กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 6

‘ท่อนไม้ประสานพลัง’ คือชื่อของฐานกิจกรรมที่สาม ตามลักษณะการวางท่อนไม้สองท่อน ห่างกันครึ่งเมตรทอดยาวจากด้านหนึ่งของลำธารไปยังผืนดินฝั่งตรงข้ามราวกับสะพานไม้ แตกต่างที่สะพานแห่งนี้ตั้งใจให้ไม่มีราวจับ เพื่อให้แต่ละทีมเดินข้ามลำธารเบื้องล่างโดยผสานความสามัคคี

ท่อนแขนแข็งแกร่งของโยธินเหยียดไปในทิศทางเดียวกับใบหน้าคมเข้ม เอื้อมประสานกับสองมือของพิมพ์นาราซึ่งยืนอยู่บนท่อนไม้ฟากตรงข้าม ดวงตากลมใสของเธอระริกไหว เมื่อเขยิบตัวไปข้างหน้า อดไม่ได้ที่จะหลุบมองสายน้ำไหลอวดเกลียวคลื่นเป็นระลอกยาว ท้าทายจิตใจเธอจนร่างบางสั่นสะท้านราวกับจะปลิวไปตามลม

ในนาทีที่ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ หญิงสาวรู้สึกถึงน้ำหนักกดลงบนฝ่ามือตนเอง จึงเลื่อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่ม ประหนึ่งโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหว เมื่อสองสายตาประสานกัน ไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยเพื่อปลอบโยน มีเพียงความอบอุ่นจากแววตาของโยธิน ปลดเปลื้องความหวาดกลัวในใจพิมพ์นารา จนเกิดความเชื่อมั่นพร้อมก้าวเดินต่อราวกับดวงตะวันยามเช้าทอแสงเจิดจ้าขจัดความพรั่นพรึงในรัตติกาล

บนสะพานจำลองที่เปิดโล่ง ไม่มีสิ่งใดให้จับหรือยึดเหนี่ยว เหลือเพียงสิ่งเดียวคือหลอมรวมใจคนทั้งคู่ สร้างความสามัคคีเพื่อก้าวไปถึงจุดหมายอย่างทระนง และค้นพบว่า สิ่งที่ผ่านมาแค่ความกลัวซึ่งมักจะปราชัยต่อความกล้าหาญเสมอ

พิมพ์นาราและโยธินข้ามมาถึงอีกฝั่งด้วยความภูมิใจต่อชัยชนะครั้งนี้ ไม่ใช่ชนะทีมอื่นหรือชนะใคร แต่ที่ยิ่งใหญ่หาสิ่งใดมาเปรียบคือ ชนะความกลัวในใจตนเอง ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน จ้องมองโยธินรับธงสีแดงจากเจ้าหน้าที่ประจำฐานมาสะสมคะแนน เขาหันกลับมายิ้มให้เธอด้วยแววตาระยิบระยับมีชีวิตชีวา

“นึกว่า จะได้ลงไปงมบางคนขึ้นมาซะแล้ว” โยธินหรี่ตามองอีกฝ่าย

“แหม ! ก็ระดับพิมพ์นาราแล้ว เรื่องแค่นี้มันเล็กน้อยมาก ถ้า…” คนที่เพิ่งผ่านอาการขาสั่นคุยโว จงใจเว้นท้ายประโยคเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย

“ถ้าอะไร ” โยธินถามกลับทันควัน

“ถ้าเป็นลุงก็ว่าไปอย่าง…คนแก่ให้มาออกกำลังกายนานๆ เกิดเป็นลมเป็นแร้งขึ้นมาจะพากันลำบาก” เธอพูดลอยหน้าลอยตายียวนเขาเต็มที่

“เก่งให้มันตลอดนะ…ยายพิมพ์เขียว เพราะฐานต่อไปต้องลุยเดี่ยว” น้ำเสียงเขาฟังดูท้าทาย

“ลุยเดี่ยวหอกระโดดสูงนะเหรอ…ก็แค่โหนสลิงลงมา ยากตรงไหน…” พิมพ์นาราฝืนยิ้ม เชิดหน้าเจื่อนๆขึ้นสู้อาการกลัวความสูงในใจ

“ยากตรงโหนสลิงลงมานั่นแหละ…เดี๋ยวก็รู้ ” เขามองหน้าเธอด้วยแววตาข่มขู่



หอกระโดด สูงสามสิบสี่ฟุต เป็นระดับความสูงที่กระตุ้นประสาทสัมผัสของมนุษย์ ให้เกิดความกลัวและหวาดเสียวมากที่สุด ตั้งตระหง่านตรงข้ามฐานกิจกรรม ‘ท่อนไม้ประสานพลัง’ ผนังด้านหนึ่งติดตั้งไม้หน้าผาจำลอง ส่วนฟากตรงข้ามเปิดโล่ง เป็นบันไดเวียนขึ้นไปยังชั้นสี่ สำหรับกระโดดตัวลงมา ด้านหลังมีเสาคอนกรีตสองต้นขนาบข้างใช้ยึดรอกและสลิง

