กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: ตอนที่ 10

รอยยิ้มหยันที่มุมปากของหญิงดาวทำให้พิมพ์นาราหน้าชาเป็นระยะ เพราะปรากฏหลายครั้งขณะซ้อมรำในวันนี้ หญิงสาวสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่าง หวนนึกถึงวันแรกที่ได้รับมอบหมายให้รำอวยพรในงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท โดยมีครูนาฏศิลป์จากโรงเรียนชื่อดังมาสอนท่ารำให้

แต่ เธอกลับต้องเรียนเพียงลำพังเพราะหญิงดาวไม่สบาย จึงให้เรียนรำล่วงหน้าไปก่อนแล้วค่อยมาสอนกันเองภายหลัง ทว่า เมื่อเรียนจบไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ก็ยังไม่มีวี่แววของอีกฝ่าย มีพิมพ์นาราเพียงคนเดียวสละเวลาหลังเลิกงานขลุกตัวอยู่ในห้องประชุมเพื่อฝึกซ้อมท่ารำไม่ให้ผิดพลาด

ใกล้วันงานมากเข้า พิมพ์นารายิ่งร้อนใจจึงเข้าไปสอบถามและน่าแปลกใจที่ทุกครั้งจะได้รับคำตอบจากนันทนาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆแทนเจ้าตัว คำตอบวนเวียนอยู่เรื่องเดิมคือ ไม่สบาย แต่ สีหน้าและท่าทางของหญิงดาวช่างห่างไกลคำว่าเจ็บป่วยยิ่งนัก หลายครั้งเข้าคำตอบจึงเปลี่ยนเป็นติดงานสำคัญ จนเธอเริ่มทำใจว่างานนี้อาจต้องรำอวยพรเพียงคนเดียวแล้วอดสงสัยในพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้

ทว่า…สามวันสุดท้ายก่อนวันงาน ขณะเธอกำลังฝึกซ้อมรำ สายตาเหลือบเห็นหญิงดาวเข้ามาในห้องประชุมทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง จึงรีบสอนท่ารำอวยพรที่ซ้อมจนชำนาญให้ทันที

แต่ มันไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด เพราะอีกฝ่ายไม่ตั้งใจเรียนรู้เท่าที่ควร รำผิดรำถูก อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่แต่ละท่ารำไม่ได้ยากเกินไปราวกับต้องการยั่วอารมณ์ของคนสอน หากแต่มันไม่ได้ผลเพราะการที่พิมพ์นาราต้องเริ่มสอนใหม่หลายครั้ง ไม่ได้ทำให้เธอโกรธเคืองหรือรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้จดจำท่ารำได้ดีขึ้นเป็นการทบทวนไปในตัว

หากอารมณ์ของเธอจะสะดุดจนถึงขั้นหงุดหงิดใจ ในการพร่ำสอนคงมีอยู่เรื่องเดียวคือ รอยยิ้มเหยียดหยันราวกับเธอเป็นตัวน่ารังเกียจ

การแสดงที่ใช้เปิดงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทคือ รำอวยพรอ่อนหวานประกอบเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่หก เป็นทำนองเพลงสร้อยสนตัด


อำนวยพรอ่อนหวานประสานศัพท์
ร้องรับบรรเลงเพลงประสม
ทั้งร่ายรำงามตาน่าชม
สุขสมอารมณ์รื่นชื่นฤดี
ทุกข์โศกโรคภัยไม่บีฑา
ทั้งสมมาตรปรารถนาในทุกที่
สบโชคโภคทรัพย์นับทวี
เจริญศรีเกียรติยศปรากฏเทอญ


หญิงสาวสองคนเข้าคู่ประสานท่ารำ มือซ้ายตั้งวงหงายระดับเอว มือขวาตั้งวงล่าง เอียงศีรษะทางซ้ายกลมกลืนกับหัวไหล่และลำตัวเป็นเส้นโค้ง เกิดท่วงท่าแช่มช้อยสง่างาม ก่อนจะประเท้าหันไปทางขวา ตามจังหวะดนตรีไทยบรรเลง ร่ายรำไปจนจบท่อนร้องปรากฏเทอญ จึงกระดกเท้าซ้าย พนมมือระดับอกปลายนิ้วแยกออกจากกัน

