กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 9

แสงไฟสีขาวนวลล้อมกรอบสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเท่ากล่องไม้ขีดไฟ ส่องเรืองให้ตัวเลขที่ฝั่งอยู่ตรงกลางเด่นชัด พิมพ์นาราจ้องมองตัวเลขนั้น หลังจากกดเลือกชั้นภายในลิฟต์กระจกหรูของโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางเมือง เธอยืนนิ่งรอคอยการเคลื่อนตัวของลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้นหกสิบ ที่ตั้งของ ‘เดอะ โดม’ ภัตตาคารลอยฟ้ามีชื่อเรียกตามลักษณะหลังคาโค้งครึ่งวงกลม สีขาวกระจ่างเด่นสง่าระฟ้าผืนกว้าง

กระจกเงารอบด้านภายในลิฟต์ สะท้อนให้เห็นประกายวาววามจากตัวเธอ ใส่ชุดราตรีผ้าไหมสีครีม ประดับเพชรเม็ดละเอียดบนสายเดี่ยวที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง เข้ากันกับสร้อยเพชรเม็ดงามบนคอระหง ชายกระโปรงแลดูพลิ้วไหวไล่ความยาวต่างระดับมาถึงหัวเข่า ไม่ต่างจากการแต่งกายอันหรูหราของผู้หญิงและผู้ชายภายในลิฟต์โดยสารตัวเดียวกัน คาดเดาได้ทันทีว่ามางานเดียวกันกับเธอ งานเลี้ยงฉลองยอดขายและเปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นชาบูนิชิรันสาขาใหม่ของภูมิมินทร์

หญิงสาวหวนนึกถึงความตั้งใจแต่แรก ที่จะไม่มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เมื่อเจ้าของงานเอ่ยปากเชิญคุณอเนกประธานบริหารบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ในเดือนที่ผ่านมา แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะทราบจากภูมิมินทร์ว่า คุณอเนกติดงานสำคัญไม่สามารถมาร่วมงานนี้ได้ จึงส่งผู้บริหารของบริษัทในเครือมาแสดงความยินดีแทน สร้างความรู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้ยินเพราะพนักงานตัวเล็กๆ ตำแหน่งไม่สูงนักอย่างเธอ คงจะไม่มีคนใหญ่คนโตของบริษัทในเครือท่านใดจำได้…

เครื่องบันทึกเสียงอัตโนมัติประกาศหมายเลขชั้นที่มาถึงเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมประตูลิฟต์เปิดออก พิมพ์นาราก้าวเดินออกจากลิฟต์ สิ่งแรกที่มองเห็นคือ โคมไฟระย้าทรงกลมขนาดใหญ่ ประดับด้วยแก้วคริสตัลรูปหยดน้ำ เหนือขึ้นไปเป็นเพดานโค้งครึ่งวงกลม บนเนื้อปูนเต็มพื้นที่เพดานตรงกลางคือ ภาพเทพีวีนัสเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนก้อนเมฆขาวปุยสลับกับมวลดอกไม้หลากสีสันพาดยาวเป็นช่อระย้า

แวดล้อมด้วยกามเทพตัวน้อยกำลังแผลงศร สิ้นสุดพื้นที่ของภาพวาด ปรากฏใบไม้สีทองอร่าม เรียงโค้งตามทรงของเพดานโดม สะท้อนรับแสงเหลืองนวลจากโคมไฟระย้าแลดูโดดเด่น

หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมา พบโต๊ะกระจกตัวยาวตามขอบประดับด้วยใบไม้สีทอง เช่นเดียวกับบนเพดาน วางตั้งอยู่กลางห้อง ด้านบนมีสมุดปกหนังสีน้ำตาลขนาดใหญ่ กางเปิดอยู่พร้อมปากการูปทรงขนนก พนักงานต้อนรับผู้หญิงสองคนในชุดสูทสีขาวลุกขึ้นยืน พนมมือไหว้ทันทีที่เธอเดินเข้ามาหา

“สวัสดีค่ะ คุณพิม” หนึ่งในนั้นพูดจบแล้วเปิดสมุดบนโต๊ะ ไล่สายตามองหาบางสิ่ง ส่วนอีกคนหันไปต้อนรับแขกที่ทยอยเดินเข้ามาในงาน

