กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
Tags: โรแมนติก,พาฝัน
ตอน: ตอนที่ 3
อุณหภูมิเย็นเฉียบต่ำกว่ายี่สิบองศาเซลเซียส ทำให้พิมพ์นารายกมือขึ้นกอดอกระหว่างสำรวจห้องกระจกสีขาวขนาดกว้างหนึ่งเมตรครึ่ง
ห้องนี้สร้างจากพื้นที่รอยต่อระหว่างอาคารผลิตกับอาคารสำนักงาน เพื่อให้มองเข้าไปเห็นกระบวนการผลิต ตามวัตถุประสงค์หลักให้ลูกค้าเดินดูงานยามมาตรวจเยี่ยมโรงงาน
ด้านซ้ายสุดของห้องติดตั้งกระจกนิรภัยใสป้องกันเศษแก้วแตกกระจาย แยกห้องสีขาวขนาดเล็กนี้กับห้องผลิตตัดแต่งเนื้อหมูสดออกจากกัน ส่วนด้านขวาติดกับอาคารสำนักงานเป็นผนังไอโซวอลล์ มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนจากภายนอก เก็บรักษาความเย็นภายในห้องได้สม่ำเสมอ เหมาะนำมาใช้ในโรงงานผลิตอาหารช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเป็นที่ยอมรับของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยา
พิมพ์นาราเดินตามโยธินมาบนทางเดินแคบๆ พลางคิดถึงธารธาราซึ่งแยกตัวไปศึกษางานในกระบวนการผลิตผักและผลไม้แปรรูปกับเตมินทร์ ทิ้งให้เธอเผชิญหน้ากับคู่อริตามลำพัง
เธอหยุดฝีเท้าลง จ้องมองห้องผลิตผ่านกระจกนิรภัย พบคนจำนวนนับร้อยสวมหมวกผ้าคล้ายหมวกโม่งสีเดียวกับผ้าปิดปากสีขาว คลุมตั้งแต่กลางศีรษะลงมาถึงลำคอ เหลือเพียงดวงตาสองข้าง แทบจะมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ส่วนเสื้อผ้าถูกสวมทับด้วยชุดแขนยาวสีขาวคลุมลงมาถึงหัวเข่า โดยห่างจากตำแหน่งนี้ราวหนึ่งฝ่ามือจะพบรองเท้าบูทยาวขึ้นมาถึงกลางน่อง ลักษณะผู้คนตรงหน้าคล้ายมนุษย์อวกาศ ปกปิดร่างกายมิดชิดตรงตามหลักความปลอดภัยในการผลิตอาหารสู่ผู้บริโภค
พนักงานผลิตง่วนอยู่กับภารกิจประจำวัน บางกลุ่มยืนเรียงตรงสายพานสีฟ้าเพื่อหั่นเนื้อหมู ให้มีรูปทรงตามลักษณะการสั่งซื้อของลูกค้า อีกกลุ่มบรรจุชิ้นเนื้อใส่ถาดนำไปผ่านเครื่องหุ้มแผ่นพลาสติกใสอัตโนมัติ และพนักงานจำนวนหนึ่งช่วยกันเข็นตะกร้าซึ่งใส่ผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายไปยังคลังสินค้า เตรียมส่งต่อให้ลูกค้า
“ห้องนี้มีชื่อว่า ห้องตัดแต่ง เรียกตามกระบวนการผลิตซึ่งพนักงานจะตัดแต่งเนื้อหมูตามลักษณะการสั่งซื้อของลูกค้า เช่น เนื้อหมูสะโพก เนื้อหมูสันนอก หรือ ซี่โครงหมู พนักงานทุกคนก่อนเข้ามาปฏิบัติงานต้องเปลี่ยนชุดคลุม ล้างมือและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ถึงจะเข้ามาทำงานได้ตามหลักความปลอดภัยในการผลิตอาหาร อุณหภูมิในห้องนี้จะถูกควบคุมอยู่ที่สิบสององศาเซลเซียส เพื่อให้อุณหภูมิในชิ้นเนื้อไม่เพิ่มขึ้นระหว่างปฏิบัติงาน ห้องที่เราเห็นอยู่ในตอนนี้จะรับเนื้อหมูมาจากห้องถัดไปเรียกว่า ห้องชิลศูนย์” โยธินอธิบายสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นเธอหยุดยืนมองกระบวนการผลิต ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปยังห้องที่กล่าวไว้ท้ายประโยค
พิมพ์นาราเดินตามร่างสูงสง่า สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้างตรงหน้าพลางไตร่ตรองคำอธิบายของเขา เธอยอมรับว่าได้ความรู้เพิ่มเติมและมุมมองใหม่ที่มีต่อโยธินเพิ่มขึ้นด้วย เวลาทำงานเขาดูฉลาดมีหลักการตรงข้ามกับเวลายียวนกวนประสาทเธอโดยสิ้นเชิง…
หรือว่าบางทีต้องเปลี่ยนทัศนคติมองผู้ชายคนนี้ใหม่สักครั้ง…
“โอ๊ย ! ”
พิมพ์นาราอุทานลั่น เมื่อหน้าผากชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างซึ่งจ้องอยู่อย่างไม่วางตา โดยไม่ทันสังเกตว่า โยธินหยุดเดินพลางส่งสายตาเข้าไปในห้องเบื้องหน้า
“ตอนเดินยังแอบหลับได้ด้วยหรือ” เขาหันมองเธอเซไปด้านหลัง
หญิงสาวลูบหน้าผากป้อยๆ ส่งสายตาเขียวปัดไปให้ชายหนุ่ม นึกเจ็บใจตนเองที่แอบชื่นชมผู้ชายคนนี้
“โธ่! ลุง…จะหยุดเดินก็บอกกันหน่อย” เธอรีบพูดกลบเกลื่อน
“ลุง…” โยธินทบทวนสรรพนามใหม่ที่เพิ่งได้รับมาแล้วเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าบอกความฉงน
“คือ…ฉันว่าเรียก ลุงก็ดีเหมือนกัน จะได้ดูมีวัยวุฒิเพิ่มขึ้นไง” เธอยิ้มกว้าง ไม่ยอมสบตาเขา
“จะบอกว่า ‘แก่’ ก็พูดมาตรงๆ” เขาปั้นหน้าดุใส่
พิมพ์นาราหันมองทางอื่น แสร้งไม่ได้ยินเสียงทุ้มข้างกาย
“ลุงคะ…ห้องนี้คือห้องอะไร” เธอยืนยันใช้สรรพนามนี้เรียกคนข้างๆ โดยไม่กลัวว่าเขาจะโกรธ
โยธินหรี่ตามองหญิงสาวจอมป่วน ก่อนจะตอบคำถาม
“ห้องนี้ชื่อว่า ชิลศูนย์ เรียกตามอุณหภูมิห้องที่ศูนย์องศาเซลเซียส เราจะนำซากสุกรหลังเชือดมาแขวนไว้ในนี้เพื่อลดอุณหภูมิจากสามสิบเจ็ดให้เหลือแค่สี่องศาเซลเซียส ก่อนนำไปตัดแต่งเป็นชิ้นส่วนต่างๆในห้องที่เราเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์” โยธินกลับเข้าสู่สภาวะจริงจังในการทำงานอีกครั้งจนพิมพ์นาราต้องตั้งใจฟังคำอธิบายอย่างเงียบกริบ
ซากสุกรถูกผ่าครึ่งซีก นำเครื่องในออกทำความสะอาดอย่างดี เผยให้เห็นซี่โครงเรียงกันเป็นแผง แขวนเรียงไว้บนราวสแตนเลสคล้ายราวตากผ้าขนาดใหญ่ สูงเกือบถึงเพดาน ยาวสิบเมตรจากหน้าห้องถึงท้ายห้อง จำนวนสามสิบราว