แต่ละทีมทยอยมารวมตัวกันจนครบ บริเวณสนามหญ้าหน้าหอกระโดดสูง เจ้าหน้าที่ประจำฐานพร้อมวิทยากรพิเศษ ผู้ทำหน้าที่เป็นนักรบของประชาชน หรือ ขนานนามว่า ‘ทหารพราน’ กล่าวต้อนรับทุกคนเข้าสู่ฐานกิจกรรมสุดท้ายชื่อว่า ‘วัดใจ’ เพื่อฝึกความกล้าตัดสินใจอย่างมีเหตุผลภายใต้วิกฤตรุมเร้า

อุปกรณ์กระโดดร่มคล้ายกระเป๋าเป้สีน้ำตาลใบใหญ่ พร้อมหมวกกันน็อกสีเขียวลายทหาร วางเรียงอยู่ตรงหน้าผู้เข้าฝึก ตามมาด้วยการสาธิตวิธีกระโดดหอสูง ครูฝึกจะออกคำสั่ง ‘ยืนประตู’ ผู้เข้าฝึกต้องกล่าวว่า ‘ยืนประตู’ ก้าวเท้าซ้ายไปที่ขอบหอ รายงานชื่อตนเองและกล่าวคำว่าพร้อมโดด

พิมพ์นารารู้สึกใจเต้นแรงยามก้าวขึ้นบันไดเหล็ก พาดสลับกันไปมาราวกับบันไดลิง เธอเงยหน้ามองทางด้วยความยากลำบากเพราะแผ่นหลังแอ่นขึ้น จากอุปกรณ์กระโดดร่มน้ำหนักราวสิบห้ากิโลกรัม เกาะอยู่บนหัวไหล่ แถมยังมีสายระโยงด้านล่าง ให้สวมขาขึ้นมารัดแน่นตรงสะโพก แทบจะขยับขาก้าวไม่ได้

เสียงกรีดร้องของทีมต่างๆ ซึ่งผลัดกันกระโดดหอลงมา ดังก้องราวกับเสียงประกอบฉากระทึกขวัญในหนังฆาตกรรมสยอง ทำเอาคนที่ต่อคิวรอฝึกใจสั่นระรัวไปตามกัน

พิมพ์นาราเย็นวาบทั่วกาย ยามลอบมองพื้นหญ้าเบื้องล่าง ยิ่งก้าวขึ้นสูง ใจก็สั่นหวิวทวีคูณจิตใต้สำนึกซึ่งหวาดกลัวความสูง กำลังทำงานเต็มที่จนเธออยากจะหยุดเดิน แล้วหันหลังกลับไปยอมศิโรราบต่อโยธินที่ก้าวตามขึ้นมาติดๆ

แต่แล้ว…เสียงของชายหนุ่มกลับดังก้องในโสตประสาทราวกับเขาพูดกรอกหูอยู่ข้างๆ

‘เก่งให้มันตลอดนะ…ยายพิมพ์เขียว เพราะฐานต่อไปต้องลุยเดี่ยว’

ประโยคท้าทายทำให้เธอถอนหายใจออกแรงๆ แล้วสูดลมกลับเข้าปอดลึกๆ พยายามไม่มองลงเบื้องล่าง กลั้นใจก้าวขึ้นไปสู่ชั้นสูงสุดอย่างเร็ว

เม็ดเหงื่อใสผุดพราวบนหน้าผากยามพาตัวเองมาถึงชั้นสี่ ซึ่งเป็นจุดเตรียมกระโดด พิมพ์นารากวาดสายตามองพื้นที่สี่เหลี่ยมไม่กว้างนัก เปิดโล่งรับอากาศบริสุทธิ์ มีเพียงราวระเบียงเหล็กสูงระดับเอว เป็นปราการป้องกันความหวาดหวั่นเข้ามารุกรานจิตใจ และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้เข้าฝึก

สายลมพัดกรู สัมผัสผิวหน้านวลเพิ่มความตระหนกในแววตาเธอ ยามลอบมองสนามหญ้าเบื้องล่าง พลัน ขนตามแขนและขาลุกซู่ขึ้นมาต้านทานความสูงจากภาพที่เห็น กระตุ้นจิตใต้สำนึกซึ่งหวั่นเกรงต่อความสูง ออกมาโลดแล่นอยู่ทั่วกายจนร่างสั่นไหว

“ทีมนี้คนไหนกระโดดก่อนครับ” ทหารพรานจ้องมองทั้งสองคน

“คนนี้เลยครับ” โยธินคว้าลำตัวหญิงสาว ผลักเบาๆไปหาชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่ง

“เฮ้ย ! ” เธอสะดุ้งโหยงตื่นจากห้วงความคิด หันกลับมาส่งสายตาเขียวปั๊ดให้อีกฝ่าย

“ระดับพิมพ์นาราแล้ว…เรื่องแค่นี้มันเล็กน้อยมาก ก็แค่โหนสลิงลงมายากตรงไหน” เสียงห้าวของโยธินสะกิดความคุ้นเคยต่อประโยคนี้
แน่นอน…พิมพ์นาราจำได้ขึ้นใจเพราะเพิ่งกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตาคุยโวกับเขาไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

“…ของมันแน่อยู่แล้ว” เธอหน้าเผือดลงฝืนยิ้มแห้งๆ เดินตามชายวัยกลางคนไปยังจุดเตรียมกระโดด

ทหารพรานคว้าตะขอจากสลิงมาเกี่ยวกับอุปกรณ์กระโดดร่มบนแผ่นหลังเธอ เขาตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างรอบคอบ เสร็จแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่ยืนนิ่งราวกับหยุดหายใจ ก่อนจะออกคำสั่ง

