เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว
พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย
ตอน: บทที่ ๔.๒
งานเลี้ยงวันนี้ไม่ต่างจากงานเลี้ยงอื่นๆ มีการเต้นรำ สังสรรค์เฮฮาสนุกสนาน บรรดาบุตรธิดาของเหล่าข้าราชบริพารมีโอกาสได้พบเจอกันก็วันนี้เอง ถ้าถูกอกถูกใจกันเข้าก็ให้พ่อแม่ไปสู่ขอ แล้วการแต่งงานก็ตามมาอย่างสายฟ้าแลบ พลเอกวิษศุเวศก็เป็นคนหนึ่งที่ได้พบศรีภรรยาในงานสังสรรค์เช่นนี้ เพียงพบหน้าก็เกิดเป็นความรักมั่นคง ยาวนานมาเกือบสามสิบปีแล้ว
ฟ้าหญิงอุษาวดีทอดพระเนตรหญิงวัยกลางคนร่างโปร่งระหง ผิวพรรณผุดผ่องด้วยความชื่นชม ท่านผู้หญิงแขไขงามทั้งหน้าตาและกิริยามารยาท แม้จะอายุสี่สิบกว่าๆแล้ว แต่ความงามก็ยังเฉิดฉาย ไม่แปลกเลยที่ท่านลุงวิษของพระองค์จะหลงรักหัวปักหัวปำตั้งแต่คราแรกที่ได้พบหน้า
“สองวันถัดมากระหม่อมก็ให้พ่อแม่ไปสู่ขอเธอทันที”
นายวิษศุเวศทูลตอบหลังจากพระองค์รับสั่งถามเรื่องความรัก
“สู่ขอแล้ว...” หญิงวดีกระชับผ้าคลุมพระอังสาสีชมพูหวานสีเดียวกับฉลองพระองค์ พร้อมกับเหลียวไปสบดวงตาสีเข้ม “ก็แต่งงานกันเลยหรือคะ”
“กระหม่อม”
“แต่งงานกันทั้งที่คุยกันเพียงแค่สองสามประโยคน่ะหรือ?”
“กระหม่อม” เขารับคำด้วยรอยยิ้มก่อนอธิบายต่อว่า “เราสองคนเรียนรู้กันหลังแต่งงาน อะไรที่ต่างกันก็ค่อยๆปรับทีละนิด ดีที่กระหม่อมกับแขไขเป็นคนง่ายๆสบายๆเลยไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก สรุปว่าเราสองคนเข้ากันได้ดี ชีวิตคู่ถึงได้ราบรื่นมาจนถึงทุกวันนี้กระหม่อม”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” ทรงรำพันกับองค์เองก่อนสะดุดสายพระเนตรเข้ากับชายหนุ่มร่างใหญ่ซึ่งยืนสำรวมอยู่ตรงมุมหนึ่งของท้องพระโรง คอยระแวดระวังภัยอย่างแข็งขัน
“คนนั้นใช่ไหมคะ อัศนัย ลูกชายของคุณลุงวิษ”
“กระหม่อม”
“เค้าจะมาเป็นองครักษ์ให้วดีเมื่อไหร่คะ”
“เร็วๆนี้กระหม่อม ต้องเข้าทดสอบครั้งสุดท้ายเสียก่อน ถ้าผ่านก็จะได้รับใช้ทูลกระหม่อมทันที”
ทรงไม่สนพระทัยหรอกว่าใครจะมาเป็นองครักษ์ แต่ที่สนคือการทดสอบต่างหาก
“ทดสอบอะไรหรือคะ? วดีขอไปดูได้ไหม?”
“เรื่องนี้...” ท่านนายพลทำสีหน้าอึดอัด ดวงตาหลุบลงต่ำบอกชัดว่าการทดสอบนั้นเป็นความลับและเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งหากพระองค์จะเสด็จไปชม แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ฟ้าหญิงอุษาวดีกอดพระอุระ เชิดพระพักตร์แล้วยื่นคำขาดเสียงแข็ง
“อัศนัยเข้าทดสอบเมื่อไหร่ วดีจะไปดูด้วยตัวเอง”
“ตะ...แต่...” เขาเงยหน้ากำลังคิดหาเหตุผลมาค้าน แต่ฟ้าหญิงพระองค์เล็กทรงจากไปแล้ว พระองค์ตรงดิ่งจากมาเพราะไม่อยากฟังคำทัดทานใดๆให้รำคาญพระกรรณ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือทรงเห็นเจ้าฟ้าชายภูมิธรกำลังสาวพระบาทเข้าไปหาพี่หญิงผู้ซึ่งกำลังรับสั่งอะไรบางอย่างกับเพื่อนตัวโตของพระองค์
ด้วยความที่สัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยฟ้าชายชลเอาชนะพระทัยพี่หญิงให้ได้ จึงจำต้องพาตัวเข้าไปขวางทุกคนที่พยายามจะแทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ของทั้งสอง
วรองค์เล็กก้าวไปหยุดอยู่ตรงเบื้องพักตร์เจ้าฟ้าชายภูมิธรแล้วแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวาน
“สิขเรศเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ทรงจู่โจมคำถามอย่างว่องไวไม่ให้เป้าหมายได้ทันตั้งตัว ทรงเห็นสายพระเนตรของอีกฝ่ายแลเลยไปทางพี่หญิงอย่างเสียดาย ก็แทบจะกระโดดโลดเต้นอยู่ในพระอุระอย่างดีพระทัย
“สวย สงบ ผู้คนมีน้ำใจ” แม้ยามรับสั่งตอบ สายพระเนตรก็คงยังจดๆจ้องๆอยู่ที่เดิม จนพระองค์อดแซวไม่ได้ว่า
“อยากคุยกับพี่หญิงมากหรือเพคะ”
ฟ้าชายภูมิธรสะดุ้งเพียงนิด หากไม่สังเกตดีๆคงไม่เห็น น่าเสียดายที่หญิงวดีจับพระเนตรดูทุกอิริยาบถ อากัปกิริยานั้นจึงไม่รอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ไปได้เลย
“มิได้”
“หม่อมฉันเห็นพระองค์ทอดเนตรแต่พี่หญิงของหม่อมฉัน”
“หม่อมฉันแค่มีของบางอย่างจะมอบให้ฟ้าหญิงคคนางค์ กลัวว่าถ้างานเลิกจะไม่ได้คุยกัน”
ทรงแย้มโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนหันไปกวักมือเรียกราชองครักษ์ กระซิบกระซาบบางอย่างต่อกัน แล้วหันกลับมาตรัสกับพระองค์ว่า
“หม่อมฉันเตรียมของไว้ให้พระองค์ด้วย รอสักครู่”
ไม่นานนักราชองครักษ์ของเจ้าฟ้าชายภูมิธรก็เดินกลับมาพร้อมกับของบางอย่างในมือ เป็นถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินที่พอเทของข้างในออกมา ประกายวูบวาบของเพชรน้ำดีก็สะท้อนเข้าสู่สายพระเนตร
“หม่อมฉันขออนุญาตสวมให้”
ไม่รอให้พระองค์ตรัสตอบ ฟ้าชายภูมิธรทรงวางสร้อยนั้นลงบนข้อพระหัตถ์ เกี่ยวตะขอให้อย่างรวดเร็ว
“ขอบพระทัยเพคะ แต่...” ยังไม่ทันตรัสต่อ เสียงฝีพระบาทคุ้นหูก็ดังขึ้นทางเบื้องพระปฤษฎางค์ทำให้พระองค์ต้องหันขวับ ฝ่ายฟ้าชายภูมิธรก็ถือโอกาสนั้นตรัสลาแล้วสาวพระบาทไปหาพี่หญิงที่ตอนนี้ประทับยืนเพียงลำพังเพราะคู่สนทนากำลังมุ่งหน้ามาหาพระองค์ด้วยสีพระพักตร์บูดบึ้ง
ฟ้าหญิงอุษาวดีขมวดพระขนง กำลังจะอ้าพระโอษฐ์ถามว่าไปกินรังแตนที่ไหนมาก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อพระหัตถ์จับจูงให้สาวพระบาทตาม
“ดะ...เดี๋ยว! ตัวจะพาเราไปไหน?”
