ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 27

ม้าสองตัวย่างเหยาะตามกันไปบนสะพานหินทอดข้ามลำธารใสไปสู่ถนนดินฝั่งตรงข้าม สองฟากถนนขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กำลังผลิใบอ่อนเขียวขจีดูสดชื่น แซมสลับด้วยทิวสนและทุ่งดอกไม้ป่าหลากสีสมกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ ถัดออกไปคือหลังคาโรงนาและบ้านเรือนที่ปลูกกระจายอยู่ตามไหล่เขา แลเห็นเป็นชั้นลดหลั่นลงมาจนถึงพื้นราบคล้ายแอ่งกะทะ ด้วยสภาพภูมิประเทศอันมีภูเขาโอบล้อมถึงสามด้านทำให้แลมพ์ตันแทบจะเป็นเมืองปิด การติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องอาศัยกรีนแลนด์เป็นทางผ่าน ราชาซาเรียจึงพยายามผูกมิตรกับกรีนแลนด์ทั้งทางการทูตและการทหาร เพื่อมิให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นในภายหลัง
เมื่อพ้นเขตชนบทก็เข้าสู่ย่านร้านค้าในตัวเมือง ชายแปลกหน้าทั้งสองตวัดร่างลงจากหลังม้า คนแรกเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ในขณะที่อีกคนขยับกายอย่างอึดอัด สุดท้ายก็อดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยปากว่า

“ฝ่าบาท เสด็จมาเช่นนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ เกิดเจ้าชายเอเดรียนทรงทราบ จะเคืองเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“เคืองเรื่องอะไร ข้าแค่มาตามท่านเมลกลับไปทำหน้าที่ให้เรียบร้อย นางรับปากพวกเราไว้ว่าจะช่วยคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีน จำไม่ได้หรือ”

“จำได้พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าท่านเมลเป็นใคร แต่ตอนนี้รู้แล้ว บางทีเราน่าจะหานักบวชอื่นมาช่วยเจ้าหญิงแคธรีนแทนท่านเมลไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นเขามีงานอะไรกัน”

‘ฝ่าบาท’ แกล้งทำหูทวนลมไม่สนใจคำแนะนำของอีกฝ่าย หันไปทอดพระเนตรธงหลากสีที่ประดับอยู่ตลอดแนวถนนเรื่อยไปจนถึงลานน้ำพุกลางจัตุรัสเมือง

เจ้าชายกันนาร์ถอนใจเฮือก

“กระหม่อมจะไปสอบถามแม่ค้าผู้นั้นให้พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง เจ้าไปจัดการเรื่องที่พักเถอะ ข้าไปถามเอง” พูดแล้วชายหนุ่มก็ส่งสายบังเหียนในมือให้สหาย เดินดุ่มเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่แผงขายผลไม้ติดกับบ้านพักคนเดินทางโดยไม่รอฟังคำคัดค้าน

“ขอโทษครับท่านป้า” เขาเอ่ยทักอย่างสุภาพพร้อมกับคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นสว่างไสวเสียจนแทบจะทำให้แดดจ้ายามบ่ายโรยแสงลงได้ทีเดียว

“มีอะไรหรือจ๊ะพ่อหนุ่ม” แม่ค้าวัยกลางคนยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร มองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนต่างถิ่น ที่แลมพ์ตันไม่ค่อยมีนักเดินทางแวะเวียนมาบ่อยนัก ยกเว้นอาคันตุกะขององค์ราชา นางเดาว่าชายหนุ่มกับสหายที่เพิ่งเดินหายเข้าไปในบ้านพักคนเดินทางคงจะได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวัง จึงกล่าวต่อไปอย่างเอื้อเฟื้อว่า

“ถ้าจะถามทางไปพระราชวังละก็ ควบม้าตรงไปตามถนนนั่น เลี้ยวขวาสองครั้งก็ถึงแล้ว”

“ขอบคุณครับท่านป้า แต่ข้าไม่ได้จะไปที่พระราชวังหรอกครับ แค่อยากรู้ว่าที่นี่มีงานฉลองอะไรถึงได้ประดับธงทิวเต็มไปหมด”

แม่ค้าผู้นี้ออกจะช่างเจรจาและไม่กลัวคนแปลกหน้า เมื่ออีกฝ่ายพูดด้วยอย่างมีอัธยาศัยนางก็เต็มอกเต็มใจตอบ