“ชื่อของคุณพิมอยู่หน้านี้ค่ะ”

พิมพ์นาราเขียนชื่อลงทะเบียนเข้างานและคำอวยพรให้แก่เจ้าของงานเลี้ยง ตามเสียงแนะนำของอีกฝ่ายที่จำเธอได้เพราะเป็นพนักงานบริษัทของภูมิมินทร์

“พี่ภูมิมาแล้วหรือยังคะ” เธอเอ่ยถามทันทีที่ลงทะเบียนเสร็จ

“เจ้านายเพิ่งกล่าวเปิดงานเสร็จไปเมื่อสักครู่ ตอนนี้อยู่ในงานด้านล่างแล้วค่ะ…เชิญคุณพิมถ่ายรูปตรงซุ้มทางด้านโน่นก่อนนะคะ” พนักงานต้อนรับค้อมตัวลง ผายมือด้วยท่าทีนอบน้อม ไปทางซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่พาดยาวด้วยผ้าหลากสีสัน สลับกับข้อความฉลองยอดขายและเปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นชาบูนิชิรันสาขาใหม่

แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปหลายตัวกะพริบขึ้นต่อเนื่อง โดยไม่มีทีท่าจะหยุดจากบริเวณนั้น พิมพ์นารามองเห็นดาราจำนวนมากทั้งชายและหญิงถูกเชิญมาเพื่อโฆษณางานในวันนี้ รวมทั้งบรรดาแขกผู้มีเกียรติในแวดวงธุรกิจ มีหลายคนที่เธอจำได้ว่า เคยเจอตอนออกงานสังคมร่วมกับพ่อและแม่ พลัน นึกขอบคุณโชคชะตาที่ทั้งอาทิตย์นี้ ท่านทั้งสองติดประชุมงานกับบริษัทหุ้นส่วนในต่างประเทศ มิฉะนั้น ถ้ามาด้วยกันเธอคงต้องยืนปั้นยิ้มเพื่อฟังพวกผู้ใหญ่พูดจนเมื่อย

“ไม่เป็นไรค่ะ…ขอไปหาพี่ภูมิก่อนดีกว่า” พิมพ์นาราตอบพลางพยักหน้าให้อีกฝ่ายที่ยืนยิ้มกว้าง แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูกระจก

เธอผ่อนฝีเท้าลง เหลือบตามองกระจกใสบานใหญ่รายล้อมห้องนี้ สูงจากเพดานโดมจรดพื้นหินอ่อนซึ่งปูพรมแดงผืนนุ่ม แล้วอดนึกชมคนสร้างไม่ได้ที่ทำให้บรรยากาศแลดูทันสมัย กลมกลืนกับศิลปะแบบยุโรปยุคเก่าอย่างลงตัว ก่อนจะกวาดสายตาออกไปสำรวจภายนอก ท่ามกลางความมืดยามราตรี มีแสงสว่างกระจายตัวอยู่เป็นกลุ่มๆตามโต๊ะซึ่งตั้งเรียงราย พอให้เห็นรายละเอียดความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มาร่วมงาน

หญิงสาวกำลังจะก้าวเดินออกไปข้างนอก แต่ ต้องชะงัก เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับรูปปั้นสีทองอร่ามของสตรีผมยาวสูงระดับเอว ขนาบสองข้างประตูกระจก โอบอุ้มโคมไฟรูปคบเพลิงทำจากแก้วคริสตัล เปล่งประกายแวววาวยามต้องแสง พิมพ์นาราชอบใจความละเอียดของกลีบผ้า พาดคลุมจากหัวไหล่ของรูปปั้นยาวลงมา ทอดตัวกรุยกรายบนพื้น แลดูพลิ้วไหวคล้ายผ้านุ่มราวกับไม่ใช่รูปปั้นตามความจริง

ประตูกระจกด้านบนสุดโค้งรับกับเพดานโดม ตกแต่งด้วยเหล็กขดสีทองเป็นเครือเถาใบไม้ เปิดออกทันทีที่เธอเดินเข้ามาใกล้ เมื่อก้าวพ้นจากอาคารทรงโดม

พิมพ์นารารู้สึกว่า…เธอกำลังลอยได้ !