“ผู้เข้าฝึกรายงานชื่อตัวเอง”

“พิม…พิมพ์นารา…ค่ะ”

“พิมพ์นาราพร้อมนะ”

“…พร้อม…ค่ะ” เธอกลั้นใจพูดเสียงสั่น ขาสองข้างเริ่มอ่อนแรง

“ยืนประตู” เสียงหนักแน่นของเขาคือสัญญาณในการกระโดด แต่มันกลับกรีดแทงหัวใจเธออย่างเจ็บปวด

“ยืนประตู” เสียงสั่นเครือถูกเค้นออกจากริมฝีปากบางอย่างยากเย็น พร้อมสองเท้าก้าวถอยไปข้างหลัง

“ผิดแล้ว…ตามหลักต้องก้าวเท้าขวามาข้างหน้า ส่วนเท้าซ้ายก้าวไปที่ขอบของหอ งอเข่าย่อตัวลง มือแตะราวระเบียง” ทหารพรานกล่าวพลางขยับร่างอีกฝ่าย จัดท่าทางให้พร้อมกระโดด

ขาซ้ายที่ยืนหมิ่นเหม่ตรงขอบหอกระโดดสูงเริ่มสั่นไหว ไม่ต่างจากสองมือบนราวระเบียง เม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเธอ ท่ามกลางสายลมพัดแรง พลัน พิมพ์นาราย่อตัวลงช้าๆ

“ไม่ไหวค่ะ…ฉันกลัวความสูงขอถอนตัวได้ไหม” เธอเอ่ยเสียงสั่น ปิดเปลือกตาแน่น

ทหารพรานหันกลับมามองโยธินซึ่งยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างหลัง

“เดี๋ยวผมจัดการเอง” เขากระซิบแผ่วเบา ก่อนจะย่อตัวลงข้างพิมพ์นารา

“ไง…ยายพิมพ์เขียว เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลย ยอมแพ้แบบนี้ทีมเราจะไม่ได้ธงนะ” เสียงห้าวของโยธินไม่อาจทำลายความกลัวในใจเธอ เปลือกตายังคงปิดแน่นพร้อมก้มหน้างุด

“ไม่รู้แหละ…ฉันกลัวความสูงมาตั้งแต่เด็ก…ลุงอยากชนะหรืออยากได้ธงก็เอาไปคนเดียวเหอะ” เธอบ่นเสียงสั่นพลางส่ายหน้า

“สรุปให้พี่ชนะได้ใช่ไหม” สิ้นเสียงถาม ศีรษะทุยของอีกฝ่ายพยักหงึกหงักแทนคำตอบ

“ได้…ถ้าอย่างนั้นยืนขึ้นก่อน” โยธินพยุงร่างบางลุกขึ้นอย่างทะนุถนอม พลางหันไปพยักหน้าให้นายทหารพรานเดินเข้ามาใกล้

“ลืมตาขึ้นก่อนไหม” เสียงนุ่มข้างหูทำให้พิมพ์นาราคลายอาการสั่นลง

“ไม่ละ…ฉันกลัวความสูง ลุง ปลดสลิงออกได้เลย” เธอรอคอยคนมาปลดตะขอ พลางคิดถึงอิสรภาพในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

การเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นบริเวณอุปกรณ์กระโดดร่ม แต่หญิงสาวยังคงหลับตาแน่น ก้มหน้าลงจนคางชิด อกไม่รับรู้การกระทำใดๆ

ทันใดนั้น…พิมพ์นาราขยับเปลือกตาเปิดขึ้น เมื่อรู้สึกถึงแรงบางอย่างจากด้านหลัง พลัน ทัศนียภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้า ต้นไม้สูง แม้กระทั่งสายลมเคลื่อนผ่านนัยน์ตาที่เบิกกว้าง

ไม่สิ ! …

เราต่างหากที่กำลังเคลื่อนผ่านสิ่งเหล่านั้น

เมื่อความสงสัยสิ้นสุดลง ความรู้สึกมวนท้องหวิววูบทั่วกายราวกับตกจากตึกสูงจู่โจมเธอทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที แต่ไม่ช้าเกินกว่าการประมวลผลจากสมองว่า

เธอถูกผลักลงมาจากหอกระโดดสูง !

“กรี๊ดดด ! ”

“อีตาลุงใจร้ายยย ! ”

เสียงแผดร้องดังสนั่นทั่วท้องฟ้า พร้อมกับร่างบางลอยเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา หมุนหน้าหมุนหลังอยู่แบบนั้นสองถึงสามรอบแล้วลู่ต่ำลงเรื่อยๆ จนถึงปลายทางซึ่งมีอุปกรณ์บังคับรอกให้หยุดเคลื่อนไหว แต่ร่างเพรียวน้ำหนักน้อยของพิมพ์นาราทำให้ไม่สามารถหยุดได้ทันที

เธอจึงถูกเหวี่ยงไปมาอีกหลายรอบ ก่อนจะแกว่งช้าลง เจ้าหน้าที่ประจำฐานจับขาทั้งสองข้างให้หยุดนิ่ง วางลงบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้รับ จากนั้นปลดอุปกรณ์ต่างๆออกจากกายของหญิงสาว