“อ๋อ... งานฉลองพิธีหมั้นของเจ้าชายเอเดรียนน่ะจ้ะ พระองค์ทรงมีกำหนดแลกแหวนแห่งพันธะกับเลดี้เมลิอานาร์วันนี้”

“วันนี้” ชายหนุ่มทวนคำพลางย่นหัวคิ้วอย่างแปลกใจ

“เจ้าชายเอเดรียนทรงหมั้นกับเลดี้เมลิอานาร์ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือครับ ทำไมเพิ่งจะทำพิธีแลกแหวน”

“ฮู้ย..” แม่ค้าทำเสียงสูงพลางโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “เจ้าคงไปได้ยินข่าวเก่ามาละสิ เจ้าชายยังไม่ได้หมั้นหรอกจ้ะพ่อหนุ่ม ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะทรงหมั้นก็จริง แต่เลดี้เมลิอานาร์เกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน พิธีก็เลยต้องเลื่อนออกไป พอนางหายป่วยเจ้าชายเอเดรียนก็ต้องนำทัพไปช่วยกรีนแลนด์ทำศึกอยู่นานนับเดือน เพิ่งจะได้กำหนดวันทำพิธีหมั้นกันจริงๆ หนนี้แหละ อ้อ..ถ้าพ่อหนุ่มไม่มีธุระร้อนอะไรก็อยู่ร่วมงานฉลองก่อนสิ”

เอลเบอเรธนิ่งอั้นไปอึดใจใหญ่ก่อนย้อนถาม

“ที่ไหนครับ”

“ที่จัตุรัสเมืองนี่แหละจ้ะ งานจะมีขึ้นตอนค่ำๆ”

“ไม่ใช่ครับ ข้าหมายถึง... พิธีหมั้นของเลดี้เมลิอานาร์”

“อ้อ...” แม่ค้าหัวเราะแก้เก้อแล้วรีบกล่าวต่อ “พิธีจัดขึ้นที่คฤหาสน์โรสอคาเซีย บ้านของเลดี้เมลิอานาร์นั่นแหละจ้ะ ป่านนี้พิธีคงเริ่มไปแล้วละ ว่าแต่ที่ถามนี่พ่อหนุ่มจะไปร่วมพิธีด้วยอย่างนั้นหรือ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ หากซักถามเส้นทางไปยังคฤหาสน์โรสอคาเซียจากอีกฝ่ายอย่างละเอียด แล้วรีบร้อนขอตัวแยกจากมา



พิธีแลกแหวนแห่งพันธะระหว่างเจ้าชายเอเดรียนกับเลดี้เมลิอานาร์ เดอ โรเซสซัส ถือเป็นงานใหญ่ที่ชาวแลมพ์ตันให้ความสนใจและพูดถึงกันไม่หยุดปาก เพราะต่างก็ตื่นเต้นที่ชายหนุ่มเนื้อหอมผู้มีข่าวลือกับหญิงสาวไปทั่วทุกสารทิศจะสละโสดอย่างเป็นทางการ แขกเหรื่อจึงหลั่งไหลมาร่วมเป็นสักขีพยานที่คฤหาสน์โรสอคาเซียกันมากมายจนห้องโถงกว้างดูคับแคบไปถนัดตา เมื่อได้เวลาที่ทุกคนรอคอย หญิงสาวสวยในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีขาวพิสุทธิ์ก็ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยเจ้าชายเอเดรียน ทั้งสองเดินเคียงกันไปบนพื้นพรมสีกุหลาบ ผ่านบรรดาแขกผู้มีเกียรติหลายสิบคนเพื่อไปนั่งยังเก้าอี้ซึ่งจัดเตรียมไว้เบื้องพระพักตร์ราชาซาเรีย สายตาทุกคู่ในที่นั้นต่างก็จับจ้องไปยังร่างโปร่งระหงเป็นตาเดียว เสียงพึมพำแสดงความชื่นชมดังไม่ขาดปาก ทำให้ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตยิ้มแก้มปริด้วยความพึงพอใจ

