กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
Tags: โรแมนติก,พาฝัน
ตอน: ตอนที่ 4
โต๊ะไม้ในห้องประชุมวางเรียงยาวเป็นรูปตัวยูรองรับผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนห้าสิบคน นันทนาหมุนตัวไปมาระหว่างไมโครโฟนบนแท่นไม้สีน้ำตาลเข้มตั้งอยู่บนเวที ซึ่งยกสูงจากพื้นราวหนึ่งฟุตกับเครื่องฉายสไลด์ตรงกลางห้อง เมื่อทุกคนมาจนครบ เธอจึงกล่าวเปิดงานเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำประจำปีในต้นเดือนหน้า
“สถานที่ที่เราจะไปเข้าค่ายกันคือ บ้านไร่งามพรรณ จังหวัดสระบุรี โดยทุกคนต้องจับฉลากหาผู้ร่วมทีม สองคนต่อหนึ่งทีม เพื่อเข้าฐานกิจกรรมเก็บคะแนนทั้งหมดสี่ฐาน ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับโล่รางวัลจากผู้บริหาร ส่วนตอนเย็นจะมีกิจกรรมรอบกองไฟใกล้บริเวณที่กางเต็นท์ติดลำธารค่ะ” นันทนากล่าวพลางกดรีโมทฉายภาพของสถานที่เข้าค่าย แสดงบนจอผ้าใบสีขาวหน้าห้องประชุม
“ตอนนี้ได้เวลาจับฉลากหาผู้ร่วมทีม จำนวนผู้เข้าค่ายครั้งนี้มีห้าสิบคน ดังนั้นจะมีทั้งหมดยี่สิบห้าทีม ในกระป๋องสีขาวจะมีหมายเลขหนึ่งถึงยี่สิบห้า อยู่เลขละสองตัว เราจะส่งเวียนกันไปรอบห้องเพื่อหยิบฉลากคนละหนึ่งใบ” เจ้าหน้าที่บุคคลพูดจบ ส่งกระป๋องสีขาวเวียนจับกันรอบโต๊ะประชุม
พิมพ์นาราล้วงหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งใบ ก่อนส่งให้พนักงานแผนกอื่นซึ่งนั่งอยู่ถัดไป คนแล้วคนเล่าจนถึงคนสุดท้าย จากนั้นกระป๋องสีขาวจึงถูกส่งกลับไปยังเจ้าหน้าที่บุคคล
“ต่อไปนี้จะประกาศถามเรียงแต่ละหมายเลข…ผู้ที่จับฉลากได้หมายเลขหนึ่ง รบกวนยกมือขึ้นเลยค่ะ” สิ้นเสียงประกาศ แขนเรียวยาวของธารธาราก็ชูขึ้น ตามมาด้วยเสียงถอนใจเบาๆของพิมพ์นาราเพราะหมดหวังจะได้เพื่อนรักเป็นผู้ร่วมทีม
“คู่แรก ธารธารากับ…พี่เตมินทร์ค่ะ” ท้ายประโยคแผ่วลง จนพิมพ์นาราต้องหันมองสีหน้าบึ้งตึงของคนพูดที่เหลียวมายังธารธารา ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
นันทนาประกาศเรียกหมายเลขต่างๆไล่เรียงกันไป เจ้าของแต่ละหมายเลขยกมือแสดงตนเพื่อบันทึกชื่อไว้ คู่แล้วคู่เล่าสลับกันไปเนิ่นนาน จนหญิงสาวเริ่มเหม่อลอย คิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย
หากคิดอย่างไม่อคติ ‘คุณลุงใจร้าย’ แลดูมีน้ำใจ แถมยังเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้เลวร้ายตามที่พิมพ์นารา
วาดภาพไว้ ทว่า ทำไม…โยธินถึงชอบยียวนกวนประสาทยั่วโมโหเธอนัก ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันราวกับเขาสุขกาย สบายใจเมื่อได้แกล้งแหย่เธอ
แม้แต่…ตัวเธอเองในวันนี้ ความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจหลายครั้ง และยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดจากเหตุใด แต่ที่ชัดเจนในความรู้สึกคือ ความเกลียดชังในตัวผู้ชายคนนี้ลดน้อยลง เธอกลับรู้สึกท้าทายหาจังหวะเอาคืนยามเขากวนประสาท ประหนึ่งกำลังเล่นเกมกลบางอย่าง
“หมายเลขยี่สิบสี่ยกมือขึ้นเลยค่ะ” เสียงนันทนาดังขึ้นอีกครั้ง
โยธินยกท่อนแขนแข็งแรงชูขึ้นตามเสียงประกาศ ใบหน้าคมเข้มเหลียวมองรอบห้องประชุม เมื่อพบว่า ตนกำลังยกมืออยู่ผู้เดียว