ขาเรียวยาวสั่นพั่บๆยามก้าวลงจากโต๊ะ เธอรู้สึกใจเต้นแรงจนต้องยกมือกุมไว้ หายใจเร็วระรัว

โยธินจ้ำเดินมาหาพิมพ์นาราทันที หลังจากกระโดดหอสูงตามมา

“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามเสียงแผ่ว

แต่…เธอยังคงเงียบงัน

หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่ม หยาดน้ำใสเป็นเงาอยู่ในดวงตา โยธินหน้าเผือดลง เขารีบสืบเท้าเข้ามาใกล้เธอ

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย…สนุกมากใช่ไหมที่แกล้งกันแบบนี้ ต่อไปฉันจะไม่เชื่อใจคุณอีกแล้ว” เธอพูดเสียงสั่นพร้อมหยดน้ำใสไหลรินจากปลายตา

พิมพ์นาราเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันเห็นความเศร้าปรากฏในดวงตาอีกฝ่าย ใบหน้าคมเข้มของโยธินก้มต่ำลงราวกับสำนึกผิด




ความมืดโอบล้อมท้องฟ้าจนทั่ว ไล่แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ลับหายไป ส่งแสงจันทร์นวลผ่องในค่ำคืนซึ่งผืนฟ้าปลอดโปร่งขึ้นมาแทนที่

สายลมโชยต้องใบไม้ไหวแผ่วเบา ทว่า โหมกระพือเปลวไฟให้สูงขึ้นจากกองฟืนขนาดใหญ่ ปะทุเป็นระลอกกลางลานหินกว้างที่ตั้งของกิจกรรมรอบกองไฟ

เสียงกลองคองก้าดังระรัวลงจังหวะหนักแน่น สลับกับเสียงกรุ๋งกริ๋งราวกับลูกกระพรวนขนาดใหญ่ จากการเขย่าเครื่องดนตรีซึ่งประกอบจากขอบไม้กลมคล้ายขอบกลอง รอบๆติดแผ่นโลหะประกบกันเรียกว่า แทมบูรีน เกิดทำนองปลุกเร้าใจให้ครื้นเครงเป็นสัญญาณเริ่มต้นของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้

อาหารหลากหลายรายการทั้งคาวหวานถูกจัดใส่ถาดอย่างสวยงาม วางเรียงบนโต๊ะไม้ยาว รอต้อนรับผู้ร่วมอบรมที่ทยอยเข้ามาในงานเลี้ยง หลังอาบน้ำผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการตะลุยฐานกิจกรรมมาทั้งวัน

พิมพ์นาราและธารธาราตักอาหารใส่จานด้วยความหิวและเหน็ดเหนื่อย สองสาวเดินจนรอบโต๊ะอาหารจากนั้นจึงกลับมานั่งตรงลานหิน ซึ่งมีโต๊ะตั่งหลายตัววางบนผืนเสื่อขนาดใหญ่ ปูเรียงรอบกองไฟลุกโชน

“เสียดายที่พี่เอิงไม่ได้มาด้วยนะ” ธารธาราพูดพลางวางจานอาหารบนโต๊ะตั่ง

“ไม่รู้อาการของแม่พี่เอิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” พิมพ์นาราทรุดตัวลงนั่งข้างๆเพื่อน พลางนึกถึงสีหน้าของเอิงซึ่งเคร่งเครียดทันที เมื่อรับสายโทรศัพท์จากที่บ้าน ว่าผู้เป็นแม่เส้นเลือดในสมองแตก ล้มลงในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกพื้น ทำให้เพื่อนรุ่นพี่ต้องลางานกลับไปดูแล

“ถ้าไม่ติดว่าบ้านพี่เอิงอยู่ต่างจังหวัด ฉันว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมสักหน่อย” น้ำเสียงของธารธาราฟังดูห่วงใย

“นั่งด้วยได้ไหม” โยธินเอ่ยถาม ก่อนวางจานลงบนโต๊ะ ส่วนเตมินทร์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆสองสาว

“เดี๋ยวฉันไปเอาผลไม้และน้ำมาให้นะ” พิมพ์นาราตวัดสายตาหนีคนถาม ทำเอาอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นรีบเดินตามหญิงสาวไปทันที

“คู่นี้ เขาเป็นอะไรกันนะเดี๋ยวดีกัน สักพักก็บึ้งใส่กันใหม่” ธารธาราบ่นพลางส่ายศีรษะ

“แล้วคู่ของเราล่ะ” เตมินทร์เอ่ยถามบ้างเมื่อสบโอกาส เพราะตั้งแต่ จบ ‘ฐานพิชิตธงเขียว’ หญิงสาวมีเพียงอาการมึนตึงไร้ชีวิตชีวา ยิ่ง
สองฐานกิจกรรมสุดท้ายเจ้าหล่อนแถบจะไม่สนทนากับเขาเลย ถ้าไม่แสดงออกด้วยการพยักหน้า…ก็ตอบรับว่า ‘ค่ะ’ คำเดียว

ก่อนหน้านี้เขาและเธอยังสามัคคีกลมเกลียวกัน จนกระทั่ง นันทนาเข้ามาช่วยดูแลอาการหกล้มของตนเอง ธารธาราจึงมีท่าทางราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“คู่อะไรคะ พูดให้มันน่าเข้าใจกว่านี้ได้ไหม ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่เธอพูดประโยคยาวๆกับเขา

