เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 3 เจ้าเป็นใครกันแน่ 100%

บทที่ 3 เจ้าเป็นใครกันแน่ (65%)

หลังท่านผู้นำเผ่านากาเอ่ยสิ่งที่ควรพูดไปทั้งหมดผู้รับสารสาวถึงกับแน่นิ่ง ดวงตาเบิกค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริง เธอหันไปขอคำยืนยันจากท่านตาที่ยืนอยู่ด้านขวามือ สายตาท่านตามีรอยลำบากใจ แต่กลับไม่มีรอยปฏิเสธอย่างที่เธอคาดหวัง เธอหันกลับมามองตัวต้นเหตุเขามีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ราวกับเรื่องที่ท่านหัวหน้าเผ่าพูดนั้นเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้สักกระผีกริ้น

“ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่เอาด้วยเด็ดขาด มันก็แค่ความเข้าใจผิดเท่านั้นเองนะเจ้าคะบาบาลี” เธอโอดครวญ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แค่คิดว่าชีวิตต้องผูกติดอยู่กับผู้ชายร่างยักษ์แปลกหน้าที่เพิ่งฟื้นจากความตายมาไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะบ้าแล้ว “ท่านตา ไหนว่าหากเขาฟื้นเราจะให้เขาออกไปจากที่นี่ทันที เขาฟื้นแล้วเราให้เขาออกไปเลยสิเจ้าคะ ทำไมต้องให้ข้ามารับผิดชอบชีวิตเขาอีกละ”

“เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันไม่ต่างอะไรกับการ ‘ผิดผี’ น่ะสิ”

“ผิดผี” หญิงสาวเพียงคนเดียวทวนคำนั้นอย่างงงๆ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ความหมาย หากเป็นเพราะรู้ดีต่างหากเธอจึงได้มีอาการเช่นนี้

“จะเรียกว่าผิดผีได้ยังไงกันเจ้าคะ ข้ากับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน และยังไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เมื่อครู่เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”

“แต่สิ่งที่คนอื่นเห็นมันไม่เป็นเช่นนั้น เจ้ากับชายผู้นี้นอนทับกันอยู่ในกระโจมสองต่อสอง มันยากที่จะบอกให้คนเชื่อว่าไม่มีอะไร” บาบาลีอธิบาย

หญิงสาวดูจะไม่ยอมรับในคำอธิบายนั้น ดวงตากลมโตหันไปสบกับท่านตาอย่างวิงวอน

“ท่านตา ท่านเป็นคนบอกข้าเองว่าหากเขาฟื้นเราจะให้เขาออกไปจากที่นี่”

“เฮ้อ มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นหากไม่มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนน่ะสิ ความเสียหายมันเกิดขึ้นกับเจ้าแล้ว หากเราไม่ให้เจ้ากับเขาแต่งกันอย่างที่ท่านหัวหน้าเผ่าเสนอ ชื่อเสียงของเจ้าจะต้องป่นปี้เจ้าจะเป็นเจ้าสาวของใครอีกไม่ได้แล้วนะฮาน่า”

ฮาน่ากะพริบตาปริบๆ แทบไม่เชื่อหูว่าประโยคเล่าหนี้จะออกมาจากปากของผู้เป็นตา ญาติที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของเธอ ริมฝีปากสีส้มเม้มแน่นอย่างผิดหวัง ท่านตาปกป้องเธอมาโดยตลอด แล้วคราวนี้ทำไมถึงได้ประเคนเธอให้ชายแปลกหน้าผู้นี้ได้ง่ายๆ เพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย

เหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล หญิงสาวมองหน้าผู้นำเผ่าบิดาของเพื่อนรักสลับหับมองหน้าตาของตัวเอง แล้วสุดท้ายสายตาเธอมาหยุดอยู่ที่ตัวปัญหาที่ไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย

ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น มีอะไรที่เธอไม่รู้งั้นหรือ แล้วบุรุษตรงหน้าเป็นใครกันแน่

