กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 5

รถทัวร์คันใหญ่บรรทุกผู้โดยสารที่มาเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำ จำนวนห้าสิบชีวิต กำลังเคลื่อนผ่านถนนมิตรภาพ สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าแผ่เป็นพรมสีเขียวสด คนขับหักเลี้ยวรถช้าๆตรงต้นไม้ใหญ่หัวมุมถนน ทำให้รถตู้สีเงินซึ่งผู้บริหารของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ นั่งโดยสารตามมาร่วมงาน ค่อยๆชะลอตัวเลี้ยวตามมาได้ทัน

เมื่อเข้าซอยเล็กซึ่งแยกตัวมาจากถนนเส้นใหญ่แล้ว ทิวทัศน์โดยรอบเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่บรรยากาศชนบท เสียงล้อบดก้อนกรวดบนถนนลูกรังสีแดง กระเด็นไปกระทบใต้ท้องรถ ดังขลุกขลักตลอดเส้นทาง

บางจังหวะรถทัวร์วิ่งตกหลุมจนกระตุกเอน ทำให้พิมพ์นาราสะดุ้งตื่น มือบางขยับผ้าม่านสีครีมเปิดขึ้น แดดสีทองอร่ามสาดส่องเข้ามาตามรอยแยก กระทบวงหน้าเรียวแลดูนวลผ่อง เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแดดจ้า นัยน์ตาคู่งามกวาดมองสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สลับกับทุ่งหญ้าเขียวขจี มีเรือนไม้ของชาวบ้านตั้งอยู่ประปราย ใกล้ทิวเขาเขียวชอุ่มที่ทอดยาวตลอดทาง ตัดกับเมฆขาวปุยบนผืนฟ้า

รถทัวร์และรถตู้สีเงินวิ่งตามกันมาบนถนนลูกรังเป็นระยะทางราวสามกิโลเมตร เมื่อถึงทางแยกข้างหน้า ทั้งสองคันหักเลี้ยวขวาลอดผ่านซุ้มประตูไม้สัก ประดับป้ายระบุตัวอักษรสีทองว่า ‘บ้านไร่งามพรรณ’ ไว้ด้านบน พิมพ์นาราจึงใช้ศอกถองไปยังธารธาราซึ่งหลับสนิท

“ถึงแล้วหรือ ” ธารธาราพึมพำน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนจะขยี้ตาช้าๆ แล้วเปิดเปลือกตาขึ้น

รถคันใหญ่ข้ามสะพานโค้งผ่านลำธารใสขนาดเล็ก ไหลลงมาจากบนเขา ก่อนจะตรงผ่านถนนโรยกรวด สองข้างทางเต็มไปด้วยดงดอกไม้สูงสองฟุต ผลิใบเรียวยาว กลีบดอกแทงช่อจากกลางลำต้น ซ้อนกันเป็นชั้นๆคล้ายดอกบัว มีทั้งสีชมพูอ่อน แดงระเรื่อและขาวนวลผ่อง วิจิตรตระการตาราวกับอยู่บนสวรรค์

“ดอกไม้อะไร...สวยจัง” ธารธาราขยับมองทิวทัศน์ภายนอกตามสายตาเพื่อน

“ไม่รู้สิ…แต่สวยมาก คล้ายทุ่งดอกกระเจียวเลย” น้ำเสียงของพิมพ์นาราเคลิบเคลิ้มตามความงามของดอกไม้

“ดอกปทุมมา หรือ สยามทิวลิป เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิงและข่า ไม้สกุลนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มปทุมมาและกลุ่ม
กระเจียว” คำเฉลยถูกร่ายยาวมาจากคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง

“แสนรู้จังนะคะ…คุณลุง” พิมพ์นาราพูดพลางย่นจมูก

“ที่บ้านปลูกอยู่…เป็นดอกไม้ที่แม่ชอบมาก เลยเป็นขวัญใจของคนทั้งบ้าน”

“แล้ว…ลุงชอบด้วยไหม ” เธอยืดตัวมองมายังคนพูด ตั้งใจจะหยอกล้อเขา แต่แล้ว…

“ชอบสิ…ชอบมาก” โยธินจับจ้องใบหน้าเรียวด้วยดวงตาพราวระยับ

หญิงสาวชะงัก เมื่อเห็นสายตาที่ตั้งใจสื่อความหมายบางอย่าง…

ไอร้อนซู่จู่โจมผิวแก้มจนแดงระเรื่อ เธอหันขวับกลับลงนั่ง ก่อนจะยกมือลูบแก้มเบาๆให้หายจากอาการชา จุดประสงค์กลั่นแกล้งคนด้านหลังพังทลาย