ภาพเบื้องหน้าคือ ดาดฟ้าขนาดใหญ่กว้างราวกับสนามกีฬา มีขอบระเบียงเหล็กดัด ลวดลายอ่อนช้อยประดับไฟระยิบระยับบนชั้นหกสิบ…ชั้นบนสุดของโรงแรมหรู ท่ามกลางแผ่นกำมะหยี่ดำจัดของท้องฟ้ายามค่ำคืน

สายลมพัดต้องตัวเธอคล้ายต้อนรับเข้าสู่ภัตตาคารลอยฟ้า…

พิมพ์นาราก้าวลงจากบันไดทรงปีรามิดสีน้ำตาลขรึม แสงขาวกระจ่างจากหลอดไฟ ที่ฝังอยู่รอบขั้นบันได ส่องเรืองลงไปสู่ลานจัดเลี้ยง พลางกวาดสายตามองหาภูมิมินทร์ โดยอาศัยความสว่างจากเสาแก้วเรืองแสงสูงราวสองเมตรและแสงไฟนวลผ่องบนพื้นล้อมโต๊ะอาหารแต่ละตัว ตั้งอยู่ทั่วบริเวณงาน ราวกับโต๊ะเหล่านั้นลอยอยู่บนผืนฟ้าสีดำสนิท

ปลายสุดของระเบียงยื่นออกไปบนท้องฟ้าเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ปรากฏน้ำพุทำจากปูนปั้นสีขาวรูปพานสามชั้น สายน้ำแต่ละชั้นพุ่งโค้งดิ่งลงสู่ฐานวงกลมเบื้องล่าง กระทบแสงจากโคมไฟใต้น้ำ ส่องสว่างสีเหลืองนวลเกิดประกายระยิบระยับ จับดวงหน้าด้านข้างของคนที่เธอกำลังมองหา

“พี่ภูมิมาอยู่ตรงนี้เอง”

ภูมิมินทร์กำลังยืนชมท้องฟ้ายามค่ำคืน เอี้ยวตัวกลับมามองตามเสียงเรียก เธอจึงพบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง

หากแต่ มีผู้ชายวัยเดียวกันยืนอยู่ด้วย

“ขอโทษค่ะ…พี่ภูมิมีแขกอยู่หรือเปล่าคะ”

คนถูกถามหันมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก

“ไม่ใช่แขกสำคัญที่ไหนหรอก…เพื่อนพี่เอง เขาชื่อเกรียงไกร”

“สวัสดีค่ะ พี่เกรียงไกร” พิมพ์นาราพนมมือไหว้คนที่เพิ่งถูกแนะนำ

“สวัสดีครับ…นี่ใช่ไหมน้องพิม” ชายหนุ่มยกมือขึ้นรับไหว้อีกฝ่าย

“ค่ะ..” เธอเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

“เจ้าภูมิพูดถึงอยู่บ่อยๆนะครับ พอเห็นตัวจริง ก็เลยเดาได้ไม่ยากว่าคือคนนี้ คนที่เจ้าภูมิ มัน…” เกรียงไกรพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะรองเท้าหนังของเพื่อน เปลี่ยนตำแหน่งมาวางลงบนเท้าตนเอง

เธอขมวดคิ้วมุ่นมองคนพูดด้วยแววสงสัย ก่อนจะหันมองภูมิมินทร์ที่กำลังขึงตาใส่เพื่อน

“พิมอย่าไปสนใจเลย…เพื่อนพี่คนนี้มันทำงานหนักก็เลย พูดจาเพ้อๆ ”

เกรียงไกรกำลังขยับขาสลัดเท้าของภูมิมินทร์ออก หยุดชะงักทันที เมื่อได้ยินประโยคค่อนขอด ก่อนจะเงยหน้าสบตาเพื่อน สีหน้าบึ้งตึง

“อนาคตคงหนีไม่พ้นเบอร์หนึ่งของวงการธุรกิจอาหาร คู่แข่งที่น่ากลัวของ บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์” น้ำเสียงของภูมิมินทร์ฟังดูเอาใจขึ้นมาทันใด เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้ามุ่ย