“เอาล่ะเจ้าลองกลับไปคิดให้ดีนะฮาน่า ทั้งข้าและตาของเจ้าต่างทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเจ้า หากจู่ๆ เขาหายออกไปจากเผ่าเราทั้งที่เพิ่งเกิดเรื่องกับเจ้าชื่อเสียงของเจ้าจะต้องเสียหาย คงไม่มีบ้านไหนกล้าแต่งเจ้าออกไปร่วมสกุลแน่ ไหนๆ หากเรื่องมันจะเป็นเช่นนั้นก็สู้ให้ชายผู้ที่เจ้ามีบุญคุณกับเขารับผิดชอบเจ้าก็แล้วกัน เอาล่ะ ข้าเสียเวลามาแล้ว อัลนีดาเดี๋ยวหลังอาหารเย็น ท่านอย่าลืมเข้าไปพบข้าพร้อมคำตอบของฮาน่าด้วยนะ” บาบาลีเอ่ยจบก็เดินออกจากกระโจมไปโดยไม่รอฟังคำทักท้วงจากหญิงสาวที่ยังคงหน้างอเม้มปากด้วยความคับข้องใจ

อัลนีดามองกิริยาของหลานสาวแล้วลอบถอนหายใจ ดวงตาคนสูงวัยมองเลยไปยังร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้าดีขึ้นมากด้วยแววตาอ่านไม่ออก ริมฝีปากหนาที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงร้อนรนของหญิงวัยกลางคนดังเข้ามาก่อนตัว

“ช่วยด้วย ท่านหมอ ช่วยสามี ถูกพิษ เขา ข้า แมงป่อง ช่วยเขาด้วย” ร่างอวบหอบโยนใบหน้าแดงก่ำ พูดไม่เป็นประโยค
อัลนีดาไม่รอช้ารีบตามออกไปทันทีโดยไม่ลืมสั่งให้ฮาน่าหยิบอุปกรณ์ช่วยเหลือออกมาด้วย

มือบางกวาดเอาของจำเป็นใส่กระเป๋าย่ามของผู้เป็นตาด้วยความรวดเร็วผลุนผันตามออกไปติดๆ แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เธอที่วิ่งตามท่านตาออกมา คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายเองก็ตามเธอออกมาด้วย

“เจ้าตามข้ามาทำไมกัน”

“ข้าตามเจ้าที่ไหน ข้าแค่ตามไปดูสามีของผู้หญิงคนนั้นต่างหากว่าเป็นยังไง แล้วนี่เจ้าลืมเอานี่มาด้วย” มือหนายื่นบางสิ่งออกไปให้หญิงสาว เธอตาโตทันทีที่เห็นก่อนจะรีบจับมันยัดใส่กระเป๋า คิ้วเรียวขมวดด้วยความแปลกใจ

เขารู้ได้อย่างไรว่าของสิ่งนี้ใช้รักษาอาการถูกพิษจากแมลงร้าย น้อยคนนักที่จะรู้ขนาดเตมีเองยังไม่รู้เลยหากเธอไม่บอก แม้แต่เธอเองก็รู้เพราะท่านตาเป็นคนบอกเช่นกัน

แม้จะสงสัยแต่เธอก็เลือกที่จะเก็บไว้ไม่ถามเขา เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาซักไซ้ สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือรีบถึงที่เกิดเหตุและช่วยเหลือคนเจ็บให้เร็วที่สุดมากกว่า

เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุความโกลาหลขนาดย่อมเกิดขึ้นในทันทีเมื่อคนเจ็บมีอาการอาเจียนและน้ำลายฟูมปาก เป็นอาการที่ฮาน่าไม่เคยเห็นจากคนที่ถูกแมงป่องต่อยมาก่อน ร่างบางหันซ้ายหันขวาวางย่ามลงข้างๆ อัลนีดาที่พยายามเอากิ่งไม้ให้แถวนั้นสอดเข้าไปในปากผู้โชคร้ายเพื่อไม่ให้เขาชักแล้วกัดลิ้นตัวเอง

อาการเงอะงะของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มที่ยืนดูเหตุการณ์จำต้องลากเธอออกมาให้ห่างจากผู้เคราะห์ร้ายที่เมียร่างอวบกำลังฟูมฟาย

“นี่ เจ้าจะทำอะไร ข้ากำลังช่วยท่านตาอยู่นะ”

“เจ้าช่วยไปปลอบเมียเขาดีกว่าร้องจนแสบหูไปหมดแล้ว ทางนี้ข้าจัดการเอง” ไม่ว่าเปล่ามือหนาผลักไหล่บางไปยังทางที่หญิงร่างอวบที่กำลังฟูมฟายเสียงดังอยู่ไม่ไกลจากร่างคนเจ็บ