“หมายเลขยี่สิบสี่อีกท่านอยู่ที่ไหนคะ รบกวนช่วยยกมือด้วยค่ะ” เสียงเรียกรอบสองดึงสติพิมพ์นารากลับคืน เธอสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระดาษใบจิ๋วกางออกอ่านหมายเลขอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าตรงกันจึงยกมือขึ้นช้าๆ พร้อมความรู้สึกเขินอาย หญิงสาวคลี่ยิ้มจางๆ กล่าวขอโทษที่ไม่ได้ยินหรือพูดอีกอย่างคือเธอไม่ได้ตั้งใจฟังนั้นเอง
“นึกว่าพี่โยของเราปีนี้จะไร้คู่แล้ว…สรุปหมายเลขยี่สิบสี่คือ คู่ของพี่โยธินกับพิมพ์นาราค่ะ” นันทนากล่าวสิ้นสุดลง แต่พิมพ์นาราเพิ่งเริ่มต้นรู้สึกตัว
ตอนที่เธอเหม่อลอยคิดนอกเรื่องอยู่นั้น ไม่ทันเห็นว่าใครยกมือเป็นคนแรก แถมเมื่อรู้ว่า หมายเลขตนเองกำลังถูกเรียกอยู่ ก็มัวแต่เขินอายที่ไม่ได้ตั้งใจฟังจึงไม่ได้มองผู้ที่ยกมือค้างไว้นานแล้ว
เธอเหลือบมองโยธินซึ่งนั่งอยู่ฟากตรงข้าม ทันเห็นนัยน์ตาคมกริบฉายแววตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มพราว…รอยยิ้มที่มาจากดวงตาของเขา โดยริมฝีปากไม่ขยับเผย…
พิมพ์นารารู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้ม ความเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วกายจนหายใจเร็วขึ้น
“พิมเป็นอะไรไหม…ทำไมหายใจแรงจัง” เสียงของธารธาราทำให้เธอยิ่งประหม่า
“เปล่า…ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่…ฉันว่า พิมไม่สบายแน่ๆ เพราะตอนนี้หน้าแดงก่ำเชียว” สิ้นเสียงของเพื่อน พิมพ์นารายกมือขึ้นจับแก้ม หลับตาปี๋พลางสั่นศีรษะ
“ไม่สบายแน่เลยเป็นอะไรมากไหม…ปวดหัวหรือ ” ธารธาราตาโต ยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่าย
“ตัวก็ไม่ร้อนนะ”
“ฉันคงเจออากาศเย็นในห้องผลิต…เลยรู้สึกมึนๆ สับสน เอ๊ย! ปวดหัวนิดหน่อย”
เธอรีบหลบตาเพื่อนจึงไม่ทันเห็นสีหน้าครุ่นคิดของธารธารา มองสลับไปมาระหว่างโยธินกับตนเองอยู่พักใหญ่จนการประชุมสิ้นสุดลง
พิมพ์นารามองผ่านกระจกรถยนต์ไปยังที่มาของเสียงเครื่องยนต์ติดๆ ดับๆ บริเวณฝากระโปรงยามบิดกุญแจสตาร์ทรถ นานหลายนาทีจนเม็ดเหงื่อใสเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก
“ฉันว่าอาการแบบนี้ เครื่องยนต์มีปัญหาแน่ๆ” ธารธาราพูดพลางมองตามเพื่อน
“ขอฉันลงไปดูหน่อยนะ” พิมพ์นาราขมวดคิ้วมุ่น ดึงปุ่มรูปฝากระโปรงเข้าหาตัว เมื่อสิ้นเสียงโลหะที่ใช้ยึดปิดกระทบกัน เธอจึงเปิด
ประตูก้าวลงจากรถ สอดมือเข้าไปใต้ช่องว่างฝากระโปรงหน้าที่เผยอขึ้น
หญิงสาวทั้งยกทั้งดันกระโปรงรถจนมือทั้งสองข้างเริ่มดำ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูอย่างพิมพ์นาราไม่เคยต้องทำสิ่งเหล่านี้ ปกติการตรวจสอบสภาพรถยนต์ทั้งหมดเป็นหน้าที่หลักของคนขับรถและหัวหน้าพ่อบ้าน
ทว่า…ครั้งนี้จะตำหนิคนดูแลรถยนต์ประจำบ้านก็ไม่ได้เพราะรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าซึ่งสตาร์ทไม่ติด เธอขอยืมมาจากพ่อบ้านเพื่อขับมาทำงาน ระหว่างรอรถคู่ใจที่ถูกเฉี่ยวชนไปแปลงโฉมทำสีให้กลับมาสภาพเดิม ครั้นจะนำรถยุโรปทรงหรูที่จอดเรียงรายมาใช้แก้ขัด ก็เกรงว่าคนในบริษัทจะสงสัยในสถานภาพของตนเอง
“เปิดได้ไหม…เห็นพิมพยายามอยู่นานแล้วให้ฉันช่วยดีกว่า” ธารธาราพูดจบ สอดมือเข้าไปใต้ฝากระโปรงรถ
“ทำอะไรกันอยู่หรือครับ”
พิมพ์นาราหันไปมองตามเสียงเรียก พบแววตาใจดีและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ บนใบหน้ากลมแป้นของชายร่างท้วมวัยกลางคน ซึ่งเดินมาหยุดยืนข้างรถยนต์
“คือว่า…รถสตาร์ทไม่ติด พวกเราอยากเปิดกระโปรงหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ”
