ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 26


ขบวนม้าที่ควบออกจากปราสาทลินเด็นตั้งแต่เช้าตรู่เพิ่งจะได้หยุดพักเมื่อดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว โชคดีที่เส้นทางสู่แลมพ์ตันไม่ต้องผ่านเมืองเลอัน เจ้าชายเอเดรียนจึงหาที่พักแรมได้ไม่ยาก ชาวกรีนแลนด์แถบนี้คงจะยังไม่ได้ยินข่าวศึก พวกเขาจึงใช้ชีวิตไปตามปกติ มิได้แสดงอาการตื่นตระหนกหรือหวั่นกลัวภัยร้ายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาเลย ผู้ที่ดูจะวิตกกังวลยิ่งกว่าชาวเมืองหลายเท่ากลับกลายเป็นหญิงสาวคนเดียวในคณะเดินทางของพระองค์นี่เอง

นับตั้งแต่ยอมรับข้อเสนอและออกเดินทางจากลินเด็นสไตน์มาด้วยกัน เมลิอานาร์ก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา และแทบจะไม่ยอมหยุดพักเอาทีเดียวถ้าพระองค์ไม่ออกคำสั่งเฉียบขาดว่าจะค้างคืนที่หมู่บ้านแห่งนี้ แล้วดูเอาเถิด พอได้เข้ามานั่งเหยียดขาสบายๆ ในบ้านพักคนเดินทาง มีอาหารร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่นวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเหล้าผลไม้หมักรสเลิศ นางกลับเอาแต่เขี่ยอาหารในจานไปมาโดยไม่คิดจะตักเข้าปากสักคำ

“เจ้าจะอดอาหารประท้วงข้าหรือไงเมล” เจ้าชายเอเดรียนตรัสถามทีเล่นทีจริง แล้วกล่าวต่อโดยไม่หยุดรอคำตอบ

“ต้องให้บอกมั้ยว่าไม่สำเร็จหรอก”

เมลิอานาร์ตวัดหางตาผ่านหน้าผู้พูด พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มเนื้อในจานส่งเข้าปากเคี้ยวราวกับโกรธมันมาสักสิบชาติ เรียกเสียงหัวเราะแผ่วๆ ให้ดังขึ้นจากคนนั่งตรงข้าม

เจ้าชายเอเดรียนจ้องมองอากัปกิริยาของญาติสาวอย่างขบขัน เมลิอานาร์คงไม่รู้หรอกว่าการแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาของนางเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งที่หาได้ยากในหญิงอื่น

ถ้าจะว่ากันตามจริง เจ้าชายเอเดรียนยังไม่มีความคิดที่จะรับหญิงสาวคนใดเป็นคู่ครอง ไม่ว่าในตอนนี้หรือตอนไหน ทว่าผู้ที่อยู่ในฐานะอย่างพระองค์ย่อมจะหลีกเลี่ยงการถูกบังคับให้แต่งงานไปไม่พ้น จึงนับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ ‘ตัวเลือก’ ของพระองค์คือลูกพี่ลูกน้องที่ทรงสนิทสนมคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็ก ในสายพระเนตรของเจ้าชายเอเดรียน เมลิอานาร์ก็ไม่ต่างอะไรกับสหายเพศเดียวกันที่ทรงสบพระอัธยาศัย นางไม่มีนิสัยเจ้าแง่แสนงอนเอาใจยากแบบผู้หญิงทั่วไป ทำให้ทรงรู้สึกสบายพระทัยทุกครั้งยามได้อยู่ใกล้ ดังนั้น เมื่อราชาซาเรียผู้เป็นบิดาทรงออกพระโอษฐ์เรื่องการหมั้น เจ้าชายหนุ่มจึงตกปากรับคำโดยไม่เกี่ยงงอน

“โมโหเรื่องอะไร เจ้าเป็นฝ่ายเลือกเองนะเมล ข้าไม่ได้บังคับ”

คำถามยั่วเย้าพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มลึกในพระศอที่ลอยลมมายั่วโทสะ ทำให้เนื้อในจานของเมลิอานาร์ยิ่งถูกประทุษร้ายหนักขึ้น นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นฝ่ายตัดสินใจเดินทางกลับแลมพ์ตันเอง แต่นั่นก็เพื่อแลกกับการส่งทหารใต้บังคับบัญชาของชายหนุ่มไปช่วยกรีนแลนด์ขับไล่ผู้บุกรุก มันเป็นเงื่อนไขที่เขาบังคับให้นางจำต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่ว่านางนึกอยากจะกลับแลมพ์ตันขึ้นมาเองเสียหน่อย