พิธีสำคัญเริ่มต้นขึ้นด้วยการเอ่ยพจน์บูชาทวยเทพของท่านปราชญ์แห่งวิหารหลวง จากนั้นเจ้าชายเอเดรียนทรงกล่าวคำสาบานศักดิ์สิทธิ์ว่าพระองค์ตกลงพระทัยจะรับเลดี้เมลิอานาร์เป็นชายา และจะอภิเษกสมรสกับนางเมื่อถึงเวลาอันควรโดยผูกพันสัญญานี้ไว้ด้วยแหวนแห่งพันธะ เมื่อกล่าวจบ เด็กรับใช้ก็อัญเชิญแหวนทองคำเข้ามาให้ฝ่ายหญิงสวมถวายเจ้าชายเอเดรียน ก่อนที่นางจะเป็นฝ่ายกล่าวคำสัตย์สาบานและให้เจ้าชายสวมแหวนประทานบ้าง ทว่าเพียงเมลิอานาร์เอื้อมมือไปหยิบแหวน ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากกว่านั้น สายพระเนตรอันเฉียบคมของเจ้าชายเอเดรียนก็พลันเหลือบไปเห็นประกายของ ‘อะไร’ บางอย่างบนเรียวนิ้วของหญิงสาวเข้าเสียก่อน พระหัตถ์ที่เตรียมจะยื่นให้นางจึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

ใช่แต่เจ้าชายหนุ่มเท่านั้นที่ทรงสังเกตเห็น บรรดาแขกเหรื่อรวมทั้งคนรับใช้ที่พากันมาแอบดูอยู่ตามหลืบเสา ต่างก็มองเห็นแหวนทองคำประดับพลอยน้ำทะเลสีเข้มจัดบนนิ้วนางซ้ายของเลดี้เมลิอานาร์กันถ้วนหน้า เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงดังอื้ออึงจนฟังไม่ได้สรรพ ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตถึงกับถลาจากเก้าอี้ที่นั่งวางสง่าอยู่ในฐานะมารดาของฝ่ายหญิง แล่นลงมาคว้ามือลูกสาวขึ้นมองดู ก่อนกระซิบถามเสียงสั่นด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ

“เจ้าสวมแหวนอะไรกันเมลิอานาร์ รีบถอดออกเดี๋ยวนี้นะ”

“นี่หรือคะ” เมลิอานาร์คลี่ยิ้ม จงใจกระดิกนิ้วให้ประกายระยับของพลอยน้ำทะเลกระพริบวูบวาบเข้าตามารดาขณะปฏิเสธเสียงดังฟังชัดได้ยินไปทั้งห้องโถง

“คงถอดออกไม่ได้หรอกค่ะท่านแม่ นี่เป็นแหวนแห่งพันธะที่มีผู้สวมให้ข้า”

“แหวนแห่งพันธะที่มีผู้สวมให้เจ้า โอ๊ย ตายแล้ว ข้าจะเป็นลม”

ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตยกมือลูบอก ส่งเสียงเรอเอิ้กอ้ากราวกับจะเป็นลมจริงๆ ดังที่พูด จนท่านหัวหน้าองครักษ์ผู้เป็นสามีต้องเรียกเหล่าสาวใช้ให้มาช่วยประคองพากลับไปนั่งยังเก้าอี้ ช่วยกันนวดเฟ้นพัดวีกันเป็นการใหญ่

“แหวนแห่งพันธะอย่างนั้นหรือ”

เจ้าชายเอเดรียนทรงหรี่พระเนตรมองญาติสาวคล้ายกำลังค้นหาความจริงจากนาง

“ของใครกัน...”

“เอลเพคะ”

เมลิอานาร์ทูลตอบรวดเร็วทันใจ หากไม่ยอมขยายความมากไปกว่านั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาเอาเองว่าชายหนุ่มชื่อ ‘เอล’ เป็นใครมาจากไหน มีหน้าตาท่าทางและฐานะเช่นไร ...แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ได้โกหก แหวนวงนี้เป็นแหวนแห่งพันธะจริงๆ และ ‘เอล’ ก็เป็นผู้สวมให้นางจริง เพียงแต่วัตถุประสงค์ของการสวมแหวนเป็นคนละอย่างกับที่ใครต่อใครในห้องพากันคิด ซึ่งข้อหลังนี้หญิงสาวไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องขยายความให้พวกเขารู้