หญิงสาวพูดออกไปแล้วจึงคิดขึ้นได้ว่า เธอและเพื่อนไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ อย่างไรเสียต้องหาคนมาช่วยเหลืออยู่ดี
“ขอผมดูเครื่องยนต์หน่อยนะครับ”
เขาสอดมือดันสลักโลหะตรงขอบด้านในไปทางซ้าย แล้วใช้มืออีกข้างยกฝากระโปรงรถขึ้นเกี่ยวกับตะขอค้ำอย่างง่ายดาย ก่อนจะขยับมือไปมารอบห้องเครื่องอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงสตาร์ทรถอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ร้องบอกอาการเช่นเดิม
“แบตเตอรี่น่าจะเสื่อมครับ ผมจะไปขับรถอีกคันมาช่วยพ่วงแบตให้”
เพียงครู่เดียวเท่านั้น รถกระบะสีขาวหลังคาไฟเบอร์อย่างดี เลี้ยวเข้ามาจอดหันหน้าจ่อกับรถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นเก่า ชายร่างท้วมก้าวลงจากรถ มือข้างหนึ่งถือสายพ่วงแบตเตอรี่สีแดงและสีเขียว
เขาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ระหว่างรถทั้งสองคัน และกลับเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถกระบะ สตาร์ทรถทิ้งไว้สามนาที จากนั้นกดฝ่าเท้าเบาๆไปที่คันเร่งเพื่อให้ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไหลเวียน ก่อนจะให้พิมพ์นาราสตาร์ทรถยนต์อีกครั้ง ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์พร้อมขับเคลื่อนก็กลับมาทักทายคนทั้งสาม
“ผมว่า ขับไปอู่ซ่อมรถให้ช่างเขาดูอีกที คงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ อาการแบบนี้หากดับเครื่องแล้วจะสตาร์ทไม่ติด” ชายวัยกลางคนกล่าวพลางเก็บสายพ่วงแบตเตอรี่
“ขอบคุณมากค่ะ หนูชื่อพิมนะคะ…ยังไม่ทราบชื่อของพี่เลย”
“ผมชื่อ พินิจ ครับ เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก”
“ขอบคุณค่ะ พี่พินิจ ส่วนหนูชื่อน้ำนะคะ เราสองคนเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เหมือนกันค่ะ แล้วพี่อยู่แผนกอะไรคะ ”
“ผมเป็นหัวหน้าคนขับรถ คอยจัดเตรียมรถไว้อำนวยความสะดวกแก่พนักงานและขับรถให้ผู้บริหารครับ”
“ถ้าพี่ มีอะไรให้พวกเราช่วยเหลือก็บอกได้นะคะ” พิมพ์นาราแสดงน้ำใจตอบแทน
“ขอบคุณมากครับ” เขายิ้มกว้างมองทั้งสองคนด้วยสายตาเป็นมิตร
“ลุงถนอมจ๊ะ พิมเปลี่ยนแบตเตอรี่รถให้แล้วนะคะ วันนี้ลูกชายลุงเกเร สตาร์ทไม่ติด พิมเกือบไม่ได้กลับบ้านด้วย” พิมพ์นาราก้าวลงจากรถ พูดพลางย่นจมูกออดอ้อนพ่อบ้านคนเก่าแก่
“ลุงต้องขอโทษคุณหนูพิมด้วยครับ” ชายสูงวัยรูปร่างผอมผมสีดอกเลา ยืนรอรับคุณหนูของคฤหาสน์หลังงามตรงบันไดหน้ามุข
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พิมเองเสียอีก ต้องขอโทษที่พาลูกชายลุงไปตกระกำลำบาก” เธอโอบรอบเอวพ่อบ้านซึ่งคุ้นเคยดูแลกันมานาน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ…ลุงเห็นคุณหนูพิมกลับมาปลอดภัยก็สบายใจแล้ว…รถของคุณหนูที่ไปซ่อมทำสี เสร็จแล้วนะครับ ช่างขับมาส่งเมื่อตอนเย็นนี้เอง”
“ทำไมเร็วจังคะ ตามกำหนดรับรถเป็นวันพรุ่งนี้”
“สงสัยเหมือนลุงเลย เห็นช่างบอกว่าคุณผู้ชายโทรไปเร่งเมื่อช่วงเย็นครับ”
พิมพ์นาราเร่งฝีเท้าไปยังห้องโถงรับแขก ตั้งใจเข้าไปขอบคุณผู้เป็นพ่อ ที่ช่วยให้รถคู่ใจซ่อมเสร็จเร็วกว่ากำหนด เธอทรุดนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่ โผเข้ากอดไพฑูรย์
ชายวัยกลางคนร่างท้วมลดหนังสือพิมพ์ธุรกิจการเมืองลง พลางพินิจพิเคราะห์อ้อมกอดตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวสุดที่รักก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาเล็กหยี