“ข้าเคยบอกแล้วว่าสุดท้ายเจ้าก็ต้องแต่งงานกับข้า”

เมลิอานาร์ตวัดสายตาขุ่นๆ มองอีกฝ่ายโดยมิได้ปริปากโต้แย้ง ทว่าในใจเถียงทันควัน ...ไม่มีทางเสียหรอกที่นางจะยอมเข้าประตูวิวาห์กับเจ้าชายเอเดรียน ถึงอย่างไรนางก็ต้องหาวิธีล้มเลิกการแต่งงานบ้าบอนี่ให้ได้ ผิดนักก็เข้าไปกราบทูลราชาซาเรียตามตรง ต่อให้ถูกกริ้วถูกลงพระอาญาก็ยังดีกว่าต้องแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้รัก ซ้ำยังเป็นจอมเจ้าชู้อย่างเจ้าชายหนุ่มละน่า

...แล้วใครกันเล่าคือคนที่นางรัก?

หญิงสาวอยากจะหัวเราะขันคำถามประหลาดที่ผุดขึ้นในหัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่กลับหัวเราะไม่ออกเมื่อใบหน้ายิ้มกริ่มของใครคนหนึ่งผ่านแว้บเข้ามาในห้วงความคิดอย่างห้ามไม่ทัน นางรีบปัดภาพนั้นทิ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มเนื้อชิ้นสุดท้ายส่งเข้าปากเคี้ยวกลืนโดยเร็ว ดื่มเหล้าผลไม้ตามรวดเดียวหมดแก้ว แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ

“หม่อมฉันอิ่มแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ”

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”

เจ้าชายเอเดรียนร้องห้าม ทรงพยักพระพักตร์ให้ทหารผู้ติดตามหยิบห่อผ้าสีเทามาส่งให้จนถึงมือญาติสาว พระโอษฐ์ก็ตรัสไปด้วย

“นี่เป็นเสื้อกับกางเกงที่ข้าให้คนไปหาซื้อมาใหม่ เจ้าช่วยเปลี่ยนเสียก่อนออกเดินทางพรุ่งนี้ก็แล้วกัน บอกตามตรงว่าข้าทนเห็นเจ้าอยู่ในชุดนักบวชต่อไปไม่ไหวจริงๆ มันทำให้ข้าคอยแต่จะคิดว่ากำลังร่วมทางกับท่านปราชญ์ผู้ชราแห่งวิหารหลวง”

เมลิอานาร์ก้มมองห่อผ้าในมือ ออกจะเห็นด้วยว่าชุดนักบวชยาวรุ่มร่ามที่สวมอยู่ไม่ค่อยเหมาะกับการขี่ม้าเป็นระยะทางไกลเท่าใดนัก แต่เป็นเพราะเจ้าชายเอเดรียนไม่เปิดโอกาสให้นางได้เก็บเสื้อผ้าข้าวของก่อนออกเดินทาง นางจึงไม่ได้เปลี่ยนชุด ไม่ได้ร่ำลาเจ้าหญิงกาอิยาห์หรือแม้กระทั่งซิสที่พักอยู่ด้วยกัน และแน่นอนว่า...ไม่ได้กราบทูลราชาเอลเบอเรธ ซึ่งป่านนี้คงจะทรงพระพิโรธที่นางละทิ้งหน้าที่หลบหนีกลับแลมพ์ตันกลางคันอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อนึกถึงประมุขแห่งกรีนแลนด์ สายตาของหญิงสาวก็เหลือบไปมองนิ้วนางข้างซ้ายโดยอัตโนมัติ แหวนแห่งพันธะที่ประดับเด่นอยู่ตรงนั้นเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เมืองลัสเตอร์สโตนขึ้นมาอีก ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นวาบเข้าสู่สมอง หญิงสาวเผยอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ...นางรู้แล้วว่าจะปฏิเสธการแต่งงานกับเจ้าชายเอเดรียนได้อย่างไร!