คนเดินนำตวัดสายเนตรมายังของขวัญที่เจ้าฟ้าชายภูมิธรมอบให้ ก่อนตรัสตอบเสียงเข้มว่า
“ไม่อยากได้ของขวัญจากหม่อมฉันแล้วหรือ?”
“อยากสิ เราอยากได้” ตรัสได้แค่นั้นก็ต้องอุทานเมื่อฟ้าชายชลก้าวพระบาทเร็วเสียจนพระองค์ต้องวิ่ง “ของขวัญอะไร ทำไมต้องรีบขนาดนี้ เดินช้าๆก็ได้ มันคงไม่หนีหายไปไหนหรอก”
พลันที่ก้าวพ้นท้องพระโรง ฝีพระบาทของฟ้าชายชลก็ผ่อนลง พอให้หญิงวดีหายพระทัยคล่องขึ้น สาวพระบาทตามเพื่อนตัวโตลัดเลาะไปทางด้านหลัง เลี้ยวอ้อมไปสู่พระตำหนักบูรพาซึ่งร้างไร้ผู้คน ณ ศาลาแปดเหลี่ยมที่ทั้งสองเคยมานั่งเล่นพูดคุยกันอยู่เป็นประจำนั่นละ
ในยามราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างสลัวรางนั้นทำให้ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่อาจเห็นทัศนียภาพได้ชัด กระนั้นอะไรบางอย่างๆขาวๆเทาๆในกรงสีขาวสะอาดตาก็ชัดเจนจนทำให้พระทัยเต้นแรง จวบจนฟ้าชายชลพามาประทับยืนตรงหน้ามันนั่นละ พระองค์ถึงกับอุทานเบาๆในพระศอ
ฟ้าชายจากคิมหันต์นครเปิดกรงเล็กๆกรงนั้น อุ้มของขวัญออกมาไว้ในอ้อมกอด ลูบศีรษะมันสองสามครั้งก่อนยื่นให้พระองค์
“เอ้า ของขวัญจากหม่อมฉัน”
ทรงรับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมพระกร ก้มพระพักตร์จับจ้องมันด้วยความตื่นเต้น
“กระต่าย...” ทรงพึมพำกับองค์เองขณะทอดเนตรเจ้าขนปุยสีขาวเหลือบเทาซึ่งกำลังหันศีรษะไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างตื่นตระหนก แต่เพียงลูบศีรษะของมัน มันก็สงบ แถมเอียงซบศีรษะกับฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เสียอีก “เอามาจากไหนน่ะ”
“ในป่า”
“ฮื่อ...ไม่ดีมั้ง มันยังเล็กอยู่เลย เอามันมา เดี๋ยวพ่อแม่มันจะตามหาเอา”
“พ่อแม่มันตายแล้ว”
“รู้ได้ไง ตัวฆ่าพ่อแม่มันเหรอ?!” ทรงขึ้นเสียงอย่างไม่ชอบพระทัย ดวงเนตรกลมโตเบิกกว้างจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
“เปล่า หม่อมฉันไปเห็นพรานฆ่าพ่อแม่มันพอดี เลยขอลูกมันไว้”
“แล้วถ้าพรานไม่ฆ่ามัน ตัวก็จะฆ่าใช่ไหม”
“ฮื่อ! ไม่ฆ่าหรอก หม่อมฉันก็จะเอามาให้พระองค์ทั้งสามตัวนั่นล่ะ”
“จริง?”
“จริงสิ!”
เมื่ออีกฝ่ายรับคำแข็งขัน พระองค์ก็ไม่เซ้าซี้ เนื่องเพราะเจ้าขนปุยในพระกรกำลังเรียกร้องความสนพระทัย ทรงก้มพระพักตร์มองมันแล้วลูบไล้มันด้วยความถูกชะตา
“น่ารักจัง”
“เลี้ยงมันดีๆอย่าทิ้งขว้างล่ะ นึกเสียว่ามันเป็นหม่อมฉันก็ได้”
“มันน่ารักกว่าตัวตั้งเยอะ!” ทรงค้านเสียงแข็ง กอดเจ้าขนปุยแน่นขึ้นแล้วตรัสต่อว่า “แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อตัวให้เรา เราก็จะถือว่ามันเป็นตัวแทนของตัวแล้วกัน”
ทรงอุ้มมันด้วยสองมือ มองสบดวงตากลมๆแดงๆของมันอยู่อึดใจ จึงสรวลเบาๆ พร้อมกับรับสั่งว่า
“เราจะตั้งชื่อให้มันว่า...ชลน้อย!”
คนให้ของขวัญถึงกับสะดุ้ง รู้สึกแปร่งๆกับชื่อที่เปล่งออกมาจากเรียวโอษฐ์จิ้มลิ้มเสียเหลือเกิน แต่จะตรัสค้านก็ตรัสไม่ออก เพราะรอยแย้มสรวลมีความสุขนั้นทำให้พระองค์เผลอมองอย่างเป็นสุขไปด้วย
“ตัวให้อะไรพี่หญิง”
เป็นคำถามที่ทำให้ฟ้าชายชลซึ่งไม่เคยลังเลที่จะตรัสตอบในสิ่งใดทำอึกๆอักๆในพระศอ จนฟ้าหญิงอุษาวดีต้องถามซ้ำ พระองค์จึงตรัสตอบเสียงเบา
“ไม่ได้ให้”
“อ้าว! ไม่ได้ให้ได้ไง ตัวรู้ไหมคู่แข่งตัวเค้ามีของขวัญให้พี่หญิงด้วยนะ”
คู่สนทนาหลุงพระเนตรจับจ้องสร้อยข้อพระหัตถ์แล้วยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย
“พระองค์ก็ได้นี่”
“ก็ไม่แปลก จะมาจีบพี่ ก็ต้องผูกมิตรกับน้องด้วยล่ะน่า มีแต่ตัวนั่นแหละ...จีบพี่แต่กลับให้ของขวัญแต่น้อง!”
คำกล่าวหานั้นทำให้คนฟังถึงกับเบือนพระพักตร์ไปทางอื่น ความอึดอัดสับสนทำให้ต้องเม้มพระโอษฐ์ สูดลมหายพระทัยลึก แล้วผ่อนออกมาเบาๆ
“ทรงอยากให้หม่อมฉันเป็นพี่เขยของพระองค์นักหรือ?”
“อ้าว...ก็ตัวบอกอยากเป็นไม่ใช่รึไง เราอุตส่าห์ช่วยแล้ว ไม่อยากเหนื่อยเปล่า” ทรงวางกระต่ายไว้ในกรง ปิดมันแล้วตรัสต่อทั้งๆที่ก้มพระพักตร์ว่า “หรือตัวเห็นพี่เราเป็นของเล่น ไม่ได้คิดจริงจัง? ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะโกรธตัวไปตลอดปีตลอดชาติเลย อย่าหวังว่าเราจะคุยกะตัวอีก แม้แต่หน้าเราก็จะไม่มอง!”
เจอถ้อยรับสั่งเช่นนี้เข้า ประโยคที่ผุดขึ้นมาในพระทัย
...ไม่ต้องช่วยแล้ว หม่อมฉันอยากเป็นแค่เพื่อน แค่เพื่อนก็พอ...