มูซาเข้าไปแทนที่ฮานาด้วยอาการใจเย็น คนถูกเปลี่ยนผู้ช่วยกะทันหันเหลือบสายตาขึ้นมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ต้องการอะไรบอกมาได้เลย” น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยบอก แต่ในความเป็นจริงอัลนีดาแทบจะไม่ต้องบอกเขาเลยว่าต้องการอุปกรณ์ตัวไหน ในเมื่อชายหนุ่มผู้นี้ได้หยิบออกมารอและส่งให้เขาราวกับคนที่คุ้นมือกับเครื่องมือทางการแพทย์เหล่านี้เป็นอย่างดี ที่สำคัญในบางครั้งเขายังช่วยหยิบจับตัวผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธีโดยที่คนเป็นหมอย่างเขาไม่ต้องบอกด้วยซ้ำ

เวลาผ่านไปกว่า 15 นาทีทุกอย่างเริ่มอยู่ในภาวะสงบชายผู้โดนแมงป่องที่มีพิษร้ายแรงกว่าแมงป่องธรรมดาสีหน้าเริ่มดีขึ้น ชีพจรเต้นปกติ อัลนีดาเดาว่าน่าจะแมงป่องสายพันธุ์หายากที่พบอยู่บริเวณใกล้โอเอซิสกัดจึงทำให้มีอาการชักและน้ำลายฟูมปากเพราะพิษที่เข้มข้นของมัน

“เอาล่ะสามีของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ให้กินยานี่ไปจนกว่าแผลที่บวมจะยุบลง แล้วต่อจากนี้ก็ให้เขาระวังด้วย เราย้ายฐานมาอยู่ใกล้โอเอซิส อาจจะพบเจอกับสัตว์ร้ายพวกนี้ได้ง่ายๆ สัตว์พวกนี้ก็ไม่ต่างจากคน ที่ไหนอุดมสมบูรณ์มันก็มาอาศัยอยู่เหมือนกัน”

หญิงวัยกลางคนพยักหน้าค้อมศีรษะขอบคุณทั้ง 3 คนที่ช่วยชีวิตสามีตนเองเอาไว้ก่อนจะเดินไปส่งที่หน้ากระโจมของตนเองหลังจากที่ชายร่างสูงที่มากับอัลนีดาช่วยแบกสามีของหล่อนมาที่กระโจม

“ขอบใจพ่อหนุ่มมากนะ เจ้าคงเป็นชายหนุ่มที่ฮาน่าช่วยเอาไว้สินะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเหล่มองคนถูกกล่าวถึง ไม่ได้ตอบอะไรออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายอยากจะให้เขาตอบว่าอย่างไร

“ข้าว่าท่านรีบกลับไปดูสามีท่านเถอะ ช่วงนี้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ข้ากับท่านตาขอตัวกลับก่อนนะ” หญิงสาวเอ่ยตัดบทเดินนำลิ่วไม่รอใคร อัลนีดาเงยหน้ามองมูซาแล้วออกเดิน

“พ่อหนุ่มเจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงได้มีความรู้เรื่องพวกนี้ได้”

อัลนีดาเอ่ยถามคนข้างกายที่เดินทิ้งระยะจากหลานสาวของเขา ชายสูงวัยมองอีกฝ่ายเป็นจริงเป็นจังเป็นครั้งแรก

“ข้าก็เป็นคนเร่ร่อนที่ถูกทำร้ายแล้วถูกหลานสาวของท่านช่วยเอาไว้ยังไงล่ะ” ท่าทีสบายๆ ของบุรุษตรงหน้าทำให้เท้าที่เดินตามหลังอยู่ชะงัก อีกฝ่ายที่เดินนำก็เหมือนจะรู้จึงได้หยุดเท้าตามก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วอธิบายเพิ่มเติม

“ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง เคยเรียนเล็กๆ น้อยๆ เอาตัวรอดเมื่อสมัยหนุ่มๆ” น้ำเสียงเกียจคร้านของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้อัลนีดาไม่พอใจ แต่เขากลับกำลังใช้สมองไตร่ตรองบางเรื่องอย่างใช้ความคิด

“หากข้าจะขอให้เจ้าอยู่ต่อ แม้ว่าหลานสาวของข้าจะปฏิเสธการแต่งกับเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง” ขาที่ก้าวอยู่ชะงักกึกทันที เมื่อเขาหยุดอัลนีดาก็เป็นฝ่ายหันกลับมาประจันหน้ากับเขา

“แล้วถ้าหากข้าต้องการอยู่โดยที่หลานสาวของท่านต้องตกลงแต่งกับข้าล่ะ” อีกฝ่ายถามขึ้นมาอย่างมีเจตนาจะกวนอีกฝ่ายมากกว่าจะปรารถนาให้มันเป็นเรื่องจริง ผู้อาวุโสกว่าไม่ตอบเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่อยากจะย้อนเขาเท่านั้น