สถานการณ์ทางเมืองหลวงยังไม่ทันจะคลี่คลาย ข่าวร้ายระลอกใหม่ก็ถาโถมเข้าใส่กรีนแลนด์อีกครั้งราวกับจะไม่เปิดโอกาสให้ราชาเอลเบอเรธได้หยุดพักหายพระทัย ด้วยเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการเคลื่อนไหวของทหารทาเนียร์บริเวณชายแดนทิศตะวันออกไม่ใช่การสับเปลี่ยนกำลังพล แต่เป็นการเตรียมทัพเพื่อบุกโจมตีกรีนแลนด์โดยเฉพาะ ซ้ำร้ายราชาไมนาสซึ่งวางพระองค์เป็นมิตรกับกรีนแลนด์มาโดยตลอดยังทำท่าจะยกทัพเข้าประชิดชายแดนด้านตะวันตกพร้อมกันอีกด้วย ทำให้ทหารจากแคว้นรัธและกองทัพที่ยกมาช่วยจากแลมพ์ตันต้องถูกส่งไปรับมือข้าศึกที่แคว้นอังมาร์และคิริธแทบทั้งหมด ลินเด็นสไตน์จึงถูกทิ้งให้เผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว

ราชาแห่งกรีนแลนด์ทรงถอนสายพระเนตรจากช่องพระแกล หันมามองแนวหมุดบนแผนที่เบื้องพระพักตร์อย่างไม่สบายพระทัย กองทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ขยับใกล้เมืองหลวงเข้ามาทุกที แสงเพลิงอันเกิดจากการเผาทำลายบ้านเรือนและไร่นาตามรายทาง สาดจับท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน แลเห็นได้ชัดเจนยิ่งในเวลาเย็นจวนพลบ

ชายในเครื่องแบบทหารผู้มีหนวดเรียวสวยอยู่เหนือริมฝีปากสรุปสถานการณ์ที่เมืองเลอันให้ราชาหนุ่มฟังอย่างรวบรัด เขารู้สึกเห็นใจพระองค์ยิ่งนัก ในสถานการณ์เช่นนี้ต้องถือว่าทรงทำดีที่สุดแล้ว ทว่าก็ยังเป็นรองศัตรูอยู่หลายขุมเพราะความไม่พร้อมในเรื่องกำลังและคน

“เรายังมีทหารเหลืออีกเท่าไหร่ท่านคาร์ล” ราชาเอลเบอเรธตรัสถามโดยไม่ละสายพระเนตรจากแผนที่

“ไม่ถึงห้าพันพ่ะย่ะค่ะ”

“แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไว้รักษาเมือง ที่เหลือให้ไปกับข้า”

“ฝ่าบาท” ที่ปรึกษาสูงวัยเงยหน้ามองประมุขของตนอย่างตกใจ “จะเสด็จเองหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าให้ราฟหรือคนอื่นนำทัพไปจะดีกว่า เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงโหดเหี้ยมนัก ทหารภายใต้พระบัญชาก็เช่นกัน กระหม่อมเกรงว่าจะไม่ทรงปลอดภัย”

“สงคราม มีคำว่าปลอดภัยด้วยหรือ หากข้าไม่ไป พวกทหารคงคิดว่าราชาแห่งกรีนแลนด์นี้ขี้ขลาดกระมัง”

“พวกทหารจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ทรงเป็นถึงองค์ประมุขที่พวกเขาต้องถวายชีวิตเพื่อปกป้อง ยิ่งกว่านั้นฝ่าบาททรงเป็นขวัญและกำลังใจของชาวกรีนแลนด์ทุกคน ถ้าไม่มีพระองค์ ชาวบ้านชาวเมืองจะอยู่กันได้อย่างไร ทรงนึกบ้างหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็เพราะนึกไงล่ะ ข้าถึงต้องไป” ราชาหนุ่มเหลือบพระเนตรมองสีหน้าเป็นกังวลของที่ปรึกษาสูงวัยนิดหนึ่ง ก่อนตรัสติดต่อกันไปว่า

“อย่าห่วงเลยท่านคาร์ล ข้าไม่เพลี่ยงพล้ำให้ศัตรูง่ายๆ หรอก ท่านเป็นคนฝึกสอนทั้งดาบและธนูให้ข้า ไม่รู้จักฝีมือลูกศิษย์ของตัวเองหรอกหรือ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นด้วยเลย”

“ข้าก็ไม่ได้ขอร้องให้ท่านเห็นด้วยนี่นะ”

ชายกลางคนได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง ลองราชาเอลเบอเรธตรัสเช่นนี้ละก็ ต่อให้เขาพยายามพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมอย่างไร พระองค์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งพระทัยอยู่ดี สุดท้ายผู้สูงวัยกว่าก็จำต้องยอมแพ้ ทำตามรับสั่งโดยไม่ลืมกำชับลูกน้องคนสนิทให้คอยอารักขาราชาหนุ่มอย่างถวายชีวิต