รถทัวร์และรถตู้สีเงินวิ่งผ่านหอกระโดดสูง ตั้งตระหง่านบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มราวกับตึกสูงสี่ชั้น ตรงเข้ามาจอดหน้าเรือนไทยทำจากไม้สักทอง ชั้นล่างตกแต่งด้วยไม้ฉลุลายกนกตามหน้าต่างและบานประตู ใช้เป็นสถานที่ต้อนรับและห้องสัมมนา ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักพิเศษ จัดเตรียมไว้สำหรับผู้บริหารของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์

ผู้เข้าอบรมทยอยลงจากรถ ต่างยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายอาการเมื่อยล้า พิมพ์นาราสังเกตเห็นด้านขวาของเรือนไทยเป็นลานหินกว้าง ตรงกลางมีกองฟืนขนาดใหญ่วางซ้อนกัน คาดว่าถูกเตรียมไว้สำหรับกิจกรรมรอบกองไฟในคืนนี้ ส่วนด้านซ้ายมีเต็นท์สีเขียว กางต่อกันเป็นแถวยาวริมน้ำตกใสซึ่งไหลทิ้งตัวลงมาตามชั้นหิน

เสียงดนตรีไทยดังขึ้นให้บรรยากาศสงบเย็น พิมพ์นารารับแก้วน้ำจากพนักงานต้อนรับมาดื่ม น้ำเย็นเฉียบหอมกลิ่นใบเตยเพิ่มความรู้สึกกระฉับกระเฉงในยามบ่ายได้อย่างดี ก่อนจะเข้าไปในห้องประชุมซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องเรือนโบราณ เสมือนหลุดเข้ามาในยุคสมัยที่ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนห่มสไบเฉียง

วิทยากรกล่าวต้อนรับเข้าสู่ ‘บ้านไร่งามพรรณ’ อย่างเป็นทางการ ชี้แจงจุดประสงค์หลักของการอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความกล้าหาญให้พนักงานสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้สำเร็จ
โดยทั้งสี่ฐานกิจกรรมจะมีธงสีแดงให้สะสม แต่จะมีฐานเดียวที่มีธงสีเขียวเพียงหนึ่งอัน หากทีมใดสามารถครอบครองธงสีเขียวและผ่านทุกฐานไปได้ถือว่าชนะเลิศ

ฐานกิจกรรมแรกเริ่มขึ้นใกล้ซุ้มประตูทางเข้าบ้านไร่งามพรรณ เจ้าหน้าที่กล่าวต้อนรับทุกคน โดยแจ้งชื่อฐานนี้ว่า ‘รวมใจไถลติดดิน’ วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เพราะชีวิตที่เร่งรีบของมนุษย์เงินเดือน บางครั้งเราเองลืมว่า แผ่นดินซึ่งเหยียบย่ำอยู่มีคุณค่าเพียงใด หลายคนคิดเพียงว่า ต้องเดินอย่างไรให้ทันต่อกิจวัตรประวันที่แข่งกับเวลา ต้องวิ่งวนบนผืนดินอย่างไร ให้ได้เงินมหาศาลมาขับเคลื่อนธุรกิจดั่งล้อเกวียนหมุนไปไม่มีจุดสิ้นสุด น้อยคนนักจะมองเห็นคุณค่าของแผ่นดิน ซึ่งให้เราอาศัยอยู่กินและประกอบสัมมาอาชีพได้อย่างภาคภูมิ

‘ฐานรวมใจไถลติดดิน’ ตั้งอยู่บนลานดินกว้าง ติดกับลำธารธรรมชาติไหลผ่านบ้านไร่งามพรรณตลอดปี ทำให้บริเวณนี้ มีแผงมอสขึ้นเขียวครึ้มเป็นพรมผืนนุ่ม ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งใบปกคลุมราวกับหลังคามหึมา แสงแดดจึงลอดผ่านมาได้เพียงรำไร ใต้ร่มเงานี้ปรากฏลวดหนามหลายเส้น ขึงเป็นตารางหมากรุกบนท่อนไม้ทั้งแปดซึ่งยกตัวสูงจากพื้นดินราวครึ่งเมตร เรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีพื้นที่กว้างและยาวห้าเมตร