“ข้าไม่ได้พูดเพราะเห็นเป็นเรื่องตลกให้เจ้าเอามาย้อน ข้าหมายความตามที่พูด ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะผู้สืบทอดของข้า”
“เพื่ออะไร”
“ที่นี่ต้องการคนรู้เรื่องการแพทย์”
“นากามีท่านอยู่แล้วนี่ไง”
“ข้าอายุมากแล้ว” เหมือนผู้อาวุโสจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไรต่อจึงรีบดักคอ “ฮาน่าเป็นหญิง มีหลายอย่างที่เธอทำไม่ได้ หากเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะถ่ายทอดวิชาทุกอย่างให้เจ้า พร้อมกับตำแหน่งหมอประจำเผ่านากาของเรา”

มูซามองตาอัลนีดาอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาเห็นในแววตาของผู้ทีใช้ชีวิตมาเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตคือความหวัง ความแน่วแน่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาตอบตกลงในทันที การที่เขาอยู่กับที่มันเสี่ยงที่จะทำให้ถูกตามหาได้ง่าย อีกทั้งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ากลุ่มคนที่ทำร้ายเขาจะยังตามล่าเขาอยู่รึเปล่า

“ข้าขอเวลาคิดดูก่อน มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยกับการที่ข้าจะหลงหลักปักฐาน หากสิ่งนั้นไม่คุ้มค่าพอ” คำพูดเหย่อหยิ่งเป็นต่อของผู้ชายคนนี้ หากเป็นคนอื่นได้ยินคงหมั่นไส้ไปแล้ว แต่อัลนีดากลับเข้าใจทั้งหมด

แต่มีสิ่งหนึ่งที่อัลนีดาต้องบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าการที่เขาคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากถึงขึ้นที่ต้องตริตรองมากในเรื่องนี้ ผู้ที่เป็นทั้งตาและหมอของคนทั้งเผ่าเองอย่างเขาก็ไม่ได้คิดน้อยเลย

“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ของเจ้า และก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ของข้าและชีวิตคนนับร้อยในเผ่านากาที่สำคัญไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับฮาน่าผู้เป็นยิ่งกว่าดวงใจของข้าเช่นกัน!”


ฮาน่าเหวี่ยงกระเป๋าย่ามลงบนที่นอน ปลายผมเปียสะบัดไปมาตามแรงอารมณ์ ใบหน้างอง้ำทันทีที่เห็นท่านตาก้าวเข้ามาในกระโจม ยังดีที่ท่านตาให้เจ้าตัวปัญหาแยกไปพักที่กระโจมพยาบาล ไม่งั้นหากเธอยังต้องกลับมาเห็นหน้าเขาอีก เธออาจจะหน้างอเป็นดาบพระจันทร์เสี้ยวไปแล้ว

“ข้าไม่แต่งกับเขานะเจ้าคะท่านตา ยังไงเราก็จะให้เขาออกจากที่นี่อยู่แล้ว พอเขาหายไปเดี๋ยวเรื่องในก็เงียบไปเอง ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะว่ายังไง”

“พูดพอหรือยัง”

“ท่านตา!” คนถูกปรามหน้างอ

“ถ้าพอแล้วฟังที่ตาพูดบ้าง เราจำเป็นต้องอาศัยเขา วันนี้เจ้าคงเห็นแล้วว่าเขามีความรู้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา”

นี่คือความจริงที่ฮาน่าไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะเธอเองก็เห็นกับตาว่าเขาช่วยเหลืองานท่านตาของเธอได้อย่างคล่องแคล่ว ทำได้ดีกว่าเธอด้วยซ้ำแต่กระนั้นความดื้อรั้นและทิฐิที่มีก็ยังทำให้เธอปากแข็ง

“ข้าก็ช่วยท่านได้เหมือนกันนะเจ้าคะ” หญิงสาวแย้งไม่เต็มเสียง

“ฮาน่า...” ท่านตาเอ่ยชื่อเธออย่างอ่อนใจ นั่นเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่าเธอไม่ควรต่อเถียงอะไรด้วยอีก