จึงถูกเก็บไว้จนสุดก้นบึ้งของดวงหทัยอีกครา
ฟ้าชายชลทอดเนตรวรองค์เล็กที่ก้มองค์ลงโอบกรงกระต่ายไว้ในอ้อมพระกร ระบายลมหายพระทัยเล็กน้อยก่อนเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจะช่วย แต่คนตัวเล็กกลับไม่ยอม
“ไม่ต้อง เราอุ้มไปเองได้”
“ไหวแน่นะ?”
“ไหวน่า” รับสั่งพลางยกพระหัตถ์โบกลา หากยังไม่ทันก้าวพ้นศาลา วรองค์สูงใหญ่ก็รีบสาวพระบาทมายืนเคียง
“จะไปส่ง”
“ไปส่งทำไม้ ใกล้แค่นี้ เราเดินเองได้”
“มืดแล้ว”
“แล้วไง”
“ทรงยังไม่มีราชองครักษ์ส่วนพระองค์ อันตราย”
“ที่นี่บ้านเรานะ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
เจ้าตัวยุ่งดื้อเหมือนเคย แม้ฟ้าชายชลเคยตามพระทัยบ่อยๆ แต่ก็ไม่ทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย
“ทรงทราบได้อย่างไรว่าจะไม่มีอันตรายอะไร กันไว้ก่อนดีกว่าแก้” ทรงเหลือบสายพระเนตรสบตาแดงก่ำของเจ้ากระต่ายขนปุย ก่อนเลื่อนมาจับพระพักตร์ผุดผ่องยามเมื่อแสงจันทร์สาดส่องมากระทบ อาจไม่งามสะพรั่งเท่าฟ้าหญิงคคนางค์ในตอนนี้ แต่ก็มีแววว่าอีกสี่ห้าปีคงจะงามไม่แพ้กัน หรือ...อาจจะงามกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้เจ้าชลน้อยน่ะ อุ้มได้ก็อุ้มไป แต่เรื่องกลับตำหนักเพียงลำพัง หม่อมฉันไม่ยอม”
“ดื้อ”
“ใครกันแน่ที่ดื้อ” ทรงสวนกลับ พร้อมกับเช็ดพระเสโทที่ซึมมาตามไรผม แม้ยามค่ำคืนอากาศจะค่อนข้างหนาว หากบางอย่างที่รุ่มร้อนในพระทัยทำให้ทรงร้อนมากกว่าปกติ อากัปกิริยาเช่นนั้นทำให้ฟ้าหญิงพระองค์เล็กนึกขึ้นมาได้ จึงรับสั่งถามเสียงอ่อนขณะสาวพระบาทเคียงกันไปตามทางเดินมุงหลังคากุหลาบเลื้อย
“ตัวคงเหนื่อยมากเลยสิ”
“เหนื่อย? หม่อมฉันน่ะหรือ? ทำไมถึงดำริเช่นนั้น?”
“ก็...” ดวงตากลมโตที่เหลียวมาสบทำให้ลมหายพระทัยสะดุดโดยอัตโนมัติ
กลิ่นหอมหวานของกุหลาบยังไม่อาจเทียบเท่าความหวานฉ่ำในดวงเนตรที่ทรงมองสบในยามนี้เลย
“ก็...อะไร?”
“ก็ที่ตัวหาเจ้านี่มาให้ไง”
ทรงสอดพระดัชนีเข้าไประหว่างซี่กรงแล้วไล้ศีรษะที่กำลังซบอยู่กับขาหน้า “ขอบคุณนะ”
ฟ้าชายชลทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ และผ่อนฝีพระบาทลง ราวกับต้องการทอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันให้นานขึ้นอีกนิด
ไม่มีใครทราบพระทัยของพระองค์ในตอนนี้ได้ แม้แต่เพื่อนตัวเล็กที่เดินเคียงข้างกันก็ไม่มีทางรู้
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดยามเมื่ออยู่กับเจ้าตัวยุ่ง พระองค์จะทำตัวเป็นเด็กเกเรราวกับวันเวลาย้อนกลับไปในยามที่ทรงมีพระชันษาเพียงสิบชันษา
จะมีก็แต่ราชองครักษ์ผู้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดมาสิบกว่าปีเพียงคนเดียวที่พอจะล่วงรู้ความในพระทัยอยู่บ้าง
โฆษิตไม่เคยทิ้งให้เจ้าฟ้าชายของตนเองไปไหนมาไหนเพียงลำพัง แม้ยามนี้เขาก็ยังแฝงตัวอยู่ในความมืดเดินตามเจ้าฟ้าทั้งสองไปอย่างเงียบๆ
เกือบห้าปีที่อยู่ที่นี่ โฆษิตเป็นคนเดียวที่ใช้เวลาอยู่กับฟ้าชายชลมากกว่าคนอื่นๆ ...มากพอที่จะสังเกตได้ว่า ยามฟ้าชายชลอยู่กับฟ้าหญิงคคนางค์ พระองค์จะทรงทำองค์เคร่งขรึม เป็นผู้ใหญ่ สายพระเนตรอ่อนโยนมักจับอยู่บนวงพักตร์อ่อนละมุนเสมอ ไหนจะรอยแย้มสรวลที่มักประดับบนพระโอษฐ์แทบจะตลอดเวลานั้นอีก
แต่เมื่ออยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็ก ทรงกลับกลายเป็นฟ้าชายชลผู้ซึ่งทิ้งความเป็นเจ้าชายและฐานันดรศักดิ์ กลายเป็นหนุ่มน้อยที่สนุกสนานกับการได้ไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ และมีความสุขกับการได้แกล้งหรือต่อปากต่อคำกับเพื่อนตัวเล็กทุกวี่วันอย่างไม่รู้เบื่อ
หากให้ใครอื่นมอง ทุกคนคงตีความว่าฟ้าชายชลทรงมอบความเป็นมิตร และความสนิทสนมให้กับฟ้าหญิงอุษาวดีในลักษณะที่ผู้ใหญ่พึงมีต่อเด็ก ส่วนคนที่พระองค์ทรงให้ความสนพระทัยคงไม่แคล้วคือฟ้าหญิงคคนางค์เป็นแน่แท้
ทว่าในสายตาของโฆษิต เขากลับคิดว่าฟ้าชายของตนให้ความสนพระทัยฟ้าหญิงอุษาวดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงสองปีหลัง พระองค์มักจะหาเวลาอยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็กเสมอ โดยมักจะหาข้ออ้างเรื่องฟ้าหญิงคคนางค์เสียเป็นส่วนใหญ่
‘ไปตลาดกันไหม’ นั่นคือคำชวนจริงๆ แต่ทรงให้เหตุผลไปว่า ‘หม่อมฉันอยากพาหญิงนางไปเที่ยวตลาด ไปตามลำพังคงไม่เหมาะ ไปด้วยกันสิ’
หรือไม่ก็
‘หม่อมฉันอยากหาดอกสวยๆ ไปช่วยหาหน่อยสิ...หม่อมฉันไม่รู้ว่าหญิงนางจะชอบดอกไหน’
หรืออาจเป็น
‘หญิงนางชอบเป่าขลุ่ยใช่ไหม สอนหน่อยสิ เผื่อวันหนึ่งหม่อมฉันจะได้เป่าให้ฟัง’
ทรงไม่ได้อยากเรียนอะไรนักหรอก เพราะตามพระนิสัยแล้ว ฟ้าชายชลโปรดการขี่ม้า ล่าสัตว์ ยิงธนูมากกว่าเรื่องดนตรี แต่ที่ทำเช่นนั้นคงเป็นการหาข้ออ้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดฟ้าหญิงพระองค์เล็กเสียมากกว่า
จะว่าไปฟ้าชายของเขาก็ใช้เวลาอยู่กับฟ้าหญิงอุษาวดีมากกว่าฟ้าหญิงคคนางค์ที่นางกำนัลและเหล่าทหารต่างกระซิบกระซาบบอกต่อๆกันว่าทรงสนพระทัยเสียอีก
โฆษิตเกือบหลุดหัวเราะออกมาต่อสิ่งที่ตนเองคิด จนต้องรีบยกมือปิดปาก แล้วเปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นเสียงกระแอมกะไอเบาๆอย่างทันท่วงที ...เสียงนั้นเบามาก แต่ฟ้าชายของเขาก็ยังได้ยิน ทรงหันมาทำพระเนตรดุๆอยู่อึดใจ แล้วหันไปรับสั่งนู่นนี่นั่นกับฟ้าหญิงอุษาวดีต่อ
เมื่อเดินผ่านท้องพระโรง มีข้าราชบริพารหันมาถวายคำนับ ถวายบังคมกันพึ่บพั่บ บทสนทนาระหว่างกันจึงหยุดลงเพียงแค่นั้น ก่อนฟ้าหญิงอุษาวดีจะวิ่งตัวปลิวไปหาเจ้าฟ้าชายภูมิธรที่เพิ่งสาวพระบาทเดินเคียงพระพี่นางของพระองค์ออกมา
“หม่อมฉันขอรบกวนเวลาหน่อยได้ไหมเพคะ”
ด้วยความพระทัยดี แม้จะอยากใช้เวลาอยู่กับฟ้าหญิงคคนางค์มากเพียงใด พระองค์ก็ไม่ปฏิเสธคำร้องขอของพระขนิษฐาของคนที่พระองค์หมายปอง
“มีเรื่องอะไรให้หม่อมฉันช่วยหรือ?”