“คู่ในทีมของเราไง โกรธอะไรพี่หรือเปล่า”

“น้ำจะไปโกรธพี่เต เรื่องอะไรล่ะคะ” ใบหน้าบึ้งตึงของเธอกำลังสวนทางกับคำพูด

“พี่กับนันทนา เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ ” เตมินทร์ตัดสินใจกล่าวสิ่งที่เขาครุ่นคิดและสับสนอยู่ทั้งวัน

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับน้ำซะหน่อย…พี่เตมาบอกน้ำทำไม” ใบหน้าของหญิงสาวผ่อนคลายลง

“ถ้าไม่เกี่ยว…ก็เลิกทำหน้าเมินเฉย แล้วกลับมาเป็นน้ำคนเมื่อเช้าได้แล้ว…เพราะ…” ดวงตาคมหลุบมองอาหารบนโต๊ะ

“เพราะอะไรคะ” เธอกวาดสายตาไปทั่วใบหน้าหล่อเหลา

“เพราะ…พี่ไม่สบายใจที่เราเป็นแบบนี้…อยากให้เรารู้สึกดีต่อกัน เหมือนตอนตะลุยสองฐานแรกได้ไหม”

ธารธาราสบตาเขานิ่ง สองแก้มนวลเริ่มแดงระเรื่อ เมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลและความหมายอันอบอุ่นของเตมินทร์ เธอพยักหน้าช้าๆราวกับต้องมนต์สะกด…

เรียกรอยยิ้มในดวงตาของคนถาม ไล่ลงมายังริมฝีปากหยักลึก เสริมวงหน้าใสให้มีเสน่ห์ชวนมอง



พิมพ์นาราเกร็งมือจับจานแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปน เมื่อเห็นว่าโยธินตามมาคอยบริการหยิบอาหารตรงหน้าโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอ

“สรุปจะทานอะไรบ้างครับ คุณพิมพ์นารา กระผมรอคุณเลือกอยู่ขอรับ” เขาเอ่ยปากง้องอน หลังจากเชื้อชวนให้เธอลองชิมขนมและผลไม้มากมาย

“ฉันหยิบเองได้ ถอยไปนะ” เธอผลักอีกฝ่ายแล้วขยับตัวเบี่ยงหนี

ร่างสูงเซเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวกลับมายืนขวางหญิงสาวไว้ ทั้งคู่เลยอยู่ในสภาพเดินเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาอยู่พักใหญ่

ในเมื่อเดินไปข้างหน้าไม่ได้เพราะเขาขยับเท้าตามตลอด เธอจึงวางจานลงบนโต๊ะอาหารแล้วหันหลังเดินจากไป เดือดร้อนโยธินต้องวิ่งตามไปติดๆ

พิมพ์นารากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ไกลจากกิจกรรมรอบกองไฟนัก ได้ยินเสียงกลองลอยตามลมมาแผ่วเบา

“พี่ขอโทษ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมร่างสูงสง่า

ทว่า…เธอยังคงเงียบงัน หันหน้าหนีราวกับยังไม่ให้อภัย

“เชื่อใจพี่อีกครั้งนะ…จะให้ทำอะไรก็ยอม”

เขาไม่คิดว่าการแกล้งครั้งนี้จะทำให้ยายจอมป่วนร้องไห้…

พลัน ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาจับใจราวกับคมมีดกรีดลงไปตรงนั้น

น้ำตาของพิมพ์นารายังติดอยู่ในห้วงคำนึง ยิ่งนึกถึง ยิ่งเจ็บ…เจ็บที่หัวใจ…อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าใกล้เรือนผมยาวสลวย พลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม หวังจะหันใบหน้างามให้กลับมามองความเศร้าในดวงตา ที่เรียกร้องความเห็นใจจากเธอ

แต่…สติสัมปชัญญะก็หยุดการกระทำนั้น โยธินลดมือลงข้างกาย ถอนใจเบาๆ

“ไม่เป็นไร…ที่ผ่านมาพี่ผิดเอง” เขากล่าวเสร็จ ทำท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยว ! ”

เสียงใสที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้ม

“จะให้ทำอะไรก็ยอมใช่ไหม” แววตาพราวระยับของพิมพ์นาราจ้องเขาอย่างมีเลศนัย



“เดินให้มันเร็วๆ หน่อยซิลุง หิวจะแย่แล้ว !”

พิมพ์นาราหันไปออกคำสั่ง คนที่เดินถือจานใส่อาหารเต็มสองมือ แถมยังพาดอีกสองจานบนท่อนแขนทั้งสอง เจ้าหล่อนนึกขัน เมื่อเห็นสีหน้าเขาตอนมองเธอหยิบอาหารทั้งคาวหวาน อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนได้มาสี่จานเต็มล้นสองมือและสองแขนของโยธิน ส่วนเธอเดินตัวปลิวมายังโต๊ะตั่ง ทรุดนั่งลงข้างธารธาราและเตมินทร์

“เฮ้ย !” เตมินทร์อุทาน เมื่อเห็นสภาพหัวหน้า ส่วนธารธาราเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง

“วางดีๆนะลุง ถ้าหกตักให้ใหม่เลย” เธอแหววใส่คนข้างตัว ที่บรรจงวางจานลงบนโต๊ะอย่างลำบาก จนลูกน้องเขาต้องรีบเข้าไปช่วย