แลดูน่าสะพรึงกลัวต่อผู้พบเห็นครั้งแรกเพราะซากสุกรมีขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ บางซากแลดูใหญ่กว่า มีอวัยวะเกือบครบทุกส่วน ขาดแต่ส่วนหัวและอวัยวะภายในที่ถูกตัดแต่งออกไปก่อนนำส่งมายังห้องนี้
เมื่ออากาศเย็นภายในห้องลอยมาสัมผัสซากสุกรอุณหภูมิสูง แขวนอยู่บนราวสแตนเลสทำให้เกิดไอหมอกจางๆทั่วบริเวณห้องราวกับอยู่บนยอดดอยในฤดูหนาว
“งานโครงการของเราจะทำที่ห้องนี้” เขาเหลียวมองพิมพ์นาราซึ่งแนบใบหน้าชิดกระจกนิรภัย จ้องภาพตรงหน้าราวกับเด็กน้อยตั้งใจฟังครูสอน
“ต้องทำยังไงบ้างคะ ”
“พรุ่งนี้จะพาเข้าไปในห้องนี้แล้วจะอธิบายให้ฟัง”
“เราต้องเข้าไปในนั้นหรือคะ”
“ใช่…ตอนบ่ายนะเพราะช่วงเช้าขอสะสางงานก่อน” เขากล่าวเสียงเรียบ
เธอกลอกนัยน์ตาคู่สวยไปมาอย่างใช้ความคิด แววในนั้นฉายความฉงน ในที่สุดก็กลายเป็นคำถามพรั่งพรูสู่โยธิน
“ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างคะ…”
“ข้างในห้องจะหนาวมากไหม…”
“จริงสิข้อมูลต่างๆ ฉันยังไม่มีเลย ขอข้อมูลเกี่ยวกับงานโครงการนี้ด้วยค่ะ”
“แล้วก็…. ” คำถามล่าสุดถูกเอ่ยได้เพียงเท่านั้นเพราะโยธินขยับเข้ามาชิดตัว ก้มหน้ามองเธอ…ใกล้กันจนแทบจะแลกเปลี่ยนลมหายใจ ทำเอาหญิงสาวชะงักงัน เมื่อเงยหน้ามาพบดวงตาคมดุและลมหายใจอุ่นๆ ลอยมาสัมผัสผิวหน้านวลจนจังหวะการเต้นของหัวใจเธอเร่งเร็วขึ้น
“พอแล้ว ยายพิมพ์… เขียว” โยธินลากเสียงยาวท้ายประโยค
“อะไรนะ ! คุณเรียกฉันว่า… ” เธอหยุดตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องงาน หันมาสนใจคำพูดของเขา
“ยายพิมพ์เขียว” โยธินย้ำอีกครั้งพร้อมยักคิ้วใส่ใบหน้าสวยของคนฟัง
“อีตาลุงใจร้าย ! มาเรียกฉันแบบนี้ได้ไง” เธอจ้องเขาตาเขียวปั้ด
“อ้าว! ทีคุณยังเรียกผมว่า ‘ลุง’ ได้เลย…นี่ให้เกียรติยกตำแหน่ง ‘ยาย’ ให้เลยนะ แถมใส่คำคุณศัพท์บอกอาการที่ชอบทำตาเขียวให้ด้วย” เมื่อคำพูดกลั้วหัวเราะจบลง รอยยิ้มกว้างก็เผยขึ้น ก่อนเขาจะหมุนตัวเดินจากไป…ทิ้งให้พิมพ์นารายืนหน้างอเพราะเถียงไม่ออก
เธอหรี่ตามองร่างสูงที่จากไปด้วยท่าทางสบายใจ…
แน่ล่ะ…ใครจะสู้ไหว ไหนจะเรียกด้วยสรรพนามที่แก่กว่าและสรรพคุณประจำตัวอีก…
แต่…ใช่ว่าจะยอมง่ายๆนะ
ฝากไว้ก่อนเถอะ!
‘คุณลุงใจร้าย’
“สองสาวยังไม่นอนกันหรือ” ไพฑรูย์ถอดเสื้อสูทตัวนอกพาดไว้ที่แขนข้างหนึ่ง พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวยาว เอื้อมมือลูบศีรษะลูกสาวซึ่งนั่งชมโทรทัศน์อยู่ข้างนาราวดีบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“กำลังจะไปนอนค่ะ คุณพ่อ”
“ไปทำงานที่ใหม่เป็นยังไงบ้าง”
“คุณพ่อถามเหมือนคุณแม่เลย สนุกดีค่ะ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ในการผลิตอาหารด้วย” พิมพ์นาราพูดจบ หมุนตัวกอดผู้เป็นแม่
“คุณแม่ขา…วันนี้พิมทำงานเหนื่อยจัง หนีคุณพ่อไปนอนกันดีกว่า”
“ง่วงก็ขึ้นนอนกันได้แล้วต้องตื่นเช้านี่เรา” ไพฑรูย์กลับไล่ลูกสาวให้ไปนอนเสียเอง เรียกเสียงหัวเราะจากนาราวดี
เมื่อสองสาวต่างวัยเดินลับตาไป เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เลือกเบอร์ที่ต้องการแล้วกดปุ่มโทรออก
“เข้ามาหาฉันได้แล้ว”
หลังจากวางสายสนทนาไม่นาน ชายรูปร่างท้วมก้าวผ่านประตูบานใหญ่มาถึงห้องโถงรับแขก ไพฑรูย์พับหนังสือพิมพ์ในมือวางลงบนโต๊ะกระจก ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืน
“ที่สั่งไว้สำเร็จไหม”
“เรียบร้อยครับนาย…เริ่มงานวันพรุ่งนี้ครับ”
“ดีมาก…ฝากดูแลแทนฉันด้วย แล้วรายงานฉันทุกความเคลื่อนไหวนะ” ไพฑรูย์วางมือบนบ่าอีกฝ่าย ตบเบาๆ เชิงขอบคุณ
“ไม่ต้องห่วงครับนาย ผมจะทำให้ดีที่สุด”
ช่วงบ่ายของวันต่อมา พิมพ์นาราขยับปลายนิ้วบนคีย์บอร์ดเพื่อเริ่มต้นทำรายงาน โครงการลดการสูญเสียน้ำหนักของซากสุกรก่อนเข้าสู่กระบวนการตัดแต่ง เธอเหลือบมองข้อมูลจากโยธินทางอีเมล์และแฟ้มเอกสารที่เขานำมาให้ในตอนเช้า
เสียงสั่นของฉากกั้นห้องซึ่งโดนเคาะเบาๆสองถึงสามครั้ง ทำให้พิมพ์นาราละสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เงยหน้ามองที่มาของเสียง
“งานเสร็จหรือยัง ยายพิมพ์เขียว ” โยธินถามพลางยักคิ้วให้อีกฝ่าย
หญิงสาวกัดฟันแน่นเพราะสรรพนามนี้ กระตุ้นความรู้สึกอยากมีเรื่องขึ้นมาจับใจ ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาเบาๆ
“คุณลุง…มีอะไรให้รับใช้คะ”
โยธินกระตุกยิ้มที่มุมปาก หลังจากได้รับการประชดประชันกลับมา
“จะพาเข้าไปดูกระบวนผลิตพร้อมหรือยัง”
“พร้อมค่ะ งานที่เหลือเดี๋ยวค่อยมาทำต่อ” มือเล็กเอื้อมปิดแฟ้มตรงหน้า ขยับตัวลุกเดินตามเขาไป
เตมินทร์ซึ่งนั่งปรึกษางานอยู่ที่โต๊ะของธารธารา หันมองเจ้าของโต๊ะ ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ย
“เขาสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นนะครับ”
“ใช่ค่ะ…ดูดีจากวันแรกเยอะ” น้ำเสียงของธารธาราเย็นเรียบ ต่างจากแววตาระริกไหวแฝงรอยกังวล