เจ้าหน้าที่ประจำฐานชี้แจงกติกา ให้แต่ละทีมผูกข้อมือติดกันไว้หนึ่งข้าง แล้วนอนหงายบนลานดิน ไถลหลังลอดผ่านอุปสรรคลวดหนามที่พาดอยู่บนท่อนไม้

โยธินรับผ้าสีชมพูผืนใหญ่มาจากเจ้าหน้าที่แล้วนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นลงมือพับผ้าเป็นรูปสามเหลี่ยม ม้วนขึ้นเป็นเกลียวคล้ายเชือก ก่อนจะเอ่ย

“พร้อมหรือยัง”

พิมพ์นาราไม่ตอบคำถามชายหนุ่ม แต่กวาดสายตามองหา ธารธาราซึ่งตอนนี้กำลังไถลลอดลวดหนาม เมื่อเห็นเพื่อนรักออกตัวไปไกลแล้วจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือไปหาชายหนุ่มเพื่อผูกติดกัน โยธินกลั้นยิ้มจากท่าทีกระอักกระอ่วนใจของอีกฝ่าย ก่อนจะพากันไปต่อคิวตะลุยฐานตรงหน้า

ทั้งคู่เอนกายลงนอนหงาย แผ่นหลังราบติดพื้นดิน สัมผัสได้ถึงความนุ่มและชุ่มชื้นของแผงมอสขึ้นปกคลุมหนาแน่น กลิ่นอายดินผสมกลิ่นอายน้ำจากลำธาร โชยมาสัมผัสปลายจมูกเธอจนรู้สึกเบาสบายจิตใจ

จากนั้นจึงพาร่างกายไถลลอดเข้าไปอยู่ใต้อุปสรรคลวดหนาม พิมพ์นาราเกร็งหัวไหล่ใช้ศอกถัดตัวเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยสองขาและสองเท้าราบติดดิน แทบไม่ต้องใช้งานมีเพียงส้นเท้าช่วยยันตัวไว้ ด้วยพันธนาการที่ข้อมือของแต่ละฝ่าย ทำให้การถัดตัวเคลื่อนที่ยากลำบาก เพราะต้องแบกรับน้ำหนักส่วนหนึ่งของอีกคนไว้ด้วย จนเธอเริ่มหมดแรง ระยะทางห้าเมตรช่างยาวไกลราวกับหลายกิโลเมตร ความพยายามเขยิบตัวไปข้างหน้าทำให้อากาศรอบตัวร้อนขึ้น หญิงสาวหายใจแรงและเร็ว เม็ดเหงื่อใสผุดเต็มหน้าผาก

“ไหวไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้เธอเห็นว่าโยธินเคลื่อนตัวล้ำหน้าไปแล้ว

“ถ้าบอกว่าไม่ไหว…ลุงจะทำยังไง ” พิมพ์นาราแกล้งยียวน แต่ในใจคิดจริง

โยธินชำเลืองมองหญิงสาวจอมป่วน ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ จนข้อมือซึ่งผูกติดกัน ยกลอยอยู่บนลำตัวของชายหนุ่มและก่อนที่พิมพ์นาราจะทันตั้งตัว ผิวแก้มก็สัมผัสกับบางสิ่ง…อุ่นๆ

มือหรือเปล่า...เธอครุ่นคิดพลางส่งแรงไปขยับข้อมือตนเอง…

ไม่ใช่สิก็ยังผูกติดไว้อยู่...

สัมผัสอุ่นข้างแก้มเคลื่อนตัวแผ่วเบา แต่ รวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที…

ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดเลย…ทว่าคือ…ปลายจมูกโด่งแหลม แตะผ่านแก้มนวล เคลื่อนมาหยุดลงข้างใบหู

“ไปต่อกันได้หรือยัง ”

พิมพ์นาราชำเลืองมอง พบนัยน์ตาคมกริบฉายแววพราวระยับ

“อีตาลุงบ้า !” เธอแผดเสียงลั่น สองแก้มแดงระเรื่อจากสัมผัสอันอบอุ่น

ถ้าไม่ติดลวดหนามเบื้องบน หญิงสาวอยากจะลุกขึ้นมาขย้ำคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด โยธินหัวเราะเบาๆรีบเขยิบตัวหนีไปข้างหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายถัดตัวตามมาติดๆ การณ์กลับกลายเป็นว่า ทั้งคู่ลอดผ่านลวดหนามมาอย่างเร็ว เมื่อหลุดออกมายืนได้ มือเรียวจึงระดมทุบแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงอย่างไม่ยั้ง