“ไม่เป็นไร…กินต่อเถอะ” โยธินบอกปฏิเสธ หลังจากเห็นสายตาเอาเรื่องของพิมพ์นาราชำเลืองมา

“อ๊ะ…ลุงคะอย่าเพิ่งนั่ง ขอน้ำสามแก้วด้วยค่ะ”

ร่างสูงกำลังทรุดตัวลงนั่ง หยุดชะงักแล้วขยับลุกขึ้นยืนใหม่

“พิม! ของฉันกับพี่เต ไม่ต้อง” ธารธาราปฏิเสธทันควัน

“ไม่ได้ ไม่ได้ ยังไม่มีใครมีน้ำสักแก้วเลย ไหนไหน ลุงอาสาบริการแล้วก็ให้เขาทำให้เต็มที่” ดวงตากลมใสกวาดมองหาแก้วน้ำบนโต๊ะ
ธารธารามองโยธินเดินลับตาไป ก่อนจะหันมาหยิกแขนเพื่อนสาวที่ยิ้มร่าอย่างผู้ชนะ

“ไปแกล้งกันแบบนี้ ถ้าเขาโกรธขึ้นมาจะทำยังไง”

“เขาไม่โกรธหรอกเชื่อฉันสิ” พิมพ์นาราพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

“แล้วทำยังไงให้พี่เขาทำตาม โดยไม่อิดออดได้ขนาดนั้น”

พิมพ์นาราฉีกยิ้มกว้าง หันมาขยิบตาข้างหนึ่งให้เพื่อน

“ความลับ”

เธอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่ายศีรษะ คล้ายเอือมระอา ส่วนเตมินทร์ขมวดคิ้วมุ่นมองตามโยธินไปด้วยแววห่วงใย



งานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำดำเนินไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่บริการจึงแจกปากกาและกระดาษใบจิ๋วให้แก่ทุกคน เพื่อร่วมเล่นกิจกรรมรอบกองไฟ
นันทนาส่งเสียงนับ หนึ่ง…สอง…สาม ทดสอบความดังของไมโครโฟน ก่อนจะก้าวไปยืนตรงกลางลานหินข้างกองไฟลุกโชน

“ขออนุญาตขัดจังหวะรับประทานอาหารสักครู่นะคะ…ต่อไปเป็นกิจกรรมเลือกขวัญใจ ประจำค่ายสร้างสภาวะผู้นำ รบกวนทุกท่านเขียนชื่อเพื่อนผู้เข้าร่วมอบรม ที่ชื่นชอบเพียงหนึ่งชื่อ ในกระดาษสีขาวและนำมาหย่อนลงกล่องสี่เหลี่ยมใบนี้ ” เธอพูดจบ ชูกล่องกระดาษสีน้ำตาลเจาะรูด้านบนกว้าง

เพียงครู่เดียว ทุกคนเดินมาหย่อนผลการเลือก ตามคำเชิญชวน จนกระดาษสีขาวจำนวนมากลงไปนอนนิ่งเต็มกล่อง

หญิงสาวส่งกล่องสี่เหลี่ยมให้เจ้าหน้าที่บริการนับรายชื่อ เพื่อหาผู้ได้รับคะแนนสูงสุด และประกาศให้ทุกคนรับประทานอาหารต่อระหว่างรอผลคะแนน

เวลาผ่านไปพักใหญ่ นันทนาจึงปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมช่อดอกปทุมมาหลากสีสัน ประดับริบบิ้นสีชมพูผูกรวบตรงฐานของช่อดอกไม้

“ต่อไปนี้จะประกาศชื่อขวัญใจประจำค่ายสร้างสภาวะผู้นำ ที่เสียงส่วนมากมีความเห็นตรงกันเลือกเขาให้มารับตำแหน่งนี้ ขอเชิญ…พี่โยธิน ออกมารับช่อดอกไม้ รางวัลแด่ขวัญใจประจำค่ายค่ะ”

เสียงตบมือและเสียงกรีดร้องดังเกรียวกราว เมื่อชายหนุ่มเดินออกมารับช่อดอกไม้ ทำเอาพิมพ์นาราแอบเบ้ปากหมั้นไส้คนที่เธอเพิ่งกลั่นแกล้งไปหมาดๆ

“ขอเสียงปรบมืออีกครั้งให้ พี่โยธินสุดหล่อของเราด้วยค่ะ” สิ้นเสียงเชิญชวน เสียงตบมือดังกระหึ่มราวกับคนตรงหน้าเป็นดาราโด่งดัง

“ตามธรรมเนียมกิจกรรมรอบกองไฟของเรา ต้องมีคู่เต้นรำหนึ่งคู่ ออกมาเต้นรำเปิดงานรอบกองไฟในค่ำคืนนี้ จึงขอเชิญขวัญใจของเรา…พี่โยธินเลือกผู้โชคดีคนนั้นได้เลยค่ะ” นันทนากล่าวจบ พยักหน้าส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเลือกคู่เต้นรำ

โยธินก้าวไปยังผู้คนที่นั่งรอบกองไฟ ท่ามกลางเสียงเรียกจากบรรดาแฟนคลับซึ่งชูมือรอการตอบรับ เขาเดินมาย่อกายลงข้างผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะหงายมือยื่นไปหาอีกฝ่าย