หญิงสาวเพ่งมองเกรียงไกรทันทีที่ภูมิมินทร์พูดจบ ลืมความสนเท่ห์ในท่าทางประหลาดของทั้งคู่ สะดุดหูตรงคำพูดท้ายประโยค ‘คู่แข่งที่น่ากลัวของ บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ’ แล้วรู้สึกหวั่นไหว ราวกับคนที่เธอเพิ่งทำความรู้จักเป็นบุคคลซึ่งน่าเกรงกลัว แม้ว่า ระยะเวลาทำงานเพียงหกเดือนใน บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ จะไม่มากนัก แต่สร้างความผูกพันอย่างน่าประหลาดให้แก่เธอโดยไม่รู้ตัว

พิมพ์นารารู้สึกเหมือนยืนอยู่คนละฝั่งกับเกรียงไกร โดยมีกำแพงแห่งความหวาดระแวงคั่นอยู่

“บริษัทของพี่เกรียงไกรชื่อ บริษัทอะไรคะ” เธอฝืนใจถาม ทั้งที่คาดเดาคำตอบไว้แล้ว

“บริษัท เอทาฟู้ดส์ ครับ ยังไม่ใช่บริษัท ใหญ่โตอะไรอย่างที่ เจ้าภูมิมินทร์มันบอกหรอก” เขาพูดพลางยืดหลังตรงขึ้น เมื่อยืนได้สะดวก

“ไม่ใหญ่โตได้ยังไง ภายในสิ้นปีนี้โรงงานใหม่ของแกจะเปิดตัว เพื่อป้อนเนื้อหมูให้ร้านอาหารของฉันแล้ว หรือว่า…แกจะเบี้ยวผัดผ่อนไปอีก” น้ำเสียงของภูมิมินทร์ฟังดูเอาเรื่อง

“อีกแล้วนะครับท่าน ทวงกันอีกแล้ว…เรื่องที่รับปากไว้ไม่มีพลาดแน่นอน ตอนนี้ความคืบหน้าของโรงงานใหม่เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่ เรื่องที่ฉันแนะนำให้ไปติดต่อซื้อเนื้อหมูจาก บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ เป็นยังไงบ้าง”

“เรียบร้อยดี เขามืออาชีพมาก สามารถส่งเนื้อหมูในปริมาณที่ขาดตามที่ฉันต้องการได้”

“ไม่นานหรอก เอทาฟู้ดส์ต้องก้าวไปยืนล้ำหน้าฝ่ายนั้นแน่นอน…ยิ่งกลยุทธ์ในการผลิตเนื้อหมูสดที่ฉันได้มาอย่างยากลำบาก ต้องทำให้ ซีเอ็ม ฟู้ดส์ คาดไม่ถึง” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พลางขยิบตาข้างหนึ่งให้ภูมิมินทร์

สัญชาตญาณบางอย่างของพิมพ์นาราบ่งบอกว่า เกรียงไกรคือ บุคคลอันตราย เธอยืนฟังการสนทนาของทั้งสองคนเพื่อเก็บข้อมูลอย่างเงียบๆ ไม่กล้าพูดแทรกหรือถามสิ่งใดออกมา คาดเดาว่า อีกฝ่ายคงไม่รู้มาก่อน ว่าเธอทำงานอยู่ที่บริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ เพราะภูมิมินทร์ไม่มีทางเปิดเผยความลับของเธอให้ใครล่วงรู้

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องงานวันนี้กันเลยดีกว่า ฉันเริ่มเกรงใจน้องพิมแล้ว” เกรียงไกรรีบตัดบท เมื่อเห็นท่าทางใคร่รู้ของเพื่อน

“ไม่เป็นไรค่ะ…ตามสบายเลย” เธอรีบพูด พยายามทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นว่าอยากรู้เรื่องราวมากแค่ไหน ทั้งที่ในใจร้อนรนและเสียดายที่เขาไม่ยอมเล่าต่อ

เสียงโทรศัพท์ของเกรียงไกรดังขึ้น เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมันขึ้นมา สนทนาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือออกจากข้างหู