“คุณยาย ! เขาต้องใส่ผ้าปิดปากก่อนสวมหมวกมานี่เลย” โยธินถอดหมวกเธอออก ช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นแล้วหยิบผ้าปิดปากสีขาวมาใส่ให้ ตามด้วยหมวกผ้าใบเดิมสวมคลุมศีรษะอีกครั้ง จากนั้นจึงสำรวจความเรียบร้อยด้วยสายตานิ่งสุขุม ทำเอาพิมพ์นารายืนตัวเกร็งอยากจะหันหน้าหนี
แต่…เมื่อสบดวงตาคมกริบ หญิงสาวก็รู้สึกถึงกระแสร้อนเย็นที่สลับกันโลมไล้ใบหน้าเธอ แขนขาชาคล้ายถูกไฟฟ้าช็อต ได้แต่นิ่งงันดั่งต้องมนต์สะกด
“ใส่เสื้อคลุมสีขาว แล้วสวมรองเท้าบูทคู่นี้ด้วย” เสียงของโยธินปลุกร่างที่ยืนนิ่งให้รู้สึกตัว เธอทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ หัวใจกลับเต้นเร็วขึ้น…
โยธินล้างมือเสร็จแล้ว ยื่นสองมือเข้าไปใต้เครื่องพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออัตโนมัติ รอจนละอองน้ำยาฟุ้งกระจาย เขาหันมาพยักหน้าให้เธอทำตาม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องผลิต
อากาศข้างในเย็นเฉียบทำให้สองแขนของพิมพ์นาราผสานกันแน่น กลิ่นคาวจากเนื้อหมูลอยอบอวลอยู่ในบรรยากาศ เธอเดินตามโยธินมาติดๆไม่ให้คลาดสายตาเพราะทางเดินซับซ้อนกว่าที่มองมาจากห้องกระจกภายนอก ประกอบกับรองเท้าบูทสีขาวคู่ใหญ่ทำให้ต้องเกร็งฝ่าเท้าเดินอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นอาจมีการแสดงจับกบเกิดขึ้นได้
เมื่อมาถึงห้องชิลศูนย์ หญิงสาวก้าวผ่านประตูทำจากผนังไอโซวอลล์สีขาวตามโยธินเข้าไปด้านใน มือเรียวรีบคว้าผนังห้องทันที เมื่อเท้าสัมผัสน้ำแข็งบนพื้น
“เดินระวังหน่อยนะ อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียสทำให้ไอน้ำที่เกาะอยู่ทั่วห้องนี้กลายเป็นน้ำแข็ง” โยธินพูดเมื่อหันไปเห็นสภาพเดินย่องๆ ของอีกฝ่าย
พิมพ์นาราก้าวช้าๆ สองแขนผสานกันแน่นที่อก กวาดตาสำรวจรอบห้อง พบว่าภาพเหล่านั้นไม่ต่างจากที่เห็นเมื่อวาน แต่เป็นเพียงภาพเท่านั้นเพราะเมื่อยืนอยู่จุดเดียวกับที่เคยส่งสายตาเข้ามาสำรวจ ความรู้สึกช่างแตกต่างกันเหลือเกิน อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียสทำให้เธอเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูก
“ทนหนาวไหวไหม” โยธินถาม เมื่อร่างของหญิงสาวสั่นไหว
“ทน…ทนได้อยู่ค่ะ…แล้วงานโครงการนี้ต้องทำยังไง” เสียงเธอสั่นเครือฟังดูตรงข้ามกับคำตอบ
โยธินหยุดเดินบริเวณราวสแตนเลส คล้ายราวตากผ้าขนาดใหญ่ ยกตัวสูงจากพื้นสองเมตร แขวนซากสุกรถูกผ่าซีกจำนวนสิบซาก
“พี่ออกแบบการทดลอง โดยติดตั้งหัวพ่นหมอกไว้บนราวสแตนเลส ให้พ่นน้ำเป็นละอองฝอยมายังซากสุกรเพื่อให้อุณหภูมิลดลงได้เร็วขึ้น ปกติการลดอุณหภูมิในเนื้อหมูให้เหลือ สี่องศาเซลเซียสต้องใช้เวลา สิบแปดถึงยี่สิบชั่วโมงทำให้เนื้อหมูแห้งเพราะผึ่งอากาศเย็นเป็นเวลานาน น้ำในเซลล์ระเหยออกเยอะ สูญเสียน้ำหนักมาก หากเราทดลองสำเร็จ เวลาที่ซากสุกรอยู่ในห้องนี้จะลดลง น้ำหนักของเนื้อหมูก็จะสูญเสียน้อยลงด้วย” โยธินพูดพลางจ้องมองซากสุกร
“แล้ว…ให้พิมช่วยอะไรได้บ้างคะ” เธอถามเสียงสั่น
“พี่มีรายชื่อผู้รับเหมาที่รับทำงานประเภทนี้สองสามราย…เดี๋ยวจะให้เบอร์โทรศัพท์ไปติดต่อเขาให้เข้ามาทำการทดลอง ถ้าสำเร็จจะนำเสนอผู้ใหญ่ให้ติดตั้งงานโครงการนี้ทันที”
พิมพ์นาราพยักหน้ารับพลางกวาดตามองรอบห้อง ที่เหลือเพียงเธอและโยธินยืนศึกษาหน้างานกันสองคนซึ่งก่อนหน้านี้มีพนักงานผลิตปฏิบัติงานอยู่ แต่ ตอนนี้เหลือเพียงตะกร้าพลาสติกสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆ ผ่านการล้างทำความสะอาด เรียงซ้อนกันสามถึงสี่ใบสูงระดับเอว จัดวางไว้ซ้ายขวาข้างทางเดิน ทำให้พื้นที่แลดูหนาแน่นขึ้น
“พนักงานไปไหนกันหมดคะ”
“ถ้าแขวนซากสุกรบนราวครบแล้วเขาจะไปพักกัน ห้องนี้อุณหภูมิต่ำมากต้องพักร่างกายให้ความอบอุ่นบ้าง” โยธินกล่าวพลางมองไปทั่วห้อง พบพนักงานผลิตคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“คุณโยครับ คุณเตให้มาตามไปเข้าร่วมประชุม งานเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำครับ”
“จริงสิ ! ลืมสนิทเลย ขอบใจมาก”
พนักงานผลิตพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปปฏิบัติงานต่อ
“เดี๋ยวเราต้องเข้าประชุมกัน” โยธินเดินนำเธอไปยังประตูทางออก
พิมพ์นาราก้าวช้าๆอย่างระมัดระวัง แต่ขากลับทางเดินถูกขนาบด้วยตะกร้าพลาสติกทั้งซ้ายและขวา ทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น
“เอ๊ะ! ” เธออุทานเบาๆ หลังจากก้าวขาต่อไม่ได้ ก่อนจะก้มมองบริเวณหัวเข่า ใบหน้าเรียวส่ายช้าๆ พลางเอื้อมมือจับชายเสื้อคลุมซึ่งติดแน่นกับขอบตะกร้าพลาสติกในจังหวะที่ก้าวผ่าน
หญิงสาวเกร็งมือดึงชายเสื้อคลุม จนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนทั้งแขน เมื่อไม่สำเร็จจึงรวบรวมแรงครั้งสุดท้ายกระตุกมืออย่างแรง ได้ผลตามคาด ชายเสื้อหลุดเป็นอิสระจากขอบตะกร้าพร้อมกับร่างเล็กเซถลาไปข้างหลัง
“กรี๊ด!”