รุ่งเช้า ทหารชุดสุดท้ายที่จะออกไปต้านทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ก็พร้อมออกเดินทาง ตลอดถนนศิลาอันทอดจากปราสาทลินเด็นไปสู่ประตูบานใหญ่มีชาวบ้านมารอส่งทัพเป็นจำนวนมาก เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงแอบหนีพระพี่เลี้ยงติดตามเหล่านางกำนัลออกมารอส่งทัพกับเขาด้วย แรกทีเดียวทรงเห็นเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้นตามประสาเด็ก แต่พอได้ยินเสียงแตรสัญญาณเคลื่อนทัพดังวังเวง ได้เห็นภาพชาวบ้านพากันโยนช่อดอกไม้สีขาวลงบนพื้นถนนให้พวกทหารย่ำผ่านด้วยใบหน้าหมองเศร้า น้ำใสๆ ก็เอ่อท้นดวงเนตรโดยไม่รู้องค์ ท่ามกลางฝ้าน้ำตาอันพร่าพราย เจ้าหญิงทรงมองเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีเงินที่ดูคุ้นตาเหลือเกิน พระองค์จึงหลุดพระโอษฐ์ร้องเรียกก่อนที่ม้าสีขาวล้วนจะพาร่างนั้นเคลื่อนผ่านไป

“ฝ่าบาท”

พระสุรเสียงค่อยแสนค่อย แต่เจ้าของร่างบนหลังอาชาสีขาวก็เบือนพระพักตร์มามองราวกับจะได้ยิน เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบยื่นช่อดอกไม้ถวายด้วยใบหน้านองน้ำตา ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ตรงพระศอจนไม่อาจกล่าวถ้อยถวายพระพรตามธรรมเนียมได้แม้แต่คำเดียว

“ฝากแม่ข้าด้วยนะกายย์” นั่นคือกระแสรับสั่งสุดท้ายที่ทรงได้ยิน แล้วอาชาสีขาวก็ถูกกระตุ้นให้ย่างเหยาะห่างออกไปจนลับสายพระเนตร

เมื่อขบวนทหารเคลื่อนจากไปแล้ว ชาวบ้านที่พากันมาส่งทัพก็ทยอยแยกย้ายกันกลับที่พักอย่างเงื่องหงอย ถนนศิลาที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเมื่อครู่เหลือเพียงความว่างเปล่า ซากดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำทิ้งกลีบกระจายอยู่บนพื้น สักพักสายลมเย็นเฉียบก็พัดมา หอบเอากลีบสีขาวขาดวิ่นหมุนวนขึ้นไปบนฟ้าราวกับจะกล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปลิวหายไปในที่สุด



วันเวลาผ่านไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นอกกำแพงเมือง แต่ภาพที่ชาวบ้านเห็นจนเจนตาคือร่างโชกเลือดของทหารที่ถูกเข็นมาในรถบ้าง พาดมาบนหลังม้าบ้าง ให้ท่านหมอและพวกนักบวชได้มีงานทำกันจนล้นมือ พวกที่บาดเจ็บสาหัสก็ถูกหามพาเข้าไปรักษาพยาบาลในปราสาทลินเด็น พวกที่ตายก็ถูกส่งไปฝังไว้ที่สุสานหลวงเพื่อเป็นการให้เกียรติ ส่วนทหารที่บาดเจ็บไม่มากก็นอนรักษาตัวอยู่ในโรงไม้ซึ่งสร้างขึ้นอย่างอยาบๆ รอบจัตุรัสเมือง พออาการทุเลาจนสามารถจับอาวุธได้ก็ต้องกลับออกไปต่อสู้กับข้าศึกใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้วันแล้ววันเล่า ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของชาวบ้านที่เข้ามารวมตัวกันอยู่หลังกำแพง