“โอ้ย ! เจ็บนะยายพิมพ์เขียว” โยธินร้องลั่น ยกมือขึ้นบังกำปั้นเล็ก เดือดร้อนไปถึงธารธาราและเตมินทร์ต้องรีบวิ่งมาห้ามศึก

“ไม่ต้องมาร้องโอดครวญเลยนะ อีตาลุงใจร้าย ! ” เธอแยกเขี้ยวใส่เขา

“เฮ้ย ! พิม ใจเย็นก่อนเกิดอะไรขึ้น ” น้ำเสียงของธารธาราตื่นตระหนก

“คือว่า…” พิมพ์นาราอึกอัก ดวงตาคู่งามหลุบมองพื้น

“แค่ถามว่า จะไปต่อกันได้หรือยัง” คนต้นเหตุอาการเขินอายช่วยตอบ

“คือว่า…ตามนั้น” เธอตกลงใจเห็นด้วยกับคู่กรณี แน่ล่ะ…ไม่อยากอายมากไปกว่านี้

หญิงสาวเห็นธารธาราเลิกคิ้วขึ้นราวกับยังไม่หายสงสัย แล้วรู้สึกประหม่า แต่ก็ไม่มีคำถามใดเอ่ยออกมาให้เธอลำบากใจอีก เมื่อสงครามยุติลง ทุกคนจึงพากันไปตะลุยฐานกิจกรรมที่สองซึ่งมีชื่อว่า ‘พิชิตธงเขียว’




ฐานกิจกรรมนี้แต่ละทีมต้องผูกขาข้างหนึ่งติดกัน วิ่งไปจัดการกับอาหารที่เตรียมไว้ แล้วหาลูกกุญแจในจานแป้งซึ่งสามารถไขกรงสี่เหลี่ยมได้ทั้งยี่สิบห้ากรง แต่จะมีเพียงกรงเดียวที่บรรจุธงสีเขียวไว้ ผู้ที่หากุญแจได้รวดเร็วจึงมีสิทธิ์เลือกธงสีเขียวไปครอบครอง

พิมพ์นาราก้มมองผ้าสีชมพูผืนเดิม ผูกท่อนขาของตนและโยธินติดกัน ก่อนจะขยับเดินไปมาทำเอาอีกฝ่ายเดินตุปัดตุเป๋ไปด้วย

“เรามาวางแผนการเดิน ก่อนจะต้องลงไปโชว์จับกบดีกว่าไหม ”

“แล้ว…ลุงมีแผนยังไง ”

“เราต้องจับจังหวะในการก้าวขาให้พร้อมกัน ถ้านับหนึ่งคือ ก้าวขาข้างที่ผูกติดกันอยู่ พอนับสองก้าวขาอีกข้างที่ไม่ถูกผูกติดกัน…ลองดูนะ” จบคำอธิบายการฝึกซ้อมก่อนตะลุยฐานก็เริ่มขึ้น

ทั้งคู่ก้าวขาตามหมายเลขที่ตกลงไว้ อาการเดินไม่ตรงทางลดลง แต่แขนของทั้งสองคนยังแกว่งไปมาทำให้ทรงตัวลำบาก

“หยุดเดินกันก่อน”

“ทำไมคะ...ยังไม่ดีหรือ”

“เกือบดีแล้ว แต่ พี่คิดว่าเรายังมีปัญหาการทรงตัว เดินไปอย่างนี้ไม่ล้มก็จริง แต่จะทำให้เราเดินได้ช้า อาจไม่ทันทีมอื่น”

“ก็จริงนะ…ถ้าอย่างนั้น เราต้องปรับอะไรเพิ่มล่ะ ”

“เราต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวมากกว่านี้” เขาส่งสายตาจริงจังให้อีกฝ่าย

“ยังไงคะ ”

แทนคำตอบ…โยธินโอบไหล่หญิงสาวไว้แน่น จนศีรษะเธอเอนมาสัมผัสแผ่นอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นเบาๆ พิมพ์นาราชาวาบไปทั่วตัวดุจกระแสไฟวิ่งผ่าน สัญชาตญาณสั่งให้ขยับร่างกายหนี