พิมพ์นารากรีดร้องเบาๆ แต่ไม่เบาเกินกว่าโยธินจะได้ยิน เขาวิ่งมาคว้าร่างบางได้ทันก่อนจะล้มลงกับพื้น
แต่…พื้นด้านล่างที่มีน้ำแข็งเกาะบางๆ ทำให้แรงเสียดทานของรองเท้าบูทลดลง ชายหนุ่มจึงสูญเสียการทรงตัวจนฝ่าเท้าปัดไปมา
แม้ว่า…เขาจะพยายามประคองตัวไว้ แต่…อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ร่างสูงใหญ่เสียหลัก มีเพียงสติสัมปชัญญะที่ยังไม่สูญเสีย
โยธินจึงปล่อยมือจากหญิงสาวซึ่งยืนทรงตัวได้แล้ว สองมือของชายหนุ่มปัดป่ายไปมาราวกับไขว่คว้าบางสิ่งพร้อมแผ่นหลังลดต่ำลงสู่พื้น
พิมพ์นาราเบิกตากว้าง เมื่อเห็นผู้ที่มาช่วยเหลือประสบภัยเสียเองจึงรีบคว้ามือเขาไว้
ทว่า…เมื่อมือสัมผัสกันแรงดึงจากโยธินกลับมีมากกว่า ประจวบกับจังหวะที่แผ่นหลังเขากระแทกพื้น ร่างบางจึงถลามาข้างหน้าลงไปกองบนลำตัวชายหนุ่ม
หญิงสาวรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากของโยธินประกบลงบนเรียวปากของตนเอง ผ่านตัวกลางผ้าปิดปากผืนบาง ดวงตาทั้งคู่ประสานนิ่ง แววในนั้นตื่นตระหนกแฝงความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบสู่หัวใจ เกิดเป็นเสียงกลองดังระรัวอยู่ในอก
ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นเฉียบ แต่ ทั้งสองคนกลับรู้สึกร้อนวูบวาบ…
ลมหายใจอุ่นๆของโยธินผ่อนออกมาเบาๆ ประหนึ่งไม่กล้าหายใจ ลอยมาสัมผัสผิวหน้าเธอเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืน ดวงตาคู่งามกะพริบเปลือกตาสองสามครั้ง ก่อนพิมพ์นาราจะสะดุ้งตัวลุกขึ้นยืน
“บาดเจ็บตรงไหนไหม” เธอถามพลางประคองอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร… ”น้ำเสียงของโยธินฟังดูทุ้มต่ำลงกว่าเดิม เขาขยับมือปัดเกร็ดน้ำแข็งออกจากเสื้อคลุม
พิมพ์นาราไล่มองแผ่นหลังกว้างเลยไปถึงข้อเท้าของเขา เพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ สองแขนเอื้อมเข้าใกล้ชายหนุ่มหวังจะช่วยขยับเสื้อคลุมสีขาวให้เข้าที่
แต่…ก็ค้างเติ่งกลางอากาศไปไม่ถึงตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนจะลดระดับลงไว้ข้างลำตัว
เธอรู้สึกสองจิตสองใจ…ใจหนึ่งรู้สึกผิดว่า ตนเองเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัวจึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ...
ส่วนอีกใจกลับรู้สึกขัดเขินจากอุบัติเหตุเมื่อสักครู่…จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้…ได้แต่ยืนมองอยู่พักใหญ่…
“แล้วเราบาดเจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่ค่ะ ห่วงก็แต่…” ท้ายประโยคของเธอแผ่วลง
“แต่อะไรหรือ” โยธินย่นหัวคิ้วหนาเข้าหากัน
“ห่วงก็แต่ พี่โย…” เธอตัดสินใจเอ่ยความรู้สึกออกมาพลางก้มหน้าลง
“ถ้าห่วงกันจริง วันหลังก็…” เขาอมยิ้มชำเลืองมองอีกฝ่าย
“ก็อะไรคะ” เธอเงยหน้าสบตาคนพูดอย่างสงสัย
“ก็ลดน้ำหนักตัวลงบ้างนะ ซุ่มซ่ามแบบนี้คนอยู่ใกล้เขาจะได้ไม่บาดเจ็บมาก” โยธินพูดจบ หัวเราะร่วนราวกับกลั้นอารมณ์ขันมานาน แล้วเดินจากไปด้วยท่าทางสบายใจ ทิ้งให้พิมพ์นารายืนหน้าชา
หญิงสาวคำรามในลำคอเบาๆพลางส่งสายตาอำมหิตไล่หลังชายหนุ่มไปด้วย
ไม่น่าเลย…ไม่น่าเป็นห่วงคนจอมกวนประสาทคนนี้เลย
รู้อย่างนี้กระโดดทับซ้ำซะก็ดี…
............................................................................................................................................................