ซิสเป็นอีกผู้หนึ่งที่รับฟังข่าวการเคลื่อนทัพของวูดแลนด์ด้วยหัวใจหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน เขาติดตามเหล่านักบวชออกมาช่วยดูแลคนเจ็บที่นอกปราสาททุกวันจนพอจะรู้ระแคะระคายเรื่องตื้นลึกหนาบางภายในกรีนแลนด์อยู่บ้าง ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มนำข่าวคราวจากนอกกำแพงมาเล่าให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ฟังก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามดิ้นรนหาวิธีขับไล่ศัตรูที่มารุกราน เขาก็ยิ่งปวดใจ จำนวนทหารบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นทุกวันบอกให้รู้ว่าลินเดนสไตน์คงจะยืนหยัดต้านทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ไปได้อีกไม่นานนัก ถ้าเมืองหลวงถูกตีแตก ขวัญและกำลังใจของชาวกรีนแลนด์ก็คงแหลกยับลงไปด้วย ถึงวันนั้นราชาคาลอสและบิดาของเขาคงช่วยกันฉีกทึ้งกรีนแลนด์ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซิสไม่อยากให้ภาพในจินตนาการของเขาเป็นจริงขึ้นมาเลย เด็กหนุ่มไม่ต้องการเห็นแผ่นดินเกิดของเจ้าหญิงกาอิยาห์ถูกเหยียบย่ำทำลายลงไปต่อหน้า ถ้าหากกรีนแลนด์จะต้องพ่ายแพ้ ก็ไม่ควรพ่ายแพ้เพราะน้ำมือของบิดาเขา

“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ” ซิสตั้งคำถามเมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าพิณโบราณ ไม่ได้มีทีท่าสนใจข่าวคราวจากสนาบรบที่เขานำมาถ่ายทอดให้ฟังอย่างทุกครั้ง

เวลานี้อยู่ในช่วงตึงเครียด ทุกคนในปราสาทลินเด็นต่างก็วิ่งวุ่นช่วยกันจัดเตรียมหยูกยาผ้าพันแผลให้พวกทหาร จนไม่มีใครมีเวลาจะมานั่งจับผิดใคร เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงออกมาพบกับเด็กหนุ่มที่วิหารจันทราในยามพลบค่ำได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพระพี่เลี้ยงดุเอาอย่างเคย

“กำลังหาทางขึงสายพิณ ข้าจะอัญเชิญกองทัพเงา”

เด็กสาวตอบพร้อมกับหยิบกล่องสี่เหลี่ยมสานด้วยเส้นทองคำเป็นลวดลายโปร่งตาออกมาอวด พอปลดสลักบนฝา สปริงที่ล็อกอยู่ด้านในก็ดีดตัวขึ้น เผยให้เห็นเส้นโลหะละเอียดเล็กราวเส้นผมม้วนขดเป็นวงวางอยู่บนหมอนกำมะหยี่สีน้ำเงินซีดจาง

ซิสยื่นหน้าเข้าไปดูด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเห็นโลหะที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อน สีสันของมันค่อนข้างแปลก จะว่าเป็นสีเงินก็ไม่ใช่ หรือจะว่าเป็นสีทองก็ไม่เชิงอีกนั่นแหละ เมื่อลองสัมผัสดูก็พบว่ามันไม่ได้แข็งกระด้างเย็นเฉียบอย่างที่โลหะควรจะเป็น หากแต่นุ่มนวลละมุนมือดุจแพรไหมคล้ายกับลักษณะของเส้นผม เพียงแต่เส้นผมปกติไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็นเมื่อได้สัมผัสเหมือนกับของในกล่องนี้

“เจ้าว่านี่จะใช่เส้นผมของเทวีซินเธียมั้ยซิส” เจ้าหญิงกาอิยาห์เงยพระพักตร์ขึ้นตรัสถาม

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง มันอาจจะเป็นแค่เส้นไหมหรืออะไรสักอย่างที่คล้ายกันก็ได้”

“แต่ข้าไม่เคยเห็นเส้นไหมที่มีลักษณะเหมือนอย่างนี้มาก่อน” คนเป็นเจ้าหญิงแย้งพลางหยิบของปริศนาในกล่องออกมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด นอกจากความยาวแล้ว มันยังมีความเหนียวอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะออกแรงดึงเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าเส้นสีทองเหลือบเงินขนาดเล็กเท่าเส้นผมขาดออกจากกันได้เลย

“ไม่รู้ละ ไม่ว่าเจ้านี่จะเป็นเส้นผมของเทวีซินเธียหรือไม่ ข้าก็จะใช้มันขึงแทนสายพิณแล้วลองบรรเลงดู”

ซิสส่งเสียง ‘เฮอะ’ เบาๆ ในลำคออย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก แค่คิดว่าม้าดีดกะโหลกอย่างเจ้าหญิงกาอิยาห์จะบรรเลงพิณเขาก็นึกสงสารหูของคนที่ต้องทนฟังขึ้นมาแล้ว