ดนตรีไทยยังคงบรรเลงเป็นจังหวะ ให้ทั้งสองคนร่ายรำในท่าสอดสร้อยมาลา ถือพานดอกไม้มาไหว้ทั้งสี่ทิศ พิมพ์นาราจีบนิ้วหยิบดอกไม้ในพานโปรยปรายลงมา รอยยิ้มอ่อนหวานเฉกเช่นท่ารำอ่อนช้อยงดงาม ถูกส่งไปให้โยธินทันที เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องประชุม

พลัน เสียงแหลมของพานทองหล่นกระแทกพื้น ดังก้องขึ้น ท่ามกลางรอยยิ้มตอบของโยธินที่มีมาให้พิมพ์นาราราวกับเป็นสัญญาณความไม่พอใจของใครบางคนที่ได้เห็นภาพนั้น

“น้องหญิงดาว !” พิมพ์นารารีบวางพานดอกไม้ลงกับพื้น ประคองอีกฝ่ายซึ่งกำลังทรุดตัวลง แต่ ร่างเล็กของเธอเกือบจะเซล้มตามไปด้วย เพราะหญิงดาวสูงกว่า โชคดีที่โยธินเข้ามาช่วยไว้อีกแรง

ทั้งสองคนพยุงเพื่อนรุ่นน้องไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนุ่ม จังหวะเดียวกับที่ ธารธารา เตมินทร์และนันทนา ตามโยธินเข้ามาในห้องประชุมเพราะทั้งสี่คนได้รับมอบหมาย ให้ประสานงานกิจกรรมทีมเดียวกัน จึงนัดกันมาเตรียมความพร้อมสำหรับจัดงานเลี้ยงประจำปี

“ตายแล้ว ! น้องหญิงดาวเป็นอะไรไปคะ” นันทนาพูดเสียงแหลม สาวเท้าเข้าไปหาทันที

“ปวดหัวค่ะ…” เธอตอบแผ่วเบา

“เห็นไหมคะ พี่บอกแล้วว่า ถ้ายังไม่หายดีก็ยังไม่ต้องมาฝึกซ้อม” เจ้าหน้าที่บุคคลคลึงมือไปมาตามแขนของคนป่วย

“หญิงดาวเกรงใจพี่พิมค่ะ”

“เกรงใจทำไมคะ ดูสิตัวเองเป็นหนักแล้วยังจะฝืน” นันทนาตวัดตามองพิมพ์นาราที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ

“เธอก็เหมือนกัน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า น้องไม่ค่อยสบาย ยังจะไปตามให้มาซ้อมรำอยู่ได้ทุกวัน ทำไมไม่เห็นใจกันบ้างและนี่คงไม่ให้พักเลยละสิ ถึงขั้นเป็นลมเป็นแล้งไปขนาดนี้”

“พี่นัน อย่าว่าพี่พิมเลยค่ะ หญิงดาวตั้งใจมากไปหน่อยเพราะกลัวจะรำได้ไม่ดี พี่พิมต่างหากที่ช่วยสอนจัดท่ารำให้ ไม่ได้หยุดพักเลย…กลัวพี่เขาจะเหนื่อยเสียอีก”

“โถ ! น้องหญิงดาว…เพราะไม่ได้หยุดพักถึงเป็นอย่างนี้ไงคะ”

พิมพ์นาราขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทีและการสนทนาของทั้งคู่ ที่ทำให้เธอกลายเป็นคนผิดไปทันที ก่อนจะลอบมองสายตานิ่งงันของโยธินและเตมินทร์ คาดเดาไม่ถูกว่าพวกเขาคิดอย่างไร แต่ ท่าทางของธารธาราที่เลิกคิ้วขึ้นมองคนป่วยยังพอให้อุ่นใจขึ้นบ้าง

“น้ำว่าน้องหญิงดาวไม่สบายหนักขนาดนี้ เราขับรถพาไปหาหมอกันดีกว่า โรงพยาบาลอยู่ใกล้แค่นี้เอง ไปให้หมอตรวจกันเลย จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” ธารธาราเอ่ยเสียงนุ่มนวล แต่แววตาที่มองไปหาคนป่วยกลับท้าทาย

“พี่ว่าก็ดีเหมือนกัน…เดี๋ยวพวกเราประคองน้องลงไปข้างล่างนะ ส่วนพี่จะไปขับรถมารับ” โยธินตอบรับท่าทางกระตือรือร้น

