่อ เกินจริง แต่ฉันเชื่อตี้เสมอ พี่ปอมเองก็จะเชื่อเหมือนกัน”
คำอธิบายของปาริตาทำให้คนฟังเงียบ และจมอยู่กับความคิดจนเหม่อมองพื้น เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พยายามค้นหาสาเหตุของบางสิ่งที่เธอเหมือนหลงลืมไป
มันไม่ใช่ระยะเวลา หรือหนึ่งปีผ่านมาเธอทำอะไรบ้าง...แต่มีบางอย่าง และสิ่งนั้นสำคัญมากพอที่เธอ...ต้องรู้ให้ได้
ไม่ว่ามีอะไรที่ทำให้เธอพบเจอ...เธออยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
“ใจเย็นๆ นะน้องตี้ ทุกอย่างมันมีคำตอบเสมอ อยู่ที่ว่ามันถูกซ่อนอยู่ที่ตรงไหน”
“บางทีมันอาจเป็นเส้นผมบังภูเขาก็ได้นะคะ...แต่ตี้ยังปัดเส้นผมเส้นนั้นไม่ออก”
สมิตานันคิดได้ก็รีบกระโดดลงจากเตียงมายืนอย่างตัดสินใจ ดวงตามีร่องรอยครุ่นคิด แต่ไม่มีวี่แววสับสน หรือฉงนใดๆ “ตี้จะออกเดินทาง”
“ไปไหน!” สองเสียงประสานกันอย่างตกใจ
“เดี๋ยวตี้เคลียร์กับพี่ปอมเอง” คนพูดว่าเคลียร์รีบหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่หัวเตียงมากอดไว้ตรงไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ ไม่บอกจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่เธอทำคือกดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากใครคนหนึ่ง
“พุท...พาพี่ไปสถานที่หนึ่งทีสิ”
ทำไมสมิตานันถึงชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย...
นิมมานรู้สึกว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมากับการไม่พบหน้าภรรยามันโหดร้ายอย่างยิ่งยวด ถึงเธอจะโทรกลับมาหาทุกครั้ง รายงานว่าวันหนึ่งไปทำอะไรมาบ้าง แต่เขาก็ไม่พอใจสักอย่าง...นี่น่ะหรือคนที่บอกว่าความจำเสื่อม เสื่อมที่ว่าคือจงใจจำเขาไม่ได้คนเดียว
เขาจะไม่ทนอีก...
โชคดีที่เขาเข้าหาคนถูก กมลยอมคายความลับของสมิตานันให้เขารู้แบบหมดเปลือก
‘น้องตี้ต้องโกรธพี่มากแน่ๆ แต่ว่างานนี้พี่ยอมค่ะ’ กมลลดเสียงลง เมื่อเข้าเรื่องสำคัญผ่านทางโทรศัพท์ ‘น้องตี้บอกว่าจำคุณปอมไม่ได้ค่ะ’
‘จำผมไม่ได้อย่างนั้นเหรอครับ’ ถามออกไปเสียงอ่อนแรง เหมือนโดนของหนักตีศีรษะจนมึน
‘จริงๆ พี่ก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะคุณปอม แต่ว่าทั้งพี่ น้องมิลัน พุท รู้ว่าน้องตี้ไมได้โกหก น้องตี้คงกำลังสับสน’
‘รู้ไหมครับว่าตี้อยู่ไหน’ นิมมานพยายามไม่ให้ตัวเองโกรธที่สมิตานันเกิดปัญหาขนาดนี้กลับไม่มีการบอกกล่าวใดๆ พอรับรู้ที่อยู่ว่าสมิตานันกลับไปยังสถานที่ถ่ายทำเทปสุดท้ายของรายการหลอนดีนักเดี๋ยวจัดให้ที่เขาเคยมีโอกาสได้ไปเมื่อปีก่อน เขาก็รู้สึกกลัว
ถึงแม้ว่าหลังจากเหตุการณ์วิปโยคหนีผีกันอลหม่าน ตอนนั้นสิ่งเดียวที่เขาจำได้ก็คือลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางดงดอกซ่อนกลิ่น มีสมิตานันที่หน้าผากอาบไปด้วยเลือดนอนสลบอยู่ไม่ห่างกัน
ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้...นิมมานลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ความมืดที่หลับตาสนิทอยู่หมุนคว้างรุนแรงจนไม่กล้าลืมตาขึ้นมา แต่ความยะเยือก ลมหวีดหวิว และเสียงร้องระงมของแมลงกลางคืนดังก้องจนเขาต้องยอมลืมตาตื่นขึ้นมา
กลิ่นหอมอ่อนเย็นจมูกลอยอวลอยู่ปลายจมูกไม่ได้ห่าง ชายหนุ่มหยัดกายที่เมื่อยล้าขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วมองความมืดรอบกายที่ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าสายตาจะปรับเห็นเงาสูงใหญ่ของต้นไม้ หรือสีที่ตัดกับความมืดอย่างสีขาวของต้นกำเนิดกลิ่นหอม
พอกวาดตาพบเพียงความว่างเปล่า กับเหตุการณ์ในหัวคือการพบเจอวิญญาณบางชนิดจัดการทีมกองถ่ายจนกระเจิงบริเวณบ้านพักชายป่า นิมมานก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในป่านี้ได้
เสียงสวบสาบ ร้องโอดโอย ไม่ได้ทำให้เขาตะลึง ตกใจหรือคิดแง่ร้ายว่าเป็นผี ในใจกระหวัดถึงใบหน้าของผู้หญิงที่เขาห่วงมากที่สุด...สมิตานัน แค่เสียงหวานๆ นั่นเขาก็จำได้แล้ว
นิมมานลุกขึ้นยืน ใช้มือตบศีรษะไปมาพอให้อาการมึน ภาพเบลอๆ นั้นชัดเจน หมุนคอมองหาร่างที่ต้องการอยู่ไม่นานก็พบว่าถูกนอนคว่ำอยู่ไม่ห่างกัน ก้าวไปไม่ถึงสามก้าวก็ถึงตัวของสมิตานัน ชายหนุ่มยอบตัวลงช้อนกายบางจับพลิกหงาย เสียงเบารำพึงคล้ายละเมอ แม้สติจะยังไม่มี
คนมาช่วยต้องเงี่ยหูฟังอย่างเป็นห่วง และใจความประโยคนั้นก็ดังจนสั่นคลอนจิตใจเขาที่สุด
‘รัก...ฉันรักท่าน...นิมมาน’
ข้อนิ้วขึ้นขาว ถูกกำแน่นไปบนพวงมาลัยรถ ความทรงจำในอดีต ณ วันนั้นยังแจ่มชัด เขาไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ ทำไมถึงได้ไม่พอใจพอรู้ว่าสมิตานันกำลังกลับไปที่นั่นอีกครั้ง...มันเป็นความกลัวชนิดหนึ่งที่จู่โจมแบบไร้ที่มาที่ไป
เขาไม่รู้ว่าอะไร หรือสิ่งไหนเป็นตัวกำหนดควบคุมชีวิตของทั้งเขาและสมิตานัน แต่เขาไม่ชอบเอาซะเลย ในวันนั้นการพบกับสมิตานันครั้งแรก เขารู้สึกได้ว่าคุ้นเคย มาคิดๆ ดูเขาเองก็เหมือนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขาไม่เคยอยากจะรู้ เพียงแค่มีสมิตานัน
นับจากวันนั้นที่เขาได้ยินคำว่ารักของหญิงสาวแบบที่เจ้าตัวไม่มีสติ คำๆ นั้นก็เหมือนบ่วงรัดตัวและจิตวิญญาณไว้ที่เธอ
ไม่ว่าใครพยายามมาทดสอบ หรือจากอดีตก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการให้สิ่งนั้นมาทำให้ความรักของเขามีปัญหา เขาหวังเพียงแค่ว่านับจากนี้ สมิตานันจะเชื่อใจเขามากพอที่จะให้เขารู้เรื่องราวความเป็นไปของเธอ