“ทำไม หรือว่าเจ้ามีปัญหา” น้ำเสียงของเด็กสาวชักขุ่น

“เปล่า” เด็กหนุ่มยักไหล่ “ข้าน่ะหรือจะกล้ามีปัญหากับแผนการอันชาญฉลาดของเจ้า ว่าแต่เจ้าเถอะ รู้วิธีบรรเลงพิณด้วยหรือ”
คนเป็นเจ้าหญิงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะถูกถามจี้ใจดำ ถึงแม้แผนการที่จะอัญเชิญกองทัพเงาตามบันทึกของนักบวชแอนเดเมียนจะดูสิ้นคิดไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นความหวังเพียงประการเดียวที่จะขับไล่กองทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ให้พ้นไปจากกรีนแลนด์ได้ด้วยกำลังทหารที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะฉะนั้น ต่อให้โดนซิสจิกกัดสักแค่ไหนพระองค์ก็ไม่มีวันล้มเลิกความตั้งพระทัยอย่างเด็ดขาด

“พิณก็เป็นแค่เครื่องดนตรีที่มีสายละน่า หัดๆ เข้าเดี๋ยวก็เป็นเองแหละ”

ซิสได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้จะขำหรือโมโหความดันทุรังของอีกฝ่ายดี แม้ตัวเขาจะไม่เคยสนใจหัดเล่นดนตรีชนิดไหนมาก่อน ด้วยมองว่าเป็นเรื่องของพวกผู้หญิง แต่ก็พอจะรู้ว่าในบรรดาเครื่องดนตรีหัดยากทั้งหลายมีพิณรวมอยู่ด้วยในอันดับต้นๆ ขนาดพี่สาวคนโตของเขาซึ่งได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ทางดนตรีมาตั้งแต่เด็กยังต้องใช้เวลาเรียนรู้นานนับปี แล้วม้าดีดกะโหลกอย่างเจ้าหญิงกาอิยาห์มิต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นสองเท่าหรอกหรือ ไหนจะต้องค้นหาบทเพลงที่นักบวชแอนเดเมียนใช้บรรเลงพิณให้พบอีก ที่สำคัญ ซิสไม่เชื่อว่านิทานหลอกเด็กอย่างเรื่องกองทัพเงาของเทวีซินเธียตามที่เขียนไว้ในบันทึกจะเป็นจริงขึ้นมาได้ เขาคิดว่าแผนการของเจ้าหญิงกาอิยาห์น่าจะมีแต่ทางล้มเหลวเสียมากกว่า

บางที... อาจจะถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้วกระมัง

คืนนั้น ซิสตัดสินใจไปพบเกรย์กับอเล็กซ์ที่ห้องพักพร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อความในจดหมายคือการยื่นข้อต่อรองให้ราชาไมนาสเลิกทัพกลับวูดแลนด์โดยทันที และห้ามรุกรานกรีนแลนด์อีก แล้วเขาจะยินยอมเดินทางกลับไปรับโทษที่หนีออกจากบ้านแต่โดยดี



เสียงดนตรีแผ่วเบาคลับคล้ายจะลอยแทรกมากับสายลมเป็นท่วงทำนองพริ้วหวานเยือกเย็นราวสัมผัสของละอองน้ำในสายหมอก ปลุกปลอบหัวใจที่ระทดท้อให้แช่มชื่นมีกำลังขึ้นมาแม้ในสถานการณ์ที่เกือบจะเรียกได้ว่าสิ้นหวังอย่างเวลานี้ ราชาเอลเบอเรธทรงเหวี่ยงดาบในพระหัตถ์เข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง พร้อมทั้งหลบคมอาวุธที่สวนกลับมาในจังหวะเดียวกัน พระกรทั้งสองข้างแม้หนักและล้าเพียงใดก็ไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวได้ พระหัตถ์ซ้ายยกโล่ขึ้นรับคมอาวุธ พระหัตถ์ขวาฟาดพระแสงดาบใส่ข้าศึก ครั้งแล้วครั้งเล่า คนแล้วคนเล่า เสียงเนื้อกระทบคมดาบดังฉัวะฉะไม่มีหยุดหย่อน ร่างในเครื่องแบบทหารสีแดงประดับสัญลักษณ์รูปดาวสี่แฉกถูกฟันล้มลงไปกองกับพื้นดินแดงฉานด้วยคราบโลหิต แต่รอบกายของราชาหนุ่มก็ยังเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารทาเนียร์ คนนี้ล้ม อีกคนก็ก้าวเข้ามาแทนที่ราวกับว่าจะไม่มีวันหมดสิ้น

“ฝ่าบาท ระวังพ่ะย่ะค่ะ”