ขอบคุณ คุณ Phugan มากนะคะ สำหรับกำลังใจ ^^
พราวชมพู เป็นนักหัดเขียนที่แอบชอบท้อบ่อยๆ ทำให้ยังเขียนไม่จบสักเรื่อง
ฝากเอาใจช่วยนักหัดเขียนคนนี้ด้วยนะคะ
ส่วนพระเอกนางเอกนั้น ไม่ต้องห่วงค่ะ สมหวังแน่ๆ 555 แต่อาจเจออุปสรรคมากหน่อย
มาลุ้นคนเขียนให้แต่งให้จบกันนะฮับบ
ขอบคุณค่ะ ^ ^
ห้องนี้สร้างจากพื้นที่รอยต่อระหว่างอาคารผลิตกับอาคารสำนักงาน เพื่อให้มองเข้าไปเห็นกระบวนการผลิต ตามวัตถุประสงค์หลักให้ลูกค้าเดินดูงานยามมาตรวจเยี่ยมโรงงาน
ด้านซ้ายสุดของห้องติดตั้งกระจกนิรภัยใสป้องกันเศษแก้วแตกกระจาย แยกห้องสีขาวขนาดเล็กนี้กับห้องผลิตตัดแต่งเนื้อหมูสดออกจากกัน ส่วนด้านขวาติดกับอาคารสำนักงานเป็นผนังไอโซวอลล์ มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนจากภายนอก เก็บรักษาความเย็นภายในห้องได้สม่ำเสมอ เหมาะนำมาใช้ในโรงงานผลิตอาหารช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเป็นที่ยอมรับของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยา
พิมพ์นาราเดินตามโยธินมาบนทางเดินแคบๆ พลางคิดถึงธารธาราซึ่งแยกตัวไปศึกษางานในกระบวนการผลิตผักและผลไม้แปรรูปกับเตมินทร์ ทิ้งให้เธอเผชิญหน้ากับคู่อริตามลำพัง
เธอหยุดฝีเท้าลง จ้องมองห้องผลิตผ่านกระจกนิรภัย พบคนจำนวนนับร้อยสวมหมวกผ้าคล้ายหมวกโม่งสีเดียวกับผ้าปิดปากสีขาว คลุมตั้งแต่กลางศีรษะลงมาถึงลำคอ เหลือเพียงดวงตาสองข้าง แทบจะมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ส่วนเสื้อผ้าถูกสวมทับด้วยชุดแขนยาวสีขาวคลุมลงมาถึงหัวเข่า โดยห่างจากตำแหน่งนี้ราวหนึ่งฝ่ามือจะพบรองเท้าบูทยาวขึ้นมาถึงกลางน่อง ลักษณะผู้คนตรงหน้าคล้ายมนุษย์อวกาศ ปกปิดร่างกายมิดชิดตรงตามหลักความปลอดภัยในการผลิตอาหารสู่ผู้บริโภค
พนักงานผลิตง่วนอยู่กับภารกิจประจำวัน บางกลุ่มยืนเรียงตรงสายพานสีฟ้าเพื่อหั่นเนื้อหมู ให้มีรูปทรงตามลักษณะการสั่งซื้อของลูกค้า อีกกลุ่มบรรจุชิ้นเนื้อใส่ถาดนำไปผ่านเครื่องหุ้มแผ่นพลาสติกใสอัตโนมัติ และพนักงานจำนวนหนึ่งช่วยกันเข็นตะกร้าซึ่งใส่ผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายไปยังคลังสินค้า เตรียมส่งต่อให้ลูกค้า
“ห้องนี้มีชื่อว่า ห้องตัดแต่ง เรียกตามกระบวนการผลิตซึ่งพนักงานจะตัดแต่งเนื้อหมูตามลักษณะการสั่งซื้อของลูกค้า เช่น เนื้อหมูสะโพก เนื้อหมูสันนอก หรือ ซี่โครงหมู พนักงานทุกคนก่อนเข้ามาปฏิบัติงานต้องเปลี่ยนชุดคลุม ล้างมือและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ถึงจะเข้ามาทำงานได้ตามหลักความปลอดภัยในการผลิตอาหาร อุณหภูมิในห้องนี้จะถูกควบคุมอยู่ที่สิบสององศาเซลเซียส เพื่อให้อุณหภูมิในชิ้นเนื้อไม่เพิ่มขึ้นระหว่างปฏิบัติงาน ห้องที่เราเห็นอยู่ในตอนนี้จะรับเนื้อหมูมาจากห้องถัดไปเรียกว่า ห้องชิลศูนย์” โยธินอธิบายสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นเธอหยุดยืนมองกระบวนการผลิต ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปยังห้องที่กล่าวไว้ท้ายประโยค
พิมพ์นาราเดินตามร่างสูงสง่า สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้างตรงหน้าพลางไตร่ตรองคำอธิบายของเขา เธอยอมรับว่าได้ความรู้เพิ่มเติมและมุมมองใหม่ที่มีต่อโยธินเพิ่มขึ้นด้วย เวลาทำงานเขาดูฉลาดมีหลักการตรงข้ามกับเวลายียวนกวนประสาทเธอโดยสิ้นเชิง…
หรือว่าบางทีต้องเปลี่ยนทัศนคติมองผู้ชายคนนี้ใหม่สักครั้ง…
“โอ๊ย ! ”
พิมพ์นาราอุทานลั่น เมื่อหน้าผากชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างซึ่งจ้องอยู่อย่างไม่วางตา โดยไม่ทันสังเกตว่า โยธินหยุดเดินพลางส่งสายตาเข้าไปในห้องเบื้องหน้า
“ตอนเดินยังแอบหลับได้ด้วยหรือ” เขาหันมองเธอเซไปด้านหลัง
หญิงสาวลูบหน้าผากป้อยๆ ส่งสายตาเขียวปัดไปให้ชายหนุ่ม นึกเจ็บใจตนเองที่แอบชื่นชมผู้ชายคนนี้
“โธ่! ลุง…จะหยุดเดินก็บอกกันหน่อย” เธอรีบพูดกลบเกลื่อน
“ลุง…” โยธินทบทวนสรรพนามใหม่ที่เพิ่งได้รับมาแล้วเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าบอกความฉงน
“คือ…ฉันว่าเรียก ลุงก็ดีเหมือนกัน จะได้ดูมีวัยวุฒิเพิ่มขึ้นไง” เธอยิ้มกว้าง ไม่ยอมสบตาเขา
“จะบอกว่า ‘แก่’ ก็พูดมาตรงๆ” เขาปั้นหน้าดุใส่
พิมพ์นาราหันมองทางอื่น แสร้งไม่ได้ยินเสียงทุ้มข้างกาย
“ลุงคะ…ห้องนี้คือห้องอะไร” เธอยืนยันใช้สรรพนามนี้เรียกคนข้างๆ โดยไม่กลัวว่าเขาจะโกรธ
โยธินหรี่ตามองหญิงสาวจอมป่วน ก่อนจะตอบคำถาม
“ห้องนี้ชื่อว่า ชิลศูนย์ เรียกตามอุณหภูมิห้องที่ศูนย์องศาเซลเซียส เราจะนำซากสุกรหลังเชือดมาแขวนไว้ในนี้เพื่อลดอุณหภูมิจากสามสิบเจ็ดให้เหลือแค่สี่องศาเซลเซียส ก่อนนำไปตัดแต่งเป็นชิ้นส่วนต่างๆในห้องที่เราเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์” โยธินกลับเข้าสู่สภาวะจริงจังในการทำงานอีกครั้งจนพิมพ์นาราต้องตั้งใจฟังคำอธิบายอย่างเงียบกริบ