เจ้าชายเอเดรียนทรงนิ่งอั้นไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบจากปากญาติสาว แม้ไม่คิดจะเชื่อ หากพระองค์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแหวนที่ประดับเด่นอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเมลิอานาร์ คือสัญลักษณ์แทนคำสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของชายหนุ่มหญิงสาวที่ตกลงใจจะแต่งงานกันตามธรรมเนียมแลมพ์ตัน ซึ่งไม่มีใครสามารถลบล้างคำสัตย์สัญญานั้นได้โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ข้อนี้เองทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องฝืนพระทัยยอมรับว่าทรงพลาดท่าให้อีกฝ่ายเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่าเมลิอานาร์จะหาทางเอาตัวรอดจากการแต่งงานกับพระองค์ไปได้จริงๆ ซ้ำยังใช้วิธีที่แสนจะง่ายดายและตรงไปตรงมาจนแม้แต่พระองค์ก็ยังคิดไม่ถึงเสียด้วย

เจ้าชายเอเดรียนทรงถอนพระปัสสาสะด้วยความหงุดหงิดพระทัยที่ทรงเสียรู้อีกฝ่าย ยิ่งทบทวนเหตุการณ์ที่แลมพ์ตันก่อนหน้านี้ พระองค์ก็ยิ่งตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น รอยแย้มสรวลละมุนตรงมุมโอษฐ์จึงใกล้เคียงอาการแยกเขี้ยวเข้าไปทุกที

“สรุปว่าเจ้าหลอกข้าสินะ”

เมลิอานาร์แสร้งขมวดคิ้วตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ความจริงเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“อย่าทรงกล่าวหากันง่ายๆ สิเพคะ หม่อมฉันไปหลอกพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ยังจะมีหน้ามาถาม ก็เจ้าเองไม่ใช่หรือที่รับปากว่าหากข้าส่งทหารไปช่วยกรีนแลนด์ขับไล่กองทัพของเจ้าชายดิเร็กซ์ เจ้าจะยอมกลับแลมพ์ตันพร้อมข้า”

“หม่อมฉันก็ตามเสด็จพระองค์กลับแลมพ์ตันตามที่รับปากไว้ ไม่ใช่หรือเพคะ”

“เมล” เจ้าชายเอเดรียนทรงลากพระสุรเสียงพลางส่ายพระพักตร์เมื่อเห็นอาการ ‘หน้าซื่อตาใส’ ของอีกฝ่าย “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าการกลับแลมพ์ตันพร้อมข้าหมายถึงสิ่งใด”

“กลับแลมพ์ตันก็คือกลับแลมพ์ตันสิเพคะ จะหมายถึงสิ่งใดได้อีก”

เจ้าชายเอเดียนทรงถอนพระปัสสาสะอีกเฮือกด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งระอา ในเมื่อเมลิอานาร์ยืนกรานเช่นนั้นพระองค์ก็คร้านที่จะคาดคั้นนางต่อไป แม้ในส่วนลึกจะทรงรู้สึกเสียดายหญิงสาวอยู่ไม่น้อย แต่จะให้ถึงขั้นยื้อแย่งนางจากชายอื่น คนอย่างพระองค์ไม่คิดจะทำ สำหรับเจ้าชายเอเดรียนแล้ว การหาผู้หญิงที่ถูกพระทัยคนใหม่ดูจะเป็นวิธีที่สะดวกสบายและง่ายกว่า พระองค์จึงยอมหักพระทัยถอยออกมาอย่างลูกผู้ชาย

“ก็ได้ ข้ายอมแพ้” แม้พระโอษฐ์จะตรัสเช่นนั้น หากยังไม่วายกระซิบขู่ทิ้งท้ายอย่างไว้เชิง

“แต่อย่าให้ข้าจับได้เชียวนะว่าเจ้าโกหกเรื่องแหวน”

จากนั้นเจ้าชายเอเดรียนก็ทรงลุกขึ้น เสด็จตัวปลิวออกจากห้องไปไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้บรรดาสักขีพยานนั่งอึ้งมองหน้ากันเองด้วยความรู้สึกอลักเอลื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สักพักราชาซาเรียก็ตัดสินพระทัยเสด็จตามพระโอรสไปอีกพระองค์ แขกเหรื่ออื่นๆ จึงได้โอกาสทยอยลุกขึ้นบ้าง พริบตาเดียวห้องโถงอันกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตที่ยังคงนั่งเรอเอิ้กอ้ากอย่างรับไม่ได้อยู่บนเก้าอี้ มีสามีและสาวใช้รุมล้อมดูแลด้วยความเป็นห่วง ส่วนธิดาสาวตัวต้นเหตุผู้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอันใดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็นั่งอมยิ้มมองอาการ ‘ลมจับ’ ของมารดาอยู่ด้วยความอิ่มเอมใจที่ทำลายพิธีหมั้นลงได้สำเร็จ โดยหารู้ไม่ว่าในจำนวนผู้มาร่วมงานที่ทยอยแยกย้ายเดินจากไปนั้นมีเงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปะปนอยู่ด้วย...