ลูกธนูที่ยิงมาจากระยะไกล ถูกราฟใช้ดาบปัดออกไปได้หวุดหวิดก่อนจะทันสัมผัสพระวรกายประมุขแห่งกรีนแลนด์ นายทหารหนุ่มเหลือบตามองหาเจ้าของธนูอย่างรวดเร็ว ทันได้เห็นชายหนุ่มบนหลังม้าแวบหนึ่ง

“เจ้าชายดิเร็กซ์พ่ะย่ะค่ะ” ราฟหันไปฟาดอาวุธในมือใส่ศัตรู ปากก็กราบทูลไปด้วย

ทว่าโชคร้ายที่มิใช่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็นเจ้าชายแห่งทาเนียร์ เจ้าชายดิเร็กซ์เองก็ทรงทอดพระเนตรเห็น ประมุขแห่งกรีนแลนด์แล้วเช่นกัน อาชาสีน้ำตาลแดงจึงถูกกระตุ้นให้พุ่งทะยานเข้าหาราชาหนุ่มทันทีที่ลูกธนูดอกแรกพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงชั่วอึดใจม้าสีน้ำตาลแดงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเป้าหมาย เจ้าชายดิเร็กซ์ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตวัดดาบในพระหัตถ์หมายบั่นเศียรประมุขแห่งกรีนแลนด์ผู้เป็นดั่งหนามยอกอกชิ้นโต เพื่อจะจบหน้าที่ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ ทว่าราชาเอลเบอเรธทรงเบี่ยงพระวรกายหลบได้ทัน คมดาบจึงถูกเพียงพระพาหาเรียกเลือดสีแดงสดให้ทะลักรินราวกับสายน้ำ

เจ้าชายดิเร็กซ์กัดฟันกรอด บังคับอาชาให้วนย้อนกลับมาอีกครั้ง หมายปลงพระชนม์ราชาแห่งกรีนแลนด์ให้จงได้ ระหว่างที่ทรงเงื้อพระแสงดาบขึ้นจนสุดล้า อยู่ๆ ท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงแดดก็พลันมืดครึ้ม สายลมกระโชกแรงพัดพากลุ่มเมฆดำทะมึนให้ลอยมารวมตัวกันอยู่เหนือสมรภูมิรบ ผงคลีคลุ้งตลบจนเจ้าชายแห่งทาเนียร์ต้องลดพระหัตถ์ลงป้องพระเนตร ท่ามกลางสภาพดินฟ้าอากาศอันวิปริตแปรปรวนนั้นเอง เงาดำคล้ายคนสวมชุดเกราะก็ค่อยๆ ผุดขึ้นจากพื้นดินราวกับภูตผี ความน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ตระหง่านเงื้อมอย่างนักรบโบราณ ข่มขวัญทุกผู้ที่ได้พบเห็นให้รู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปในอก ...พวกเขาคือนักรบเงาในตำนาน ผู้ไร้หน้า ไร้เสียง ไร้ชีวิต และ...ไร้ความปราณี

“อย่าไปกลัว สู้มัน” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

การต่อสู้เปิดฉากอีกครั้งด้วยความดุเดือดยิ่งกว่าเดิม หากคราวนี้ทหารทาเนียร์มิได้เป็นต่อเช่นคราวแรก นักรบเงาที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดฝันสร้างกำลังใจให้กับทหารฝ่ายกรีนแลนด์จนกล้าบุกเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่คิดชีวิต ประกอบกับทหารแลมพ์ตันที่เจ้าชายเอเดรียนทรงรับปากกับเลดี้เมลิอานาร์ว่าจะส่งมาช่วย กรีฑาทัพเข้ามาสมทบพอดี สถานการณ์จึงพลิกกลับทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบทันตาเห็น เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงถูกหอกซัดของแม่ทัพแลมพ์ตันพลัดตกจากหลังอาชาทรงได้รับบาดเจ็บ ราชาเอลเบอเรธทันได้เห็นชายหนุ่มเพียงแวบเดียวก่อนที่ร่างนั้นจะกลืนหายไปในทะเลแห่งการต่อสู้