ทว่า…แพ้จิตใต้สำนึกที่ส่งเสียงคัดค้านมาจากหัวใจ

“อย่ายืนเฉยสิ ใกล้เวลาแล้ว เอาแขนมาพาดไว้ที่เอวนี่ เร็ว ! ” เขาก้มมองอีกฝ่ายพลางออกคำสั่ง

เธอทำตามราวถูกมนต์สะกด ตอบตัวเองไม่ได้ว่า ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นคืออะไร…

เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น แต่ละทีมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ ก้าวขากระชากกันจนล้มคะมำลงกับพื้น บางทีมดันกันไปมากว่าจะออกตัวได้ก็เสียเวลาเนิ่นนาน

แต่ ทีมของโยธินและพิมพ์นารานำลิ่วไปข้างหน้า เพราะวางแผนการเดินอย่างรอบคอบและจัดระเบียบร่างกายให้ถูกต้อง การทรงตัวจึงเป็นไปด้วยดี ไม่นานก็มาถึงจุดที่ต้องจัดการกับอาหาร

ตรงหน้าของทั้งคู่ปรากฏจานสีขาวใบใหญ่ ใส่ขนมปังชิ้นโตสี่ชิ้น พร้อมน้ำอัดลมขนาดหนึ่งลิตร หญิงสาวรับผิดชอบขนมปังเพียงหนึ่งชิ้น ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของโยธิน จากนั้นคว้าขวดน้ำอัดลมหมุนเปิดฝา ดื่มให้ได้มากที่สุดแล้วส่งต่อให้เขา ครู่หนึ่งอาหารและเครื่องดื่มก็อันตรธานไปหมดราวกับไม่เคยมีสิ่งใดวางไว้ในจานมาก่อน

ทั้งคู่ทำเวลาอย่างรวดเร็วในขณะที่บางทีมยังเดินมาไม่ถึงจุดนี้ และหลายทีมเพิ่งเริ่มจัดการกับอาหาร เมื่อภารกิจแรกลุล่วงแล้ว จึงเดินไปยังจุดหมายที่สองซึ่งมีจานกระเบื้องบรรจุแป้งขาวละเอียดไว้จนล้น

ทั้งสองคนสลับกันเป่าแป้งฟุ้งกระจายเป็นหมอกขาวนวล จนใบหน้ามอมแมม เพียงชั่วครู่แสงสีเงินวาบปรากฏเป็นริ้วยาวในจานกระเบื้อง พิมพ์นาราจึงหยิบลูกกุญแจขึ้นมา ทั้งคู่ยิ้มร่า ส่งสายตาไปยังกรงสี่เหลี่ยมซึ่งมีธงสีเขียวเพียงหนึ่งเดียวตั้งไว้ รอทีมว่องไวที่สุดเป็นผู้พิชิตไปครอง

พลัน หางตาแลเห็นอีกทีมกำลังออกตัว เดินไปในทิศทางเดียวกับที่ทั้งสองคนมองอยู่ โยธินกดน้ำหนักลงบนฝ่ามือใหญ่ซึ่งเกาะกุมหัวไหล่เธอไว้ ส่งสัญญาณให้พร้อมพิชิตภารกิจสำคัญ



“พี่เต ! เราต้องรีบแล้ว พี่โยกับพิมอยู่ข้างๆแล้ว” ธารธาราพยักพเยิดไปทางทีมของเพื่อน

“ก้าวขาตามมาให้ทันนะ พี่จะก้าวนำแล้วน้ำรีบก้าวตาม”

เตมินทร์ขมวดคิ้วมุ่น ยกขาอย่างรวดเร็วจนวิ่งโขยก ธารธาราพยายามเกร็งต้นขาก้าวตามให้ทันจนในที่สุดกลายเป็นคนถูกลากไปข้างหน้า และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อร่างของเธอเซถลา สะดุดขาตนเองพาเอาอีกฝ่ายเสียหลักล้มคะมำลงไปกองกับพื้นด้วย

ต่างส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และเสียดายที่ปล่อยให้ทีมคู่แข่งเดินผ่านหน้าไปยังเป้าหมาย ไขกุญแจหยิบธงสีเขียวขึ้นมาโบกสะบัด