ซากสุกรถูกผ่าครึ่งซีก นำเครื่องในออกทำความสะอาดอย่างดี เผยให้เห็นซี่โครงเรียงกันเป็นแผง แขวนเรียงไว้บนราวสแตนเลสคล้ายราวตากผ้าขนาดใหญ่ สูงเกือบถึงเพดาน ยาวสิบเมตรจากหน้าห้องถึงท้ายห้อง จำนวนสามสิบราว
แลดูน่าสะพรึงกลัวต่อผู้พบเห็นครั้งแรกเพราะซากสุกรมีขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ บางซากแลดูใหญ่กว่า มีอวัยวะเกือบครบทุกส่วน ขาดแต่ส่วนหัวและอวัยวะภายในที่ถูกตัดแต่งออกไปก่อนนำส่งมายังห้องนี้
เมื่ออากาศเย็นภายในห้องลอยมาสัมผัสซากสุกรอุณหภูมิสูง แขวนอยู่บนราวสแตนเลสทำให้เกิดไอหมอกจางๆทั่วบริเวณห้องราวกับอยู่บนยอดดอยในฤดูหนาว
“งานโครงการของเราจะทำที่ห้องนี้” เขาเหลียวมองพิมพ์นาราซึ่งแนบใบหน้าชิดกระจกนิรภัย จ้องภาพตรงหน้าราวกับเด็กน้อยตั้งใจฟังครูสอน
“ต้องทำยังไงบ้างคะ ”
“พรุ่งนี้จะพาเข้าไปในห้องนี้แล้วจะอธิบายให้ฟัง”
“เราต้องเข้าไปในนั้นหรือคะ”
“ใช่…ตอนบ่ายนะเพราะช่วงเช้าขอสะสางงานก่อน” เขากล่าวเสียงเรียบ
เธอกลอกนัยน์ตาคู่สวยไปมาอย่างใช้ความคิด แววในนั้นฉายความฉงน ในที่สุดก็กลายเป็นคำถามพรั่งพรูสู่โยธิน
“ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างคะ…”
“ข้างในห้องจะหนาวมากไหม…”
“จริงสิข้อมูลต่างๆ ฉันยังไม่มีเลย ขอข้อมูลเกี่ยวกับงานโครงการนี้ด้วยค่ะ”
“แล้วก็…. ” คำถามล่าสุดถูกเอ่ยได้เพียงเท่านั้นเพราะโยธินขยับเข้ามาชิดตัว ก้มหน้ามองเธอ…ใกล้กันจนแทบจะแลกเปลี่ยนลมหายใจ ทำเอาหญิงสาวชะงักงัน เมื่อเงยหน้ามาพบดวงตาคมดุและลมหายใจอุ่นๆ ลอยมาสัมผัสผิวหน้านวลจนจังหวะการเต้นของหัวใจเธอเร่งเร็วขึ้น
“พอแล้ว ยายพิมพ์… เขียว” โยธินลากเสียงยาวท้ายประโยค
“อะไรนะ ! คุณเรียกฉันว่า… ” เธอหยุดตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องงาน หันมาสนใจคำพูดของเขา
“ยายพิมพ์เขียว” โยธินย้ำอีกครั้งพร้อมยักคิ้วใส่ใบหน้าสวยของคนฟัง
“อีตาลุงใจร้าย ! มาเรียกฉันแบบนี้ได้ไง” เธอจ้องเขาตาเขียวปั้ด
“อ้าว! ทีคุณยังเรียกผมว่า ‘ลุง’ ได้เลย…นี่ให้เกียรติยกตำแหน่ง ‘ยาย’ ให้เลยนะ แถมใส่คำคุณศัพท์บอกอาการที่ชอบทำตาเขียวให้ด้วย” เมื่อคำพูดกลั้วหัวเราะจบลง รอยยิ้มกว้างก็เผยขึ้น ก่อนเขาจะหมุนตัวเดินจากไป…ทิ้งให้พิมพ์นารายืนหน้างอเพราะเถียงไม่ออก
เธอหรี่ตามองร่างสูงที่จากไปด้วยท่าทางสบายใจ…
แน่ล่ะ…ใครจะสู้ไหว ไหนจะเรียกด้วยสรรพนามที่แก่กว่าและสรรพคุณประจำตัวอีก…
แต่…ใช่ว่าจะยอมง่ายๆนะ
ฝากไว้ก่อนเถอะ!
‘คุณลุงใจร้าย’
“สองสาวยังไม่นอนกันหรือ” ไพฑรูย์ถอดเสื้อสูทตัวนอกพาดไว้ที่แขนข้างหนึ่ง พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวยาว เอื้อมมือลูบศีรษะลูกสาวซึ่งนั่งชมโทรทัศน์อยู่ข้างนาราวดีบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“กำลังจะไปนอนค่ะ คุณพ่อ”
“ไปทำงานที่ใหม่เป็นยังไงบ้าง”
“คุณพ่อถามเหมือนคุณแม่เลย สนุกดีค่ะ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ในการผลิตอาหารด้วย” พิมพ์นาราพูดจบ หมุนตัวกอดผู้เป็นแม่
“คุณแม่ขา…วันนี้พิมทำงานเหนื่อยจัง หนีคุณพ่อไปนอนกันดีกว่า”
“ง่วงก็ขึ้นนอนกันได้แล้วต้องตื่นเช้านี่เรา” ไพฑรูย์กลับไล่ลูกสาวให้ไปนอนเสียเอง เรียกเสียงหัวเราะจากนาราวดี
เมื่อสองสาวต่างวัยเดินลับตาไป เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เลือกเบอร์ที่ต้องการแล้วกดปุ่มโทรออก
“เข้ามาหาฉันได้แล้ว”
หลังจากวางสายสนทนาไม่นาน ชายรูปร่างท้วมก้าวผ่านประตูบานใหญ่มาถึงห้องโถงรับแขก ไพฑรูย์พับหนังสือพิมพ์ในมือวางลงบนโต๊ะกระจก ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืน
“ที่สั่งไว้สำเร็จไหม”
“เรียบร้อยครับนาย…เริ่มงานวันพรุ่งนี้ครับ”
“ดีมาก…ฝากดูแลแทนฉันด้วย แล้วรายงานฉันทุกความเคลื่อนไหวนะ” ไพฑรูย์วางมือบนบ่าอีกฝ่าย ตบเบาๆ เชิงขอบคุณ
“ไม่ต้องห่วงครับนาย ผมจะทำให้ดีที่สุด”
ช่วงบ่ายของวันต่อมา พิมพ์นาราขยับปลายนิ้วบนคีย์บอร์ดเพื่อเริ่มต้นทำรายงาน โครงการลดการสูญเสียน้ำหนักของซากสุกรก่อนเข้าสู่กระบวนการตัดแต่ง เธอเหลือบมองข้อมูลจากโยธินทางอีเมล์และแฟ้มเอกสารที่เขานำมาให้ในตอนเช้า
เสียงสั่นของฉากกั้นห้องซึ่งโดนเคาะเบาๆสองถึงสามครั้ง ทำให้พิมพ์นาราละสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เงยหน้ามองที่มาของเสียง
“งานเสร็จหรือยัง ยายพิมพ์เขียว ” โยธินถามพลางยักคิ้วให้อีกฝ่าย
หญิงสาวกัดฟันแน่นเพราะสรรพนามนี้ กระตุ้นความรู้สึกอยากมีเรื่องขึ้นมาจับใจ ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาเบาๆ
“คุณลุง…มีอะไรให้รับใช้คะ”
โยธินกระตุกยิ้มที่มุมปาก หลังจากได้รับการประชดประชันกลับมา
“จะพาเข้าไปดูกระบวนผลิตพร้อมหรือยัง”
“พร้อมค่ะ งานที่เหลือเดี๋ยวค่อยมาทำต่อ” มือเล็กเอื้อมปิดแฟ้มตรงหน้า ขยับตัวลุกเดินตามเขาไป
เตมินทร์ซึ่งนั่งปรึกษางานอยู่ที่โต๊ะของธารธารา หันมองเจ้าของโต๊ะ ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ย
“เขาสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นนะครับ”