เตมินทร์รีบรุดเข้าไปประคอง แต่ต้องชะงัก สีหน้างุนงง เมื่อเห็นหญิงดาวเบิกตากว้าง ท่าทางอึกอึกราวกับจะพูดอะไรออกมา พลางกระตุกแขนนันทนาที่ยืนนิ่งหน้าซีดเผือด

เจ้าหน้าที่บุคคลหันมามองหญิงดาวพลางพยักหน้าให้ ก่อนจะเอ่ยด้วยแววร้อนรน

“พี่โย…ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ…” นันทนาผละมือจากคนป่วย วิ่งไปหาโยธินซึ่งกำลังเดินไปยังประตู

“อ้าว…ทำไมล่ะจ๊ะ หรือว่า นันไม่เป็นห่วงน้องหญิงดาวแล้ว” ธารธาราลากเสียงยาว ก่อนกระตุกยิ้ม

“เป็นห่วงสิ…แต่…” เธอสวนกลับ หน้าตาเลิ่กลั่ก ทำเอาคนฟังแต่ละคนมีสีหน้าลุ้นตามไปด้วย

“แต่ อะไรล่ะ คนป่วยจะแย่แล้วนะ” ธารธาราเร่งรัด

“…เราควรพาไปห้องพยาบาลก่อน ให้ที่นั่นปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยพาส่งโรงพยาบาล ไปเลยแบบนี้ระหว่างทางเกิดน้องเป็นอะไรไป แล้วใครจะรับผิดชอบ” สีหน้าของนันทนาผ่อนคลายลงเมื่อพูดจบ

“ก็แค่นั้น…” ธารธาราลากเสียงสูงเหมือนรู้ว่า อีกฝ่ายจะตอบคำถามนี้อย่างไร ก่อนหันไปยิ้มให้เพื่อน ทำเอานันทนาถลึงตาใส่แทบถลน

พิมพ์นาราเหลียวมองหญิงดาว ซึ่งตอนนี้หัวคิ้วสองข้างผูกเข้าหากันเป็นปมใหญ่ แววตาอาฆาตจ้องมองมายังเธอ ทำให้เริ่มหวาดกลัวพฤติกรรมของอีกฝ่าย…หากจบงานแสดงรำอวยพร หญิงสาวตั้งใจว่าจะอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้ให้มากที่สุด




บรรยากาศงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท ซีเอ็ม ฟู้ดส์ ครึกครื้นมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ พนักงานทยอยเข้าสู่ลานจอดรถหน้าบริษัท แสงไฟสว่างไสวรายล้อมโต๊ะจีนนับร้อยละลานตาเรื่อยไปจนถึงหน้าเวที ใกล้ทางเข้าอาคารสำนักงาน เสียงดนตรีดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจแก่ผู้ร่วมงาน อาหารหลากหลายชนิดเริ่มวางเรียงตามโต๊ะให้ได้อิ่มหมีพลีมันกันทั่ว

สำหรับพนักงานรายวันแล้ว ความสุขสนุกไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ พวกเขารอโอกาสลุ้นของรางวัลจากการจับฉลากซึ่งมีมากมายวางเรียงด้านข้างเวที ตั้งแต่ของกระจุกกระจิก สมุดโน้ต กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เตารีด พัดลม หม้อหุงข้าวจนไปถึงรางวัลใหญ่คือ ทีวี ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรางวัลชีวิตให้แก่พนักงานรายวัน โดยเป็นหนึ่งในสวัสดิการของบริษัทที่ดึงดูดใจให้คนมาทำงาน

ส่วนพนักงานรายเดือนจะไม่มีสิทธิ์ในของรางวัล เพราะได้รับสวัสดิการและโบนัสประจำปีที่มากกว่า หากแต่ มีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก จัดซื้อสิ่งของมาให้ตามงบประมาณที่บริษัทกำหนด และช่วยกันทำแผ่นป้ายระบุหมายเลขเพื่อใช้จับฉลาก

ทีมงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้คือ ทีมประสานงานกิจกรรมได้แก่ โยธิน เตมินทร์ ธารธาราและนันทนาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง พวกเขาจึงวุ่นวายเป็นพัลวัน ตั้งแต่เมื่อวานเย็นจนถึงวันนี้