“ว่าไงแม่สาวน้อย” เขาลูบผมยาวสลวยของลูกรัก
“พิมมาขอบคุณ คุณพ่อที่ช่วยเร่งการซ่อมรถให้ค่ะ” เธอกล่าวจบยืดตัวขึ้น หอมแก้มเขาฟอดใหญ่
“ไม่เป็นไร พ่อกลัวรถที่ลูกยืมถนอมมาจะสตาร์ทไม่ติดอีกนะสิ นี่ดีนะที่เสียที่บริษัท ถ้าเกิดไปเสียกลางถนนจะอันตรายแค่ไหน…รู้ไหม”
“ค่ะ…แต่ เอ๊ะ ! ” พิมพ์นาราหุบยิ้มลง กะพริบตาปริบๆ
“คุณพ่อทราบได้ยังไงคะว่า รถที่พิมยืมลุงถนอมมาสตาร์ทไม่ติด” เธอขมวดคิ้วมุ่น คลายอ้อมกอดลง เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
ไพฑรูย์สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตามากวัยวุฒิเบี่ยงหลบแววตาใสของลูกสาว
“…ถนอมบอกพ่อน่ะ”
“ตอนไหนคะ พิมเพิ่งบอกลุงถนอมเมื่อสักครู่เอง และลุงถนอมก็ยังไม่ได้เจอคุณพ่อเลย” เธอหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“อ๋อ ! เมื่อกี้ก่อนลูกเดินเข้ามา…พ่อมีโทรสั่งงานถนอม เขาก็เลยเล่าให้ฟัง” แววตานักธุรกิจใหญ่ระริกไหว ก่อนปรับเป็นสงบนิ่ง
“จริงสิ...พ่อนึกขึ้นได้ว่า มีงานต้องส่งให้ที่บริษัทด่วน ขอตัวไปห้องทำงานก่อนนะ” เขาตีหน้าเคร่ง ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ลูกสาวคนเดียวเอียงคอมองด้วยความงุนงง
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ ช่วงเวลาปรับตัวของพิมพ์นารากับงานใหม่ และเป็นงานที่ทุกวันมีโยธินเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าใคร ต้นสัปดาห์นี้ทั้งคู่จึงวุ่นวายเป็นพัลวันกับการเตรียมทดลองงานโครงการ ซึ่งรับผิดชอบร่วมกัน หลักๆ เธอจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเขา คำขอร้องมากมายจึงหลั่งไหลมาทันที
“ช่วยหาข้อมูลราคาเนื้อหมูสดในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านให้ด้วยนะ”
“ทำรายงานการทดลองให้หน่อย”
“หยิบแฟ้มข้อมูลการวิจัยอุณหภูมิในเนื้อสัตว์ให้ที”
หรือ…แม้กระทั่ง
“ถ้าไปชงกาแฟขอเผื่อแก้วหนึ่งนะ”
ใบหน้าคมเข้มราวเทพบุตรกรีกละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ หันมองควันกาแฟหอมกรุ่น ลอยจากแก้วที่ถูกวางลงตรงหน้า
“ขอบใจมากนะ…ติดต่อผู้รับเหมาเป็นอย่างไรบ้าง” โยธินพูดจบ เอื้อมคว้าแก้วกาแฟ
“เขาแจ้งว่าจะเข้ามาทดลองงานโครงการให้เราได้กลางเดือนหน้าค่ะ”
“ก็พอดีกลับมาจากเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำสินะ” นัยน์ตาคมกริบทอดมองน้ำกาแฟสีดำเข้ม
“ใช่ค่ะ ระหว่างนี้เราต้องหาข้อมูลเตรียมนำเสนอผู้บริหาร ข้อมูลโดยรวมเกือบจะเรียบร้อยแล้ว เหลือเก็บรายละเอียดปลีกย่อย”
“ขอบใจนะที่คอยช่วยเหลืองานนี้ แล้วเตรียมตัวหรือยัง…เรื่องไปเข้าค่าย” ท้ายประโยคเขาแผ่วลงพลางจิบกาแฟ
“เตรียมเสื้อผ้าสัมภาระตามอีเมล์ที่ฝ่ายบุคคลส่งมาใช่ไหมคะ” พิมพ์นารากล่าวพลางนึกถึงอีเมล์ชี้แจงรายละเอียดยาวเหยียดจากนันทนา จับใจความหลักๆได้ว่า ต้องเตรียมเสื้อยืด กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบใส่ตะลุยฐานกิจกรรมต่างๆ เธอยังแอบคิดว่า การเข้าค่ายอบรมครั้งนี้แทบจะไม่ต่างจากค่ายลูกเสือเนตรนารี
“ใช่…เตรียมของใช้ตามที่เขาแจ้งมา”
“แล้ว…เล่นฐานกิจกรรมสี่ฐานยากไหมคะ”
“เดี๋ยวก็…รู้ ” ท้ายประโยคลากเสียงสูง ทำเอาอีกฝ่ายส่งสายตาเขียวค้อนมาวงใหญ่
“ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ ไม่เห็นอยากรู้ก็ได้…คุณลุงใจร้าย” เธอพูดจบ เดินกลับไปทำงานต่อ ทิ้งให้โยธินนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
“สถานที่ที่เราจะไปเข้าค่ายกันคือ บ้านไร่งามพรรณ จังหวัดสระบุรี โดยทุกคนต้องจับฉลากหาผู้ร่วมทีม สองคนต่อหนึ่งทีม เพื่อเข้าฐานกิจกรรมเก็บคะแนนทั้งหมดสี่ฐาน ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับโล่รางวัลจากผู้บริหาร ส่วนตอนเย็นจะมีกิจกรรมรอบกองไฟใกล้บริเวณที่กางเต็นท์ติดลำธารค่ะ” นันทนากล่าวพลางกดรีโมทฉายภาพของสถานที่เข้าค่าย แสดงบนจอผ้าใบสีขาวหน้าห้องประชุม
“ตอนนี้ได้เวลาจับฉลากหาผู้ร่วมทีม จำนวนผู้เข้าค่ายครั้งนี้มีห้าสิบคน ดังนั้นจะมีทั้งหมดยี่สิบห้าทีม ในกระป๋องสีขาวจะมีหมายเลขหนึ่งถึงยี่สิบห้า อยู่เลขละสองตัว เราจะส่งเวียนกันไปรอบห้องเพื่อหยิบฉลากคนละหนึ่งใบ” เจ้าหน้าที่บุคคลพูดจบ ส่งกระป๋องสีขาวเวียนจับกันรอบโต๊ะประชุม
พิมพ์นาราล้วงหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งใบ ก่อนส่งให้พนักงานแผนกอื่นซึ่งนั่งอยู่ถัดไป คนแล้วคนเล่าจนถึงคนสุดท้าย จากนั้นกระป๋องสีขาวจึงถูกส่งกลับไปยังเจ้าหน้าที่บุคคล
“ต่อไปนี้จะประกาศถามเรียงแต่ละหมายเลข…ผู้ที่จับฉลากได้หมายเลขหนึ่ง รบกวนยกมือขึ้นเลยค่ะ” สิ้นเสียงประกาศ แขนเรียวยาวของธารธาราก็ชูขึ้น ตามมาด้วยเสียงถอนใจเบาๆของพิมพ์นาราเพราะหมดหวังจะได้เพื่อนรักเป็นผู้ร่วมทีม
“คู่แรก ธารธารากับ…พี่เตมินทร์ค่ะ” ท้ายประโยคแผ่วลง จนพิมพ์นาราต้องหันมองสีหน้าบึ้งตึงของคนพูดที่เหลียวมายังธารธารา ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
นันทนาประกาศเรียกหมายเลขต่างๆไล่เรียงกันไป เจ้าของแต่ละหมายเลขยกมือแสดงตนเพื่อบันทึกชื่อไว้ คู่แล้วคู่เล่าสลับกันไปเนิ่นนาน จนหญิงสาวเริ่มเหม่อลอย คิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย
หากคิดอย่างไม่อคติ ‘คุณลุงใจร้าย’ แลดูมีน้ำใจ แถมยังเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้เลวร้ายตามที่พิมพ์นารา
วาดภาพไว้ ทว่า ทำไม…โยธินถึงชอบยียวนกวนประสาทยั่วโมโหเธอนัก ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันราวกับเขาสุขกาย สบายใจเมื่อได้แกล้งแหย่เธอ
แม้แต่…ตัวเธอเองในวันนี้ ความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจหลายครั้ง และยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดจากเหตุใด แต่ที่ชัดเจนในความรู้สึกคือ ความเกลียดชังในตัวผู้ชายคนนี้ลดน้อยลง เธอกลับรู้สึกท้าทายหาจังหวะเอาคืนยามเขากวนประสาท ประหนึ่งกำลังเล่นเกมกลบางอย่าง
“หมายเลขยี่สิบสี่ยกมือขึ้นเลยค่ะ” เสียงนันทนาดังขึ้นอีกครั้ง
โยธินยกท่อนแขนแข็งแรงชูขึ้นตามเสียงประกาศ ใบหน้าคมเข้มเหลียวมองรอบห้องประชุม เมื่อพบว่า ตนกำลังยกมืออยู่ผู้เดียว
“หมายเลขยี่สิบสี่อีกท่านอยู่ที่ไหนคะ รบกวนช่วยยกมือด้วยค่ะ” เสียงเรียกรอบสองดึงสติพิมพ์นารากลับคืน เธอสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระดาษใบจิ๋วกางออกอ่านหมายเลขอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าตรงกันจึงยกมือขึ้นช้าๆ พร้อมความรู้สึกเขินอาย หญิงสาวคลี่ยิ้มจางๆ กล่าวขอโทษที่ไม่ได้ยินหรือพูดอีกอย่างคือเธอไม่ได้ตั้งใจฟังนั้นเอง
“นึกว่าพี่โยของเราปีนี้จะไร้คู่แล้ว…สรุปหมายเลขยี่สิบสี่คือ คู่ของพี่โยธินกับพิมพ์นาราค่ะ” นันทนากล่าวสิ้นสุดลง แต่พิมพ์นาราเพิ่งเริ่มต้นรู้สึกตัว