“ใช่ค่ะ…ดูดีจากวันแรกเยอะ” น้ำเสียงของธารธาราเย็นเรียบ ต่างจากแววตาระริกไหวแฝงรอยกังวล
“คุณยาย ! เขาต้องใส่ผ้าปิดปากก่อนสวมหมวกมานี่เลย” โยธินถอดหมวกเธอออก ช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นแล้วหยิบผ้าปิดปากสีขาวมาใส่ให้ ตามด้วยหมวกผ้าใบเดิมสวมคลุมศีรษะอีกครั้ง จากนั้นจึงสำรวจความเรียบร้อยด้วยสายตานิ่งสุขุม ทำเอาพิมพ์นารายืนตัวเกร็งอยากจะหันหน้าหนี
แต่…เมื่อสบดวงตาคมกริบ หญิงสาวก็รู้สึกถึงกระแสร้อนเย็นที่สลับกันโลมไล้ใบหน้าเธอ แขนขาชาคล้ายถูกไฟฟ้าช็อต ได้แต่นิ่งงันดั่งต้องมนต์สะกด
“ใส่เสื้อคลุมสีขาว แล้วสวมรองเท้าบูทคู่นี้ด้วย” เสียงของโยธินปลุกร่างที่ยืนนิ่งให้รู้สึกตัว เธอทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ หัวใจกลับเต้นเร็วขึ้น…
โยธินล้างมือเสร็จแล้ว ยื่นสองมือเข้าไปใต้เครื่องพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออัตโนมัติ รอจนละอองน้ำยาฟุ้งกระจาย เขาหันมาพยักหน้าให้เธอทำตาม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องผลิต
อากาศข้างในเย็นเฉียบทำให้สองแขนของพิมพ์นาราผสานกันแน่น กลิ่นคาวจากเนื้อหมูลอยอบอวลอยู่ในบรรยากาศ เธอเดินตามโยธินมาติดๆไม่ให้คลาดสายตาเพราะทางเดินซับซ้อนกว่าที่มองมาจากห้องกระจกภายนอก ประกอบกับรองเท้าบูทสีขาวคู่ใหญ่ทำให้ต้องเกร็งฝ่าเท้าเดินอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นอาจมีการแสดงจับกบเกิดขึ้นได้
เมื่อมาถึงห้องชิลศูนย์ หญิงสาวก้าวผ่านประตูทำจากผนังไอโซวอลล์สีขาวตามโยธินเข้าไปด้านใน มือเรียวรีบคว้าผนังห้องทันที เมื่อเท้าสัมผัสน้ำแข็งบนพื้น
“เดินระวังหน่อยนะ อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียสทำให้ไอน้ำที่เกาะอยู่ทั่วห้องนี้กลายเป็นน้ำแข็ง” โยธินพูดเมื่อหันไปเห็นสภาพเดินย่องๆ ของอีกฝ่าย
พิมพ์นาราก้าวช้าๆ สองแขนผสานกันแน่นที่อก กวาดตาสำรวจรอบห้อง พบว่าภาพเหล่านั้นไม่ต่างจากที่เห็นเมื่อวาน แต่เป็นเพียงภาพเท่านั้นเพราะเมื่อยืนอยู่จุดเดียวกับที่เคยส่งสายตาเข้ามาสำรวจ ความรู้สึกช่างแตกต่างกันเหลือเกิน อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียสทำให้เธอเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูก
“ทนหนาวไหวไหม” โยธินถาม เมื่อร่างของหญิงสาวสั่นไหว
“ทน…ทนได้อยู่ค่ะ…แล้วงานโครงการนี้ต้องทำยังไง” เสียงเธอสั่นเครือฟังดูตรงข้ามกับคำตอบ
โยธินหยุดเดินบริเวณราวสแตนเลส คล้ายราวตากผ้าขนาดใหญ่ ยกตัวสูงจากพื้นสองเมตร แขวนซากสุกรถูกผ่าซีกจำนวนสิบซาก
“พี่ออกแบบการทดลอง โดยติดตั้งหัวพ่นหมอกไว้บนราวสแตนเลส ให้พ่นน้ำเป็นละอองฝอยมายังซากสุกรเพื่อให้อุณหภูมิลดลงได้เร็วขึ้น ปกติการลดอุณหภูมิในเนื้อหมูให้เหลือ สี่องศาเซลเซียสต้องใช้เวลา สิบแปดถึงยี่สิบชั่วโมงทำให้เนื้อหมูแห้งเพราะผึ่งอากาศเย็นเป็นเวลานาน น้ำในเซลล์ระเหยออกเยอะ สูญเสียน้ำหนักมาก หากเราทดลองสำเร็จ เวลาที่ซากสุกรอยู่ในห้องนี้จะลดลง น้ำหนักของเนื้อหมูก็จะสูญเสียน้อยลงด้วย” โยธินพูดพลางจ้องมองซากสุกร
“แล้ว…ให้พิมช่วยอะไรได้บ้างคะ” เธอถามเสียงสั่น
“พี่มีรายชื่อผู้รับเหมาที่รับทำงานประเภทนี้สองสามราย…เดี๋ยวจะให้เบอร์โทรศัพท์ไปติดต่อเขาให้เข้ามาทำการทดลอง ถ้าสำเร็จจะนำเสนอผู้ใหญ่ให้ติดตั้งงานโครงการนี้ทันที”
พิมพ์นาราพยักหน้ารับพลางกวาดตามองรอบห้อง ที่เหลือเพียงเธอและโยธินยืนศึกษาหน้างานกันสองคนซึ่งก่อนหน้านี้มีพนักงานผลิตปฏิบัติงานอยู่ แต่ ตอนนี้เหลือเพียงตะกร้าพลาสติกสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆ ผ่านการล้างทำความสะอาด เรียงซ้อนกันสามถึงสี่ใบสูงระดับเอว จัดวางไว้ซ้ายขวาข้างทางเดิน ทำให้พื้นที่แลดูหนาแน่นขึ้น
“พนักงานไปไหนกันหมดคะ”
“ถ้าแขวนซากสุกรบนราวครบแล้วเขาจะไปพักกัน ห้องนี้อุณหภูมิต่ำมากต้องพักร่างกายให้ความอบอุ่นบ้าง” โยธินกล่าวพลางมองไปทั่วห้อง พบพนักงานผลิตคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“คุณโยครับ คุณเตให้มาตามไปเข้าร่วมประชุม งานเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำครับ”
“จริงสิ ! ลืมสนิทเลย ขอบใจมาก”
พนักงานผลิตพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปปฏิบัติงานต่อ
“เดี๋ยวเราต้องเข้าประชุมกัน” โยธินเดินนำเธอไปยังประตูทางออก
พิมพ์นาราก้าวช้าๆอย่างระมัดระวัง แต่ขากลับทางเดินถูกขนาบด้วยตะกร้าพลาสติกทั้งซ้ายและขวา ทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น
“เอ๊ะ! ” เธออุทานเบาๆ หลังจากก้าวขาต่อไม่ได้ ก่อนจะก้มมองบริเวณหัวเข่า ใบหน้าเรียวส่ายช้าๆ พลางเอื้อมมือจับชายเสื้อคลุมซึ่งติดแน่นกับขอบตะกร้าพลาสติกในจังหวะที่ก้าวผ่าน
หญิงสาวเกร็งมือดึงชายเสื้อคลุม จนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนทั้งแขน เมื่อไม่สำเร็จจึงรวบรวมแรงครั้งสุดท้ายกระตุกมืออย่างแรง ได้ผลตามคาด ชายเสื้อหลุดเป็นอิสระจากขอบตะกร้าพร้อมกับร่างเล็กเซถลาไปข้างหลัง
“กรี๊ด!”