“ขอตัวไปคุยงานก่อนนะครับ” เขาหันมาบอกทั้งคู่ แล้วเดินออกไปจากบริเวณน้ำพุ

พิมพ์นารารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติม เธอมองตามร่างของเกรียงไกรไปด้วยความใคร่รู้ ก่อนจะลอบถอนใจเบาๆแล้วเดินไปยังปลายสุดของระเบียง พลัน รู้สึกวูบหวิวทั่วแผ่นหลัง จิตใต้สำนึกซึ่งหวาดกลัวความสูงสั่งให้ขยับขาถอยมาหนึ่งก้าว แต่กระนั้น แสงพราวพรายที่กระจายตัวอยู่เบื้องล่าง กลับต่อต้านความพรั่นพรึงในใจและมีอำนาจพอให้เธอทอดสายตามองลงไป

ความโกลาหลของท้องถนน ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ในตอนกลางวัน กลับกลายเป็นประกายแสงจากเพชรเม็ดงาม ส่องวิบวับยามรถยนต์วิ่งผ่าน พื้นที่เมืองหลวงที่แลดูอัดแน่นเต็มไปด้วยบ้านเรือน เบียดเสียดยัดเยียดกับตึกสูงระฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นแสงพร่างพรายเรียงรายราวกับเพชรนิลจินดา โรยเกลื่อนอยู่บนแผ่นพสุธาดำสนิท

ความน่าอึดอัดยามแสงอาทิตย์ส่องกลับกลายเป็นความงดงามในยามค่ำคืน

สิ่งธรรมดาที่เราเห็นเป็นประจำ เพียงแค่เปลี่ยนมุมและเวลามอง มันกลับไม่เหมือนเดิม…ภาพความทรงจำของเมืองหลวงซึ่งไม่น่าอยู่สำหรับเธอ ในตอนนี้ผันแปรเป็นภาพสวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น…

เหมือนภาพของใครคนนั้น…

พิมพ์นาราเบนสายตามามอง แนวเส้นสีดำสนิทของแม่น้ำเจ้าพระยา ทอดตัวยาวผ่านใจกลางเมือง แบ่งแยกแสงแวววามออกเป็นซ้ายและขวา เธอมองเลยแสงไฟจากเรือสำราญ เคลื่อนตัวช้าๆไปสุดปลายโค้งน้ำซึ่ง ดวงดาวนับร้อยส่องประกายระยิบระยับ หยอกล้อสายน้ำที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับท้องนภา

‘วันนี้ดาวสวยมากลองมองขึ้นไปสิ’

เสียงของโยธินในวันเข้าค่ายอบรมสร้างสภาวะผู้นำ ดังขึ้นแผ่วเบาในห้วงคำนึง ริมฝีปากเรียวแย้มออกช้าๆ ยามมองดวงดาวที่แข่งกันอวดแสง

“พิม…” เสียงทุ้มต่ำทำให้เธอละสายตากลับมามองบริเวณน้ำพุ

พลัน เลือดในกายอุ่นขึ้นท่ามกลางสายลมพัดเย็น…

พิมพ์นาราเห็นโยธินยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมช่อดอกปทุมมาในมือ…

“พี่เอาน้ำมาให้” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ภาพของโยธินสั่นไหว ก่อนจะเลือนรางเปลี่ยนไปเป็นร่างสูงโปร่งของภูมิมินทร์

“พี่ภูมิ !” เสียงสั่นเครือของเธอทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นมอง

“เป็นอะไรไปหรือ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรค่ะ…” เธอพูดพลางมองซ้ายและขวา ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่แล้วก็ต้องเบิกตาขึ้นกว้าง

“จริงสิ น้ำฝากแสดงความยินดีมาด้วย รายนั้นไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่ เลยลางานไปแล้วสองวัน”

“ขอบใจมากนะ เดี๋ยวพี่คงต้องโทรไปเยี่ยมไข้เสียหน่อย ส่วนเราระวังจะไม่สบายไปอีกคน…นี่น้ำส้ม”ภูมิมินทร์ยื่นแก้วน้ำมาให้

