กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 7

หลังกลับจากเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำ โยธินและพิมพ์นาราขออนุมัติทดลองโครงการลดการสูญเสียน้ำหนักของซากสุกรโดยนำเสนอรายงานในที่ประชุม มีรายละเอียดให้ผู้รับเหมาดำเนินการติดตั้งหัวพ่นหมอกเพื่อสเปรย์น้ำเป็นละอองฝอยให้ทดลองใช้งาน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นเวลาสองเดือน

หากได้ผลการทดลองตามเป้าหมายทางบริษัทจะดำเนินการติดตั้งจริงและจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมาตามราคาที่ตกลงกันไว้ ทุกคนในที่ประชุมเห็นพ้องกันกับเงื่อนไขนี้ ประธานบริหารของบริษัทจึงอนุมัติให้ทำการทดลอง

เมื่อการประชุมจบลง ผู้รับเหมาได้เข้ามาดำเนินการติดตั้งทันที จนล่วงเข้าวันที่สามจึงเกือบเสร็จสมบรูณ์ภายใต้การดูแลควบคุมงานของโยธินและพิมพ์นารา

“รายงานเสร็จหรือยัง…ยายพิมพ์เขียว” โยธินเอ่ยถาม เมื่อเดินมาที่โต๊ะทำงานของพิมพ์นารา

“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ ลุงมีอะไรให้รับใช้คะ” เธอย่นจมูกใส่คนตรงหน้า

“พี่คุยกับหัวหน้าผู้รับเหมา เขาบอกว่า ภายในวันนี้งานติดตั้งจะเสร็จสมบรูณ์ เราต้องอยู่ดูผลการทดลองในกระบวนการผลิต เพราะจะ
เปิดระบบใช้งานครั้งแรกเพื่อดูความเรียบร้อย”

“รอสักครู่นะคะ…เหลืออีกสองย่อหน้าค่ะ” เธอตอบรับพลางขยับนิ้วเคาะแป้นพิมพ์ให้เร็วขึ้น

“ไงจ๊ะ…งานโครงการจะเริ่มทดลองได้แล้ว เก่งจริงๆ นะคู่นี้ มีอะไรให้พี่ช่วยบอกมาได้นะ” เอิงเดินมาสมทบที่โต๊ะของพิมพ์นารา

“แหม…พี่เอิงไม่ได้ไปเข้าค่ายด้วย เลยไม่รู้ว่าคู่นี้ เขาเป็นคู่ขวัญแห่งปีนะคะ จะไม่เก่งได้ยังไงขนาดตะลุยฐานกิจกรรมยังคว้ารางวัลชนะเลิศ” ธารธาราเอ่ยแซวแล้วเดินมาล้อมวงเพื่อร่วมสนทนาพร้อมกับเตมินทร์

“น้ำก็พูดเกินไป พี่ไม่เก่งเท่าเพื่อนของน้ำหรอก” โยธินลากเสียงสูงท้ายประโยคพลางชำเลืองมองอีกฝ่าย

“ก็แน่อยู่แล้ว ลุงควรจะยอมรับตั้งนานแล้วนะคะ” เธอประชดกลับ หลังจากส่งสายตาเขียวค้อนมาวงใหญ่เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ยืนมองอาการแง่งอนของทั้งคู่

“วันพรุ่งนี้ มีงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร และจัดแสดงสินค้าอาหารจำนวนมาก บริษัทเราก็ไปเปิดบูธขายของด้วยนะ ทางฝ่ายขายแจ้งให้พวกเราไปร่วมงานด้วย พี่ถามน้ำกับเตแล้ว…สองคนนี้เขาว่างไปได้ พิมกับโยไปด้วยกันไหม จะได้จองที่นั่งในรถตู้บริษัทให้ด้วยเลย” เอิงเอ่ยถาม

โยธินจ้องมองคนถามแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมา

“ไม่น่าติดอะไรนะครับ เพราะงานทดลองติดตั้งหัวพ่นหมอกเพื่อสเปรย์น้ำคงเสร็จเรียบร้อยวันนี้”

“สรุปแล้ว พิมกับพี่โยจองที่นั่งด้วยเลย ขอบคุณพี่เอิงมากนะคะ” พิมพ์นาราส่งยิ้มหวานให้เอิงที่กำลังพยักหน้าตอบรับคนทั้งคู่

“ทำอะไรกันอยู่คะ แผนกผลิตและแผนกการตลาด”

พิมพ์นาราหันไปตามเสียงที่เอ่ยถาม เธอเห็นนันทนาเดินมาพร้อมกับหญิงสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างสูงเพรียวผิวสีน้ำผึ้ง ในชุดเสื้อกระโปรงขาวท่อนบนและท่อนล่างเชื่อมต่อกัน เข้ารูปเน้นสัดส่วนของร่างกายให้ชวนมอง

“กำลังคุยเรื่องงานโครงการของโยกับพิมอยู่น่ะ แล้วนี่…นันพาใครมาด้วยจ๊ะ” เอิงตอบพลางมองหญิงสาวอีกคนที่เดินเข้ามาใกล้

“ขอแนะนำ…น้องหญิงดาว เจ้าหน้าที่บุคคลน้องใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงานวันนี้ วันแรกค่ะ”

พิมพ์นาราเพ่งมองคนพนักงานใหม่ที่ยิ้มตอบ พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สวัสดีทุกคนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะจับสายตาไว้ที่โยธินอยู่นาน ตามมาด้วยเสียงของนันทนาแนะนำแต่ละคนให้น้องใหม่รู้จัก เพื่อความสะดวกในการติดต่อประสานงาน เธอสังเกตเห็นท่าทางของหญิงดาว พยายามจดจำรายชื่อเพื่อนร่วมงาน โดยเอ่ยทวนชื่อของแต่ละคนทุกครั้งที่มีการแนะนำ

แววตาของน้องใหม่เป็นประกายแพรวพราว ที่ดูรู้ว่าตั้งใจฟังมากขึ้น เมื่อแนะนำมาถึงโยธินพร้อมฉีกยิ้มกว้าง มองชายหนุ่มอย่างไม่วางตา

เธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับสายตาคู่นั้น ก่อนจะบอกกับตัวเองว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงหลายคนที่ได้พบเจอ ‘คุณลุงใจร้าย’ ในครั้งแรก…

หลังจากทำความรู้จักกับหญิงดาวแล้ว โยธินและพิมพ์นาราจึงขอตัวเข้าไปดูงานติดตั้งหัวพ่นหมอกเพื่อสเปรย์น้ำในกระบวนการผลิต



“พี่นันคะ พี่โยธินทำงานที่นี่มานานแล้วใช่ไหม” หญิงดาวเอ่ยถาม หลังจากเดินแนะนำตัวจนครบทุกแผนก

“ใช่แล้วจ๊ะ น่าจะห้าถึงหกปีราวๆนี้นะ ว่าแต่...ทำไมถามถึงแต่พี่โยล่ะ อย่าบอกนะว่า น้องหญิงดาวแอบปลื้มพี่เขาอยู่…” นันทนาหรี่ตามองสาวผิวสีน้ำผึ้งข้างกาย

“พี่เขามีแฟนหรือยังคะ” เธอไม่สนใจตอบอีกฝ่าย กลับตั้งคำถามใหม่ขึ้นอีกครั้ง

“ยังไม่มีจ๊ะ”

หญิงดาวยิ้มพรายพลางกลอกตาที่เขียนขอบสีดำเข้ม เฉี่ยวคมแบบสาวเปรี้ยวไปมาอย่างครุ่นคิด

“แต่…น่าจะกำลังดูๆใจกันอยู่กับพิมพ์นารา” เสียงของนันทนาทำให้เธอตวัดสายตามองผู้พูด เรียวปากมันวาวเคลือบสีชมพูอ่อน หุบยิ้มลงทันที

“พิมพ์นารา…” เธอทวนชื่อนี้พลางขมวดคิ้วมุ่น

“ใช่ค่ะ…เขาสนิทกันมาก ตั้งแต่ร่วมทีมทำกิจกรรมตอนเข้าค่ายสร้างสภาวะผู้นำ เมื่อเดือนก่อน…ยิ่งตอนให้เลือกคู่เต้นรำรอบกองไฟ พี่โยก็เดินมาเลือกพิมเป็นคู่เต้นรำเปิดงานด้วย อย่างนี้จะไม่ให้ทั้งบริษัทลือกันได้ยังไงคะ ว่าเขากำลังจีบกันอยู่”

“พี่พิม…เขาทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วคะ” หญิงดาวมองอีกฝ่ายแววตาร้อนรน

“เพิ่งเข้ามาเมื่อสี่เดือนก่อนเอง ก็น่าแปลกเหมือนกันนะ ปกติพี่โยทำแต่งานไม่เคยมองใครมาก่อน ขนาดสาวๆในบริษัทที่เคยตามจีบ ยังท้อใจถอยทัพไปกันหมด”

“ถ้าหญิงดาวจะจีบพี่โย…พี่นันจะช่วยแนะนำได้ไหมคะ” ดวงตาคู่เฉี่ยวมองไปที่นันทนาอย่างท้าทาย

คนถูกถามยืนตะลึง มองอีกฝ่ายด้วยแววคาดไม่ถึงกับคำถามที่ได้ยิน

“ว่าไงคะ…หรือว่าพี่นันไม่เต็มใจช่วย” เธอขึงตามองคนตรงหน้า

“เต็มใจค่ะ…เต็มใจ โถ ! ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ หัวหน้าพี่ฝากน้องหญิงดาวให้พี่คอยดูแลขนาดนี้แล้ว ถือว่าเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำ”

นันทนารีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เธอไม่กล้าขัดความต้องการของผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่รับทราบข้อมูลจากหัวหน้าว่า เจ้าหน้าที่บุคคลน้องใหม่คือ ลูกสาวประธานบริหารของบริษัทในเครือเดียวกัน หลังจากเรียนจบด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปี ผู้เป็นพ่อจึงนำลูกสาวมาฝากไว้กับเพื่อนสนิทคือ คุณอเนก ประธานบริหารของบริษัทนี้เพื่อหาประสบการณ์ทำงาน

“หญิงดาวก็ดีใจค่ะ…ที่มีพี่เลี้ยงแบบพี่นัน” เธอหันมายิ้มตอบด้วยแววตาแพรวพราว




หัวพ่นหมอกราวยี่สิบอัน ทำจากวัสดุสแตนเลสทรงกระบอก มีรูตรงกลางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ศูนย์จุดห้า ไมโครมิเตอร์ ต่อกับท่อน้ำสแตนเลสบนราวแขวนซากสุกร น้ำที่ไหลผ่านหัวพ่นหมอกจะถูกผลักจากปั๊มน้ำแรงดันสูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบบาร์ อัดผ่านรูขนาดเล็กเท่าปลายเข็ม กระจายตัวตกลงมาเป็นฝอยราวกับละอองหมอก

เมื่อติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆเสร็จแล้ว โยธินสั่งให้ผู้รับเหมาเปิดน้ำทดลองการใช้งานครั้งแรก ส่วนพิมพ์นาราที่ยืนอยู่เคียงข้าง กำลังตั้งค่ากล้องถ่ายรูปให้เป็นระบบถ่ายวีดีโอ เพื่อบันทึกภาพไปนำเสนอในวาระการประชุมครั้งถัดไป

พิมพ์นาราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จับจ้องราวแขวนซากสุกรอย่างตั้งใจ เสียงปั๊มน้ำแรงดันสูงทำงานเป็นจังหวะเดียวกับเสียงเต้นของหัวใจเธอ สักครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนจังหวะเร็วขึ้น ดังกระหึ่มจนหัวพ่นหมอกที่ติดตั้งอยู่บนราวสแตนเลสสั่นสะเทือน

แล้วโดยไม่คาดคิด…ข้อต่อของท่อน้ำท่อนหนึ่ง พุ่งกระเด็นดิ่งลงมาด้านล่าง ตำแหน่งเดียวกับที่หญิงสาวยืนจ้องมองอยู่ เธอเบิกตากว้างขึ้น คาดไม่ถึงกับสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสหนักๆ พุ่งเข้ามาโอบร่างตนเองไว้แน่น

ข้อต่อของท่อน้ำสแสตนเลสกระเด็นตกลงมา เฉียดแผ่นหลังของโยธินแล้วหล่นลงพื้น ตามแรงดันน้ำซึ่งไหลทิ้งตัวพุ่งตามมา ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ ที่ใช้เป็นเกาะกำบังอันตรายให้พิมพ์นารา เปียกชุ่มไปทั่วตัว

ชายหนุ่มตะโกนสั่งผู้รับเหมาให้ปิดปั๊มน้ำ เมื่อน้ำหยุดไหล เขาจึงคลายอ้อมแขนที่โอบกอดเธอ

“เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงเป็นห่วงของโยธิน เรียกสติหญิงสาวให้กลับคืนจากอาการตกใจ เธอหันมองร่างสูงสง่าเปียกปอนด้วยแววตื่นตระหนก

“พิมไม่เป็นไรค่ะ แต่…ลุงเปียกไปทั้งตัว อุณหภูมิในห้องนี้ต่ำมากด้วย ออกไปเปลี่ยนเสื้อก่อนไหม” เธอกวาดตาสำรวจเขาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ให้เขาแก้ไขจุดบกพร่องให้ได้ก่อน ข้อต่อของท่อสแตนเลสคงหลวม พอเจอแรงดันน้ำสูงเลยรับไม่ไหว ต้องให้ช่างเขาย้ำข้อต่อทุกจุดให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางเดินไปหาช่างติดตั้งสามคนที่ยืนอยู่บริเวณปั๊มน้ำ

นายช่างทุกคนปีนป่ายบันไดที่นำมาวางตั้งอีกครั้ง เพื่อไขน๊อตย้ำรอยต่อของท่อน้ำอย่างขะมักเขม้น หลังจากตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมด จนแน่ใจว่าพร้อมใช้งานจึงเปิดน้ำเพื่อทดสอบระบบ

เสียงปั๊มน้ำกลับมาดังเป็นจังหวะอีกครั้ง หัวพ่นหมอกสั่นไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสงบนิ่ง พ่นละอองน้ำเป็นฝอยขนาดเล็ก ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณราวสแตนเลสซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าปราศจากซากสุกร เพราะรอการติดตั้งงานโครงการให้เสร็จสมบรูณ์ ทำให้บรรยากาศในห้องชิลศูนย์คล้ายอยู่ในทะเลหมอก

พิมพ์นาราคว้ากล้องถ่ายรูปขึ้นมาบันทึกภาพไว้ แล้วหันไปส่งยิ้มให้โยธิน เมื่อสิ่งที่ร่วมทำกันมาสำเร็จปรากฏเป็นภาพน่าประทับใจ เขาตรวจสอบความเรียบร้อยโดยรอบบริเวณงานติดตั้งอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหาช่างและผู้รับเหมาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

หญิงสาวมองตามร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินตรวจงานอย่างทุ่มเท ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ผ่านความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามา

ครั้งหนึ่ง…เธอเคยมองผู้ชายคนนี้ด้วยทัศนคติติดลบจากอาการยียวนกวนประสาทของเขา

แต่วันนี้…ภาพที่พิมพ์นาราเห็นกลับเปลี่ยนไป มันคือความอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้มองเขา

จนบางครั้ง…ความหวั่นไหวเข้าเกาะกุมจิตใจ เมื่อนึกถึงวันที่ทำงานครบหนึ่งปีและต้องจากลากันไป

ในวันนั้น…ถ้ามองไม่เห็นโยธินอีกแล้ว…เธอจะรู้สึกเช่นไร



พิมพ์นาราจ้องมองกลีบดอกปทุมมาสีน้ำตาลเข้ม แห้งเหี่ยวลงตามกาลเวลา แต่ยังคงสภาพความงามไว้ให้ชวนมองจากการดูแลเป็นอย่างดี เธอมองช่อดอกไม้ตรงหน้าแต่ในใจกลับคิดถึงคนที่ให้มา วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความผูกพันก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โยธินถือวิสาสะเข้ามา เดินเล่น นั่งเล่น วนเวียนอยู่ในหัวใจเธอ รู้ตัวอีกทีก็มองเห็นเขาทุกวัน

“ทำอะไรอยู่หรือลูก แม่เห็นไฟห้องนอนเปิดอยู่เลยแวะเข้ามาหา” นาราวดียืนมองลูกสาวที่กำลังเหม่อมองช่อดอกไม้ในมือจนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู ผู้เป็นแม่เลยตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา

“…พิมกำลังดูดอกปทุมมาอยู่ค่ะ”

“ดอกปทุมมาหรือจ๊ะ…แม่ว่ามันแห้งขนาดนี้แล้วยังเก็บไว้อีกหรือลูก” นาราวดีเพ่งพินิจช่อดอกไม้

“พิมได้มาตอนไปเข้าค่ายอบรมน่ะค่ะ ที่โน่น เขาปลูกไว้สวยมาก”

“แสดงว่าลูกของแม่ ชอบเจ้าดอกไม้นี่แล้วละสิ”

พิมพ์นารารู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้า เมื่อได้ยินคำถามนี้

“…ค่ะแม่” เธอตอบพลางหลบสายตา หันไปวางช่อดอกไม้ไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง

“ถ้าอย่างนั้น แม่จะซื้อมาปลูกไว้รอบๆ บริเวณบ้านดีไหมจ๊ะ”

“ดีจังเลย…ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มกว้างพลางโอบกอดรอบเอวแม่

“ดึกมากแล้ว เข้านอนดีกว่านะ” นาราวดีกล่าวพลางลูบเรือนผมยาวสลวยของลูกสาว

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” พิมพ์นารายืดตัวขึ้นหอมแก้มแม่ ก่อนจะซุกกายลงนอนในผ้าห่ม

ผู้เป็นแม่หัวเราะเบาๆกับอาการบอกรักของลูกพลางเอื้อมมือปิดไฟและเดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง




พนักงานที่ลงชื่อเข้าร่วมชมงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร กำลังยืนรอรถตู้ของบริษัท บริเวณด้านหน้าประตูทางออก ในวันนี้มีตัวแทนจากหลายแผนกไปร่วมงาน ทำให้ที่นั่งบนรถตู้ถูกจับจองจนครบ ระหว่างรอเดินทางพิมพ์นารายืนสนทนากับโยธิน เรื่องการติดตามผลการทดลองของงานโครงการ

ชายหนุ่มกล่าวถึงงานแสดงในวันนี้ว่า มีประโยชน์สำหรับความรู้เรื่องเทคโนโลยีเครื่องจักรอุตสาหกรรมแบบใหม่ สามารถนำมาพัฒนากระบวนการผลิตอาหารในบริษัทได้ เช่นเดียวกับข้อมูลบางส่วนที่ใช้ออกแบบการทดลองในงานโครงการนี้ ได้มาจากการเดิมชมงานแสดงดังกล่าวในปีที่ผ่านมา

“พี่โย…นันมีเรื่องขอความช่วยเหลือค่ะ” เสียงของนันทนาไม่เพียงทำให้โยธินและพิมพ์นาราหยุดการสนทนาลงยังทำให้เอิงกับธารธาราและเตมินทร์ ที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ หันมามองผู้ที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้า

“มีอะไรให้พี่ช่วยครับ” เขามองคนถามและเลยไปยังหญิงดาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“คือ…นันจะพาน้องหญิงดาวไปชมงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร แต่คาดว่ารถตู้บริษัทคงเต็มแล้วต้องขับรถไปกันเอง นันกลัวขับไปไม่ถูก อยากจะขอให้พี่โยช่วยพาพวกเราไปได้ไหมคะ…”

ทุกคนที่ได้ยินนันทนาขอร้อง ต่างปรากฏคำถามที่แสดงออกบนสีหน้าอย่างชัดเจน

“แต่ น้องหญิงดาวกับนันอยู่แผนกบุคคลนี่จ๊ะ ต้องไปหาความรู้ในงานนี้ด้วยหรือ” เอิงเอ่ยถามพลางมองหญิงดาวที่ยืนจ้องกลับมาด้วยนัยน์ตาลุกวาว จนคนถามหน้าเจื่อนลง

“จำเป็นสิคะ…เพราะน้องหญิงดาวทำหน้าที่บริหารงานอบรมให้กับพนักงานในบริษัทจึงต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีในวงการอาหาร เพื่อส่งพนักงานเข้าอบรมตามหลักสูตรต่างๆ ให้ก้าวทันบริษัทคู่แข่ง และที่สำคัญคุณอเนกก็อนุญาตให้พาน้องไปงานนี้” นันทนาอธิบายยาว ก่อนจะลงท้ายด้วยชื่อของประธานบริหารทำเอาทุกคนนิ่งงัน

“ลุงไปช่วยน้องเขาเถอะค่ะ เดี๋ยวพิมและน้ำเดินดูงานกับพี่เอิงเอง” พิมพ์นาราตัดบทเพราะไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อ ทำให้ใบหน้าคมเข้มของโยธินแลดูปั้นยาก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับช้าๆ

“แล้วพี่เตล่ะคะ…ไปด้วยกันไหม ปล่อยให้พี่โยไปกับสาวๆตามลำพัง เดี๋ยวเขินแย่นะ” สิ้นเสียงของนันทนา สีหน้าของเตมินทร์ดูว้าวุ่นคล้ายตรองไม่ตก พลางมองสลับไปมาระหว่างโยธินกับธารธารา

“เต…ไปเป็นเพื่อนโยเถอะ ทางนี้เดี๋ยวพี่พาเดินดูงานเอง” เอิงมองอีกฝ่ายด้วยแววเข้าใจ

“ถ้าอย่างนั้น เจอกันในงานนะครับ” เขาบอกกับทุกคน แต่นัยน์ตาจับจ้องที่ธารธารา

หญิงดาวกรีดยิ้มอย่างผู้ชนะ ลอบมองแต่ละคนด้วยแววสมใจ ก่อนจะตีสีหน้าเรียบเฉย

พิมพ์นารามองตามคนทั้งสี่ ที่เดินจากไปพร้อมความรู้สึกวูบหวิวในใจ ราวกับกำลังสูญเสียอะไรบางอย่าง

“น้องหญิงดาวคนนี้ไม่ธรรมดานะ เป็นถึงลูกสาวคุณสุจริต ประธานบริหารของบริษัทในเครือ สนิทกับคุณอเนกมากเพราะคบค้ากันมานาน” เสียงของเอิงบอกข้อมูลที่รับรู้มาจากแหล่งข่าววงในของบริษัท ทำให้พิมพ์นาราละสายตาจากคนที่เดินจากไปหันมามองผู้พูด

“อย่างนี้นี่เอง นันทนาถึงกับยอมเป็นเบี้ยล่าง ออกตัวให้ขนาดนี้” ธารธาราเผลอเบ้ปากใส่

“พี่ว่า…น้องหญิงดาวคนนี้มองโยแปลกๆ นะ แววตาเหมือน…” คำพูดของเอิงขาดช่วงไปราวกับผู้พูดกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะอุทานขึ้น

“พี่นึกออกแล้ว ! เหมือนพวกแฟนคลับตาโยเขาน่ะ ดูน้องเขาปลื้มๆ มองตาเป็นประกายยังไงก็ไม่รู้”

พิมพ์นาราฟังแล้วหัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว พลางหันกลับไปมองโยธินที่เดินลับตาไปไกล





งานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหารมีผู้เข้าชมอย่างล้นหลาม รวบรวมเทคโนโลยีการผลิตอาหารไว้มากมาย บริษัทที่ผลิตอาหารขายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มาจัดบูธแสดงสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งอาหารคาวประเภทไส้กรอก เนื้อไก่ เนื้อหมูปรุงรสแช่แข็งและผักผลไม้แปรรูปบรรจุกระป๋อง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นงานที่มีผู้ประกอบการให้ความสนใจมาก ถึงร้อยกว่าบริษัทราวสิบกว่าประเทศทั่วโลกมาร่วมงานจัดแสดงอันยิ่งใหญ่

หลังจากลงทะเบียนด้านหน้าทางเข้างานแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำจุดลงทะเบียนแจกแผ่นป้ายพลาสติก ระบุชื่อพร้อมตำแหน่งและบริษัทของผู้เข้าชมงานทุกคนให้ติดไว้บริเวณหน้าอก พนักงานในบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ต่างแยกย้ายกันไปเดินชมงานดังกล่าว

พิมพ์นารากับธารธาราและเอิง พากันเดินหาความรู้เพิ่มเติมจากแผ่นพับ รวมทั้งเอกสารแจกฟรีในแต่ละบูธ
เครื่องจักรตัวใหญ่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนธุรกิจอาหาร ถูกนำมาจัดแสดงต้อนรับความสนใจจากผู้คนซึ่งเข้ามาชมงานจำนวนมาก ที่สะดุดตาในวงการอาหารแช่แข็งคือ เครื่องแช่แข็งอาหารแบบรวดเร็วขนาดใหญ่เท่ากับห้องโถงกว้างหนึ่งห้อง

พิมพ์นารายืนมอง ชิ้นเนื้อไก่ปรุงสุกหั่นพอดีคำ วางเรียงบนสายพานพลาสติกสีฟ้า เพื่อส่งเข้าสู่ห้องสี่เหลี่ยมซึ่งภายในมีสายพานสแตนเลส วนเป็นเกลียวหลายสิบชั้นจนเกือบถึงเพดาน

เธอกางแผ่นพับที่ได้รับแจกมาอ่านแล้วพบว่า อุณหภูมิภายในเครื่องจักรนี้ถูกควบคุมไว้ที่ ลบสี่สิบองศาเซลเซียส มีการพ่นลมเย็นซึ่งเกิดจากกระบวนการถ่ายเทความร้อนในอากาศ โดยผ่านตัวกลางคือ สารไนโตรเจนเหลว ทำให้เนื้อไก่ที่ไหลผ่านสายพาน ถูกลดอุณหภูมิเหลือเพียง ลบสิบแปดองศาเซลเซียส แข็งตัวทันทีโดยใช้เวลาช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับขั้นตอนการผลิตอาหารแต่ละประเภทเป็นตัวกำหนด สามารถตั้งค่าการเคลื่อนที่ของสายพาน ได้จากกล่องควบคุมซึ่งติดตั้งอยู่ภายนอก

ถัดมาอีกบูธ กลิ่นหอมยั่วยวนใจ เร่งเร้าให้พิมพ์นาราสาวเท้ายาวๆไปยังที่มา เธอพบเครื่องจักรใช้ทอดอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากวัสดุสแตนเลสอย่างดี ทอดตัวยาวประมาณสองเมตร ภายในมีน้ำมันท่วมสายพานสแตนเลสซึ่งมีเนื้อหมูชุบแป้งทอด ชิ้นพอดีคำวางเรียงอยู่

สายพานเคลื่อนตัวด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง ไม่ถึงกับเร็วมาก แต่ไหลผ่านเรื่อยๆจนถึงปลายทางจึงยกตัวขึ้นสูงจากน้ำมัน เพื่อส่งเนื้อหมูสีเหลืองอร่ามจากแป้งที่เกาะรอบนอก แลดูกรอบนุ่มน่ารับประทานไปสู่กระบวนการบรรจุลงถาดพลาสติกถัดไป

เธอเดินชมเครื่องจักรที่นำมาจัดแสดงอีกหลายบูธ ด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เพราะปกติหญิงสาวได้แต่ซื้ออาหารเหล่านี้มารับประทาน ไม่เคยมีโอกาสรับรู้ถึงกระบวนการผลิต

เวลาผ่านไปพักใหญ่ในมือของทั้งสามคน มีถุงผ้าใส่เอกสารแผ่นพับ ที่ได้รับแจกมาจากการเดินชมบูธต่างๆ จำนวนมาก เมื่อได้ความรู้เพิ่มเติมพอสมควรแล้ว เอิงจึงพาทั้งสองคนไปยังบูธของบริษัทตนเองและทักทายเพื่อนร่วมงานฝ่ายขายประจำบูธ ที่คอยให้ข้อมูลแก่ผู้มาเยี่ยมชม ก่อนจะพากันเดินดูสินค้าของบริษัทที่นำมาจัดแสดง

พิมพ์นาราหยิบเนื้อหมูสดแปรรูปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คล้ายลูกเต๋าบรรจุในถาดพลาสติกใสขึ้นมาสำรวจ สายตาสะดุดเข้ากับเอกสารขนาดจิ๋ว แนบมากับฝาปิดด้านบน

เธออ่านข้อความชี้แจงที่มาของเนื้อหมูในถาด ตั้งแต่ฟาร์มพ่อแม่พันธ์ว่า อยู่ที่จังหวัดใดพร้อมกับระบุเพศของเนื้อหมู อาหารที่ใช้เลี้ยง วันและเวลาในการผลิต ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถสอบย้อนกลับได้ เมื่อพบปัญหาระหว่างบริโภค สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่า สินค้าได้มาตรฐานตามหลักความปลอดภัยในการผลิตอาหาร

เมื่ออ่านเสร็จแล้ว เธอจึงเดินไปสมทบกับธารธาราและเอิง ที่ยืนกลมกลืนกับผู้คนจำนวนมาก รายล้อมถาดทรงรีขนาดใหญ่ บรรจุลูกชิ้นหมูอนามัยต้มสุกเสร็จใหม่ๆ จนควันจางๆลอยฟุ้ง ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนคนที่ยืนมอง พนักงานประจำบูธเชิญทุกคนให้ชิม พร้อมแจกถ้วยและส้อมพลาสติก

พิมพ์นาราใช้ส้อมจิ้มลูกชิ้นขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอม ก่อนจะลิ้มลองรสชาติของมัน รสหวานจางๆกลมกล่อมด้วยเครื่องเทศและเนื้อสัมผัสนุ่มเบา แต่ตึงจนรู้สึกว่ามันเด้งได้ เรียกรอยยิ้มของเธอทันที พลางลอบมองผู้คนข้างๆ ซึ่งมีสีหน้าไม่แตกต่างกันจึงไม่แปลกใจเลยว่า
ทันทีที่การชิมสิ้นสุดลง ผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นจำนวนมากในตู้แช่เย็น อันตรธารไปหมด เพราะต่างคนต่างตะโกนสั่งซื้อติดมือกลับไปด้วย จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันเดินออกจากบูธ




“พี่โย…หญิงดาวรู้สึกมึนหัวจัง แน่นหน้าอกยังไงก็ไม่รู้” หญิงดาวยืนโซเซ ชม้อยตามองชายหนุ่มแล้วเสียหลักทรุดกายลงกับพื้น

โยธินหันมองคนพูด รีบเข้าไปประคองร่างสูงเพรียวไว้ในอ้อมแขน ท่ามกลางสายตาของผู้เข้าชมงานที่หยุดยืนมองด้วยความตกใจ ก่อนจะสลายตัวกันไป เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเหลือแล้ว

“ตายแล้ว ! น้องหญิงดาวเป็นอะไรไปคะ” นันทนากรีดร้อง สืบเท้ามาหาคนเป็นลม

“หายใจไม่ออกค่ะ พี่นัน…” สิ้นเสียงของเธอ นันทนาควานหายาดมในกระเป๋าถือ เปิดฝาออก จ่อส่ายไปมาที่ปลายจมูกของอีกฝ่าย

“พาน้องหญิงดาวไปหาที่นั่งพักก่อนดีกว่าครับ” เตมินทร์รุดเข้ามาช่วยประคองอีกแรง

“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่เต…หญิงดาวไม่อยากเป็นภาระของพี่โย” เธอนิ่วหน้ามองโยธิน

“ไม่เป็นภาระหรอกครับ ใกล้เที่ยงแล้ว เราออกไปนั่งพักที่ร้านอาหารข้างนอกกันดีกว่าจะได้กินข้าวกันเลย”

“นันว่าแบบนั้นก็ดีนะคะ ในนี้คนเยอะเดินเบียดเสียดกัน เดี๋ยวน้องหญิงดาวจะเป็นลมอีก ถ้ายังไงรบกวนพี่โยพาน้องออกไปข้างนอกกันดีกว่า”

หญิงดาวลอบยิ้ม เมื่อนันทนาออกตัวให้อย่างรู้งาน โยธินประคองร่างสูงเพียวเดินช้าๆ เธอกระเถิบกายแนบชิดด้านข้างของเขาอย่างจงใจ พร้อมกับเหยียดแขนโอบรอบเอวสอบแล้วอิงศีรษะไว้ที่หัวไหล่ชายหนุ่ม




ภาพของโยธินและหญิงดาวเดินผ่านหน้าในระยะไกล แต่ ชัดเจนในสายตาของพิมพ์นารา ส่งผลให้สองเท้าหยุดชะงัก เธอเผลอเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินประคองแอบอิงกัน หญิงสาวรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก ความเจ็บแปลบแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ ได้แต่ภาวนาให้ภาพที่เห็นคือ อาการตาฝาดจากความหิวที่เข้ามารุกราน จนเธอและเพื่อนพากันเดินออกจากบูธของบริษัท ตั้งใจไปร้านอาหารบริเวณด้านนอกเพื่อรับประทานมื้อเที่ยง

ทว่า…ไม่ทันได้ไปไหนไกลต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจเสียก่อน

“นั่น! ตาโยกับน้องหญิงดาว ทำไมเดินใกล้ชิดกันขนาดนี้” เสียงของเอิงทำให้สิ่งที่เธอภาวนาไว้พังทลาย คล้ายฉายภายซ้ำตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวด

“ดูสิ…แม่นันทนานั่น ก็เดินลอยหน้าลอยตาอยู่กับเจ้าเต ดูแปลกๆอยู่นะ” เอิงบ่นต่อพลางหันมองธารธาราที่มีสีหน้าสลดลง

“ช่างเขาเถอะค่ะ เราออกไปทานข้าวเที่ยงกันดีกว่า” ธารธาราพูดพลางส่ายศีรษะ

เอิงหันมาเห็นอีกฝ่ายพูดไปส่ายหน้าไป เธอจึงออกตัวเดินนำทั้งสองสาว ธารธาราก้าวเดินตามเพื่อนรุ่นพี่ แต่ต้องชะงัก เมื่อหันกลับไปมองเพื่อนรักที่ยังยืนนิ่งราวกับรูปปั้น

“พิม…”

“พิม ! ” หญิงสาวเรียกรอบสอง เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยิน

“…ว่าไง” พิมพ์นาราหันมองเพื่อน เผยให้เห็นแววตาหม่นหมอง

เธอเห็นธารธารานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย

“ไปกันเถอะ…”

หญิงสาวเข้าใจดีว่า เพื่อนอยากพูดจาปลอบโยนมากมาย หากได้แต่นิ่งงัน เมื่อตัวเธอเองยังไม่เปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อโยธิน ธารธารามักจะเว้นช่องว่างให้เธอคิดและไม่ก้าวก่ายเด็ดขาด ทั้งคู่เดินมาใกล้ถึงประตูทางออก แต่ต้องหยุดเดิน แล้วมองบูธตรงหน้าตามเอิงที่ยืนรออยู่นานแล้ว

“บูธของบริษัท เอทาฟู้ดส์ คู่แข่งของบริษัทเรา เข้าไปดูกันไหม” เอิงชวน เมื่อทั้งสองคนพยักหน้าตอบรับจึงพากันเข้าไปข้างใน
พิมพ์นาราเดินชมสินค้าอาหารซึ่งไม่แตกต่างจากบูธของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ เรียกว่าแทบจะผลิตเหมือนกันเสียด้วยซ้ำ สมกับได้รับการจัดอันดับให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

พนักงานประจำบูธกล่าวอธิบาย การผลิตสินค้าที่จัดแสดง พร้อมแจกแผ่นพับข้อมูลของบริษัทให้แก่ผู้เข้าชม เมื่อได้รับความรู้จากบริษัทคู่แข่งมากพอแล้ว พิมพ์นาราและธารธาราจึงเดินวนออกจากบูธ แต่ทั้งคู่ต้องแปลกใจเพราะเอิงไม่ได้ตามออกมาด้วย คาดว่าน่าจะพลัดหลงกัน ตอนเดินชมผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง จึงพากันโทรศัพท์หาเพื่อนรุ่นพี่

ทว่า…อีกฝ่ายไม่รับสาย พิมพ์นาราจึงตัดสินใจเข้าไปตามเอิงภายในบูธ แต่ ธารธาราเสนอความเห็นให้รอตรงทางออกเพื่อป้องกันความคาดเคลื่อนในการตามหากัน

เวลาผ่านไปไม่นาน เอิงเดินกลับออกมาจากบูธ ในมือหอบหิ้วเอกสารแผ่นพับและสินค้าของบริษัท เอทาฟู้ดส์ จำนวนมาก

“ขอโทษนะจ๊ะที่ให้รอ เมื่อกี้พี่ไปเล่นเกมที่เขาจัดขึ้น ได้รางวัลเป็นลูกชิ้นมาเยอะเลย พิมกับน้ำแบ่งไปทานกันนะ” เพื่อนรุ่นพี่ขยับถุงพลาสติกในมือยื่นให้ทั้งสองคน

“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่…เขามีเล่นเกมกันตอนไหน ทำไม น้ำไม่เห็นเลย” ธารธารารับถุงลูกชิ้นมาเพ่งมองด้วยความสงสัย

พิมพ์นาราเห็นเอิงมีสีหน้ากังวลจากคำถามของธารธารา คาดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกผิดที่ปล่อยให้พวกเธอยืนรอจึงพูดแก้ให้

“เขาคงจัดเล่นเกมตอนเราเดินออกมากัน ได้ของกินแล้วไม่ต้องสงสัยหรอก” หญิงสาวถองศอกเบาๆ ไปที่สีข้างของเพื่อน แล้วพากันเดินออกจากบริเวณงาน



โลกมันกลมเกินไปแล้ว…

พิมพ์นาราพร่ำบ่นในใจ หลังจากอาหารวางลงตรงหน้าทุกคนแล้ว เธอจึงมองเห็นโยธินนั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฟากของร้านอาหารซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาใช้บริการในเวลาเที่ยงวัน หญิงสาวลอบถอนใจเบาๆ ยามเห็นพฤติกรรมเอาอกเอาใจของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ตักอาหารใส่จานของโยธิน พูดคุยหัวเราะร่าเริงแลดูมีความสุขใจเหลือเกิน…

พิมพ์นาราคิดว่าเขาคงชอบการกระทำนี้ จากสีหน้ายิ้มแย้มแถมยังตักอาหารให้อีกฝ่ายกลับ คำถามมากมายปรากฏจากภาพที่เห็นผ่านดวงตากลมใสแล่นเข้าสู่สมอง จนเธออยากเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาให้หายสงสัยถึงที่มาของสีหน้ามีความสุขจากคนทั้งสอง

ทว่า… เมื่อสติกลับมา ความสงสัยซึ่งเธอใคร่รู้กลับกลายเป็นคำถาม ที่เฝ้าถามตัวเองว่า เธอเป็นอะไรกับเขา…มีสิทธิ์ใดอยากรู้เรื่องส่วนตัวของโยธิน และเหตุใดจึงไม่พอใจราวกับหวงเขาปานนี้

หวงหรือ…

เธอตกใจกับบทสรุปของตนเอง ที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จนเผลอกำช้อนส้อมในมือแน่นราวกับสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้ข้างในพลางหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความเงียบ

“อ้าว ! ทำไมพิมไม่ทานอะไรเลยล่ะ อาหารร้านนี้ไม่อร่อยหรือ” เอิงขมวดคิ้วมุ่น

“พิมไม่ค่อยหิวแล้วค่ะ” เธอรวบช้อมส้อมวางลงบนจานพลางนั่งนิ่ง

“กับข้าวเหลือตั้งเยอะเลยนะ…” เอิงพูดพร้อมกับบุ้ยปากไปยังอาหารตรงหน้า

“กินอะไรเสียหน่อยเถอะ…เดี๋ยวจะปวดท้อง…” น้ำเสียงของธารธาราแสดงความเป็นห่วง

“ทานกันเถอะค่ะ พิมเริ่มแน่นๆท้องแล้ว” หญิงสาวพูดจบ สังเกตเห็นความกังวลในแววตาของเพื่อน ไม่แตกต่างจากเอิงที่เพ่งมองเธอด้วยความสงสัย แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา พิมพ์นาราเห็นเพื่อนรุ่นพี่ จ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะกดรับสาย

เอิงสนทนาอยู่พักนึง…พูดโต้ตอบสั้นๆ แล้ววางสายโทรศัพท์

“พี่มีธุระทางบ้านด่วน…เราคงต้องแยกกันตรงนี้นะ” เธอพูดเสียงขรึม

“เรื่องแม่พี่เอิงที่ไม่สบายหรือเปล่าคะ” พิมพ์นาราเอ่ยถาม

เอิงพยักหน้ารับช้าๆ พลางขยับตัวลุกขึ้นยืน

“มีอะไรให้พิมช่วยบอกได้นะคะ”

“ขอบใจมากจ๊ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่จะบอกนะ”

เมื่อเอิงกลับไปแล้วทั้งคู่จึงจ่ายเงินค่าอาหารกลางวัน พิมพ์นาราอดไม่ได้ที่จะหันไปมองโยธิน เขายังดูมีความสุขกับหญิงดาวจากอาการหัวเราะจนตัวโคลง และตักอาหารใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ตรงข้ามกับเธอที่สลดหดหู่กินอะไรไม่ลงจนต้องอิ่มทั้งที่ท้องยังว่าง หญิงสาวตัดสินใจไม่เดินชมงานแสดงต่อ กลับบ้านทันทีเพราะไม่อยาก บังเอิญไปเห็นภาพอันน่าเจ็บปวดอีกแล้ว




“เฮ้ย ! เดี๋ยวนี้มีลูกค้าระดับ วีไอพี รายใหม่แล้วรึ” ภูมิมินทร์เอ่ยพลางตบบ่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน เพราะหลังจากที่เขาถามหาคนถูกแซว จากพนักงานในบูธ บริษัท เอทาฟู้ดส์ ก็ได้รับคำตอบว่า เจ้านายมีแขกอยู่ในห้องวีไอพีซึ่งจัดไว้หรูหรา สำหรับต้อนรับลูกค้ารายใหญ่และพิเศษเท่านั้น

เกรียงไกรหมุนตัวมามองตามสัมผัสที่หัวไหล่ เขาขยับขาแว่นสายตาสีเงินยี่ห้อดังให้กระชับใบหน้า ก่อนจ้องมองอีกฝ่าย

“โธ่ ! ลูกค้าระดับวีไอพีของเอทาฟู้ดส์ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว จะมีใครสำคัญไปกว่าร้านอาหารชาบูนิชิรันของท่านละครับ เล่นขยายสาขาไปทั่วห้างดังในกรุงเทพฯ ” เกรียงไกรหรี่ตามองภูมิมินทร์ผ่านแว่นสายตา

“อ้าว ! แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครล่ะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เพ่งมองด้านหลังของสตรีร่างท้วม ที่เพิ่งเดินออกจากห้องวีไอพีระหว่างที่เขามัวมองสินค้าอาหารในบูธ จึงไม่ทันเห็นหน้าแขกคนพิเศษ หันกลับมาอีกทีก็พบเกรียงไกรยืนส่งแขกอยู่ตรงหน้า

“ความลับทางการตลาด…บอกไม่ได้ครับ” เขาตบบ่าลูกค้าคนสำคัญพลางฉีกยิ้มกว้าง เมื่อเห็นสีหน้าใคร่รู้ของอีกฝ่าย

“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ตอนนี้ว่างแล้วใช่ไหม ฉันจะได้คุยกับแก เรื่องการสั่งซื้อวัตถุดิบอาหารของร้านชาบูนิชิรันที่จะขยายสาขาเพิ่มในเดือนหน้า” ภูมิมินทร์ยักคิ้วให้อีกฝ่าย

เกรียงไกรชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียดตามลักษณะคนไทยเชื้อสายจีน เจ้าของบริษัท เอทา ฟู้ดส์ ยิ้มกว้างกว่าเดิมทันทีที่ได้ยิน ตั้งแต่เขาสืบทอดกิจการจากพ่อและแม่อย่างเต็มตัว พร้อมกับภูมิมินทร์เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชาบูนิชิรันสาขาแรก ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกันมาตลอด จนกิจการของเพื่อนรุ่งเรืองกลายเป็นร้านอาหารยอดนิยมของคนยุคนี้ ขยายหลายสาขาเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัท เอทา ฟู้ดส์ มียอดการสั่งซื้อวัตถุดิบอาหารเข้ามาล้นหลาม จนผลิตไม่ทันต้องดำเนินการสร้างโรงงานใหม่

โรงงานผลิตอาหารของเกรียงไกรที่กำลังก่อสร้างเพิ่มนั้นค่อนข้างยุ่งยาก มีขั้นตอนมากมายตั้งแต่สถานที่ตั้งต้องเลือกอย่างดีไม่ให้ใกล้ชุมชนของชาวบ้านมากนัก แต่ก็ไม่ควรไกลเกินจนระบบสาธารณูประโภคเข้าไม่ถึง

อีกทั้งการจัดหากำลังคนมาให้เพียงพอ สำหรับกระบวนการผลิตขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการสั่งซื้อจำนวนมากก็ไม่ง่ายนักเพราะตัวเลือกของพนักงานรายวันมีอยู่มากจากโรงงานข้างเคียง ต้องแข่งขันกันเรื่องสวัสดิการเพื่อดึงคนมาทำงาน และเครื่องจักรที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าเก้าสิบวันในการส่งมอบ รวมไปถึงการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบมากมายจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม

กระบวนการเหล่านี้ทำให้การก่อสร้างโรงงานใหม่ของบริษัท เอทาฟู้ดส์ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งที่เวลาผ่านล่วงเลยมาเกือบครึ่งปีแล้ว
ทั้งคู่เดินออกจากห้องวีไอพี หลังจากสนทนาธุรกิจกันอยู่พักใหญ่ เกรียงไกรยิ้มแป้นกับยอดสั่งซื้อที่ได้มาจนเต็มกำลังการผลิตของโรงงาน

แต่กระนั้น ยังไม่พอต่อความต้องการของภูมิมินทร์ เขาจึงมีสีหน้ากังวลกับวัตถุดิบอาหาร โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ยังขาด สำหรับร้านอาหารชาบูนิชิรันสาขาใหม่ซึ่งจะเปิดขายในเดือนหน้า

“ลองทำตามที่เราคุยกันไว้ก่อน ฉันมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้ โรงงานใหม่จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดผลิตป้อนเนื้อหมูให้ร้านอาหารแกแน่นอน” เกรียงไกรส่งสายตาจริงไปยังอีกฝ่าย

เจ้าของบริษัท เอทา ฟู้ดส์ เหลือบมองภูมิมินทร์ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ราวกับครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาแนะนำให้ลองติดต่อสั่งซื้อเนื้อหมู ในปริมาณที่ขาดกับบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ เพราะมั่นใจกำลังการผลิตของคู่แข่ง ว่ามากกว่าตนเอง เนื่องด้วยเป็นบริษัทส่งออกเนื้อหมูเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ

..........................................................................................................................................................

ขอบคุณ คุณ sukhumvit 66 , คุณไม้เอก และ คุณ phugan มากนะคะ สำหรับกำลังใจ ^ ^



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ธ.ค. 2556, 10:44:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2556, 11:00:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1267





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
phugan 10 ธ.ค. 2556, 10:58:47 น.
พี่โยนี่จริงๆ เลยไปหลงกลยายหญิงดาวได้ไง...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account