ตอนที่เธอเหม่อลอยคิดนอกเรื่องอยู่นั้น ไม่ทันเห็นว่าใครยกมือเป็นคนแรก แถมเมื่อรู้ว่า หมายเลขตนเองกำลังถูกเรียกอยู่ ก็มัวแต่เขินอายที่ไม่ได้ตั้งใจฟังจึงไม่ได้มองผู้ที่ยกมือค้างไว้นานแล้ว
เธอเหลือบมองโยธินซึ่งนั่งอยู่ฟากตรงข้าม ทันเห็นนัยน์ตาคมกริบฉายแววตระหนก แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มพราว…รอยยิ้มที่มาจากดวงตาของเขา โดยริมฝีปากไม่ขยับเผย…
พิมพ์นารารู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้ม ความเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วกายจนหายใจเร็วขึ้น
“พิมเป็นอะไรไหม…ทำไมหายใจแรงจัง” เสียงของธารธาราทำให้เธอยิ่งประหม่า
“เปล่า…ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่…ฉันว่า พิมไม่สบายแน่ๆ เพราะตอนนี้หน้าแดงก่ำเชียว” สิ้นเสียงของเพื่อน พิมพ์นารายกมือขึ้นจับแก้ม หลับตาปี๋พลางสั่นศีรษะ
“ไม่สบายแน่เลยเป็นอะไรมากไหม…ปวดหัวหรือ ” ธารธาราตาโต ยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่าย
“ตัวก็ไม่ร้อนนะ”
“ฉันคงเจออากาศเย็นในห้องผลิต…เลยรู้สึกมึนๆ สับสน เอ๊ย! ปวดหัวนิดหน่อย”
เธอรีบหลบตาเพื่อนจึงไม่ทันเห็นสีหน้าครุ่นคิดของธารธารา มองสลับไปมาระหว่างโยธินกับตนเองอยู่พักใหญ่จนการประชุมสิ้นสุดลง
พิมพ์นารามองผ่านกระจกรถยนต์ไปยังที่มาของเสียงเครื่องยนต์ติดๆ ดับๆ บริเวณฝากระโปรงยามบิดกุญแจสตาร์ทรถ นานหลายนาทีจนเม็ดเหงื่อใสเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก
“ฉันว่าอาการแบบนี้ เครื่องยนต์มีปัญหาแน่ๆ” ธารธาราพูดพลางมองตามเพื่อน
“ขอฉันลงไปดูหน่อยนะ” พิมพ์นาราขมวดคิ้วมุ่น ดึงปุ่มรูปฝากระโปรงเข้าหาตัว เมื่อสิ้นเสียงโลหะที่ใช้ยึดปิดกระทบกัน เธอจึงเปิด
ประตูก้าวลงจากรถ สอดมือเข้าไปใต้ช่องว่างฝากระโปรงหน้าที่เผยอขึ้น
หญิงสาวทั้งยกทั้งดันกระโปรงรถจนมือทั้งสองข้างเริ่มดำ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูอย่างพิมพ์นาราไม่เคยต้องทำสิ่งเหล่านี้ ปกติการตรวจสอบสภาพรถยนต์ทั้งหมดเป็นหน้าที่หลักของคนขับรถและหัวหน้าพ่อบ้าน
ทว่า…ครั้งนี้จะตำหนิคนดูแลรถยนต์ประจำบ้านก็ไม่ได้เพราะรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าซึ่งสตาร์ทไม่ติด เธอขอยืมมาจากพ่อบ้านเพื่อขับมาทำงาน ระหว่างรอรถคู่ใจที่ถูกเฉี่ยวชนไปแปลงโฉมทำสีให้กลับมาสภาพเดิม ครั้นจะนำรถยุโรปทรงหรูที่จอดเรียงรายมาใช้แก้ขัด ก็เกรงว่าคนในบริษัทจะสงสัยในสถานภาพของตนเอง
“เปิดได้ไหม…เห็นพิมพยายามอยู่นานแล้วให้ฉันช่วยดีกว่า” ธารธาราพูดจบ สอดมือเข้าไปใต้ฝากระโปรงรถ
“ทำอะไรกันอยู่หรือครับ”
พิมพ์นาราหันไปมองตามเสียงเรียก พบแววตาใจดีและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ บนใบหน้ากลมแป้นของชายร่างท้วมวัยกลางคน ซึ่งเดินมาหยุดยืนข้างรถยนต์
“คือว่า…รถสตาร์ทไม่ติด พวกเราอยากเปิดกระโปรงหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ”
หญิงสาวพูดออกไปแล้วจึงคิดขึ้นได้ว่า เธอและเพื่อนไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ อย่างไรเสียต้องหาคนมาช่วยเหลืออยู่ดี
“ขอผมดูเครื่องยนต์หน่อยนะครับ”
เขาสอดมือดันสลักโลหะตรงขอบด้านในไปทางซ้าย แล้วใช้มืออีกข้างยกฝากระโปรงรถขึ้นเกี่ยวกับตะขอค้ำอย่างง่ายดาย ก่อนจะขยับมือไปมารอบห้องเครื่องอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงสตาร์ทรถอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ร้องบอกอาการเช่นเดิม