“ขอบคุณค่ะ” เธอรับแก้วน้ำมาแล้วยกขึ้นจิบช้าๆ

“เมื่อสักครู่ พี่เจอคุณอาไพศาลกับคุณหญิงศรีวรรณ ท่านถามถึงพิมด้วย เราไปหาพวกเขากันไหมเพราะหลังจากที่พี่กล่าวเปิดงานเสร็จแล้ว ยังทักทายใครไม่หมดเลย มาเจอเจ้าเกรียงไกรเสียก่อน”

หญิงสาวใช้มืออีกข้างลูบขอบแก้วไปมา พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวงสังคม อย่างไรเสียการพบปะเพื่อสนทนาถึงความเป็นไปของแต่ละคน ก็คือมารยาทที่ควรทำให้เป็นนิสัย แม้ว่าเธอจะไม่ชอบนักก็ตาม

“ดีเหมือนกันค่ะ เพราะตอนเข้ามาในงาน พิมยังไม่ได้ไปสวัสดีพวกท่านเลย ตรงมาหาพี่ภูมิก่อน”
ภูมิมินทร์คลี่ยิ้มให้ทันทีที่เธอพูดจบ ก่อนจะพากันเดินไปยังโต๊ะอาหาร



พิมพ์นาราเดินจากไปพร้อมกับใครคนหนึ่งลดมือที่ถือโทรศัพท์ไว้ในระดับสายตาลง นัยน์ตาเคลือบสีเข้มตัดกับริมฝีปากแดงแจ่ม จ้องมองภาพที่ถ่ายไว้ทั้งหมด

หญิงดาวกรีดนิ้วไปมาบนจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อตรวจสอบความชัดเจนของรูปที่แอบถ่าย ตั้งแต่เห็นพิมพ์นาราเดินเข้ามาในงานแล้วยืนสนทนากับผู้ชายสองคน

“คนอย่างมันมารู้จักกับคนระดับนี้ได้ยังไง หรือว่า…ต้องใช่แน่ๆแผนกการตลาดกับลูกค้า” หญิงสาวบ่นกับตนเอง หลังจากเขยิบกายออกมาจากพุ่มไม้ประดับตามขอบระเบียงที่ใช้อำพรางตัว จัดการปัดใบไม้ออกจากชายกระโปรงชุดราตรีเกาะอกสีดำเปลือยแผ่นหลังส่วนบนให้ชวนมอง

“นึกว่าคู่แข่งของฉันจะน่ากลัว…ที่แท้ ก็แค่ผู้หญิงที่อยากรวยทางลัดหวังจะจับคนรวย” เธอยิ้มเหยียดหยันใส่พิมพ์นาราที่เดินไปไกลแล้ว




“ทำไมไปห้องน้ำนานเชียวลูก” ชายวัยกลางคนร่างสูงผอมเอ่ยถามทันทีที่หญิงดาวกลับมานั่งที่โต๊ะ

“วิวสวยมากค่ะคุณพ่อ…อดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เลยกลับมาช้า” เธอตอบพลางขยับเก้าอี้ออกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง

“ใช่สวยจริงๆ คนจัดงานเขาก็ช่างเลือก ท่าทางกิจการคงรุ่งเรืองขายดีแบบนี้ บริษัทเราต้องได้ยอดการสั่งซื้อมากมายแน่นอน” สุจริตกล่าวพลางกวาดสายตาไปรอบๆงาน ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่ง

ใครคนนั้นที่ชายวัยกลางคนเห็น จ้องมองตอบและเดินตรงมาที่โต๊ะ

“สวัสดีครับคุณสุจริต”

“สวัสดี…นั่งก่อนสิ มางานนี้ด้วยหรือ” คนถูกทัก แตะมือเบาๆที่เก้าอี้ว่างข้างกายตรงข้ามกับหญิงดาว ท่าทีแลดูเชื้อเชิญ แตกต่างกับใบหน้าซึ่งนิ่งเฉย

“เจ้าของงานเป็นลูกค้ารายใหญ่ของผมนะครับ” เขาขยับเก้าอี้ลงนั่งตามคำเชิญ

ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะปรายตามองคนพูด

“เรานี่ เก่งนะ มาบริหารงานแทนพ่อและแม่ไม่เท่าไร ธุรกิจก็เจริญเติบโต ผลิตสินค้าออกมาได้เหมือนชาวบ้านเขาหมด” น้ำเสียงสุจริตแฝงด้วยแววเย้ยหยัน ทำให้คนฟังกระตุกยิ้มที่มุมปาก