พิมพ์นารากรีดร้องเบาๆ แต่ไม่เบาเกินกว่าโยธินจะได้ยิน เขาวิ่งมาคว้าร่างบางได้ทันก่อนจะล้มลงกับพื้น
แต่…พื้นด้านล่างที่มีน้ำแข็งเกาะบางๆ ทำให้แรงเสียดทานของรองเท้าบูทลดลง ชายหนุ่มจึงสูญเสียการทรงตัวจนฝ่าเท้าปัดไปมา
แม้ว่า…เขาจะพยายามประคองตัวไว้ แต่…อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ร่างสูงใหญ่เสียหลัก มีเพียงสติสัมปชัญญะที่ยังไม่สูญเสีย
โยธินจึงปล่อยมือจากหญิงสาวซึ่งยืนทรงตัวได้แล้ว สองมือของชายหนุ่มปัดป่ายไปมาราวกับไขว่คว้าบางสิ่งพร้อมแผ่นหลังลดต่ำลงสู่พื้น
พิมพ์นาราเบิกตากว้าง เมื่อเห็นผู้ที่มาช่วยเหลือประสบภัยเสียเองจึงรีบคว้ามือเขาไว้
ทว่า…เมื่อมือสัมผัสกันแรงดึงจากโยธินกลับมีมากกว่า ประจวบกับจังหวะที่แผ่นหลังเขากระแทกพื้น ร่างบางจึงถลามาข้างหน้าลงไปกองบนลำตัวชายหนุ่ม
หญิงสาวรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากของโยธินประกบลงบนเรียวปากของตนเอง ผ่านตัวกลางผ้าปิดปากผืนบาง ดวงตาทั้งคู่ประสานนิ่ง แววในนั้นตื่นตระหนกแฝงความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบสู่หัวใจ เกิดเป็นเสียงกลองดังระรัวอยู่ในอก
ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นเฉียบ แต่ ทั้งสองคนกลับรู้สึกร้อนวูบวาบ…
ลมหายใจอุ่นๆของโยธินผ่อนออกมาเบาๆ ประหนึ่งไม่กล้าหายใจ ลอยมาสัมผัสผิวหน้าเธอเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืน ดวงตาคู่งามกะพริบเปลือกตาสองสามครั้ง ก่อนพิมพ์นาราจะสะดุ้งตัวลุกขึ้นยืน
“บาดเจ็บตรงไหนไหม” เธอถามพลางประคองอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร… ”น้ำเสียงของโยธินฟังดูทุ้มต่ำลงกว่าเดิม เขาขยับมือปัดเกร็ดน้ำแข็งออกจากเสื้อคลุม
พิมพ์นาราไล่มองแผ่นหลังกว้างเลยไปถึงข้อเท้าของเขา เพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ สองแขนเอื้อมเข้าใกล้ชายหนุ่มหวังจะช่วยขยับเสื้อคลุมสีขาวให้เข้าที่
แต่…ก็ค้างเติ่งกลางอากาศไปไม่ถึงตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนจะลดระดับลงไว้ข้างลำตัว
เธอรู้สึกสองจิตสองใจ…ใจหนึ่งรู้สึกผิดว่า ตนเองเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัวจึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ...
ส่วนอีกใจกลับรู้สึกขัดเขินจากอุบัติเหตุเมื่อสักครู่…จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้…ได้แต่ยืนมองอยู่พักใหญ่…
“แล้วเราบาดเจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่ค่ะ ห่วงก็แต่…” ท้ายประโยคของเธอแผ่วลง
“แต่อะไรหรือ” โยธินย่นหัวคิ้วหนาเข้าหากัน
“ห่วงก็แต่ พี่โย…” เธอตัดสินใจเอ่ยความรู้สึกออกมาพลางก้มหน้าลง
“ถ้าห่วงกันจริง วันหลังก็…” เขาอมยิ้มชำเลืองมองอีกฝ่าย
“ก็อะไรคะ” เธอเงยหน้าสบตาคนพูดอย่างสงสัย
“ก็ลดน้ำหนักตัวลงบ้างนะ ซุ่มซ่ามแบบนี้คนอยู่ใกล้เขาจะได้ไม่บาดเจ็บมาก” โยธินพูดจบ หัวเราะร่วนราวกับกลั้นอารมณ์ขันมานาน แล้วเดินจากไปด้วยท่าทางสบายใจ ทิ้งให้พิมพ์นารายืนหน้าชา
หญิงสาวคำรามในลำคอเบาๆพลางส่งสายตาอำมหิตไล่หลังชายหนุ่มไปด้วย
ไม่น่าเลย…ไม่น่าเป็นห่วงคนจอมกวนประสาทคนนี้เลย
รู้อย่างนี้กระโดดทับซ้ำซะก็ดี…
............................................................................................................................................................
ขอบคุณ คุณ Phugan มากนะคะ สำหรับกำลังใจ ^^
พราวชมพู เป็นนักหัดเขียนที่แอบชอบท้อบ่อยๆ ทำให้ยังเขียนไม่จบสักเรื่อง
ฝากเอาใจช่วยนักหัดเขียนคนนี้ด้วยนะคะ
ส่วนพระเอกนางเอกนั้น ไม่ต้องห่วงค่ะ สมหวังแน่ๆ 555 แต่อาจเจออุปสรรคมากหน่อย
มาลุ้นคนเขียนให้แต่งให้จบกันนะฮับบ
ขอบคุณค่ะ ^ ^
พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2556, 07:38:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2556, 07:50:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1305
<< ตอนที่ 2 | ตอนที่ 4 >> |
phugan 7 ธ.ค. 2556, 18:29:45 น.
อ๊ายยยย...ลุงพูดกับผู้หญิงอย่างนี้ได้ไง...
อ๊ายยยย...ลุงพูดกับผู้หญิงอย่างนี้ได้ไง...