เมื่อสิ้นสุดเสียงดนตรีจากอักษรรูนตัวสุดท้าย ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำก็สว่างขึ้นทีละน้อยพร้อมกับการจากไปของนักรบเงา สิ่งที่เหลืออยู่ในสนามรบคือซากร่างของทหารที่กองทับถมกันเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง ทหารทาเนียร์ที่ยังรอดชีวิตบ้างก็หนีเอาตัวรอด บ้างก็ทิ้งอาวุธคุกเข่ายอมแพ้ สงครามที่เมืองหลวงจบสิ้นลงแล้วด้วยชัยชนะของกรีนแลนด์ ทว่าไม่มีผู้ใดพบพระศพของเจ้าชายดิเร็กซ์ ทั้งยังไม่มีข่าวว่าพระองค์เสด็จกลับทาเนียร์อีกด้วย กล่าวกันว่าความอัปยศที่เจ้าชายหนุ่มไม่อาจปลงพระชนม์ราชาเอลเบอเรธได้ในครั้งนั้น ทำให้ทรงหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย



สถานการณ์ในกรีนแลนด์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น เมื่อราชาไมนาสตัดสินพระทัยถอนทัพกลับวูดแลนด์อย่างกะทันหันโดยไม่มีใครรู้เหตุผล กำลังทหารทั้งหมดของกรีนแลนด์จึงทุ่มเทไปช่วยทางอังมาร์ได้เต็มที่ การสู้รบยังคงยืดเยื้อต่อไปจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงโดยไม่มีวี่แววว่าผู้บุกรุกจะได้รับชัยชนะ ในที่สุดราชาคาลอสก็ต้องยอมเลิกทัพกลับทาเนียร์ด้วยความผิดหวัง สงครามจึงสงบลงโดยที่กรีนแลนด์ได้รับความบอบช้ำน้อยกว่าที่คิด

ราชาเอลเบอเรธทรงมีพระราชสาส์นขอบพระทัยไปยังราชาซาเรียพร้อมด้วยทองคำสิบหีบ เพื่อพระราชทานตอบแทนทหารแลมพ์ตันที่ยกทัพมาช่วย ส่วนทหารที่ประจำการอยู่ในกรีนแลนด์ก็ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจนยิ้มแก้มปริไปตามๆ กัน ราฟได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพแทนแม่ทัพคนเดิมที่เสียชีวิตในการศึก ท่านคาร์ลได้รับพระราชทานคฑาทองคำในฐานะผู้ให้คำปรึกษา เจ้าชายกันนาร์แม้จะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลใดๆ ด้วยมีความผิดติดพระองค์ ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษเป็นการตอบแทน คนสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือเจ้าหญิงกาอิยาห์ ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดผาดแผลงของนางที่จะอัญเชิญกองทัพเงา กรีนแลนด์ก็อาจจะไม่รอดมาถึงวันนี้ ราชาเอลเบอเรธจึงพระราชทานพรพิเศษให้เด็กสาวมีสิทธิเลือกคู่ครองด้วยตนเองเมื่อถึงวัยอันสมควร

ชีวิตในกรีนแลนด์ค่อยกลับคืนสู่ความสงบสุขหลังการศึกผ่านพ้น ศพทหารที่ตายในสมรภูมิถูกเผาในเวลาอันรวดเร็วเพื่อมิให้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค บ้านเรือนและไร่นาที่เสียหายได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนกลับมามีสภาพดีดังเดิม ชาวบ้านที่อพยพเข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองทยอยกลับคืนสู่เคหาของตน ย่านร้านค้าเริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาด้วยแผงลอยและผู้คนอีกครั้ง เมื่อฤดูกาลผันเวียนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ บาดแผลจากสงครามก็จางหายจนไม่หลงเหลือร่องรอยบอบช้ำใดๆ ให้เห็นอีก ต่างจากบาดแผลในพระหทัยของราชาหนุ่ม ที่นับวันก็จะยิ่งกำเริบหนักจนไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ ชาวแลมพ์ตันจึงมีโอกาสได้รับเสด็จประมุขแห่งกรีนแลนด์อย่างไม่คาดฝัน...



angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ย. 2556, 09:08:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ย. 2556, 09:08:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1648





<< ตอนที่ 25   ตอนที่ 27 >>
ree 30 พ.ย. 2556, 09:22:42 น.
เหมือนเรื่องจะดำเนินมาจนใกล้จะจบแล้ว แต่พิษยังไม่ถูกถอนเลย


ชลวารี 30 พ.ย. 2556, 16:32:21 น.
พระเอกของเราทำไงต่อเอ่ย รออ่านตต่อนะคะ


Amarilys 1 ธ.ค. 2556, 09:36:45 น.
ง่ะ ดีเร็กซ์ยังไม่ตายชัวร์ รีบๆ ไปรับเมลกลับมาเตรียมสู้กับหายาแก้พิษต่อเร็วๆ นะท่านเอล .. จะรอตอนต่อไปนะคะไรเตอร์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account