พิมพ์นาราเบิกตากว้าง ได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัว เธอทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ เพราะอยากปฏิเสธมิตรภาพที่เขามอบมาให้ ทว่า เมื่อตั้งสติได้ก็ตระหนักดีว่า ตอนนี้ตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนซึ่งจ้องมองตามโยธินมา ราวกับมีลำแสงส่องสว่างจนทั้งคู่โดดเด่น

“ลุง…ฉันเต้นรำไม่เป็น” เธอปฏิเสธเสียงแผ่ว

“พี่ก็เต้นไม่เป็น เดี๋ยวทีมงานคงสอนให้” น้ำเสียงเขาแฝงความกดดันให้อีกฝ่าย

พิมพ์นาราเหลียวมองรอบกาย เธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆจากสายตาแฟนคลับของชายหนุ่ม ซึ่งจ้องเขม็งคล้ายไม่พอใจ ก่อนจะวางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมารอ

“ในที่สุดเราก็ได้คู่เต้นรำเปิดงานรอบกองไฟในค่ำคืนนี้ ขอตัวทั้งคู่ไปซ้อมเต้นรำก่อนนะคะ ระหว่างนี้เรามีการแสดงเต้นกำรำเคียว จากบ้านไร่งามพรรณมาต้อนรับทุกคน เชิญชมได้เลยค่ะ” สิ้นเสียงของนันทนา กลุ่มชายและหญิงฝ่ายละห้าคน เคลื่อนมาตั้งแถวหน้ากระดานตรงกลางลานหิน

กลุ่มผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยและสวมเสื้อกุยเฮงสีน้ำเงินมีผ้าขาวม้าพาดเอวเรียกว่า ฝ่ายพ่อเพลง ส่วนกลุ่มผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีดำสวมเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินเรียกว่า ฝ่ายแม่เพลง ทั้งสองฝ่ายสวมหมวกงอบ มือข้างขวาถือเคียวและมือข้างซ้ายมีรวงข้าวสีเหลืองอร่าม

การแสดงเริ่มขึ้นโดยไม่มีดนตรีประกอบ ตามแบบฉบับของชาวบ้านดั้งเดิม มีเพียงเสียงปรบมือ ร้อง ‘เฮ’ เข้ากับจังหวะจากฝ่ายชาย ซึ่งร้องเพลงพลางโยกเคียวเกี่ยวรวงข้าวร่ายรำเชิญชวน ฝ่ายหญิงให้ออกมาเต้นกำรำเคียว

ชายหญิงคู่แล้วคู่เล่าสลับกันออกมาร่ายรำ ร้องเพลงเกี่ยวกับทุ่งข้าวและเกี้ยวพาราสี เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมเป็นอย่างมาก เมื่อการแสดงจบลง เสียงกลองดังเป็นจังหวะเร้าใจให้ผู้ชมมองหาคู่เต้นรำเปิดงาน

ชายหนุ่มและหญิงสาว ปรากฏกายกลางลานหินข้างกองไฟลุกโชน เรียกเสียงตบมือต้อนรับจากทุกคน โยธินค้อมศีรษะพร้อมลำตัวลง ตอบรับการถอนสายบัวจากพิมพ์นารา ทั้งสองคนจับมือกันเดินวนรอบกองไฟ เข้าจังหวะกับเสียงดนตรี

เมื่อทำนองดนตรีเปลี่ยนจังหวะ คู่เต้นรำประกบมือกัน ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะแล้ววาดลงมาเป็นวงกลม หมุนรอบตัวเองพลิ้วไหวไปกับสายลมที่พัดมาเป็นระลอก โหมกระพือเปลวไฟให้ลุกโชนคล้ายร่วมเต้นรำไปกับคนทั้งคู่

พลัน มือใหญ่จากโยธินยื่นมาจับมือหญิงสาว ดึงร่างบางหมุนเป็นจังหวะมาไว้ในอ้อมกอด กลิ่นเผาไหม้จากกองฟืนเพิ่มความร้อนรุ่มในใจพิมพ์นารา หญิงสาวแทบหยุดหายใจ เมื่อร่างสูงสง่าโน้มใบหน้าเข้มเข้ามาใกล้ดวงหน้าตนเองพร้อมเสียงกลองดังระรัว ไม่ต่างจากเสียงเต้นของหัวใจเธอ เป็นสัญญาณให้ทุกคนออกมาเต้นรำรอบกองไฟ

ชายและหญิงต่างจับคู่เต้นรำสนุกสนาน กระโดดโลดเต้นไปมา เสียงหัวเราะดังผสานกับเสียงดนตรีที่เปลี่ยนทำนองเป็นจังหวะต่างๆสลับกันไป บรรยากาศครื้นเครงดำเนินไปพักใหญ่จนเวลาล่วงเข้ากลางดึก เมื่อนันทนาประกาศรางวัล ผู้ชนะจากการตะลุยฐานกิจกรรมสร้างสภาวะผู้นำ ทุกคนจึงกลับไปนั่งประจำที่

“เราจะประกาศรายชื่อผู้ชนะการตะลุยฐานกิจกรรมสร้างสภาวะผู้นำ ทีมที่ได้ธงสีแดงทั้งสามอันและธงสีเขียวที่มีหนึ่งเดียวมาครองได้แก่ ทีมของพี่โยธินและพิมพ์นาราค่ะ” นันทนาพูดจบเสียงปรบมือดังไปทั่วบริเวณ