“ก็เจ้าชะ...เอ่อ เจ้าขนปุยนี่แหละเพคะ มีคนให้หม่อมฉันเป็นของขวัญ แต่หม่อมฉันยังเลี้ยงไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันกินอะไร นอนยังไง ต้องเลี้ยงแบบไหน หม่อมฉันคงมาถามไม่ผิดคน...ใช่ไหมเพคะ”
เจ้าฟ้าชายภูมิธรแย้มพระโอษฐ์ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพยักพระพักตร์
“รับสั่งถามถูกคนแล้ว” ทรงหันไปผงกพระเศียรลาฟ้าหญิงคคนางค์ แล้วหันมารับสั่งต่อว่า “ไปหาที่สว่างๆคุยกันดีไหม ตรงนั้นน่าจะดี” ทรงชี้ไปยังวนอุทยานหน้าท้องพระโรงซึ่งมีเก้าอี้และตะหินอ่อนวางอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่และแสงตะเกียงจุดส่องสว่างโดยรอบ
“เพคะ ไปกันเลยนะเพคะ”
ฟ้าหญิงอุษาวดีแทบจะถลาเข้าไปคว้าพระหัตถ์ ดีที่ห้ามองค์เองทัน จึงทำเพียงแค่พยักพระพักตร์หงึกหงักเป็นการเร่งเร้าเท่านั้น ท่าทางตื่นเต้นและดีพระทัยของพระองค์ทำให้ใครบางคนมองมาด้วยแววตาไม่พอใจ ยิ่งขุ่นข้องหมองใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นพระองค์มอบรอยแย้มสรวลอันสดใสให้ฟ้าชายพระองค์นั้น สุดท้ายก่อนจากกันพระองค์ได้ทิ้งความอึดอัดที่ยากจะหาทางออกไว้ให้ เมื่อทรงทำพระหัตถ์โบกไปมาเป็นสัญญาณว่าให้ไปส่งฟ้าหญิงคคนางค์กลับจนถึงตำหนักด้วย
ฟ้าชายชลลอบระบายลมหายใจยาว ก่อนจะสาวพระบาทรีบเร่งเพื่อให้ทันฟ้าหญิงคคนางค์ที่กำลังมุ่งหน้ากลับตำหนัก
“หม่อมฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรเพคะ ตำหนักของหม่อมฉันอยู่แค่นี้เอง”
“เพื่อความปลอดภัย ให้หม่อมฉันไปส่งเถอะ”
แล้วทั้งสองก็ทรงพระดำเนินเคียงกันไป เพียงไม่กี่ก้าวฟ้าชายชลก็ทรงเหลียวมาหาเจ้าตัวยุ่ง เห็นวรองค์เล็กโน้มพระพักตร์เข้าไปใกล้ฟ้าชายภูมิธร ฟังบางอย่างอย่างตั้งพระทัยแล้วก็ต้องขบกรามแน่น ความขุ่นมัวในพระอารมณ์มากเสียจนยามกลับมาถึงพระตำหนัก บรรดาทหารผู้ติดตามต่างไม่กล้าเข้าพระพักตร์ มีแต่โฆษิตเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตามติดเป็นเงาด้วยรอยเต้นระริกในดวงตา
“เจ้าขันอะไรกัน โฆษิต”
“ไม่ได้ขันพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อก้าวพระบาทผ่านบานพระทวารห้องพระบรรทมเข้ามา ก็ทรงระเบิดเสียงใส่ราชองครักษ์ทันที
“เรารู้จักเจ้ามานานแล้ว อย่าริอ่านมาปดเรา”
ทรงปลดดาบยาวโค้งที่คาดไว้ตรงบั้นพระองค์ออก แล้วทิ้งองค์ลงนั่งบนโซฟาบุหนังสีแดงที่ตั้งชิดผนังห้อง ทอดพระเนตรสีหน้าปูเลี่ยนๆของราชองครักษ์อย่างเอาเรื่อง
“ว่าไง?”
ราชองครักษ์หนุ่มเม้มปากแน่น สูดลมหายใจลึกก่อนก้มศีรษะลงต่ำจนแทบขนานพื้น
“กระหม่อมเพียงแค่กำลังคิด”
“คิดอะไรบอกมาให้หมด!”
“กำลังคิดว่า...” เจ้าตัวขมวดคิ้วครุ่นคิดหาคำตอบที่ดีพอจะไม่ทำให้ศีรษะต้องหลุดจากบ่าอยู่อึดใจ จึงโพล่งคำตอบออกมาโดยที่ก้มตัวลงต่ำค้างอยู่เช่นนั้นว่า
“ถ้ากระหม่อมหลงรักเด็ก กระหม่อมควรจะทำตัวแบบไหนดีพ่ะย่ะค่ะ”
บังเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดภายในห้อง และทั้งๆที่ลมหนาวพัดผ่านพระแกลเข้ามา หากเหงื่อของโฆษิตกลับไหลชุ่มโชกไปทั้งแผ่นหลัง
“แล้วเจ้าได้คำตอบรึยัง”
“ยะ...ยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ้าชายชลทรงยืดองค์เต็มความสูง สูดลมหายพระทัยลึกยาว แล้วสาวพระบาทเร็วรี่เข้าไปในห้องสรงน้ำ บานทวารปิดลงพร้อมกับพระสุรเสียงจริงจังลอยมาตามลมว่า
“ถ้าเจ้าได้คำตอบแล้ว ช่วยบอกเราด้วยแล้วกัน”
จบบทแล้วค่าา
มาดูวีรกรรมของหญิงวดีต่อบทหน้านะคะ จุ๊บๆๆ^^
nasa : ไรเตอร์ลืมเขียนบอก แหะๆ เดี๋ยวไว้บอกเหตุผลในเรื่องนะคะ บทไหนสักบทนี่แหละค่ะ ^^
ฟ้าหญิงอุษาวดีทอดพระเนตรหญิงวัยกลางคนร่างโปร่งระหง ผิวพรรณผุดผ่องด้วยความชื่นชม ท่านผู้หญิงแขไขงามทั้งหน้าตาและกิริยามารยาท แม้จะอายุสี่สิบกว่าๆแล้ว แต่ความงามก็ยังเฉิดฉาย ไม่แปลกเลยที่ท่านลุงวิษของพระองค์จะหลงรักหัวปักหัวปำตั้งแต่คราแรกที่ได้พบหน้า
“สองวันถัดมากระหม่อมก็ให้พ่อแม่ไปสู่ขอเธอทันที”
นายวิษศุเวศทูลตอบหลังจากพระองค์รับสั่งถามเรื่องความรัก
“สู่ขอแล้ว...” หญิงวดีกระชับผ้าคลุมพระอังสาสีชมพูหวานสีเดียวกับฉลองพระองค์ พร้อมกับเหลียวไปสบดวงตาสีเข้ม “ก็แต่งงานกันเลยหรือคะ”
“กระหม่อม”
“แต่งงานกันทั้งที่คุยกันเพียงแค่สองสามประโยคน่ะหรือ?”