“เจ้าคงยังไม่รู้ เมื่อเช้าตาเข้าประชุมกับบาบาลีและผู้เฒ่าอีกหลายคน ตอนนี้เผ่านากาของเรากำลังโตขึ้นเรื่อยๆ ครอบครัวของพวกเราขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เด็กเกิดใหม่กันปีละหลายคนเราจำเป็นต้องปักหลักที่ใดที่หนึ่ง และจำเป็นต้องมีคนเก่งๆ เพื่อความเข้มแข็งของเผ่าในอนาคต พวกเราจะเลิกเร่ร่อน ตอนนี้ทุกอย่างดำเนินการไปได้ในหลายส่วนแล้ว หากสังเกตเจ้าจะเห็นว่าช่วงนี้เตมีออกฝึกล่าสัตว์กับคนหนุ่มบ่อยครั้ง นั่นเพราะเราต้องการฝึกกำลังไว้คอยป้องกัน ด้านอื่นๆ ก็ค่อยๆ เริ่มกันไปหมดแล้ว จะมีก็แต่เราเท่านั้นที่ยังขาดกำลังคน เจ้าเองน่าจะเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้หากจะสอนคนมันต้องใช้เวลา มันไม่ง่ายเหมือนฝึกทหาร หรือสอนการเรือน การเพาะปลูก”

“หากเราไม่ไล่เขาไปยอมให้เขาอยู่ที่เผ่าของเราแต่ข้าขอไม่แต่งกับเขาแบบนี้ไม่ได้หรือท่านตา”

“ฮาน่า บางครั้งเราจำเป็นต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม ตาลำบากใจที่จะพูดเรื่องนี้กับเจ้า แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เดาใจยาก เราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่จะไปเมื่อไหร่ แต่หากเราทำให้เขามีเหตุผลในการอยู่มันจะดีกว่า มันจะเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่ทิ้งพวกเรา ซึ่งเหตุผลนั้นก็คือเจ้า เจ้าต้องทำให้เขาเห็นเจ้าเป็นเหตุผลที่ไปจากที่นี่ไม่ได้”

“ข้าน่ะหรือจะเป็นเหตุผลที่เขาจะไม่ทิ้งเรา ชีวิตทั้งชีวิตของหลานกลายมาเป็นหลักประกันไปแล้วหรือท่านตา” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้เฒ่ายิ่งลำบากใจ ฮาน่าจะแทนตัวเองว่าหลานในเวลาที่ต้องการเน้นย้ำสายสัมพันธ์ มาจนถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องอ้อมค้อมอีก

“หลานเองน่าจะรู้ว่าการสืบทอดตำแหน่งต่างๆ ในเผ่าของเรา หากไม่ใช่คนในครบครัวมันยากนักที่จะได้รับการยอมรับและเชื่อใจจากคนในเผ่า”

“ท่านก็เลยจำเป็นต้องให้เขาเข้ามาเป็นหลานเขยอย่างนั้นรึ” ฮาน่าประชดเสียงขื่น

(ต่อ)

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว 20 แล้วใช่หรือไม่ ต่อให้ไม่ใช่เขา อีกไม่นานเจ้าก็จำเป็นต้องมีครอบครัว แล้วทำไมถึงไม่เป็นเขาล่ะ คนที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่เผ่านากาของเรา”

“ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้ว ข้าจะอยู่กับท่านตา ทำไมท่านไม่ฟังข้าเลย” หญิงสาวขึ้นเสียงทันทีที่ถูกย้ำเรื่องการแต่งงาน

“เจ้าจะอยู่กับตาไปตลอดไม่ได้ สักวันตาก็ต้องตาย หากตาตายแล้วเจ้าจะอยู่อย่างไร อยากให้ตาห่วงเจ้าจนวิญญาณไม่ไปไหนรึไง ฮาน่าเจ้าอย่าดื้อรั้นให้มันมากนัก ทุกอย่างที่ตาทำก็เพราะรักและห่วงเจ้าทั้งนั้น” อัลนีดาเอ่ยอย่างเหลืออดให้กับความดื้อรั้นของหลานสาวเพียงคนเดียว

“ในขณะเดียวกันเขาก็จะไม่ทรยศเผ่าเราด้วยเหมือนกัน ทุกคนใช้ข้าเป็นหลักประกันให้เขาอยู่กับเราทำเพื่อชาวนากาด้วยเหมือนกัน หลานจะต่างอะไรกับหมากตัวหนึ่งเล่า” เสียงสะอื้นเอ่ยอย่างขื่นขมแม้คำพูดท่านตาจะบอกว่ารักและห่วงเธอ แต่มันก็มาพร้อมกับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน

น้ำตาที่ไม่ได้ไหลมาหลายปีหลังจากที่ร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่ออินทรีย์ที่เก็บมาเลี้ยงได้ตายไปค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาสีเทาเข้ม หญิงสาวพยายามจะทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของเผ่า ความจำเป็นของท่านตา แต่การใช้เธอเป็นตัวล่อให้เขาติดกับผูกพันอยู่กับเธอเพื่อให้ชายหนุ่มอยู่ที่นากาไปตลอดนั้นมันทำให้ฮาน่าปวดใจ