โยธินและเตมินทร์ช่วยกันจัดเรียงของรางวัลให้ดูสวยงาม หลังจากทุกคนช่วยยกออกมาจากรถกระบะของบริษัท วางรวมกันด้านข้างเวที พวกเขาวางของรางวัลใหญ่ไว้ด้านในสุด แต่ อยู่บนโต๊ะตัวสูงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล ส่วนของรางวัลชิ้นเล็กถูกจัดวางไว้ด้านหน้า ไล่ระดับกันเข้ามาตามลำดับที่จะถูกจับฉลากก่อนหลัง ส่วนผู้หญิงสองคนในทีมกำลังช่วยกันจัดเตรียมของชำร่วย และแผ่นป้ายรางวัลอยู่ในห้องด้านหลังเวที

นันทนาง่วนอยู่กับการผูกริบบิ้นเข้ากับถุงตาข่ายสีหวาน บรรจุแก้วกาแฟพิมพ์ลายการ์ตูนรูปหมูอนามัย ใช้เป็นของชำร่วย แจกลูกค้าในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ไม่ต่างกับธารธาราที่ใช้หัวไหล่ขวาหนีบโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหู เพื่อสนทนากับแม่

ส่วนสองมือสาละวนอยู่กับกระดาษนับร้อยระบุตัวเลขไว้ ตั้งแต่ขนาดใหญ่เท่าปกหนังสือสำหรับนำไปติดของรางวัล และขนาดจิ๋วม้วนเป็นมวนเพื่อใช้ในการจับฉลาก

“วันนี้น้ำกับพิมคงกลับดึกหน่อย แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” ธารธาราเอียงคอคุยโทรศัพท์ มือยังขยับไปมาไม่หยุด

“น้ำ…พี่ขอป้ายที่จะนำไปติดของรางวัลด้วยครับ” เสียงเตมินทร์ตะโกนเข้ามาด้านหลังเวที

“แม่คะ แค่นี้ก่อนนะคะ น้ำต้องรีบไปช่วยงานแล้ว” เธอกล่าวลาจบแล้ววางสายสนทนาทันที

“ค่ะ…พี่เตเหลืออีกสองสามแผ่น เดี๋ยวน้ำตัดเสร็จจะรีบเอาออกไปให้” ธารธาราตะโกนตอบพลางวางโทรศัพท์มือถือลงข้างๆกองกระดาษ
กระจัดกระจาย ก่อนจะขยับกรรไกรไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักอีกสามแผ่นที่เหลือก็ถูกนำไปวางไว้ในกองเดียวกัน

ธารธารารวบแผ่นป้ายทั้งหมดเคาะเบาๆบนโต๊ะ ให้กระดาษไหลมารวมกันอย่างเป็นระเบียบแล้วรีบนำออกไปให้เตมินทร์ที่รออยู่ข้างเวที

นันทนาขยับเข้ามาใกล้กองเศษกระดาษซึ่งยังวางเกลื่อน กวาดตามองหาบางสิ่งอย่างร้อนรน ก่อนจะใช้มือควานไปมาบริเวณนั้น เธอชะงักเล็กน้อย เมื่อพบสิ่งที่ต้องการ นัยน์ตาวาววับจับจ้องสิ่งนั้น แล้วกระตุกยิ้มช้าๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา…




พิมพ์นารายืนสำรวจความเรียบร้อยของตนเองหน้ากระจกเงาบานใหญ่ ในห้องประชุมซึ่งใช้เป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว หลังจากช่างแต่งหน้าเติมแต่งสีสันบนใบหน้าจนงดงามราวกับนางในวรรณคดี หญิงสาวยกมือขึ้นแตะรัดเกล้าสีทองใช้ประดับมวยผมเบาๆ เพิ่มความมั่นใจว่าเข้าที่ดีแล้ว ก่อนจะเลื่อนสายตามองความงามของพาหุรัด เครื่องประดับสวมต้นแขนทำจากโลหะชุบทอง ลายดอกพิกุลฝังพลอยขาวต้องแสงวิบวับ เธอใช้มืออีกข้างขยับมันไปมาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้น

แต่ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากโต๊ะตัวยาวด้านหลัง ทำให้เธอหยุดชะงักหันกลับไปมอง ก่อนจะเดินตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่งเสียงดังอีกเพียงไม่กี่ครั้งแล้วเงียบไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที เมื่อเปิดอ่านข้อความที่ส่งมา เธอรีบกดโทรออกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่เพราะปลายทางที่ต้องการติดต่อไม่มีสัญญาณตอบรับ…