วันรุ่งขึ้นคฤหาสน์โรสอคาเซียก็มีโอกาสได้ต้อนรับอาคันตุกะแปลกหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชวนมอง แต่งกายงามประณีตด้วยเสื้อทูนิคสีเทาเงินปักเส้นไหมเงินเป็นลวดลายละเอียดยิบบริเวณคอและขอบแขน คาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลไหม้ซึ่งเป็นสีเดียวกับกางเกงขายาวและรองเท้าบู้ทที่สวม เขามาขอพบเลดี้เมลิอานาร์ และเอ่ยแนะนำตัวสั้นๆ ว่าชื่อเอล

“คุณหนูเจ้าขา มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว”

“อะไรกันเกล ใครมา” เมลิอานาร์เอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากแผ่นกระดาษบนโต๊ะ ปลายปากกาขนนกในมือยังคงลากปราดๆ ไปบนกระดาษขาว ก่อให้เกิดตัวอักษรสีน้ำเงินเข้มค่อนข้างหวัดเรียงรายติดต่อกันเป็นพรืด

“ท่านเอลเจ้าค่ะ ท่านมารอพบคุณหนูอยู่ที่ห้องรับรองแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังสนทนากับท่านผู้หญิง”

ชื่อนั้นส่งผลให้เมลิอานาร์ชะงักมือจากการร่างจดหมายถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์ หันขวับไปมองแม่คนรายงานทันที คิ้วเรียวสวยขมวดย่นเข้าหากันด้วยความหลากใจเมื่อย้อนถาม

“ท่านเอลไหน”

เกลตวัดหางตาค้อนผู้เป็นนายอย่างขัดใจแล้วจาระไนเสียละเอียดยิบ

“ก็ท่านเอลที่คุณหนูประกาศกลางพิธีหมั้นเมื่อวานว่าเป็นเจ้าของแหวนแห่งพันธะบนนิ้วนางข้างซ้าย จนเจ้าชายเอเดรียนกริ้วเสด็จกลับวังไปเลยไงเจ้าคะ”

“ว่าไงนะ!”

เมลิอานาร์ลุกพรวดขึ้นยืนโดยแรงจนกระดาษเขียนจดหมายแผ่นบางปลิวไปตกอยู่บนพื้น ใบหน้าสวยงามในกรอบผมยาวที่เจ้าตัวรวบถักเป็นเปียเดี่ยวร้อยรัดด้วยเส้นริบบิ้นสีฟางเข้ากับชุด แดงก่ำแล้วกลับซีดเผือดจนแทบจะเท่าสีกระโปรงที่สวม

“ไม่มีทางหรอก เป็นไปไม่ได้ เขาจะมาที่นี่ได้ยังไงในเมื่อ...”

หญิงสาวชะงักคำพูดเอาไว้ทันก่อนจะหลุดปากเปิดเผยความจริงออกไปว่า ‘ท่านเอล’ ที่แม่สาวใช้พูดถึง ที่แท้แล้วเป็นเพียงชายหนุ่มซึ่งนางอุปโลกน์ขึ้นเพื่อล่มพิธีแลกแหวนแห่งพันธะของตนกับเจ้าชายเอเดรียน ส่วน ‘ท่านเอล’ ผู้เป็นเจ้าของแหวนตัวจริงยังคงประทับอยู่ในกรีนแลนด์มิได้รู้เห็นวีรกรรมที่นางก่อไว้ทางนี้ จึงไม่มีทาง ‘เสด็จ’ มาปรากฏตัวที่โรสอคาเซียได้แน่นอน
ถ้าเช่นนั้นแล้ว...ชายหนุ่มที่กำลังสนทนาอยู่กับมารดาของนางเป็นใคร?