เลิกมองเขาเป็นคนแปลกหน้าเสียที...ความรักของเขามันก้าวมาไกลเกินกว่าจะเริ่มใหม่ แต่หากสมิตานันต้องการเริ่มใหม่ เขาก็พร้อมให้เธอเริ่ม
จุดหมายปลายทางคือสถานที่โบราณที่แต่เดิมเคยเป็นสถานที่ของครอบครัวเขา อยู่ต่างจังหวัด แต่เพราะขุดพบซากเมืองโบราณ สุดท้ายจึงตกอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร พัฒนาจนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีก่อนสมัยสุโขทัย
รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโตพุ่งทะยานตามเส้นทางโรยด้วยหิน ยังไม่ได้ทำเป็นถนนลาดยาง ผ่านสองข้างทางที่เป็นไม้ยืนต้นแนวยาว ภาพบ้านพักที่ยังอยู่ในความดูแลของครอบครัวเพียงสิ่งเดียวในบริเวณที่อยู่ก่อนถึงอาณาเขตของฐานเมืองเก่า
รถสีบลอนด์ที่เห็นและรู้ได้ว่าเป็นของสมิตานันจอดสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เศษใบไม้ที่ตกใส่หลังคาจนเต็มพื้นที่ทำให้รู้ว่าเป็นเวลานานพอสมควรที่รถไม่ได้เขยื้อนเคลื่อนไปไหน...นิมมานบังคับรถมาจอดข้างกัน พยายามไม่ให้อารมณ์ร้อนใจแบบหาที่มาที่ไปไม่ได้นี้เบาบางลงบ้าง
อดไม่ได้เมื่อเหยียบพื้นเสร็จ เขาจะเผลอระบายอารมณ์ใส่ด้วยการปิดประตูรถเสียงดัง หน้าบึ้ง ตาขวาง เดินดุ่มเข้าไปในบ้านตรงหน้า ประตูไม่ได้ล็อก เขาเปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย บุคคลที่นั่งไขว่ห้างกอดอกรออยู่นั้นเลิกคิ้วมองมา
สายตาของผู้หญิงผมสไลด์เป็นชั้น กรีดอายสีเข้ม ปัดแก้มสีชมพู ปากส้ม ใช้สายตารู้ทันจนคนมองหัวคิ้วกระตุก จ้องตาเขม็ง หน้าเริ่มแดงก่ำ
“น้ารู้” ชายหนุ่มต้องกัดฟันพูด ระงับไม่ให้ตะคอกออกไป ภาพน้องสาวแท้ๆ ของมารดาเขาที่ชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่น่าไว้ใจอวดรอยยิ้มหวานโชว์ฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวยส่งมา
วารีกวาดมองอาการหลานที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเธอเท่าไหร่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ส่งเสียงหึในลำคอ ไม่ต่างจากการดูถูก
“ฉันต้องรู้สิ ว่าหลานสะใภ้คนโปรดของฉันอยู่ที่ไหน”
“ทำไมไม่บอกผม ผมห่วงตี้แทบบ้า”
“ทำไมต้องบอก ไม่ใช่หน้าที่ฉันนี่” เชิดคอตอบ “ช่วงนี้ชีวิตรักของหลานฉันก็ดูท่าจะล่มไม่เป็นท่าด้วย”
มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น นิมมานโกรธจนหูอื้อ ท่าทียียวน รวนใส่ของน้าสาวที่ตั้งใจถ่วงเวลาเขานั้น ไหนจะยังคำแช่ง ไม่มงคลต่อชีวิตรักระหว่างเขากับสมิตานันอีก “น้าต้องการอะไร”
“ฉันมาช่วยหรอก ไอ้หลานไม่ได้เรื่อง” วารีตวัดตามองค้อน นักโบราณคดีสาวโคลงศีรษะให้กับความเจ้าอารมณ์ของนิมมาน “รู้ไหมว่ามีเรื่องไม่น่าเชื่อที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่เรียนประวัติศาสตร์มา ฉันเองก็คิดว่ามันน่าจะเกิดจากบุญกรรมของเธอกับหนูตี้ บางทีมันอาจเป็นการลงโทษของกาลเวลา”