“กระหม่อม” เขารับคำด้วยรอยยิ้มก่อนอธิบายต่อว่า “เราสองคนเรียนรู้กันหลังแต่งงาน อะไรที่ต่างกันก็ค่อยๆปรับทีละนิด ดีที่กระหม่อมกับแขไขเป็นคนง่ายๆสบายๆเลยไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก สรุปว่าเราสองคนเข้ากันได้ดี ชีวิตคู่ถึงได้ราบรื่นมาจนถึงทุกวันนี้กระหม่อม”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” ทรงรำพันกับองค์เองก่อนสะดุดสายพระเนตรเข้ากับชายหนุ่มร่างใหญ่ซึ่งยืนสำรวมอยู่ตรงมุมหนึ่งของท้องพระโรง คอยระแวดระวังภัยอย่างแข็งขัน
“คนนั้นใช่ไหมคะ อัศนัย ลูกชายของคุณลุงวิษ”
“กระหม่อม”
“เค้าจะมาเป็นองครักษ์ให้วดีเมื่อไหร่คะ”
“เร็วๆนี้กระหม่อม ต้องเข้าทดสอบครั้งสุดท้ายเสียก่อน ถ้าผ่านก็จะได้รับใช้ทูลกระหม่อมทันที”
ทรงไม่สนพระทัยหรอกว่าใครจะมาเป็นองครักษ์ แต่ที่สนคือการทดสอบต่างหาก
“ทดสอบอะไรหรือคะ? วดีขอไปดูได้ไหม?”
“เรื่องนี้...” ท่านนายพลทำสีหน้าอึดอัด ดวงตาหลุบลงต่ำบอกชัดว่าการทดสอบนั้นเป็นความลับและเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งหากพระองค์จะเสด็จไปชม แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ฟ้าหญิงอุษาวดีกอดพระอุระ เชิดพระพักตร์แล้วยื่นคำขาดเสียงแข็ง
“อัศนัยเข้าทดสอบเมื่อไหร่ วดีจะไปดูด้วยตัวเอง”
“ตะ...แต่...” เขาเงยหน้ากำลังคิดหาเหตุผลมาค้าน แต่ฟ้าหญิงพระองค์เล็กทรงจากไปแล้ว พระองค์ตรงดิ่งจากมาเพราะไม่อยากฟังคำทัดทานใดๆให้รำคาญพระกรรณ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือทรงเห็นเจ้าฟ้าชายภูมิธรกำลังสาวพระบาทเข้าไปหาพี่หญิงผู้ซึ่งกำลังรับสั่งอะไรบางอย่างกับเพื่อนตัวโตของพระองค์
ด้วยความที่สัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยฟ้าชายชลเอาชนะพระทัยพี่หญิงให้ได้ จึงจำต้องพาตัวเข้าไปขวางทุกคนที่พยายามจะแทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ของทั้งสอง
วรองค์เล็กก้าวไปหยุดอยู่ตรงเบื้องพักตร์เจ้าฟ้าชายภูมิธรแล้วแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวาน
“สิขเรศเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ทรงจู่โจมคำถามอย่างว่องไวไม่ให้เป้าหมายได้ทันตั้งตัว ทรงเห็นสายพระเนตรของอีกฝ่ายแลเลยไปทางพี่หญิงอย่างเสียดาย ก็แทบจะกระโดดโลดเต้นอยู่ในพระอุระอย่างดีพระทัย
“สวย สงบ ผู้คนมีน้ำใจ” แม้ยามรับสั่งตอบ สายพระเนตรก็คงยังจดๆจ้องๆอยู่ที่เดิม จนพระองค์อดแซวไม่ได้ว่า
“อยากคุยกับพี่หญิงมากหรือเพคะ”
ฟ้าชายภูมิธรสะดุ้งเพียงนิด หากไม่สังเกตดีๆคงไม่เห็น น่าเสียดายที่หญิงวดีจับพระเนตรดูทุกอิริยาบถ อากัปกิริยานั้นจึงไม่รอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ไปได้เลย
“มิได้”
“หม่อมฉันเห็นพระองค์ทอดเนตรแต่พี่หญิงของหม่อมฉัน”
“หม่อมฉันแค่มีของบางอย่างจะมอบให้ฟ้าหญิงคคนางค์ กลัวว่าถ้างานเลิกจะไม่ได้คุยกัน”
ทรงแย้มโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนหันไปกวักมือเรียกราชองครักษ์ กระซิบกระซาบบางอย่างต่อกัน แล้วหันกลับมาตรัสกับพระองค์ว่า
“หม่อมฉันเตรียมของไว้ให้พระองค์ด้วย รอสักครู่”
ไม่นานนักราชองครักษ์ของเจ้าฟ้าชายภูมิธรก็เดินกลับมาพร้อมกับของบางอย่างในมือ เป็นถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินที่พอเทของข้างในออกมา ประกายวูบวาบของเพชรน้ำดีก็สะท้อนเข้าสู่สายพระเนตร
“หม่อมฉันขออนุญาตสวมให้”
ไม่รอให้พระองค์ตรัสตอบ ฟ้าชายภูมิธรทรงวางสร้อยนั้นลงบนข้อพระหัตถ์ เกี่ยวตะขอให้อย่างรวดเร็ว
“ขอบพระทัยเพคะ แต่...” ยังไม่ทันตรัสต่อ เสียงฝีพระบาทคุ้นหูก็ดังขึ้นทางเบื้องพระปฤษฎางค์ทำให้พระองค์ต้องหันขวับ ฝ่ายฟ้าชายภูมิธรก็ถือโอกาสนั้นตรัสลาแล้วสาวพระบาทไปหาพี่หญิงที่ตอนนี้ประทับยืนเพียงลำพังเพราะคู่สนทนากำลังมุ่งหน้ามาหาพระองค์ด้วยสีพระพักตร์บูดบึ้ง
ฟ้าหญิงอุษาวดีขมวดพระขนง กำลังจะอ้าพระโอษฐ์ถามว่าไปกินรังแตนที่ไหนมาก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อพระหัตถ์จับจูงให้สาวพระบาทตาม
“ดะ...เดี๋ยว! ตัวจะพาเราไปไหน?”
คนเดินนำตวัดสายเนตรมายังของขวัญที่เจ้าฟ้าชายภูมิธรมอบให้ ก่อนตรัสตอบเสียงเข้มว่า
“ไม่อยากได้ของขวัญจากหม่อมฉันแล้วหรือ?”