ไวเท่าความคิด เมลิอานาร์ซอยเท้าถี่ยิบลงบันไดมาจนถึงหน้าห้องรับรองชั้นล่างในเวลาชั่วอึดใจเพื่อหาคำตอบ นางไม่ต้องการขัดจังหวะการสนทนาระหว่างมารดากับชายหนุ่มผู้เป็นแขก จึงเพียงแต่หยุดยืนแอบอยู่หลังม่าน ใช้สายตาลอบสังเกตสถานการณ์ในห้องอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมทรวดทรงอ่อนช้อยกรุผ้าไหมสีเหลืองอ่อนดุนลายดอกสีน้ำตาลสลับเทากลมกลืนกัน ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งหันหลังให้ประตู จึงไม่ต้องกังวลว่าท่านจะเหลือบมาเห็น ส่วนชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้ามเยื้องกับช่องประตูเล็กน้อยจึงมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เลือดในกายของหญิงสาวเย็นเฉียบขึ้นมาทันที

แม้จะไม่ได้พบเห็นกันมาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน เมลิอานาร์ก็ไม่เคยลืมรูปร่างหน้าตาและนิสัยอันแสนกวนประสาทของราชาเอลเบอเรธ ด้วยแหวนพลอยน้ำทะเลบนนิ้วนางข้างซ้ายคอยกระตุ้นเตือนให้ระลึกถึงเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นต่อให้เห็นกันไกลยิ่งกว่านี้หญิงสาวก็มั่นใจว่าไม่มีทางจำคนผิด ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในสมองคือต้องหาทางแยกท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตออกจากชายหนุ่มโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะทำให้ความลับเรื่องแหวนหมั้นเก๊ของนางแตกโพละออกมาก่อนเวลาอันควร ทว่าเพียงแค่หมุนตัวกลับหญิงสาวก็ต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่เพราะเสียงห้าวคุ้นหูที่ดังขึ้น

“นั่นท่านเมลไม่ใช่หรือ!”

แน่นอนว่าคำพูดประโยคนั้นย่อมจะทำให้ประมุขฝ่ายหญิงของคฤหาสน์เหลียวมองมาที่ประตูห้องด้วยอีกคน และนั่นก็เท่ากับเป็นจุดจบของเมลิอานาร์โดยแท้



ถ้วยกระเบื้องสีกุหลาบเนื้อบางราวเปลือกไข่ภายในบรรจุน้ำชาร้อนกรุ่นแลเห็นควันขาวลอยขึ้นเป็นสาย ถูกวางลงตรงหน้าหญิงสาวที่นั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่บนเก้าอี้เบาะกลมพนักสูงไม่มีเท้าแขน หากเจ้าตัวไม่ปรารถนาจะยกขึ้นดื่ม คงปล่อยให้ของเหลวภายในถ้วยค่อยๆ เย็นชืดไปเอง ตัวนางได้แต่หลุบสายตาลงต่ำจ้องมองมือที่กุมกันแน่นอยู่บนตัก กลั้นใจรอว่าเมื่อไหร่พระสุรเสียงห้วนห้าวแสดงอาการกริ้วโกรธของประมุขแห่งกรีนแลนด์จะดังขึ้น ทว่ารออยู่นานก็ไม่ยักได้ยินอะไร นางจึงค่อยกล้าพอที่แอบจะชำเลืองมองอีกฝ่ายผ่านม่านขนตาดกหนา พร้อมกับนึกสงสัยไปด้วยว่า เหตุใดราชาเอลเบอเรธจึงทรงเลือกเวลาเสด็จเยือนแลมพ์ตันได้เหมาะเหม็งราวกับแกล้ง ซ้ำยังมุ่งหน้าตรงมายังโรสอคาเซียแทนที่จะเป็นพระราชวังหลวงเสียด้วย นี่จะเป็นเหตุบังเอิญ หรือว่า...ทรงตั้งพระทัยกันแน่?

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็แย่พอกันสำหรับเมลิอานาร์ เพราะมันทำให้นางต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มในสภาพที่ฟ้องชัดว่าตนเองเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ซึ่งเท่ากับเปิดเผยให้เขารู้ว่าถูกหลอกมาโดยตลอด ซ้ำร้ายท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตยังเกิดจำได้เสียอีกว่า ‘ท่านเอล’ ผู้นี้คือประมุขแห่งกรีนแลนด์ ทั้งที่เคยเห็นพระองค์จริงเพียงครั้งเดียวในงานฉลองพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายรัชทายาทเมื่อหลายปีก่อน ท่านก็เลยเต็มอกเต็มใจต้อนรับชายหนุ่มเป็นพิเศษในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ของลูกสาว ยิ่งกว่าที่เคยเต็มใจต้อนรับเจ้าชายเอเดรียนมาแล้ว เมลิอานาร์จึงได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะแก้ไขความเข้าใจผิดๆ ของมารดาให้ถูกต้องได้อย่างไรต่อหน้าผู้เสียหายอย่างราชาเอลเบอเรธ โดยไม่ทำให้แผนการที่วางไว้แตกเสียก่อน

หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าหากท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตรู้ความจริง จะต้องวิ่งโร่ไปกราบทูลเจ้าชายเอเดรียนแน่นอน แล้วพิธีหมั้นที่ล่มไปเมื่อวันวานก็จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งนางจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้ายังขืนปล่อยให้มารดาสนทนากับชายหนุ่มต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ โอกาสที่เขาจะรู้ตัวว่าถูกแอบอ้างชื่อมีสูง และมันจะทำให้นางต้องรับโทษเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงที่เป็นชนักปักหลังอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้คิดหาทางแก้ไขสถานการณ์สุ่มเสี่ยงตรงหน้า พระสุรเสียงห้าวๆ ก็ดังขึ้น

“ข้ามารับเจ้ากลับกรีนแลนด์ เมลิอานาร์”

อันที่จริงเมลิอานาร์ควรจะสะกิดใจที่ราชาหนุ่มทรงเรียกชื่อเต็มของนางอย่างคล่องพระโอษฐ์ โดยไม่แสดงอาการแปลกพระทัยแม้แต่น้อยทั้งที่เพิ่งทรงทราบความจริงว่านางไม่ใช่ผู้ชาย แต่เพราะมัวกังวลอยู่กับความผิดที่ตนก่อไว้ หญิงสาวจึงมองข้ามข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ นี้ไป ซ้ำนางยังรู้สึกไปเองว่าพระสุรเสียงอันแสนธรรมดาของราชาหนุ่มทั้งเข้มทั้งดุบ่งบอกถึงพระอารมณ์อันคุกรุ่น ก็เลยปล่อยให้พระองค์ตรัสต่อไปโดยไม่กล้าปริปากโต้แย้ง

“หวังว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธข้านะ เพราะว่าเรายังมีเรื่องที่ติดค้างกันอยู่” ราชาเอลเบอเรธจงใจเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจบประโยคด้วยพระสุรเสียงกลั้วหัวเราะ

“จริงไหม...คู่หมั้นของข้า”

คราวนี้เมลิอานาร์สะดุ้งโหยงราวกับถูกผึ้งต่อย เงยหน้ามองอีกฝ่ายตาค้าง

...เขารู้!

หญิงสาวนึกด้วยความตระหนก ใบหน้าร้อนซู่ขึ้นทันทีเพราะความอับอาย นางไม่อาจฝืนทนสบสายพระเนตรของราชาหนุ่มได้อีกต่อไปจึงก้มหน้าซ่อนเสีย ในสมองอึงอลไปด้วยคำถามที่ว่า...ราชาเอลเบอเรธทรงทราบเรื่องคู่หมั้นเก๊ที่นางกุขึ้นได้อย่างไร แล้วทีนี้นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน

“ต๊าย ตาย ดูสิ เขินจนหน้าแดงเชียวลูกแม่” ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดูลูกสาว

ครั้นเห็นผู้เป็นธิดาเอาแต่ก้มหน้างุดไม่มีทีท่าว่าจะเงยขึ้นมาสนทนาโต้ตอบกับราชาหนุ่ม ท่านก็เลยทำหน้าที่กราบทูลเสียเอง

“ไม่ปฏิเสธหรอกเพคะฝ่าบาท เมลิอานาร์ยินดีตามเสด็จไปกรีนแลนด์ทุกเมื่อเพคะ”

“ดี”

ราชาเอลเบอเรธรับสั่งโดยไม่ละสายพระเนตรจากหญิงสาวที่นั่งตัวแข็งเป็นหินอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้าม พระองค์เคยชินกับภาพของ ‘ท่านเมล’ ในชุดนักบวชสีเทาเงินมาเสียนาน เมื่อได้ทอดเพระเนตรเห็นนางสวมชุดกระโปรงแบบผู้หญิงเต็มตาจึงรู้สึกว่าดูแปลกไปมาก หากก็เป็นความแปลกที่ชวนให้หลงใหลจนไม่รู้สึกเบื่อที่จะมอง ยิ่งได้เห็นหญิงสาวแสดงกิริยาเขินอายแบบสตรีเพศเช่นนี้ ความรู้สึกบางอย่างก็ท่วมท้นล้นพระอุระขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นความอิ่มเอิบเต็มตื้นที่พระองค์เองก็อธิบายไม่ถูกเพราะไม่เคยประสบมาก่อน รู้แต่เพียงว่ามันทำให้พระหทัยวับๆ หวามๆ พิกล

ราชาหนุ่มทรงกระแอมเพื่อขับไล่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ว่านั้นออกไป แล้วตรัสว่า

“ถ้าอย่างนั้นท่านน้าก็บอกให้นางเตรียมตัวเถอะครับ”

“เพคะ ว่าแต่..” ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตลังเลเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจทูลถามตามตรง “ฝ่าบาทจะทรงส่งคนมารับเมลิอานาร์เมื่อใดเพคะ หม่อมฉัน เอ๊ย...นางจะได้เตรียมตัวถูก”

ราชาเอลเบอเรธแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอาการเกร็งตัวของหญิงสาวที่ถูกพาดพิงถึง พระองค์รู้จัก ‘ท่านเมล’ ดีเกินกว่าจะปล่อยให้นางได้มีโอกาสคิดทำอะไรแผลงๆ อย่างเช่นการหลบหนี ซึ่งนางต้องคิดจะทำแน่ๆ ดังนั้นจึงตรัสตอบมารดาของหญิงสาวไปว่า

“เดี๋ยวนี้เลยครับท่านน้า ข้ารีบ รถม้าของข้ารออยู่ด้านนอกแล้ว”

เท่านั้น คฤหาสน์โรสอคาเซียก็เต็มไปด้วยความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้คนบ่าวไพร่ต่างวิ่งวุ่นจัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของที่เลดี้เมลิอานาร์จำเป็นต้องนำติดตัวไปกรีนแลนด์ จนแทบจะชนกันตาย เพียงพริบตาเดียวหีบหนังหลายใบก็ถูกลำเลียงขึ้นบรรทุกบนรถเทียมม้าจำนวนสามคัน ต่อท้ายรถม้าคันใหญ่สีดำเทียมด้วยม้าฝีเท้าจัดสี่ตัวของราชาเอลเบอเรธเป็นที่เรียบร้อย สมใจท่านผู้หญิงเจ้าของคฤหาสน์ทุกประการ

เมลิอานาร์ยืนมองขบวนรถม้าที่เรียงเป็นแถวอยู่หน้าคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมอย่างบอกไม่ถูก นางรู้อยู่เต็มอกว่าตนไม่ได้จะเดินทางไปกรีนแลนด์เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างที่มารดาเข้าใจ หากกำลังจะเดินทางไปรับโทษทัณฑ์ตามความผิดที่ได้ก่อเอาไว้ โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสกลับมาเหยียบบ้านเกิดอีกหรือไม่ โทษหลอกลวงเบื้องสูงนั้นหนักถึงขั้นประหารชีวิต โทษแอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้นก็คงจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทางรอดเดียวที่หญิงสาวมองเห็นคือการหลบหนี ทว่าราชาเอลเบอเรธก็ทรงฉลาดพอที่จะปิดทางนั้นเสียแล้ว เมลิอานาร์จึงจำต้องเดินเข้าไปกอดลามารดาด้วยรอยยิ้มฝืดฝืน พร้อมกับย้ำอีกครั้งว่านางไม่ต้องการให้เกลและจีน่าติดตามไปรับใช้ที่กรีนแลนด์ หญิงสาวเหลียวมองไปทางทิศที่ตั้งของพระราชวังหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ใช้สายตากล่าวอำลาท่านหัวหน้าองครักษ์ผู้เป็นบิดาแทนคำพูด ก่อนจะตัดใจก้าวเข้าไปนั่งในประทุนรถ ปล่อยให้ม้าทั้งสี่ควบนำไปสู่ชะตากรรมอันมืดมนที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า



angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2558, 06:10:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2558, 06:10:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1260





<< ตอนที่ 26   ตอนที่ 28 >>
แว่นใส 29 ธ.ค. 2558, 08:00:17 น.
ความแตกแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account