“ทำไมต้องเป็นหลาน ทำไม สตรีในเผ่าเรามีตั้งมากมาย ทั้งสาวทั้งสวยและมีเสน่ห์กว่าหลาน ทำไมต้องเป็นฮาน่า พวกท่านเชื่อได้อย่างไรว่าข้าจะรั้งเขาได้”

“เพราะเจ้าเป็นคนพาเขามาที่นี่อย่างไรล่ะ เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเขา แล้วเขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ทรยศหักหลังผู้มีพระคุณ” อัลนีดาตอบเสียงเรียบ และสายตาที่เขามองเจ้ามันซ่อนความเป็นนักล่าเอาไว้อย่างไรล่ะหลานรัก ผู้อาวุโสที่ผ่านอะไรมามากมายเลือกที่จะเก็บเหตุผลสุดท้ายไว้ในใจ


ฮาน่านอนตะแคงหันหลังให้กับท่านตาที่คงจะหลับไปนานแล้วหลังกลับจากประชุมสำคัญเมื่อเย็นที่ผ่านมา ท่านตาก็ไม่ได้พูดเรื่องชายหนุ่มคนนั้นกับเธออีกเลย แต่ถึงท่านจะไม่พูดเธอก็รู้ดีว่าคำตอบที่ท่านตานำไปบอกบาบาลีนั้นเป็นอย่างไร น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกมาด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้

รู้อย่างนี้ข้าเชื่อเตมีตั้งแต่แรกเสียก็ดี ข้าไม่น่าช่วยเจ้าเลย คนบ้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรกัน ทำไมมันถึงได้เป็นอย่างนี้ไปได้ ฮือ ข้าเกลียดเจ้า

ร่างบางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ จนผล็อยหลับไปในที่สุด เธอก็ได้แค่หวังว่าเรื่องราวในวันนี้จะเป็นเพียงฝันร้ายที่พอตื่นขึ้นมาก็หายไป

ด้านคนที่ถูกจัดว่าเป็นตัวปัญหาของหญิงสาวกลับนอนลืมตาในความมืด พยายามหาเหตุผลให้กับคำตอบที่ตนเองได้ให้อัลนีดาไปเมื่อตอนเย็นที่แวะมาเอาคำตอบก่อนเข้าประชุมกับหัวหน้าเผ่านากา

คำตอบตกลงที่ทำให้ตัวเองต้องเก็บมาคิดจนถึงตอนนี้มันมีสาเหตุมาจากสิ่งใด มันมาจากเขารู้ว่าหญิงสาวจอมดื้อรั้นคนนั้นยินยอมตกลงด้วยหรือเพราะประโยคที่ว่าต่อให้ไม่ใช่กับเขานางก็ต้องแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี

“แล้วเหตุใดข้าจึงจะไม่ยินดีหากข้าจะเลือกเจ้าเป็นหลานเขย ในเมื่อเจ้าสามารถสืบทอดตำแหน่งต่อจากข้าได้” นี่คือเหตุผลที่เขาได้จากอัลนีดาเมื่อเขาถามกลับว่าเหตุใดชายคนนั้นต้องเป็นเขาด้วย

“ข้าคิดถูกหรือเปล่าที่เลือกจะอยู่ใกล้ปลายจมูกของพี่” มือใหญ่ยกขึ้นมาก่ายหน้าผากอย่างครุ่นคิดเมื่อนึกถึงบุคคลที่อยู่ในใจเขาเสมอมา เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้องค์รัชทายาทแห่งอาซาลายังคงตามหาเขาอยู่หรือไม่ หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาพบคนของพระองค์ที่นิวยอร์ก แต่หากคิดอีกทีพระองค์อาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่าเขาอยู่ใกล้พระองค์เพียงปลายจมูก บางทีการตัดสินใจครั้งนี้ของเขาอาจเป็นหยุดการเดินทางอันยาวนานตลอด 5 ปีลงก็ได้

การต้องผูกติดกับเด็กสาวที่มีแววจะเติบโตมาอย่างสวยงามก็คงไม่เลวร้ายสักเท่าไหร่หรอกมั้ง…

เมื่อมูซาคิดได้ดังนั้นความกังวลสับสนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำก็มลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขามาก่อน