“อยากสิ เราอยากได้” ตรัสได้แค่นั้นก็ต้องอุทานเมื่อฟ้าชายชลก้าวพระบาทเร็วเสียจนพระองค์ต้องวิ่ง “ของขวัญอะไร ทำไมต้องรีบขนาดนี้ เดินช้าๆก็ได้ มันคงไม่หนีหายไปไหนหรอก”
พลันที่ก้าวพ้นท้องพระโรง ฝีพระบาทของฟ้าชายชลก็ผ่อนลง พอให้หญิงวดีหายพระทัยคล่องขึ้น สาวพระบาทตามเพื่อนตัวโตลัดเลาะไปทางด้านหลัง เลี้ยวอ้อมไปสู่พระตำหนักบูรพาซึ่งร้างไร้ผู้คน ณ ศาลาแปดเหลี่ยมที่ทั้งสองเคยมานั่งเล่นพูดคุยกันอยู่เป็นประจำนั่นละ
ในยามราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างสลัวรางนั้นทำให้ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่อาจเห็นทัศนียภาพได้ชัด กระนั้นอะไรบางอย่างๆขาวๆเทาๆในกรงสีขาวสะอาดตาก็ชัดเจนจนทำให้พระทัยเต้นแรง จวบจนฟ้าชายชลพามาประทับยืนตรงหน้ามันนั่นละ พระองค์ถึงกับอุทานเบาๆในพระศอ
ฟ้าชายจากคิมหันต์นครเปิดกรงเล็กๆกรงนั้น อุ้มของขวัญออกมาไว้ในอ้อมกอด ลูบศีรษะมันสองสามครั้งก่อนยื่นให้พระองค์
“เอ้า ของขวัญจากหม่อมฉัน”
ทรงรับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมพระกร ก้มพระพักตร์จับจ้องมันด้วยความตื่นเต้น
“กระต่าย...” ทรงพึมพำกับองค์เองขณะทอดเนตรเจ้าขนปุยสีขาวเหลือบเทาซึ่งกำลังหันศีรษะไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างตื่นตระหนก แต่เพียงลูบศีรษะของมัน มันก็สงบ แถมเอียงซบศีรษะกับฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เสียอีก “เอามาจากไหนน่ะ”
“ในป่า”
“ฮื่อ...ไม่ดีมั้ง มันยังเล็กอยู่เลย เอามันมา เดี๋ยวพ่อแม่มันจะตามหาเอา”
“พ่อแม่มันตายแล้ว”
“รู้ได้ไง ตัวฆ่าพ่อแม่มันเหรอ?!” ทรงขึ้นเสียงอย่างไม่ชอบพระทัย ดวงเนตรกลมโตเบิกกว้างจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
“เปล่า หม่อมฉันไปเห็นพรานฆ่าพ่อแม่มันพอดี เลยขอลูกมันไว้”
“แล้วถ้าพรานไม่ฆ่ามัน ตัวก็จะฆ่าใช่ไหม”
“ฮื่อ! ไม่ฆ่าหรอก หม่อมฉันก็จะเอามาให้พระองค์ทั้งสามตัวนั่นล่ะ”
“จริง?”
“จริงสิ!”
เมื่ออีกฝ่ายรับคำแข็งขัน พระองค์ก็ไม่เซ้าซี้ เนื่องเพราะเจ้าขนปุยในพระกรกำลังเรียกร้องความสนพระทัย ทรงก้มพระพักตร์มองมันแล้วลูบไล้มันด้วยความถูกชะตา
“น่ารักจัง”
“เลี้ยงมันดีๆอย่าทิ้งขว้างล่ะ นึกเสียว่ามันเป็นหม่อมฉันก็ได้”
“มันน่ารักกว่าตัวตั้งเยอะ!” ทรงค้านเสียงแข็ง กอดเจ้าขนปุยแน่นขึ้นแล้วตรัสต่อว่า “แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อตัวให้เรา เราก็จะถือว่ามันเป็นตัวแทนของตัวแล้วกัน”
ทรงอุ้มมันด้วยสองมือ มองสบดวงตากลมๆแดงๆของมันอยู่อึดใจ จึงสรวลเบาๆ พร้อมกับรับสั่งว่า
“เราจะตั้งชื่อให้มันว่า...ชลน้อย!”
คนให้ของขวัญถึงกับสะดุ้ง รู้สึกแปร่งๆกับชื่อที่เปล่งออกมาจากเรียวโอษฐ์จิ้มลิ้มเสียเหลือเกิน แต่จะตรัสค้านก็ตรัสไม่ออก เพราะรอยแย้มสรวลมีความสุขนั้นทำให้พระองค์เผลอมองอย่างเป็นสุขไปด้วย
“ตัวให้อะไรพี่หญิง”
เป็นคำถามที่ทำให้ฟ้าชายชลซึ่งไม่เคยลังเลที่จะตรัสตอบในสิ่งใดทำอึกๆอักๆในพระศอ จนฟ้าหญิงอุษาวดีต้องถามซ้ำ พระองค์จึงตรัสตอบเสียงเบา
“ไม่ได้ให้”
“อ้าว! ไม่ได้ให้ได้ไง ตัวรู้ไหมคู่แข่งตัวเค้ามีของขวัญให้พี่หญิงด้วยนะ”
คู่สนทนาหลุงพระเนตรจับจ้องสร้อยข้อพระหัตถ์แล้วยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย
“พระองค์ก็ได้นี่”
“ก็ไม่แปลก จะมาจีบพี่ ก็ต้องผูกมิตรกับน้องด้วยล่ะน่า มีแต่ตัวนั่นแหละ...จีบพี่แต่กลับให้ของขวัญแต่น้อง!”
คำกล่าวหานั้นทำให้คนฟังถึงกับเบือนพระพักตร์ไปทางอื่น ความอึดอัดสับสนทำให้ต้องเม้มพระโอษฐ์ สูดลมหายพระทัยลึก แล้วผ่อนออกมาเบาๆ
“ทรงอยากให้หม่อมฉันเป็นพี่เขยของพระองค์นักหรือ?”
“อ้าว...ก็ตัวบอกอยากเป็นไม่ใช่รึไง เราอุตส่าห์ช่วยแล้ว ไม่อยากเหนื่อยเปล่า” ทรงวางกระต่ายไว้ในกรง ปิดมันแล้วตรัสต่อทั้งๆที่ก้มพระพักตร์ว่า “หรือตัวเห็นพี่เราเป็นของเล่น ไม่ได้คิดจริงจัง? ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะโกรธตัวไปตลอดปีตลอดชาติเลย อย่าหวังว่าเราจะคุยกะตัวอีก แม้แต่หน้าเราก็จะไม่มอง!”
เจอถ้อยรับสั่งเช่นนี้เข้า ประโยคที่ผุดขึ้นมาในพระทัย
...ไม่ต้องช่วยแล้ว หม่อมฉันอยากเป็นแค่เพื่อน แค่เพื่อนก็พอ...
จึงถูกเก็บไว้จนสุดก้นบึ้งของดวงหทัยอีกครา
ฟ้าชายชลทอดเนตรวรองค์เล็กที่ก้มองค์ลงโอบกรงกระต่ายไว้ในอ้อมพระกร ระบายลมหายพระทัยเล็กน้อยก่อนเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจะช่วย แต่คนตัวเล็กกลับไม่ยอม
“ไม่ต้อง เราอุ้มไปเองได้”
“ไหวแน่นะ?”