โยธินและพิมพ์นาราออกมารับรางวัล พร้อมคำชมจากผู้บริหารของบริษัทด้วยความปลื้มปีติ ถึงตอนนี้หญิงสาวยอมรับว่า ชายหนุ่มที่ยืนถือโล่รางวัลร่วมอยู่กับเธอ เป็นคนเก่งเฉลียวฉลาด แถมหน้าตายังหล่อเหลาปานเทพบุตรจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมสาวๆถึงหลงใหลชื่นชมนัก แม้จะขุ่นเคืองใจที่เขาชอบกลั่นแกล้งเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ เวลายืนอยู่ข้างผู้ชายคนนี้

หลังจากแสดงความยินดีแล้ว ผู้บริหารของบริษัทให้โอวาทเรื่อง การวางแผนดำเนินงานที่รอบคอบจะทำให้งานทุกอย่างลุล่วงถึงเป้าหมายได้รวดเร็ว ความกล้าในตัวของแต่ละคนจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งเข้ามากะทันหัน หรือ สะสมไว้เนิ่นนานได้สำเร็จและความสามัคคีในการทำงานร่วมกัน เป็นหลักสำคัญซึ่งทุกคนต้องฝึกให้เป็นนิสัย เพื่อความเจริญก้าวหน้าขององค์กร ทั้งหมดคือสิ่งที่พนักงานได้รับและควรนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงาน

เมื่องานเลี้ยงเลิก ทุกคนต่างทยอยกลับเข้าเต็นท์เพื่อพักผ่อน สายลมกลางดึกพัดกรูเกรียวจนใบไม้ไหวระริกราวกับโบกมืออำลากิจกรรมรอบกองไฟ



“ทำไมเขียนชื่อพี่ลงไปในกระดาษโหวต” โยธินเอ่ยถามคนที่เดินเคียงข้าง

“แอบดูคนอื่น เสียมารยาทนะลุง” พิมพ์นารารู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองตนเองใส่ชื่อเขาในกระดาษโหวตขวัญใจประจำค่าย

“ไม่ได้แอบดู แค่หันไปเห็น” เขารีบแก้ตัว

“แล้ว…ทำไม ลุงเลือกพิมเป็นคู่เต้นรำล่ะ” เธอจับจ้องใบหน้าของโยธิน

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง…เมื่อเจอคำถามกลับแบบไม่ได้ตั้งตัว

“…เป็นทีมเดียวกันก็ต้องสนับสนุนกัน…จริงไหม ” ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้า ไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย

พิมพ์นาราแอบเบ้ปาก เมื่อคำตอบที่ได้ยินทำให้รู้สึกหดหู่

“เหมือนกัน…ที่เขียนชื่อลุงลงไปก็เห็นว่าเป็นทีมเดียวกัน…” คำตอบของเธอทำเอาโยธินหันกลับมามองด้วยแววเศร้า

หญิงสาวมองเขาอย่างสงสัย…เมื่อรู้สึกว่า มีคำถามมากมายอยู่ในดวงตาคู่คม แต่ก็ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งสอง มีเพียงความเงียบเป็นเพื่อนใหม่เข้ามาร่วมเดิน สลับกับเสียงหริ่งเรไรจากต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง

เมื่อเดินมาใกล้ถึงที่พักจึงมองเห็นธารธารากับเตมินทร์ยืนรออยู่ข้างเต็นท์

“เดี๋ยว…หยุดก่อน” โยธินเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

“วันนี้ดาวสวยมากลองมองขึ้นไปสิ” เขากล่าวพลางจ้องมองอีกฝ่าย

พิมพ์นาราแหงนหน้ามองดวงดาวระยิบระยับทั่วท้องฟ้า ราวกับโคมไฟนับร้อยส่องประกายลงมาช่างงดงามจนริมฝีปากเรียวเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ให้คนข้างกายได้ชื่นชม

หญิงสาวหันมามองโยธิน ทว่า… หัวใจกลับเต้นแรงขึ้น เมื่อช่อดอกปทุมมายื่นมาตรงหน้า

“ช่อดอกไม้นี่...” ดวงตากลมใสแฝงรอยฉงน เธอจำได้ว่าเป็นรางวัลขวัญใจในงานเลี้ยง

“ดอกปทุมมาเป็นดอกไม้ที่พี่ชอบมาก… พี่ให้พิม”

ความอบอุ่นจู่โจมพิมพ์นาราอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมพัดแรงจากขุนเขา…แววตาพราวระยับของโยธินทำให้เธอร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า แต่สองมือกลับเย็นเฉียบ

“ขอบคุณค่ะ…พิมจะเก็บรักษาไว้อย่างดีเพราะเป็นดอกไม้ที่ลุงชอบ”

ดวงหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มจากถ้อยคำของหญิงสาว…

เป็นรอยยิ้มที่พิมพ์นาราเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง…



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2556, 08:59:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2556, 14:19:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1275





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
Sukhumvit66 9 ธ.ค. 2556, 10:56:41 น.
มาลงชื่อค่ะ


ไม้เอก 9 ธ.ค. 2556, 10:59:23 น.


phugan 9 ธ.ค. 2556, 19:00:03 น.
อ่านแล้วนึกถึงตอนเข้าค่ายเน๊อะ...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account