ร่างสูงหรี่ตามองคนร่างเล็กที่มายืนรอเขาที่หน้ากระโจมพยาบาลแต่เช้า สีหน้าหญิงสาวดูไม่ดีนัก ตาปูดบวมแดงช้ำใต้ตาคล้ำเหมือนคนนอนร้องไห้มาทั้งคืน

“ไม่คิดว่าจะเจ้าจะเป็นห่วงข้ามากขนาดนี้” ดูเหมือนคำทักทายของเขาจะฟังไม่ค่อยเข้าหูนางเท่าไหร่ เพราะตาบูดๆ ของนางตวัดมองเขาเหมือนโกรธกันมาสักสิบชาติ

นอกจากจะไม่ตอบคำถามคนร่างยักษ์ในทันทีแล้ว นางยังเดินดุ่มๆ นำหน้าเขาไปอีกทางพูดไม่จาอันใด แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะไม่เข้าใจ ดังนั้นขายาวๆ ของเขาจึงก้าวตามเธอมาโดยรักษาระยะห่างพอสมควร

ฮาน่าพาชายหนุ่มตัวปัญหามาที่แปลงผักของตัวเอง เพราะแน่ใจว่าที่นี่จะไม่มีผู้คนมาเพ่นพ่านหรือเดินผ่านมาได้ยินเธอสนทนากับเขาแน่นอน

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้รู้เรื่องการแพทย์ดีนัก” เมื่อร่างบางหยุดเดินแล้วหันกลับมาตั้งคำถามกับเขา ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยกคิ้วซ้ายที่หางคิ้วยังคงมีรอยเย็บขึ้นมาเหมือนคิดไม่ถึงว่าเธอเพิ่งจะมาถามคำถามนี้เอาตอนนี้

ท่าทางกวนประสาทและไม่ยี่หระต่อคำถามของตนเองทำให้ฮาน่านึกฉุนอยู่ในใจ ยิ่งตอกย้ำว่าเธอคิดผิดเพียงใดที่ใจอ่อนขี้สงสารเก็บเขามารักษาเพื่อให้มาเป็นตัวปัญหากับตัวเองอย่างนี้

“เจ้ายังสนใจอยู่อีกเหรอว่าข้าเป็นใครมาจากไหน”

“เจ้าอย่ามายอกย้อนข้านะ เจ้าแค่ตอบคำถามของข้ามาก็พอ”

“แล้วถ้าข้าไม่บอกล่ะ เจ้าจะทำไม”

“เจ้านี่มัน! ข้า ข้าก็จะ...” นั่นสิจะทำอะไรเขาเธอเองก็ไม่ได้คิดเอาไว้เหมือนกัน

“ตอนเจ้าคิดช่วยเหลือข้า เจ้าเองก็ไม่ได้สนใจไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นใครมาจากไหน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะนำความเดือดร้อนมาให้เจ้ารึเปล่า มาถึงตอนนี้เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม ไม่ว่าข้าจะเป็นใครฐานะใหม่ที่ข้าจะได้รับก็คือคู่ครองของเจ้า และการเป็นลูกศิษย์ของอัลนีดาท่านตาของเจ้าไม่ใช่หรือ” มูซาเอียงคอพูดกับนางด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

“ถ้าข้ารู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ข้าจะทิ้งเจ้าไว้กลางทะเลทรายร้อนระอุนั่น” ร่างบางเอ่ยพาล อีกฝ่ายกลับทำเพียงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายกับกริยาที่ดูเป็นเด็ก

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ และข้าก็ขอบใจที่เจ้าช่วยเหลือชีวิตข้าเอาไว้ หากเจ้าจะนึกเสียใจทีหลังที่ช่วยข้า ข้าก็ไม่ว่าอะไร มันสิทธิ์ของเจ้า แต่เอาเป็นว่าข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้”

“งั้นเจ้ารับปากตกลงกับท่านตาทำไม”

“ก็ในเมื่อท่านตาของเจ้าทวงบุญคุณขึ้นมา ข้าเองไม่ใช่คนที่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร หากไม่ใช่เรื่องที่มันเหลือบ่ากว่าแรงข้าก็ทำให้ได้น่ะสิ เจ้าเองก็อย่าคิดอะไรแบบเด็กๆ นักเลย ถือสะว่าทำเพื่อส่วนรวม หากเจ้าไม่สบายใจกับการเป็นเมียของข้า เพราะเจ้ามีคนที่หมายตาเอาไว้แล้วข้าก็จะไปปฏิเสธงานนี้ให้”