“แบตเตอรี่น่าจะเสื่อมครับ ผมจะไปขับรถอีกคันมาช่วยพ่วงแบตให้”
เพียงครู่เดียวเท่านั้น รถกระบะสีขาวหลังคาไฟเบอร์อย่างดี เลี้ยวเข้ามาจอดหันหน้าจ่อกับรถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นเก่า ชายร่างท้วมก้าวลงจากรถ มือข้างหนึ่งถือสายพ่วงแบตเตอรี่สีแดงและสีเขียว
เขาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ระหว่างรถทั้งสองคัน และกลับเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถกระบะ สตาร์ทรถทิ้งไว้สามนาที จากนั้นกดฝ่าเท้าเบาๆไปที่คันเร่งเพื่อให้ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไหลเวียน ก่อนจะให้พิมพ์นาราสตาร์ทรถยนต์อีกครั้ง ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์พร้อมขับเคลื่อนก็กลับมาทักทายคนทั้งสาม
“ผมว่า ขับไปอู่ซ่อมรถให้ช่างเขาดูอีกที คงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ อาการแบบนี้หากดับเครื่องแล้วจะสตาร์ทไม่ติด” ชายวัยกลางคนกล่าวพลางเก็บสายพ่วงแบตเตอรี่
“ขอบคุณมากค่ะ หนูชื่อพิมนะคะ…ยังไม่ทราบชื่อของพี่เลย”
“ผมชื่อ พินิจ ครับ เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก”
“ขอบคุณค่ะ พี่พินิจ ส่วนหนูชื่อน้ำนะคะ เราสองคนเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เหมือนกันค่ะ แล้วพี่อยู่แผนกอะไรคะ ”
“ผมเป็นหัวหน้าคนขับรถ คอยจัดเตรียมรถไว้อำนวยความสะดวกแก่พนักงานและขับรถให้ผู้บริหารครับ”
“ถ้าพี่ มีอะไรให้พวกเราช่วยเหลือก็บอกได้นะคะ” พิมพ์นาราแสดงน้ำใจตอบแทน
“ขอบคุณมากครับ” เขายิ้มกว้างมองทั้งสองคนด้วยสายตาเป็นมิตร
“ลุงถนอมจ๊ะ พิมเปลี่ยนแบตเตอรี่รถให้แล้วนะคะ วันนี้ลูกชายลุงเกเร สตาร์ทไม่ติด พิมเกือบไม่ได้กลับบ้านด้วย” พิมพ์นาราก้าวลงจากรถ พูดพลางย่นจมูกออดอ้อนพ่อบ้านคนเก่าแก่
“ลุงต้องขอโทษคุณหนูพิมด้วยครับ” ชายสูงวัยรูปร่างผอมผมสีดอกเลา ยืนรอรับคุณหนูของคฤหาสน์หลังงามตรงบันไดหน้ามุข
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พิมเองเสียอีก ต้องขอโทษที่พาลูกชายลุงไปตกระกำลำบาก” เธอโอบรอบเอวพ่อบ้านซึ่งคุ้นเคยดูแลกันมานาน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ…ลุงเห็นคุณหนูพิมกลับมาปลอดภัยก็สบายใจแล้ว…รถของคุณหนูที่ไปซ่อมทำสี เสร็จแล้วนะครับ ช่างขับมาส่งเมื่อตอนเย็นนี้เอง”
“ทำไมเร็วจังคะ ตามกำหนดรับรถเป็นวันพรุ่งนี้”
“สงสัยเหมือนลุงเลย เห็นช่างบอกว่าคุณผู้ชายโทรไปเร่งเมื่อช่วงเย็นครับ”
พิมพ์นาราเร่งฝีเท้าไปยังห้องโถงรับแขก ตั้งใจเข้าไปขอบคุณผู้เป็นพ่อ ที่ช่วยให้รถคู่ใจซ่อมเสร็จเร็วกว่ากำหนด เธอทรุดนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่ โผเข้ากอดไพฑูรย์
ชายวัยกลางคนร่างท้วมลดหนังสือพิมพ์ธุรกิจการเมืองลง พลางพินิจพิเคราะห์อ้อมกอดตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวสุดที่รักก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาเล็กหยี
“ว่าไงแม่สาวน้อย” เขาลูบผมยาวสลวยของลูกรัก
“พิมมาขอบคุณ คุณพ่อที่ช่วยเร่งการซ่อมรถให้ค่ะ” เธอกล่าวจบยืดตัวขึ้น หอมแก้มเขาฟอดใหญ่
“ไม่เป็นไร พ่อกลัวรถที่ลูกยืมถนอมมาจะสตาร์ทไม่ติดอีกนะสิ นี่ดีนะที่เสียที่บริษัท ถ้าเกิดไปเสียกลางถนนจะอันตรายแค่ไหน…รู้ไหม”