“ไหวน่า” รับสั่งพลางยกพระหัตถ์โบกลา หากยังไม่ทันก้าวพ้นศาลา วรองค์สูงใหญ่ก็รีบสาวพระบาทมายืนเคียง
“จะไปส่ง”
“ไปส่งทำไม้ ใกล้แค่นี้ เราเดินเองได้”
“มืดแล้ว”
“แล้วไง”
“ทรงยังไม่มีราชองครักษ์ส่วนพระองค์ อันตราย”
“ที่นี่บ้านเรานะ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
เจ้าตัวยุ่งดื้อเหมือนเคย แม้ฟ้าชายชลเคยตามพระทัยบ่อยๆ แต่ก็ไม่ทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย
“ทรงทราบได้อย่างไรว่าจะไม่มีอันตรายอะไร กันไว้ก่อนดีกว่าแก้” ทรงเหลือบสายพระเนตรสบตาแดงก่ำของเจ้ากระต่ายขนปุย ก่อนเลื่อนมาจับพระพักตร์ผุดผ่องยามเมื่อแสงจันทร์สาดส่องมากระทบ อาจไม่งามสะพรั่งเท่าฟ้าหญิงคคนางค์ในตอนนี้ แต่ก็มีแววว่าอีกสี่ห้าปีคงจะงามไม่แพ้กัน หรือ...อาจจะงามกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้เจ้าชลน้อยน่ะ อุ้มได้ก็อุ้มไป แต่เรื่องกลับตำหนักเพียงลำพัง หม่อมฉันไม่ยอม”
“ดื้อ”
“ใครกันแน่ที่ดื้อ” ทรงสวนกลับ พร้อมกับเช็ดพระเสโทที่ซึมมาตามไรผม แม้ยามค่ำคืนอากาศจะค่อนข้างหนาว หากบางอย่างที่รุ่มร้อนในพระทัยทำให้ทรงร้อนมากกว่าปกติ อากัปกิริยาเช่นนั้นทำให้ฟ้าหญิงพระองค์เล็กนึกขึ้นมาได้ จึงรับสั่งถามเสียงอ่อนขณะสาวพระบาทเคียงกันไปตามทางเดินมุงหลังคากุหลาบเลื้อย
“ตัวคงเหนื่อยมากเลยสิ”
“เหนื่อย? หม่อมฉันน่ะหรือ? ทำไมถึงดำริเช่นนั้น?”
“ก็...” ดวงตากลมโตที่เหลียวมาสบทำให้ลมหายพระทัยสะดุดโดยอัตโนมัติ
กลิ่นหอมหวานของกุหลาบยังไม่อาจเทียบเท่าความหวานฉ่ำในดวงเนตรที่ทรงมองสบในยามนี้เลย
“ก็...อะไร?”
“ก็ที่ตัวหาเจ้านี่มาให้ไง”
ทรงสอดพระดัชนีเข้าไประหว่างซี่กรงแล้วไล้ศีรษะที่กำลังซบอยู่กับขาหน้า “ขอบคุณนะ”
ฟ้าชายชลทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ และผ่อนฝีพระบาทลง ราวกับต้องการทอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันให้นานขึ้นอีกนิด
ไม่มีใครทราบพระทัยของพระองค์ในตอนนี้ได้ แม้แต่เพื่อนตัวเล็กที่เดินเคียงข้างกันก็ไม่มีทางรู้
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดยามเมื่ออยู่กับเจ้าตัวยุ่ง พระองค์จะทำตัวเป็นเด็กเกเรราวกับวันเวลาย้อนกลับไปในยามที่ทรงมีพระชันษาเพียงสิบชันษา
จะมีก็แต่ราชองครักษ์ผู้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดมาสิบกว่าปีเพียงคนเดียวที่พอจะล่วงรู้ความในพระทัยอยู่บ้าง
โฆษิตไม่เคยทิ้งให้เจ้าฟ้าชายของตนเองไปไหนมาไหนเพียงลำพัง แม้ยามนี้เขาก็ยังแฝงตัวอยู่ในความมืดเดินตามเจ้าฟ้าทั้งสองไปอย่างเงียบๆ
เกือบห้าปีที่อยู่ที่นี่ โฆษิตเป็นคนเดียวที่ใช้เวลาอยู่กับฟ้าชายชลมากกว่าคนอื่นๆ ...มากพอที่จะสังเกตได้ว่า ยามฟ้าชายชลอยู่กับฟ้าหญิงคคนางค์ พระองค์จะทรงทำองค์เคร่งขรึม เป็นผู้ใหญ่ สายพระเนตรอ่อนโยนมักจับอยู่บนวงพักตร์อ่อนละมุนเสมอ ไหนจะรอยแย้มสรวลที่มักประดับบนพระโอษฐ์แทบจะตลอดเวลานั้นอีก
แต่เมื่ออยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็ก ทรงกลับกลายเป็นฟ้าชายชลผู้ซึ่งทิ้งความเป็นเจ้าชายและฐานันดรศักดิ์ กลายเป็นหนุ่มน้อยที่สนุกสนานกับการได้ไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ และมีความสุขกับการได้แกล้งหรือต่อปากต่อคำกับเพื่อนตัวเล็กทุกวี่วันอย่างไม่รู้เบื่อ
หากให้ใครอื่นมอง ทุกคนคงตีความว่าฟ้าชายชลทรงมอบความเป็นมิตร และความสนิทสนมให้กับฟ้าหญิงอุษาวดีในลักษณะที่ผู้ใหญ่พึงมีต่อเด็ก ส่วนคนที่พระองค์ทรงให้ความสนพระทัยคงไม่แคล้วคือฟ้าหญิงคคนางค์เป็นแน่แท้
ทว่าในสายตาของโฆษิต เขากลับคิดว่าฟ้าชายของตนให้ความสนพระทัยฟ้าหญิงอุษาวดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงสองปีหลัง พระองค์มักจะหาเวลาอยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็กเสมอ โดยมักจะหาข้ออ้างเรื่องฟ้าหญิงคคนางค์เสียเป็นส่วนใหญ่
‘ไปตลาดกันไหม’ นั่นคือคำชวนจริงๆ แต่ทรงให้เหตุผลไปว่า ‘หม่อมฉันอยากพาหญิงนางไปเที่ยวตลาด ไปตามลำพังคงไม่เหมาะ ไปด้วยกันสิ’
หรือไม่ก็
‘หม่อมฉันอยากหาดอกสวยๆ ไปช่วยหาหน่อยสิ...หม่อมฉันไม่รู้ว่าหญิงนางจะชอบดอกไหน’
หรืออาจเป็น
‘หญิงนางชอบเป่าขลุ่ยใช่ไหม สอนหน่อยสิ เผื่อวันหนึ่งหม่อมฉันจะได้เป่าให้ฟัง’
ทรงไม่ได้อยากเรียนอะไรนักหรอก เพราะตามพระนิสัยแล้ว ฟ้าชายชลโปรดการขี่ม้า ล่าสัตว์ ยิงธนูมากกว่าเรื่องดนตรี แต่ที่ทำเช่นนั้นคงเป็นการหาข้ออ้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดฟ้าหญิงพระองค์เล็กเสียมากกว่า
จะว่าไปฟ้าชายของเขาก็ใช้เวลาอยู่กับฟ้าหญิงอุษาวดีมากกว่าฟ้าหญิงคคนางค์ที่นางกำนัลและเหล่าทหารต่างกระซิบกระซาบบอกต่อๆกันว่าทรงสนพระทัยเสียอีก
โฆษิตเกือบหลุดหัวเราะออกมาต่อสิ่งที่ตนเองคิด จนต้องรีบยกมือปิดปาก แล้วเปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นเสียงกระแอมกะไอเบาๆอย่างทันท่วงที ...เสียงนั้นเบามาก แต่ฟ้าชายของเขาก็ยังได้ยิน ทรงหันมาทำพระเนตรดุๆอยู่อึดใจ แล้วหันไปรับสั่งนู่นนี่นั่นกับฟ้าหญิงอุษาวดีต่อ
เมื่อเดินผ่านท้องพระโรง มีข้าราชบริพารหันมาถวายคำนับ ถวายบังคมกันพึ่บพั่บ บทสนทนาระหว่างกันจึงหยุดลงเพียงแค่นั้น ก่อนฟ้าหญิงอุษาวดีจะวิ่งตัวปลิวไปหาเจ้าฟ้าชายภูมิธรที่เพิ่งสาวพระบาทเดินเคียงพระพี่นางของพระองค์ออกมา
“หม่อมฉันขอรบกวนเวลาหน่อยได้ไหมเพคะ”
ด้วยความพระทัยดี แม้จะอยากใช้เวลาอยู่กับฟ้าหญิงคคนางค์มากเพียงใด พระองค์ก็ไม่ปฏิเสธคำร้องขอของพระขนิษฐาของคนที่พระองค์หมายปอง
“มีเรื่องอะไรให้หม่อมฉันช่วยหรือ?”