“สินค้าบางอย่าง เราก็ควรทำให้เหมือนกับที่ตลาดส่วนใหญ่เขาต้องการ แต่…บางอย่างคงต้องทำออกมาเพื่อไม่ให้ใครเลียนแบบได้ อย่างหลังคงขึ้นอยู่กับฝีมือ และความเก๋าของคนเริ่มต้นมากกว่าครับ” เขาเหยียดยิ้มใส่ทันทีที่พูดจบ

“แต่คนเราควรมีมันสมอง คิดเองทำเอง มากกว่าผลักภาระหน้าที่ มาให้ผู้ที่เขาริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานต้องมาคอยระวังตัวแจ…ว่าจะโดนขโมยความคิดไปตอนไหน นอกเสียจาก คนเหล่านั้นจะขาดสามัญสำนึกซึ่งเราคงต้องให้อภัย เพราะสิ่งง่ายๆยังคิดไม่ได้ นับประสาอะไรกับความคิดสร้างสรรค์…ว่าไหม” สุจริตพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“คุณพ่อจะไม่แนะนำหญิงดาวหน่อยหรือคะ” เธอขยับตัวสองสามที หลังจากสัมผัสได้ถึงความตึงเครียด

พ่อของหญิงดาวผ่อนคลายสีหน้าลง คลี่ยิ้มช้าๆ ผายมือไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

“นี่…คุณเกรียงไกร เจ้าของ บริษัท เอทา ฟู้ดส์”

หญิงดาวยกมือขึ้นไหว้ทันทีตามคำแนะนำ

“ส่วนคนนี้ หญิงดาวเป็นลูกสาวของผมเอง”

เกรียงไกรรับไหว้อีกฝ่ายแล้วยิ้มตอบ ก่อนจะหันกลับมามองประธานบริหารในเครือของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์

“ผมคงต้องขอตัวไปพบเจ้าของงานก่อนนะครับ…พอดีต้องไปคุยเรื่องการส่งมอบสินค้าในเดือนหน้า” เขาพูดจบแล้วยกมือไหว้ชายวัยกลางคน รอจนอีกฝ่ายพยักหน้ารับ จึงขยับตัวลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปบริเวณทางเข้างาน

หญิงดาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดหาภาพที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก้มลงมองอย่างพินิจพิเคราะห์

“เขาเป็นใครคะ ทำไมฟังดูพ่อกับเขา ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไร”

“คู่แข่งของบริษัทเราน่ะ คุณอาอเนกของลูกรังเกียจเขามากเพราะแย่งลูกค้าไป โดยใช้วิธีผลิตสินค้าเลียนแบบเรา แต่ขายในราคาถูกกว่า ยังดีนะที่กำลังการผลิตของ เอทา ฟู้ดส์ ไม่สามารถสู้เราได้ ฐานลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อในปริมาณมากจึงเอาไปไม่ได้เพราะไม่สามารถผลิตทัน” เขาอธิบายน้ำเสียงขุ่นเคือง

“แย่จังนะคะ…ทำแบบนี้” เธอเบ้ปากไปทางเกรียงไกร ก่อนจะก้มลงให้ความสนใจกับรูปถ่ายอีกครั้ง

ปลายนิ้วที่เล็บเคลือบสีแดงจัด เคาะเบาๆด้านหลังโทรศัพท์ ภาพพิมพ์นารายืนเคียงข้างลูกค้ารายใหญ่และเจ้าของบริษัท เอทา ฟู้ดส์ สว่างเรืองในพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก แววตาของหญิงดาวเป็นประกาย ฉายให้เห็นเล่ห์กลบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เธอยิ้มที่มุมปากอย่างขำขันแกมหยัน ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสาม





พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ธ.ค. 2556, 09:00:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ธ.ค. 2556, 09:00:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1277





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
phugan 12 ธ.ค. 2556, 19:50:03 น.
งานเข้าหนูพิมซะแล้วละ....


พราวชมพู 12 ธ.ค. 2556, 20:24:43 น.
ฝากพิมด้วยนะคะ คุณphugan

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account