“น้าหมายความว่ายังไง”
“ฉันได้แผ่นหินแผ่นหนึ่งมา” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่เดินนำไปยังห้องๆ หนึ่ง โดยที่นิมมานทำได้แค่เดินตามมาดู ถึงแม้ในใจจะรู้สึกต่อต้านก็ตาม “แอบขโมยมาโดยไม่ให้กรมศิลรู้ จะว่ายังไงก็ช่างสิ ฉันไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไปมากกว่านี้”
“มีคนอย่างน้ามาเรียน ประวัติศาสตร์ก็เพี้ยนได้” นิมมานว่ากระทบคุณน้าที่อายุมากกว่าตนไม่ถึงห้าปีด้วยความเขม่น วารีนอกจากไม่เคยสนับสนุนการกระทำของเขา ยังมักขัดขวางเสมอ
ตอนที่พบสมิตานัน และพาไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เขาก็กลัวว่าวารีจะทำเสียเรื่อง ที่ไหนได้ ดูรัก เอ็นดูสมิตานัน เข้ากันดียิ่งกว่าหลานในไส้อย่างเขาอีก
“ตี้อยู่ที่ไหน”
“อ่านบางอย่างก่อนแล้วค่อยไป...ฉันว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุอาการประหลาดของน้องตี้” ตอบอย่างรำคาญ เปิดไฟในห้องให้สว่างโร่ เพื่อพบกับแผ่นหินเก่าแก่สูงขนาดหนึ่งเมตร กว้างไม่เกินครึ่งเมตร บนนั้นมีข้อความตัวอักษรที่สลักไว้เป็นระเบียบ ด้วยอักษรยุคปัจจุบัน
นิมมานเดินเข้าไปเหมือนถูกมนตร์สะกด ตัวอักษรภาษาไทยแกะสลักตัวเล็กขนาดต่อตัวไม่เกินสองเซนติเมตร ใจความของมันทำให้คนอ่านใจเต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยมี
‘สมิตานัน...เจ้าแก้ไขทุกอย่างสำเร็จ ข้าหมดห่วง หลุดจากพันธนาการนับพันปีของเจ้า เจ้าอาจลืมข้า จำข้าไม่ได้ แต่ข้าจะจำเจ้าไว้ ถึงมีชีวิตใหม่ข้าอาจลืม แต่ข้าเชื่อว่าหัวใจของข้าคงไม่ลืม สมิตา ข้ารักเจ้า...ไม่ว่าเจ้าเป็นใครก็ตาม มีชีวิตที่ดีนะตี้ ขอบคุณ...นิมมาน’
ตัวอักษรที่เป็นชื่อของเขาจบลง นิมมานรู้สึกว่าหัวใจของเขายังโยกไหวแรงเหมือนมีแผ่นดินเคลื่อนลูกย่อมๆ บริเวณอกด้านซ้าย มันสั่นสะเทือนจนโลกของเขาดูบิดเบี้ยว และทุกอย่างคืนสู่ความว่างเปล่า ขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
“อย่าคิดว่าฉันแกล้ง...แผ่นนี้เป็นของจริง ตัวอักษรสลักนั่นด้วย แล้วที่ฉันไม่ส่งแผ่นนี่ให้กรมศิลปากรก็เพราะว่าฉันเชื่อว่ามันไม่ได้เกิดจากการคิดค้นตัวอักษร แต่เป็นคนยุคปัจจุบัน หรือยุคไหนก็ช่างจงใจทิ้งข้อความพวกนี้มาให้ตี้ในยุคปัจจุบัน”
ปากอยากจะสวนกลับว่าไม่เชื่อ...แต่หัวใจของเขากลับเชื่อ นิมมานยกมือของตัวเองขึ้นดูพลางขมวดคิ้ว ความรู้สึกในใจมีแต่ความฉงน ห้วงความรู้สึกคือเหมือนตนเองเป็นคนสร้างข้อความเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ
“ปอม บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ตามทฤษฎีของฉัน ถ้าอดีตแรกเริ่มเปลี่ยน จากสิ่งที่ไม่เคยมีก็อาจมี สิ่งที่เคยมีก็อาจจะไม่มี จากแผ่นหินนี้ ฉันคิดว่าบางทีตี้เขาอาจไปแก้ไขเรื่องราว เพื่อให้มีนาย”
มือหนาลูบลงบนแผ่นหิวอย่างเผลอไผลถึงแม้ว่าจะไม่เห็นภาพอะไรแปลกตา ย้อนอดีต หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ความรู้สึกลอยได้เหมือนลูกโป่งอัดตัวอยู่ใต้ร่าง หากเรื่องบนแผ่นหินนี้คือความจริง แสดงว่าสมิตานันเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเขา...เขาที่เป็นนิมมานในอดีต
คิดมาถึงตรงนี้หัวใจที่เคยเต้นแรงหยุดลงแทบจะทันที ใบหน้าเกือบจะยิ้มติดบึ้ง เขาอิจฉาตัวเองในอดีต...ถ้าเกิดสมิตานันจำเขาในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นมา แต่จำคนในอดีตได้แทน
วารีมองหลานชายที่น่าปวดหัวเหมือนมีตัวร้ายมาปะทะกับเธอตั้งแต่เกิด เรียกเธอแบบไม่เคารพจนเธอหมั่นไส้มานานไหล่ตก ถอนหายใจเสียงดัง อารมณ์อยากแกล้ง หมั่นไส้ก็หมดไป เธอพอจะรู้ว่าอะไรที่นิมมานกลัว
“ในใจคงกลัวจะแพ้เกินครึ่งล่ะมั้ง”
“รู้ดี”
“ถ้าไม่รู้ดีฉันจะเรียกนายมาอ่านแผ่นหินนี้หรือไงจ๊ะคุณหลาน”
น้ำเสียงเย้า และสรรพนามแบบแดกดันว่าคุณหลานยิ่งทำให้หน้าของคนฟังเครียดเขม็งมากขึ้น “ตี้อยู่ที่ไหน”
“กำลังตามหาอดีตอยู่ คงอยากรู้ว่ามีอะไรที่ลืมไปเกิดขึ้น”
ท่าทางไม่ยี่หระของวารี แต่ใจความประโยคทำให้ชายหนุ่มได้ยินแล้ววิ่งออกไปไม่สนใจว่าน้าของตนหัวเราะไล่หลังแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขากระหวัดถึง ทั้งโกรธ น้อยใจในตัวหญิงสาวก็คือ
ทำไม...เขาในปัจจุบันแก้ปัญหาที่เธอพบเจอไม่ได้เลยหรืออย่างไร
....................................................................
คุณ konhin ไม่ได้เสื่อมยาวค่ะ ฮา ตอนนี้น่าจะเปิดเผยความจริงไปได้เยอะแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากค่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2556, 22:55:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2556, 22:55:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1562
<< บทที่ 18 : ตามหาความจริง | บทที่ 20 : ปล่อยอดีต >> |

mhengjhy 24 พ.ย. 2556, 23:57:06 น.
นิมมานสู้ๆ
นิมมานสู้ๆ

konhin 25 พ.ย. 2556, 00:24:11 น.
อดีตเปลี่ยนปัจจุบัน สงสารนิมมานเหมือนกันนะเนี่ย
อดีตเปลี่ยนปัจจุบัน สงสารนิมมานเหมือนกันนะเนี่ย

นักอ่านเหนียวหนึบ 25 พ.ย. 2556, 02:00:07 น.
สมิตา เทอก็ยังปล่อยให้นิมมานวิ่งตามเทอทุกชาติไป
ทำร้ายยยยยยยยย กันนิ!!!!!
สมิตา เทอก็ยังปล่อยให้นิมมานวิ่งตามเทอทุกชาติไป
ทำร้ายยยยยยยยย กันนิ!!!!!