“ค่ะ…แต่ เอ๊ะ ! ” พิมพ์นาราหุบยิ้มลง กะพริบตาปริบๆ
“คุณพ่อทราบได้ยังไงคะว่า รถที่พิมยืมลุงถนอมมาสตาร์ทไม่ติด” เธอขมวดคิ้วมุ่น คลายอ้อมกอดลง เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
ไพฑรูย์สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตามากวัยวุฒิเบี่ยงหลบแววตาใสของลูกสาว
“…ถนอมบอกพ่อน่ะ”
“ตอนไหนคะ พิมเพิ่งบอกลุงถนอมเมื่อสักครู่เอง และลุงถนอมก็ยังไม่ได้เจอคุณพ่อเลย” เธอหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“อ๋อ ! เมื่อกี้ก่อนลูกเดินเข้ามา…พ่อมีโทรสั่งงานถนอม เขาก็เลยเล่าให้ฟัง” แววตานักธุรกิจใหญ่ระริกไหว ก่อนปรับเป็นสงบนิ่ง
“จริงสิ...พ่อนึกขึ้นได้ว่า มีงานต้องส่งให้ที่บริษัทด่วน ขอตัวไปห้องทำงานก่อนนะ” เขาตีหน้าเคร่ง ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ลูกสาวคนเดียวเอียงคอมองด้วยความงุนงง
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ ช่วงเวลาปรับตัวของพิมพ์นารากับงานใหม่ และเป็นงานที่ทุกวันมีโยธินเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าใคร ต้นสัปดาห์นี้ทั้งคู่จึงวุ่นวายเป็นพัลวันกับการเตรียมทดลองงานโครงการ ซึ่งรับผิดชอบร่วมกัน หลักๆ เธอจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเขา คำขอร้องมากมายจึงหลั่งไหลมาทันที
“ช่วยหาข้อมูลราคาเนื้อหมูสดในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านให้ด้วยนะ”
“ทำรายงานการทดลองให้หน่อย”
“หยิบแฟ้มข้อมูลการวิจัยอุณหภูมิในเนื้อสัตว์ให้ที”
หรือ…แม้กระทั่ง
“ถ้าไปชงกาแฟขอเผื่อแก้วหนึ่งนะ”
ใบหน้าคมเข้มราวเทพบุตรกรีกละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ หันมองควันกาแฟหอมกรุ่น ลอยจากแก้วที่ถูกวางลงตรงหน้า
“ขอบใจมากนะ…ติดต่อผู้รับเหมาเป็นอย่างไรบ้าง” โยธินพูดจบ เอื้อมคว้าแก้วกาแฟ
“เขาแจ้งว่าจะเข้ามาทดลองงานโครงการให้เราได้กลางเดือนหน้าค่ะ”
“ก็พอดีกลับมาจากเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำสินะ” นัยน์ตาคมกริบทอดมองน้ำกาแฟสีดำเข้ม
“ใช่ค่ะ ระหว่างนี้เราต้องหาข้อมูลเตรียมนำเสนอผู้บริหาร ข้อมูลโดยรวมเกือบจะเรียบร้อยแล้ว เหลือเก็บรายละเอียดปลีกย่อย”
“ขอบใจนะที่คอยช่วยเหลืองานนี้ แล้วเตรียมตัวหรือยัง…เรื่องไปเข้าค่าย” ท้ายประโยคเขาแผ่วลงพลางจิบกาแฟ
“เตรียมเสื้อผ้าสัมภาระตามอีเมล์ที่ฝ่ายบุคคลส่งมาใช่ไหมคะ” พิมพ์นารากล่าวพลางนึกถึงอีเมล์ชี้แจงรายละเอียดยาวเหยียดจากนันทนา จับใจความหลักๆได้ว่า ต้องเตรียมเสื้อยืด กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบใส่ตะลุยฐานกิจกรรมต่างๆ เธอยังแอบคิดว่า การเข้าค่ายอบรมครั้งนี้แทบจะไม่ต่างจากค่ายลูกเสือเนตรนารี
“ใช่…เตรียมของใช้ตามที่เขาแจ้งมา”
“แล้ว…เล่นฐานกิจกรรมสี่ฐานยากไหมคะ”
“เดี๋ยวก็…รู้ ” ท้ายประโยคลากเสียงสูง ทำเอาอีกฝ่ายส่งสายตาเขียวค้อนมาวงใหญ่
“ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ ไม่เห็นอยากรู้ก็ได้…คุณลุงใจร้าย” เธอพูดจบ เดินกลับไปทำงานต่อ ทิ้งให้โยธินนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2556, 12:40:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2556, 12:42:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 1276
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |