กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 8

สองวันแล้วหลังกลับจากงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร ที่พิมพ์นารามึนตึงกับโยธิน เขาเฝ้ามองหญิงสาวแสดงท่าทีห่างเหินอย่างงุนงง และพยายามหาเรื่องสนุกสนานมาเล่าให้เธอฟัง หวังเพียงเห็นรอยยิ้มหวานซึ่งหายไปนาน

ทว่า…พิมพ์นารากลับนั่งนิ่ง แววตาไม่มีเยื่อใยจับจ้องคอมพิวเตอร์ ราวกับไม่ได้ยินเสียงข้างกาย ประหนึ่งเขาพูดอยู่เพียงคนเดียว และหากสอบถามเรื่องงาน เธอจึงจะตอบสั้นๆ กลายเป็นถามคำตอบคำ ยิ่งเพิ่มความอึดอัดใจแก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

ในที่สุด…พิมพ์นาราลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ทิ้งให้โยธินมองตามตาละห้อย ก่อนจะหันมองธารธาราหวังหาคำตอบจากท่าทีหมางเมินของคนที่เพิ่งเดินจากไป แต่อีกฝ่ายกลับเดินหนีไปหาเอิงที่โต๊ะทำงาน ทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะสงสัยอะไรไปมากกว่านี้ ร่างสูงเพรียวผิวสีน้ำผึ้งก็ปรากฏตรงหน้า พร้อมกล่องขนมสีหวานยื่นมาจากมือของหญิงดาว

“เมื่อวาน หญิงดาวไปกินข้าวกับคุณพ่อ เห็นคุกกี้น่าอร่อยเลยซื้อมาฝากค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มจางๆ มองเห็นความผิดปกติของธารธาราและเอิง ซึ่งนั่งนิ่งไม่สนใจเหตุการณ์ตรงหน้าราวกับเขาและหญิงดาวไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้

หญิงดาวชวนโยธินคุยอย่างสนุกสนาน เขาต้องทำท่าทางสนใจสิ่งที่ได้ยินตามมารยาท แกล้งยิ้มตอบ หัวเราะเฮฮา เช่นเดียวกับในวันงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร แต่ในใจกลับกังวลถึงพิมพ์นารา ท่ามกลางสายตาลอบมองของธารธาราและเอิง



พิมพ์นาราหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำ พยายามเดินให้ช้าที่สุด เพราะไม่อยากกลับไปเจอโยธินในเวลานี้ แต่แล้ว…เธอต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

“พิม…” เสียงเรียกดังออกมาจากหน้าห้องน้ำชาย

“พี่ภูมิ ! มาได้ยังไงคะ” เธอหันมองตามเสียงนั้น นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“พีนัดคุยกับฝ่ายขายและคุณอเนก ประธานบริหารของที่นี่ เรื่องการซื้อขายเนื้อหมูให้ที่ร้านอาหาร”

“แล้วทำไม…ไม่โทรบอกพิมหน่อยล่ะคะ” เธอขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงฟังดูน้อยใจ

“พี่ต้องถามเรามากกว่า เมื่อคืนโทรไปหาไม่มีสัญญาณ และเมื่อกี้พี่โทรหาพิมอีกครั้ง ก็ไม่มีคนรับสาย เบอร์ของน้ำก็ไม่มีคนรับด้วย พี่คิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันไปเสียอีก เป็นห่วงแทบแย่”

พิมพ์นาราฟังอีกฝ่ายบ่นแล้วยิ้มเจื่อนๆ พลันคิดได้ว่า เมื่อวานตอนเย็นเธอปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะไม่อยากรับสายของโยธิน ที่พยายามโทรเข้ามาหลายครั้ง และเช้านี้ก็ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องนอน

“ขอโทษค่ะ…พิมลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน” เธอพูดเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบรับพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

“พี่ภูมิคะ…พิมมีเรื่องขอร้อง” แววอ้อนวอนปรากฏในดวงตาพิมพ์นารา

หญิงสาวขอร้องให้ภูมิมินทร์ปกปิดฐานะที่แท้จริง พร้อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขาและเธอรวมถึงธารธาราด้วย เธอให้เหตุผลว่า ตอนสมัครงานปิดบังเรื่องธุรกิจทางบ้านไว้ เพราะไม่อยากให้การพิจารณารับเข้าทำงานมีปัญหา

ชายหนุ่มตอบรับในความจำเป็นเหล่านี้ เขาบอกให้เธอคลายกังวล เพราะทราบดีถึงเงื่อนไขระหว่างพิมพ์นารากับพ่อ และยังเอาใจช่วยให้ทำงานได้ประสบการณ์ครบหนึ่งปีโดยเร็ว

ทั้งคู่สนทนาเสร็จแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ เธอมองตามร่างสูงโปร่งของภูมิมินทร์ เดินหายลับเข้าไปในห้องประชุม ก่อนจะถอนใจยาวๆอีกครั้ง เมื่อผลักประตูกลับเข้าไปในห้องทำงาน

“เร็วเข้าพิม คุณอเนกสั่งให้แผนกการตลาดกับแผนกผลิตเข้าประชุมด่วน มีลูกค้ารายใหญ่มาเจรจาซื้อเนื้อหมูของบริษัทเรา พี่พรกำชับให้พี่กับพิมตามไปด้วย” เอิงพูดทันที เมื่อเห็นเธอเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน

พิมพ์นาราตอบรับพลางหยิบสมุดจดบันทึกบนโต๊ะ เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ไม่มากเท่าเอิงซึ่งกำลังหยิบแฟ้มเอกสารในตู้ด้านหลังอย่างเร่งรีบ ก่อนก้าวออกจากห้องทำงานไปพร้อมกัน




ภูมิมินทร์สำรวจสิ่งแวดล้อมใหม่รอบห้องประชุมด้วยความสนใจ ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ ผู้ชายอายุราวห้าสิบปี รูปร่างสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ส่งให้เนคไทผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม สวยงามโดดเด่นเข้ากับเสื้อสูทสีเดียวกัน ไม่เพียงการแต่งกายภูมิฐานบ่งบอกความเป็นผู้นำ แต่ท่าทางเคร่งขรึมและร่องรอยแห่งวัย ซึ่งปรากฏเป็นริ้วเล็กๆรายล้อมดวงตาผสานกับแววมากด้วยวัยวุฒิ ส่งให้คุณอเนก ประธานบริหารบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ แลดูน่าเกรงขามต่อสายตาของทุกคนในห้องประชุม

พิมพ์นาราและเอิงเข้ามาในห้องพร้อมกระพุ่มมือไหว้ประธานบริหาร ที่นั่งสง่าบนเก้าอี้หัวโต๊ะประชุม ก่อนจะพากันเดินไปนั่งฟากตรงข้ามกับโยธิน โดยมีอาภาพรและลูกค้านั่งรออยู่แล้ว

เสียงทรงพลังของคุณอเนกกล่าวต้อนรับลูกค้ารายใหญ่อย่างเป็นทางการ จากนั้นแนะนำพนักงานทุกคน
ตามด้วยวีดีโอนำเสนอประวัติของ บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ถูกฉายบนผืนผ้าสีขาว ซึ่งเลื่อนตัวลงมาหน้าห้องจากการกดรีโมทควบคุมของผู้จัดการฝ่ายการตลาด

การเจรจาซื้อขายเริ่มขึ้น หลังจากลูกค้าทราบข้อมูลเบื้องต้นของบริษัทแล้ว ภูมิมินทร์สบตาคุณอเนกด้วยแววมุ่งมั่นและจริงจังกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ไม่แตกต่างจากบทสนทนา อันบ่งบอกถึงประสบการณ์ทำงานอย่างเชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจอาหาร

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ภูมิมินทร์คลี่ยิ้มอย่างสุภาพ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของประธานบริหาร ดังกังวานแสดงถึงความพึงพอใจสำหรับข้อตกลงในการซื้อขาย เขาหันมองตามสายตาของชายผู้ทรงอำนาจ ที่ออกคำสั่งกับผู้จัดการฝ่ายการตลาดให้เตรียมรับมือกับการสั่งซื้อครั้งใหญ่ แล้วต้องเบนสายตาไปยังฟากตรงข้าม เมื่อคุณอเนกหันไปสอบถามชายคนหนึ่ง เรื่องความพร้อมของกระบวนการผลิต พร้อมกำชับว่าสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มเติม ทั้งเรื่องพนักงาน วัตถุดิบหรือเครื่องจักร ให้แจ้งมาโดยด่วนเพื่อเตรียมตัวรับการผลิตครั้งนี้ไม่ให้มีข้อผิดพลาด

ลูกค้ารายใหญ่เฝ้ามองการสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดตอนแนะนำตัว ภูมิมินทร์จำได้ว่าผู้ชายคนนี้ชื่อโยธิน เขาเห็นชายหนุ่มสบตาเจ้านายด้วยความนอบน้อม และรับปากอย่างกระตือรือร้น พร้อมจดบันทึกข้อมูลบางอย่างลงในสมุดเล่มหนา

ภูมิมินทร์หันกลับมาหาคุณอเนกอีกครั้ง เขาเห็นสีหน้ามั่นใจแสดงถึงความพร้อม ในการผลิตของชายมากวัยวุฒิแล้วรู้สึกโล่งใจ ความหวังที่ร้านอาหารชาบูนิชิรันจะได้เปิดสาขาใหม่ พร้อมบริการในเดือนหน้าเริ่มปรากฏ

“ผมเห็นความกระตือรือร้น สำหรับการสั่งซื้อครั้งนี้แล้วรู้สึกยินดี ที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ขอบคุณมากนะครับ” เขายิ้มกว้างให้ชายวัยกลางคน

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ร้านอาหารชาบูนิชิรัน ที่ให้เกียรติแก่บริษัทเรา” แววตาประธานบริหารเป็นประกายยามจ้องมองตอบ

ภูมิมินทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งตัวเล็กน้อย ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาเปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้า ไล่สายตาค้นหาบางอย่าง แล้วยิ้มกว้าง หยิบสิ่งที่ต้องการขึ้นมา