“แหม ! สามัคคีกันจริงนะคู่นี้…ฐานเมื่อกี้ยังเถียงกันอยู่เล้ย” ธารธาราลากเสียงสูงท้ายประโยค พลางเอื้อมมือคลำข้อเท้าซึ่งเริ่มระบมจนแดงช้ำ

“จริงด้วย…ถ้าลองจินตนาการลบภาพตะลุยฐานออกไป…จะเหมือน…” เตมินทร์เสริม ก่อนจะเว้นช่วงไว้ ชำเลืองมองทั้งคู่

“เหมือนอะไร” โยธินส่งสายตาสงสัยไปยังคนพูด

“เหมือน…ไม่ใช่แค่ผู้ร่วมทีมกันนะสิครับ” คำพูดมีเลศนัยของเตมินทร์ ทำให้ธารธาราตาโตพยักหน้าเห็นด้วย

โยธินยิ้มกว้างจับจ้องพิมพ์นาราจนเธอต้องหันหนีไปอีกทาง

“ก็ลองไม่โอบแน่นแบบนั้น มีหวังล้มคะมำลงไปจับกบ แบบคู่พี่เตกับน้ำแน่ๆ”

“ไม่แกล้งแล้ว เดี๋ยวบางคนจะม้วนไปมากกว่านี้” ธารธาราตัดบท สายตาเหลือบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาทางกลุ่มของตนเอง

“นันเห็นพี่เตล้มเข่ากระแทกพื้น เจ็บไหมคะ…ใจหายหมดเป็นห่วงจัง” เจ้าหน้าที่บุคคลคว้าร่างของเตมินทร์หมุนซ้ายหมุนขวา สำรวจไปทั่วกาย

“นี่ค่ะ ยาหม่องสูตรโบราณจากในรั้ววังเชียวนะคะ มาค่ะพี่เตยื่นขามา นันจะทายาให้” เธอรีบหมุนเปิดฝายาหม่องพลางส่งสายตาแพรวพราว

“…พี่ไม่เจ็บอะไรมากหรอก ขอบใจนันมากนะ” เตมินทร์ค่อยๆเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายแบบไม่ให้เสียมารยาท

ธารธาราหรี่ตามองอาการเป็นห่วงของนันทนา แล้วนึกขันที่เจ้าหล่อนไม่แม้แต่จะเอ่ยถามถึงตนเองซึ่งล้มหน้าคะมำอยู่ข้างๆเตมินทร์ ราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้

“ก็ได้ค่ะ แต่พี่เตต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ ถ้าเป็นอะไรไปอีก รู้ไหมว่านันจะห่วงแค่ไหน”

“ครับ…นันไปเตรียมประสานงานต่อดีกว่า พี่เห็นเจ้าหน้าที่ด้านโน่นเขากวักมือเรียก”

นันทนามองตามท่าทางพยักพเยิดของชายหนุ่ม พลัน เบิกตากว้างขึ้น

“ตายจริง ! นันต้องขอตัวไปเตรียมเรื่องที่พักให้ผู้บริหารก่อนนะคะ” เธอกล่าวจบ รีบเดินไปหาเจ้าหน้าที่ของบ้านไร่งามพรรณ

“ถ้าอย่างนั้นไปอีกฐานกันต่อเลยดีกว่า” เตมินทร์เอ่ยชวนคนทั้งสาม

โยธินและพิมพ์นาราเดินนำไปยังฐานกิจกรรมที่สาม ทิ้งให้เตมินทร์ยืนสำรวจท่าทางของผู้ร่วมทีม

“พี่เตต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ ถ้าเป็นอะไรไปอีก รู้ไหมว่านันจะห่วงแค่ไหน” ใบหน้าเรียวเก๋ของธารธาราเชิดขึ้นเล็กน้อย หลังจากพูดประชดประชันก่อนจะเดินจากไป ทำเอาคนเฝ้ามองหัวเราะเบาๆ ขบขันอาการประหลาดจากเพื่อนร่วมทีม



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2556, 07:34:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2556, 07:36:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1234





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
phugan 8 ธ.ค. 2556, 09:32:16 น.
สงสัยหนูน้ำจะหมั่นใล้ยัยนันเต็มที...555


พราวชมพู 8 ธ.ค. 2556, 15:07:15 น.
ประมาณนั้นเลยค่ะ คุณ phugan ^ u ^


ไม้เอก 9 ธ.ค. 2556, 00:22:41 น.
ฐานต่อไปให้ทำอะไรน้าาา? ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account