“ข้าไม่ได้หมายตาใคร” เสียงหวานแหวขึ้นทันที “แล้วอย่ามาเรียกข้าอย่างนั้นอีกนะ”

ดวงตาสีน้ำตาลทองพราวระยับเหมือนพบของเล่นถูกใจ ริมฝีบางหยักยิ้มมุมปาก “คำว่าเมียของข้าน่ะหรือ คงจะยาก จริงๆ เจ้าควรจะดีใจด้วยซ้ำเพราะมีหญิงสาวไม่น้อยเลยที่อยากจะให้ข้าใช้คำนั้นกับพวกนาง”

“แต่ไม่ใช่ข้า ยังไงข้าก็ไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ เจ้าควรจะบอกปัดไปด้วยเหมือนกัน”

“นี่ยากยิ่งกว่าอีก ทั้งหัวหน้าเผ่าของเจ้าและตาของเจ้าคงไม่ยอมแน่ๆ ข้าสงสัยนักเชียวในเมื่อเจ้าบอกเองว่าไม่ได้คบหาใครอยู่ งั้นอะไรคือปัญหาที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เอ...หรือกลัวจะหลงรักข้าเข้าจริงๆ”

“ไม่ใช่!” หญิงสาวตวาดเสียงเขียวใส่ชายหนุ่มที่เอาแต่พูดเล่นไม่หยุด “ข้าแค่ไม่พร้อม”

“แล้วเจ้าจะเอายังไง”

“ข้าอยากตกลงกับเจ้า ถึงเจ้าจะต้องเข้าพิธีกับข้า แต่มันคือการแต่งที่เกิดเพราะผลประโยชน์ ดังนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะ เอ่อ ทำอะไรไม่ดีกับข้า”

หญิงสาวที่เพิ่งผ่านวัยสาวมาได้ไม่นานรู้สึกกระดากปากทีจะพูดเรื่องเหล่านี้ ขณะที่เอ่ยจึงเผลอก้มหน้าลงต่ำโดยไม่รู้ตัว

ฮาน่าแว่วเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะ จึงเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงตรงหน้า เห็นแววตาขำขันของเขาแล้วใบหน้าเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความอายระคนโกรธ

“นี่หรือคือสิ่งที่เจ้ากังวล เจ้าเชื่อเถอะมันไม่ได้เลวร้ายหรือไม่ดีอย่างที่เจ้าคิดเหรอน่า” เมื่อเห็นดวงตาวาววับที่จ้องมาราวกับจะปาลูกดอกใส่ปากเขา มูซาจึงได้หยุดล้อเลียนอีกฝ่าย

“เจ้าเป็นผู้ชายเจ้าไม่เข้าใจหรอก อย่างน้อยข้าก็ต้องการเก็บสิ่งสำคัญไว้ให้คนที่ข้ารัก” สายตาที่สื่อออกมากับท้ายประโยคที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเจือความเคอะเขินทำให้ดวงตาสีน้ำตาลทองวาบแสงขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว มือที่ยกขึ้นมากอดอกมองร่างบอบบางตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

“ตกลง เอาอย่างนี้แล้วกันข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าหากเจ้าไม่เต็มใจ อย่างนี้เจ้าพอใจหรือยัง” ข้อตกลงที่เหมือนจะดีในตอนต้น แต่มาแตกแถวเอาตอนท้ายทำให้ฮาน่าหมดความอดทนปรี่เข้าไปกระชากสาบเสื้อคนตัวใหญ่ พร้อมขู่อาฆาตด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าน่ากลัวที่สุดในชีวิแต่คนฟังกลับไม่ระคายหูแม้แต่นิดเดียว นัยน์ตาสีเทาเข้มวาววับอย่างถือดีที่สุดประกาศก้องในสิ่งที่ผู้ฟังอย่างมูซารู้ดีว่ามีทางทำได้

“ต่อให้ข้าเต็มใจเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรข้า รู้ไว้ซะด้วย!”

ชายชาตรีวัยเกือบสามสิบที่แข็งแรงดีอย่างมูซาได้แต่นึกขำอยู่ในใจว่าสิ่งที่ฮาน่าขอช่างเป็นอะไรที่ยากเสียเหลือเกิน เนื้อเข้าปากเสือขนาดนี้ หากคายออกมาก็คงหนี้ไม่พ้นถูกหาว่าโง่เง่าเป็นแน่



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2557, 17:58:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.พ. 2557, 14:40:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1409





<< บทที่ 2 ไม่น่าช่วยเจ้าเลยจริงๆ   บทที่ 4 ผู้หญิงเข้าใจยาก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account