“ผมขอเชิญ บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองยอดขาย พร้อมกับเปิดตัวสาขาใหม่ของร้านอาหารชาบูนิชิรันในเดือนหน้าครับ” การ์ดสีเหลืองนวลตีกรอบทองอร่าม ยื่นไปตรงหน้าคุณอเนก จนกลิ่นหอมจางๆ เด่นชัด อีกฝ่ายรับมาแล้วเพ่งพินิจข้อความที่ระบุไว้ข้างใน

“โอ้ ! ยินดีด้วยครับ สมกับเป็นร้านอาหารยอดนิยมจริงๆ…ผมก็ขอเชิญคุณภูมิมินทร์เข้าร่วมงานเลี้ยงประจำปีของ บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ในเดือนหน้าเช่นกัน ส่วนการ์ดเชิญผมจะให้เลขาส่งตามไปให้”

“ขอบคุณมากครับ ยังไงผมต้องมาร่วมงานนี้ให้ได้” เขาหันมองพิมพ์นารา เมื่อเห็นเธอมองกลับมาจึงยิ้มให้ พลัน หางตาแลเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง จากโยธินที่นั่งฟากตรงข้าม คล้ายอาการถอนหายใจ แต่ เสียงคุณอเนกซึ่งดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ภูมิมินทร์ละความสนใจจากฝ่ายนั้น

“ยินดีครับ ยิ่งเป็นลูกค้ารายใหม่ ผมยิ่งต้องขอร้องให้มาให้ได้ เราจะได้สานสัมพันธไมตรีกันไว้…วันนี้ผมจะให้พนักงานพาชมกระบวนการผลิต ที่ห้องกระจกบริเวณรอบนอก” ประธานบริหารกล่าวพลางยืดหลังตรงแสดงความภาคภูมิใจ ก่อนจะหันไปสั่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด

“เดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่การตลาดพาเดินชมกระบวนการผลิตหน่อยนะ” เขามองอีกฝ่ายตอบรับ แล้วขยับเก้าอี้ออก ลุกขึ้นเดินมาทางภูมิมินทร์

“วันนี้ผมขอตัวก่อนเพราะมีนัดกับลูกค้าอีกราย…ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ” คุณอเนกพูดจบ ยื่นมือให้ลูกค้ารายใหญ่

“เช่นกันครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จับมืออีกฝ่ายแล้วยิ้มกว้าง

หน้าที่ต้อนรับลูกค้าคนสำคัญตกมาอยู่ที่อาภาพร หลังจากประธานบริหารเดินออกจากห้องประชุม

“ขอเชิญคุณภูมิมินทร์ ชมกระบวนการผลิตค่ะ”

“ได้ครับ…แล้วให้ใครพาชมครับ” ความใคร่รู้ปรากฏชัดในดวงตาของเขา

“เดี๋ยวให้พิมพ์นาราพาเดินชมค่ะ”

ชายหนุ่มหันไปหาเจ้าของชื่อแล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่น ทว่า…เขารับรู้ได้ถึงอาการหลุกหลิกจากผู้ชายที่นั่งฟากตรงข้าม จึงมองไปทางนั้นและคิดว่าตนเองตาฝาด ที่ได้เห็นดวงตาวาวโรจน์ของโยธิน

“ผมคงต้องไปด้วยครับ พิมไปคนเดียวไม่ดีแน่ น้องยังใหม่อยู่ ” โยธินกล่าวเสียงขรึม

“ถ้าอย่างนั้น…รบกวนโยด้วยแล้วกัน” อาภาพรพูดน้ำเสียงอ่อนโยน

ภูมิมินทร์สังเกตเห็นความผิดปกติบางสิ่ง เขารู้สึกว่า ผู้ชายที่ชื่อโยธิน จ้องมองตนเองราวกับขุ่นเคืองใจอะไรสักอย่าง ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่ต้องละความสงสัยนี้แล้วลุกเดินตามพิมพ์นาราไป

ขณะก้าวผ่านผู้หญิงร่างท้วมซึ่งนั่งเก็บแฟ้มเอกสารอยู่ที่โต๊ะประชุม กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวผ่านหน้า ภูมิมินทร์รีบเอื้อมคว้า ทว่าไม่ทัน เอกสารแผ่นนั้นลอยละลิ่วทิ้งตัวลงสู่พื้น ชายหนุ่มจึงก้มลงเก็บให้อีกฝ่าย

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา พบแผ่นหลังหนาและผมยาวรวบเป็นหางม้าของเจ้าของเอกสารซึ่งร่วงหล่น ทำให้เขาชะงัก เพ่งพิศอยู่เช่นนั้นอึดใจหนึ่ง เพราะช่างคล้ายคลึงกับสตรีร่างท้วมที่เขาเห็นเดินออกมาจากห้องวีไอพี ในบูธของบริษัท เอทา ฟู้ดส์ ที่งานจัดแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร

“ขอบคุณมากค่ะ” เอิงยิ้มตอบ พลางรับเอกสารมาจากลูกค้า หลังจากเหลียวซ้ายแลขวา หาอยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่เป็นไรครับ…” ภูมมินทร์กล่าว พร้อมหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความฉงน

ชายหนุ่มครุ่นคิดว่า ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เขาเจอในบูธของเกรียงไกรไหม หากเหตุผลหนึ่งแทรกเข้ามาในความสงสัย พนักงานของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ คงไม่ไปนั่งในห้องวีไอพีของบริษัทคู่แข่ง น่าจะเป็นความคล้ายคลึงจากบุคลิกของคนโดยทั่วไปมากกว่า




อุณหภูมิต่ำกว่ายี่สิบองศาเซลเซียสในห้องกระจกรอบนอก ไม่สามารถสร้างความเหน็บหนาวให้กับจิตใจที่ร้อนรุ่มของโยธิน ยามมองพิมพ์นาราและลูกค้ารายใหม่เดินเคียงกัน

เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่เห็นภูมิมินทร์สบตากับหญิงสาวในห้องประชุม แลดูสนใจเธอเป็นพิเศษ สร้างความวิตกแก่ตนเองอย่างมาก เพราะสายตาแบบนั้น โยธินเคยใช้มองพิมพ์นาราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

ท่าทีพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของทั้งคู่ราวกับรู้จักกันมานาน ทำให้เขาหงุดหงิดใจ จนเผลอยกมือขึ้นกอดอกและผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ชายหนุ่มเฝ้ามองหญิงสาวกระตือรือร้นอธิบายภาพในกระบวนการผลิตทันที ที่ลูกค้าคนสำคัญถาม ช่างแตกต่างกับตนเองซึ่งเธอไม่แม้แต่จะมองหรือพูดเล่นด้วย

ความไม่พอใจเพิ่มทวีคูณ เมื่อเดินมาถึงห้องชิลศูนย์แล้วเสียงหัวเราะของลูกค้าดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มเขินอายของหญิงสาว โยธินสืบเท้าเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง ใบหน้าคมเข้มผินมองพิมพ์นารา ก่อนจะเอ่ยปากถามภูมิมินทร์

“พิม…อธิบายอะไรหรือครับ คุณภูมิมินทร์ถึงหัวเราะดังเชียว”

“คุณพิม เล่าว่าห้องชิลศูนย์อุณหภูมิต่ำมาก พื้นห้องมีน้ำแข็งเกาะบางๆ จนเคยล้มคะมำลงไปนั่งจับกบ” เขาตอบน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“หรือครับ…” โยธินพึมพำ มองผ่านกระจกนิรภัยเข้าไปในห้องชิลศูนย์ อุณหภูมิภายในใจเริ่มผ่อนลง เมื่อนึกถึงวันที่เขาช่วยเหลือพิมพ์นารา จนล้มคะมำลงไปกับพื้นทั้งคู่ สัมผัสแผ่วเบาอันอบอุ่นที่ริมฝีปากยังติดตรึงมาถึงทุกวันนี้ทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มจางๆ ก่อนจะย่นหัวคิ้ว เมื่อได้ยินเสียงของภูมิมินทร์

“หนาวหรือพิม” ลูกค้ารายใหญ่พูดจบ เดินไปหาพิมพ์นารา

รอยยิ้มของโยธินหายวับทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาที่ฟังดูเป็นกันเอง พลางหันมองพฤติกรรมอันน่าสงสัยของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ภูมิ อากาศในห้องนี้ค่อนข้างเย็น แขนขาอาจสั่นบ้างเป็นเรื่องปกติ” หญิงสาวกอดอกแน่น ร่างบางสั่นน้อยๆจากความหนาวเย็น

คำว่า ‘พี่ภูมิ’ ทำให้โยธินรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับสิ่งที่ได้ยิน

ไปสนิทกันตอนไหน…

แต่ก่อนที่เขาจะสงสัยอะไรมากกว่านี้ นัยน์ตาคู่คมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นทันที เมื่อเห็นลูกค้าคนสำคัญขยับเสื้อสูทสีครีมออกจากกาย แล้วสวมมันลงไปที่ร่างของหญิงสาว

“บอกว่าไม่เป็นไรได้ยังไง เกิดไม่สบายขึ้นมาจะวุ่นวายกันไปใหญ่…อย่าดื้อนะ” ภูมิมินทร์พูดเสียงเบา เมื่อ
พิมพ์นาราขยับถอยหนี

โยธินตกตะลึงยืนมองตาลุกวาว ลืมความสงสัยที่มีทั้งหมด ความรู้สึกปวดร้าวแผ่ขยายในอก เมื่อเห็นร่างของพิมพ์นาราหยุดสั่นไหว หลังจากได้รับความอบอุ่นจากเสื้อสูทแลดูราคาแพงนั้น สองคนนี้เหมาะสมกันจนเขารู้สึกเป็นส่วนเกิน ช่างน่าหมั่นไส้จนแทบทนไม่ไหว…

“เดินมาถึงตรงนี้ก็ครบทุกส่วนของกระบวนการผลิตแล้ว…ขอเชิญคุณภูมิมินทร์กลับออกไปข้างนอกดีกว่า อยู่ในห้องนี้นานๆ อากาศเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายครับ” เขากล่าวเสียงเข้ม จนอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปพร้อมพิมพ์นารา ทิ้งให้คนพูดยืนหน้าคว่ำอยู่คนเดียว