“ก็เจ้าชะ...เอ่อ เจ้าขนปุยนี่แหละเพคะ มีคนให้หม่อมฉันเป็นของขวัญ แต่หม่อมฉันยังเลี้ยงไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันกินอะไร นอนยังไง ต้องเลี้ยงแบบไหน หม่อมฉันคงมาถามไม่ผิดคน...ใช่ไหมเพคะ”
เจ้าฟ้าชายภูมิธรแย้มพระโอษฐ์ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพยักพระพักตร์
“รับสั่งถามถูกคนแล้ว” ทรงหันไปผงกพระเศียรลาฟ้าหญิงคคนางค์ แล้วหันมารับสั่งต่อว่า “ไปหาที่สว่างๆคุยกันดีไหม ตรงนั้นน่าจะดี” ทรงชี้ไปยังวนอุทยานหน้าท้องพระโรงซึ่งมีเก้าอี้และตะหินอ่อนวางอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่และแสงตะเกียงจุดส่องสว่างโดยรอบ
“เพคะ ไปกันเลยนะเพคะ”
ฟ้าหญิงอุษาวดีแทบจะถลาเข้าไปคว้าพระหัตถ์ ดีที่ห้ามองค์เองทัน จึงทำเพียงแค่พยักพระพักตร์หงึกหงักเป็นการเร่งเร้าเท่านั้น ท่าทางตื่นเต้นและดีพระทัยของพระองค์ทำให้ใครบางคนมองมาด้วยแววตาไม่พอใจ ยิ่งขุ่นข้องหมองใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นพระองค์มอบรอยแย้มสรวลอันสดใสให้ฟ้าชายพระองค์นั้น สุดท้ายก่อนจากกันพระองค์ได้ทิ้งความอึดอัดที่ยากจะหาทางออกไว้ให้ เมื่อทรงทำพระหัตถ์โบกไปมาเป็นสัญญาณว่าให้ไปส่งฟ้าหญิงคคนางค์กลับจนถึงตำหนักด้วย
ฟ้าชายชลลอบระบายลมหายใจยาว ก่อนจะสาวพระบาทรีบเร่งเพื่อให้ทันฟ้าหญิงคคนางค์ที่กำลังมุ่งหน้ากลับตำหนัก
“หม่อมฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรเพคะ ตำหนักของหม่อมฉันอยู่แค่นี้เอง”
“เพื่อความปลอดภัย ให้หม่อมฉันไปส่งเถอะ”
แล้วทั้งสองก็ทรงพระดำเนินเคียงกันไป เพียงไม่กี่ก้าวฟ้าชายชลก็ทรงเหลียวมาหาเจ้าตัวยุ่ง เห็นวรองค์เล็กโน้มพระพักตร์เข้าไปใกล้ฟ้าชายภูมิธร ฟังบางอย่างอย่างตั้งพระทัยแล้วก็ต้องขบกรามแน่น ความขุ่นมัวในพระอารมณ์มากเสียจนยามกลับมาถึงพระตำหนัก บรรดาทหารผู้ติดตามต่างไม่กล้าเข้าพระพักตร์ มีแต่โฆษิตเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตามติดเป็นเงาด้วยรอยเต้นระริกในดวงตา
“เจ้าขันอะไรกัน โฆษิต”
“ไม่ได้ขันพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อก้าวพระบาทผ่านบานพระทวารห้องพระบรรทมเข้ามา ก็ทรงระเบิดเสียงใส่ราชองครักษ์ทันที
“เรารู้จักเจ้ามานานแล้ว อย่าริอ่านมาปดเรา”
ทรงปลดดาบยาวโค้งที่คาดไว้ตรงบั้นพระองค์ออก แล้วทิ้งองค์ลงนั่งบนโซฟาบุหนังสีแดงที่ตั้งชิดผนังห้อง ทอดพระเนตรสีหน้าปูเลี่ยนๆของราชองครักษ์อย่างเอาเรื่อง
“ว่าไง?”
ราชองครักษ์หนุ่มเม้มปากแน่น สูดลมหายใจลึกก่อนก้มศีรษะลงต่ำจนแทบขนานพื้น
“กระหม่อมเพียงแค่กำลังคิด”
“คิดอะไรบอกมาให้หมด!”
“กำลังคิดว่า...” เจ้าตัวขมวดคิ้วครุ่นคิดหาคำตอบที่ดีพอจะไม่ทำให้ศีรษะต้องหลุดจากบ่าอยู่อึดใจ จึงโพล่งคำตอบออกมาโดยที่ก้มตัวลงต่ำค้างอยู่เช่นนั้นว่า
“ถ้ากระหม่อมหลงรักเด็ก กระหม่อมควรจะทำตัวแบบไหนดีพ่ะย่ะค่ะ”
บังเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดภายในห้อง และทั้งๆที่ลมหนาวพัดผ่านพระแกลเข้ามา หากเหงื่อของโฆษิตกลับไหลชุ่มโชกไปทั้งแผ่นหลัง
“แล้วเจ้าได้คำตอบรึยัง”
“ยะ...ยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ้าชายชลทรงยืดองค์เต็มความสูง สูดลมหายพระทัยลึกยาว แล้วสาวพระบาทเร็วรี่เข้าไปในห้องสรงน้ำ บานทวารปิดลงพร้อมกับพระสุรเสียงจริงจังลอยมาตามลมว่า
“ถ้าเจ้าได้คำตอบแล้ว ช่วยบอกเราด้วยแล้วกัน”
จบบทแล้วค่าา
มาดูวีรกรรมของหญิงวดีต่อบทหน้านะคะ จุ๊บๆๆ^^
nasa : ไรเตอร์ลืมเขียนบอก แหะๆ เดี๋ยวไว้บอกเหตุผลในเรื่องนะคะ บทไหนสักบทนี่แหละค่ะ ^^
ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ธ.ค. 2556, 17:18:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 20:13:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 1500
<< บทที่ ๔.๑ | บทที่ ๕.๑ >> |
kraten 5 ธ.ค. 2556, 18:41:05 น.
ออกเป็นเล่มเมื่อไหร่คะ อยากอ่านต่อแล้ว
ออกเป็นเล่มเมื่อไหร่คะ อยากอ่านต่อแล้ว
แว่นใส 5 ธ.ค. 2556, 19:15:43 น.
อย่าแกล้งชายชลของเรานะ
อย่าแกล้งชายชลของเรานะ
นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ธ.ค. 2556, 22:56:28 น.
ชายชล ปากหนักจิงจิ๊งงงงงงง
อยากให้กลับมาสู่ปัจจุบันไวๆ จังเลยยย
ชายชล ปากหนักจิงจิ๊งงงงงงง
อยากให้กลับมาสู่ปัจจุบันไวๆ จังเลยยย
ไม้เอก 6 ธ.ค. 2556, 14:34:39 น.
เมื่อไหร่จะสารภาพจ๊ะเนี่ย ^^
เมื่อไหร่จะสารภาพจ๊ะเนี่ย ^^