โยธินรู้สึกกระวนกระวายใจในท่าทีของทั้งสองคน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความไม่พอใจซึ่งพลุ่งพล่านอยู่ในอก แล้วกลับมาวิเคราะห์อารมณ์ของตนเอง อดประหลาดใจไม่ได้ ปกติเขาเป็นคนใจเย็นต่อทุกสถานการณ์ ทว่า วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น…
ความคิดหนึ่งสว่างวาบเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มเผลอกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ

ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก…ที่ตัวเขาเองเปลี่ยนไป

อาการเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่ วันแรกที่ได้เจอกับเธอ

พิมพ์นารา…ผู้หญิงที่ดึงโยธินออกมาจากความนิ่งสุขุม และทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันกับคนที่ใช้เหตุผลในทุกๆ เรื่องเช่นเขา

แต่ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า สิ่งนี้คือ เรื่องจริง…

เรื่องจริงที่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ให้เผลอใจให้เธอ…





“คนนั้นเขาดูแปลกๆ นะ” ภูมิมินทร์กล่าวขึ้นช้าๆ เมื่อเดินมาถึงที่จอดรถพร้อมกับพิมพ์นารา

“คนไหนหรือคะ”

“คนที่ชื่อโยธิน…ดูเหมือนเขาไม่ค่อยชอบพี่”

“ทำไมพี่ภูมิ คิดอย่างนั้นล่ะ” พิมพ์นาราหยุดยืนข้างรถยุโรปทรงหรู จ้องมองอีกฝ่าย

“ไม่รู้สิ พี่เห็นเขามองพี่กับพิมแปลกๆ ” คนพูดเห็นหญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นจึงกล่าวต่อ

“สงสัยเขาจะหึงพิม”

บทสรุปของเขาทำให้ดวงตากลมใสของคนฟังพองโตขึ้น

“พี่ภูมิรู้ได้ยังไงคะ”

“ก็เวลาพี่ชอบผู้หญิงคนไหน แล้วมีผู้ชายแปลกหน้ามาเข้าใกล้ พี่คงมีท่าทางไม่พอใจเหมือนเขา”

ภูมิมินทร์ขมวดคิ้วมุ่น ความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านดวงตาที่จ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อของอีกฝ่าย

“แล้ว…พิมชอบเขาไหม” เขาตัดสินใจถาม ทำให้ได้เห็นแววตาระริกไหวของเธอ

“พิมจะชอบเขาได้ยังไง หมอนี่กวนประสาทจะตาย…ว่าแต่ ผู้หญิงที่ทำให้พี่ภูมิไม่พอใจ เวลามีผู้ชายมาเข้าใกล้เป็นใครกันคะ” เธอหันมองทางอื่น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

ภูมิมินทร์นิ่งไปสักพักจนพิมพ์นาราหันกลับมามอง เขาจึงสบนัยน์ตาคู่งาม หวังให้อีกฝ่ายเห็นคำตอบในดวงตาที่เฝ้ามองเธอมานาน

“ว่ายังไงคะ…แล้วพิมรู้จักไหม”

“รู้จักสิ…รู้จักดีด้วย”

“ใครกันคะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูตื่นเต้น

“ไว้ให้พี่มั่นใจก่อน…ว่าเขามองมาที่พี่ เหมือนที่พี่มองไปที่เขา”

พิมพ์นาราหรี่ตามองชายหนุ่ม ก่อนจะสะบัดหน้าหนี หันไปค้อนลมค้อนแล้งแล้วบ่นพึมพำ

“นี่ละน้า…พอมีสาวที่รักแล้วก็ปิดบังน้อง”

เขายิ้มกว้างส่ายหน้าเบาๆ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือยีผมยาวสลวยของคนตรงหน้า

“โอ๊ย ! พี่ภูมิ เล่นแบบนี้เหมือนตอนเป็นเด็กเลย เดี๋ยวผมพิมยุ่งแล้วไม่สวยนะ” เธอเบี่ยงตัวหลบมือใหญ่เป็นพัลวันพร้อมถอยกรูดออกห่างจากชายหนุ่ม ยกมือขึ้นจัดทรงผมเร็วๆ

“กลับไปทำงานได้แล้ว” เขากล่าวพลางเปิดประตูรถยนต์ เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ

“ขับรถดีๆ นะคะ”

กระจกรถยนต์เลื่อนลงมาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของภูมิมินทร์ พิมพ์นาราจึงรีบโบกมืออำลา ก่อนที่เขาจะถอยรถหมุนออกจากรั้วของบริษัท มุ่งตรงสู่ถนนใหญ่

ทันทีที่กระจกรถเลื่อนปิด รอยยิ้มของคนขับก็เลือนหาย นานแค่ไหนแล้ว ที่สายตาคู่นี้เฝ้ามองหญิงสาวจอมแก่นแสนเฮี้ยวในวัยเรียนจวบจนเข้าสู่วัยทำงาน วันเวลาที่หมุนเปลี่ยนไม่เคยพรากความรู้สึกในใจเขาไปได้
ความห่วงใยและผูกพัน ก่อเกิดเป็นความรักคล้ายเส้นด้ายบางๆ คล้องหัวใจภูมิมินทร์ไว้กับเธอ เพียงแต่ พิมพ์นาราไม่เคยสังเกตเห็นด้ายเส้นนั้น

นักธุรกิจเช่นเขา แม้จะกล้าลงทุน ต่อสู้กับคู่แข่งมามากมาย ทว่า เรื่องหัวใจกลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มไม่กล้าเผยความในใจให้เธอล่วงรู้ ความรักสำหรับเขาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเปราะบางเกินกว่าจะรับมือกับความผิดหวัง
การได้ดูแล ใกล้ชิดสนิทสนม เป็นที่ปรึกษาให้พิมพ์นาราในทุกเรื่องอย่างเช่นทุกวันนี้ ทำให้ภูมิมินทร์สุขใจอย่างเปี่ยมล้น เกินกว่าจะเสี่ยงกับคำบอกรักเพียงคำเดียว แล้วทำให้เธอเปลี่ยนไป…





“ร่ำลากันเพลินจนลืมคืนเสื้อที่เขาให้ยืมมาหรือไง” น้ำเสียงขุ่นเคืองดังมาจากหน้าบันไดทางขึ้นชั้นสองของอาคารสำนักงาน ทำให้พิมพ์นาราก้มลงมองเสื้อสูทสีครีมที่สวมใส่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมคืนให้แก่ภูมิมินทร์

หญิงสาวยิ้มจางๆ นึกถึงเจ้าของเสื้อที่กลับไปแล้ว สองมือขยับเสื้อสูทให้กระชับกาย ก่อนจะเดินเบี่ยงหลบร่างสูงเพื่อขึ้นบันได

แต่…ต้องหยุดชะงัก เมื่อโยธินก้าวเข้ามาประชิดตัวขวางทางไว้

“หรือว่า ตั้งใจไม่คืนเพื่อจะได้เจอกันอีก” เขาขึงตาวาววับใส่พิมพ์นารา

“ไม่รู้อะไรแล้ว อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดอย่างท้าทาย

“เห็นๆ กันอยู่…ดูแลกันอบอุ่นขนาดนี้” เขาไม่หยุดแขวะ

“แค่ให้ยืมเสื้อใส่กันหนาว…คงไม่อบอุ่นเท่าเดินแอบอิงกันในงานแสดงเครื่องจักรอาหารหรอก”
ทันทีที่เธอพูดจบ โยธินขมวดคิ้วมุ่นราวกับครุ่นคิดบางสิ่ง แล้วมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์

“ที่ไม่คุยกับพี่มาสองวัน…เพราะเห็นพี่เดินประคองน้องหญิงดาวในวันงานแสดงเครื่องจักรใช่ไหม”

พิมพ์นาราเชิดคางขึ้นแทนคำตอบ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น โยธินจึงจับบ่าอีกฝ่ายให้หันกลับมามอง

“ปล่อยนะ”

“ฟังพี่นะ…วันนั้นน้องหญิงดาวไม่สบายจนเป็นลม พี่ต้องช่วยพยุงเขาเดิน” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม เธอหันมองคนพูดทันที

“น้องหญิงดาวเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ เราในฐานะรุ่นพี่ ถ้ามีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ต้องทำ ไม่ใช่แค่พี่นะ ตัวพิมเองด้วย บรรยากาศในการทำงานจะได้อบอุ่นและน่าอยู่”

น้ำเสียงนุ่มนวลทำให้สีหน้าตึงเครียดของหญิงสาวผ่อนคลายลง

“พี่ไม่เคยคิดอะไรกับน้องเขาเลยเพราะพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว” โยธินพูดพลางส่งสายตาจริงจังมาให้เธอ จนใบหน้าของพิมพ์นาราเริ่มร้อนผ่าว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

“สงสารคนโชคร้ายคนนั้นจัง” คนพูดลอยหน้าลอยตา หวังจะยียวนเขา

“สงสารใคร”

“คนที่ลุงชอบนะสิ” เธอจับมืออีกฝ่ายที่กุมหัวไหล่ตนเองไว้ ตั้งใจจะปัดออก

“สงสารตัวเองหรือ”

พิมพ์นาราอ้าปากค้าง ใบหน้าแดงซ่านยิ่งกว่าเดิม ลืมอารมณ์โกรธที่สะสมมาหลายวันราวกับให้อภัยเขาจนหมดสิ้น

ใช่…ตอนนี้เธอกำลังสงสารตัวเองที่ทำอะไรไม่ถูก ตัวเบาหวิวคล้ายลอยได้ กว่าจะได้สติก็เผลอบีบมือชายหนุ่มจนแน่น…รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นสายตาคมจับจ้องที่มือตนเอง

หญิงสาวปัดมือเขาออกจากหัวไหล่ทันที อยากจะเชิดหน้าสู้ แต่ก็แพ้อาการขวยเขินจนต้องก้มหน้างุด

“อีตาลุงบ้า…แล้วทำไมฉันต้องสงสารตัวเองด้วย” เธอรีบพูดกลบเกลื่อนอาการเขินอาย

“อ้าว ! แล้วเมื่อกี้ สงสารใครล่ะ”

“สงสารคนที่ลุงชอบ…” พิมพ์นาราเบิกตากว้าง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พูดออกไป ก่อนจะหลับตาปี๋ เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ถ้าเป็นสมัยเด็กตอนเรียนอนุบาล เธอคงเต้นผางๆราวกับเจ้าเข้าสิง เมื่อถูกเขาต้อนจนมุม

“ไม่คุยด้วยแล้ว” เธอรีบจ้ำหนีขึ้นบันได

“เดี๋ยว ! สรุปเราหายโกรธกันแล้วใช่ไหม…ว่าไง”

เสียงตะโกนถามทำให้หญิงสาวเหลียวมองคนพูด ซึ่งวิ่งตามขึ้นมา ก่อนจะเบ้ปากใส่ทั้งที่ในใจยิ้มร่า
พิมพ์นาราอยากปฏิเสธความรู้สึกในเวลานี้ เพื่อย้ำเตือนความตั้งใจสำหรับการมาทำงานในบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ประสบการณ์เพียงหนึ่งปี ตามข้อตกลงของพ่อ จากนั้นจะได้ไปใช้ชีวิตตามที่ปรารถนา

ทว่า …เธอปฏิเสธความสุขที่เกิดขึ้นไม่ได้ โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปเพียงเสี้ยววินาที พร้อมกับหัวใจที่พองโตราวกับลูกโป่งล่องลอย
ขึ้นไปสู่ผืนฟ้า หญิงสาวได้แต่ยิ้มและยิ้มให้กับบางสิ่งในหัวใจซึ่งเบ่งบานจากถ้อยคำของเขา

แตกต่างกับคนที่แอบยืนฟังอยู่ด้านบน

หญิงดาวหลบเข้าหลังเสาต้นใหญ่ ข้างบันไดทางขึ้นทันทีที่พิมพ์นาราและโยธินวิ่งตามกันขึ้นมา เธอกัดริมฝีปากเคลือบสีชมพูมันวาวแน่น เขม้นมองคนทั้งสองวิ่งหยอกล้อกันเข้าไปในห้องทำงานด้วยใจเจ็บปวดรวดร้าว แผนการที่เคยคิดว่าประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย โดยเธอไม่ต้องมีบทบาทใดๆ เลย เพียงแค่ใช้โอกาสความเป็นเด็กใหม่ ให้นันทนาแยกโยธินและพิมพ์นาราออกจากกัน ในวันงานแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหารกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง

ตลอดเวลาที่เติบโตมา ไม่มีสิ่งไหนที่ต้องการแล้วไม่ได้รับ เธอถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อและแม่ต่างเอาอกเอาใจ ไม่ต่างจากไข่ในหิน แทบจะไม่รู้จักความผิดหวังเสียด้วยซ้ำ

แต่ครั้งนี้…เธอมองเห็นมันชัดเจนจากความเจ็บช้ำใจ หลังจากได้ยินคำพูดของโยธิน สิ่งที่คาดหวังไว้พังทลาย

เมื่อรู้ว่าพิมพ์นาราต่างหากคือ ผู้หญิงที่เขาชอบ…

พลัน…ความคิดบางอย่างโลดแล่นเข้ามาในความคับแค้นใจ

ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้นล่ะ…โอกาสที่เธอจะได้ครอบครองหัวใจของโยธินคงไม่ยากเย็น

สีหน้าบึ้งตึงปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก ดวงตาคมเขียนขอบสีดำเข้ม เพ่งมองไปยังทางเดินซึ่งทั้งคู่เพิ่งลับตาไป หญิงดาวขยำกระดาษเอกสารในมือแน่นจนยับย่น ราวกับมันเป็นตัวแทนของพิมพ์นาราคนที่เธอเกลียดชัง

มีความสุขกันให้พอเถอะ…ก่อนจะไม่มีโอกาสได้รู้จักมันอีก !




“คุณอเนกเซ็นเอกสารให้พี่หรือยังคะ” นันทนาถามเสียงหวานทันที เมื่อเห็นหญิงดาวกลับเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน เพราะเอกสารที่ยื่นกลับคืนมายับยู่ยี่

“ตายแล้ว ! ทำไมมันเยินขนาดนี้ล่ะคะ” เธอหน้ามุ่ย เมื่อเห็นสภาพเอกสารขออนุมัติการจัดงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท

หญิงดาวมองเอกสารซึ่งอาสาเอาไปให้คุณอเนกเซ็นในห้องประชุม ทันทีที่รู้ว่าโยธินเข้าร่วมประชุมด้วย แต่แล้วก็คลาดเคลื่อนกัน เมื่อเข้าไปในห้องประชุมพบเพียงเอิง กำลังหอบแฟ้มเอกสารกลับห้องทำงาน จึงสอบถามได้ความว่า คุณอเนกกลับไปนานแล้ว ส่วนโยธินพาลูกค้าลงไปชมกระบวนการผลิต เธอจึงรีบตามไปข้างล่าง

“สั่งพิมพ์ใหม่สิคะ…ไม่เห็นจะยาก” หญิงดาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ

“หัวหน้าพี่เพิ่งเซ็นไปเองค่ะ รอลายเซ็นอนุมัติของคุณอเนกคนเดียวก็จะส่งอีเมล์ ประกาศการจัดงานเลี้ยงประจำปีได้แล้ว ขืนเอาไปให้เซ็นใหม่มีหวังโดนบ่นแน่ๆ ” นันทนามองอีกฝ่ายหน้าละห้อย

“ข้อมูลในนี้มีอะไรบ้างล่ะคะ ถ้าไม่สำคัญมาก พี่นันก็บอกไปว่า หญิงดาวทำหายเองก็ได้”

“ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกค่ะ เป็นข้อมูลการประชุมซึ่งกรรมการจัดงาน สรุปหน้าที่ของแต่ละแผนกสำหรับงานเลี้ยงประจำปีนี้ ”

“แล้วแผนกเราทำอะไรบ้างคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปเห็นเพื่อนรุ่นพี่คลี่กระดาษยับย่นออกมาอ่าน

“ตัวพี่ทำหน้าที่ประสานงานกิจกรรม ส่วนน้องหญิงดาว ได้รับมอบหมายให้รำอวยพรเปิดงานค่ะ”

“ทำไมหญิงดาวต้องรำอวยพรด้วยล่ะ”

“ที่นี่จะให้พนักงานที่เข้ามาใหม่ในแต่ละปี รำอวยพร เป็นการแสดงความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่”

“พนักงานที่เข้ามาใหม่ในแต่ละปี…” เธอทวนคำพูดของนันทนาแล้วหรี่ตาลง เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะเอ่ยถาม

“หญิงดาวต้องรำอวยพรคนเดียวหรือคะ”

“มีพิมพ์นาราและธารธาราด้วย เพราะสองคนนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ปีนี้…เอ๊ะ! มีหมายเหตุข้างล่าง” นันทนาเพ่งมองข้อความในเอกสาร

“ขอเปลี่ยนตัวธารธาราไปทำหน้าที่ประสานงานกิจกรรม แทนผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่ต้องไปศึกษาดูงานในต่างประเทศเดือนหน้า”

“แสดงว่า หญิงดาวต้องรำกับพี่พิมสองคน ! ” เสียงของเธอดังราวกับกรีดร้อง

อีกฝ่ายรีบจุปาก ก่อนจะพูดขึ้นเสียงแผ่ว “เบาๆ สิคะ อย่าเอ็ดไป”

“หญิงดาวไม่อยากรำกับพี่พิม…” เสียงที่เปล่งออกมานั้นแข็งกร้าว

“ไม่เอาค่ะ อย่าพูดอย่างนี้ เดี๋ยวใครได้ยินเข้า น้องหญิงดาวจะดูไม่ดีนะคะ” นันทนายื่นหน้ามากระซิบ ก่อนจะชำเลืองมองไปรอบๆ ห้อง

“หญิงดาวจะไปบอกคุณพ่อ ว่าไม่ให้พิมพ์นารามารำด้วย” อารมณ์เกลียดชังที่สะสมมานานทำให้เธอหน้ามืด คิดจะทำอะไรตามใจต้องการทันที

“ถ้าทำอย่างนั้น รับรองได้ว่า พี่โยต้องรู้สึกไม่ดีกับน้องหญิงดาวแน่ค่ะ” อีกฝ่ายกล่าวเสียงหนักแน่น

หญิงดาวขมวดคิ้วมุ่นราวกับคิดไม่ตกสำหรับทางออกของเรื่องนี้

เป็นตายร้ายดี เธอจะไม่ยอมรำอวยพรร่วมกับพิมพ์นาราเด็ดขาด

ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นสายตาชื่นชมของโยธินยามมองอีกฝ่ายรำบนเวที โดยไม่มองมาที่ตนเองเลย

ความกดดันทำให้เธอก้มหน้าลง ปิดเปลือกตาแน่น คิดทบทวนอย่างหนักเพื่อค้นหาทางออก ก่อนจะเงยหน้าลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าตื่นตระหนกของนันทนา จ้องมองเธอราวกับกลัวว่าจะหายไปจากตรงหน้า

“รู้แล้ว…ว่าต้องทำยังไง” น้ำเสียงเย็นเยียบถูกเค้นออกมาจากริมฝีปากช้าๆ

“ทำยังไงคะ” แตกต่างจากเสียงของนันทนาที่ฟังดูตื่นเต้นลุ้นระทึก

หญิงดาวมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม แล้วกระตุกมุมปากขึ้น ก่อนจะบอกแผนการกำจัดศัตรูให้อีกฝ่ายได้รับรู้



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ธ.ค. 2556, 11:56:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ธ.ค. 2556, 11:58:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1163





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
phugan 11 ธ.ค. 2556, 19:00:41 น.
หญิงดาวนี่ร้ายจริงๆเลย.....เขินแทนนู๋พิมลุงเล่นมาบอกชอบต่อหน้า...


พราวชมพู 11 ธ.ค. 2556, 20:35:20 น.
ดีใจนะคะที่คุณ phugan ชอบ ขอบคุณมากค่ะ ^ ^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account