พิมพ์นาราเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างครุ่นคิด แล้วเงยหน้าสำรวจบรรยากาศในห้องแต่งตัว เห็นหญิงดาวซึ่งแต่งหน้าและทำผมหลังจากเธอ ตอนนี้อยู่ในรูปโฉมงดงามพร้อมรำอวยพรแล้วยิ่งว้าวุ่นใจ ก่อนจะมองเลยไปยังนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝาผนัง

ยังพอมีเวลา…

“พี่พิมคะ โทรศัพท์ของหญิงดาวแบตหมด ขอยืมโทรศัพท์โทรหาคุณพ่อได้ไหมคะ ไม่รู้ป่านนี้มาถึงหรือยัง” หญิงดาวพูดจบแล้วเดินมาหาพิมพ์นาราซึ่งยืนอยู่กลางห้อง

“ได้ค่ะ” เธอรีบส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่าย

“ขอบคุณค่ะ” หญิงดาวขยับมือไปมา ทำท่ากดเบอร์โทรศัพท์ แต่ สายตาจับจ้องคนให้ยืมซึ่งกำลังเดินออกจากห้องไป




หลังจากพินิจ หัวหน้าคนขับรถช่วยขนของรางวัลลงจากรถกระบะไปไว้ข้างเวที ให้ทีมประสานงานกิจกรรมแล้ว เขารีบขับรถอ้อมมาจอดในลานกว้างด้านหลังโรงงาน ซึ่งใช้เป็นที่จอดรถชั่วคราวสำหรับงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ชายร่างท้วมเดินตรวจสอบความเรียบร้อยของรถกระบะตอนครึ่งสีขาวตามหน้าที่ หลังจากใช้งานเสร็จในแต่ละวัน เขาเดินดูจนรอบ เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงมุ่งตรงเข้าไปในงาน

พลัน สายตาแลเห็น ผู้หญิงห่มสไบสีทอง เดินอยู่ท่ามกลางแสงสลัว สองขาจึงหยุดชะงัก ก่อนจะเพ่งมองให้เต็มตา เมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จักจึงตะโกนเรียก

“หนูพิม…” พินิจเรียกได้เท่านั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจึงหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง กดรับสายแล้วนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อฟังการสั่งงานจากแผนกธุรการให้ออกไปรับช่อดอกไม้ที่สั่งไว้ สำหรับมอบให้คุณอเนกในค่ำคืนนี้ เนื่องด้วยรถส่งของที่ร้านดอกไม้เสียกะทันหัน

เขาวางสายโทรศัพท์แล้ว แต่ สายตายังจ้องมองพิมพ์นารา เดินเลี้ยวไปทางบ่อบำบัดน้ำเสีย ก่อนจะกลับขึ้นรถกระบะ ขับออกไปสู่ถนนใหญ่

เวลาที่เหลือเพียงครึ่งชั่วโมง ก่อนการแสดงรำอวยพร กระตุ้นพิมพ์นาราจ้ำเดินให้เร็วที่สุด แต่ เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะผ้านุ่งจีบหน้านางสีทองทรงแคบ ทำให้ก้าวขายาวๆไม่ได้ ในที่สุดเธอจึงถลกมันขึ้นมาถึงกลางน่อง กึ่งเดินกึ่งวิ่งจนสไบสีเดียวกันปลิวไสวไปตามแรงลม

หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามีคนมาเห็นตนเองในชุดนี้เวลานี้ อาจตกใจกลัวเป็นได้ แม้ภาพรวมแลดูงดงาม หากแต่บรรยากาศด้านหลังบริษัทข้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่รอบตัวมืดมิด มีแสงสว่างเป็นหย่อมๆ จากเสาไฟตั้งห่างกันก็สร้างอารมณ์ขนลุกขนพองได้เช่นกัน

พิมพ์นาราเดินมาถึงตู้คอนเทรนเนอร์ หน้าบ่อบำบัดน้ำเสีย เห็นบานประตูเปิดแง้มไว้ แสงไฟสีส้มลอดออกมาจากข้างในจึงหยุดยืนอยู่ด้านหน้า

“น้ำยังอยู่ไหม เป็นยังไงบ้าง” เธอตะโกนถามยังไม่กล้าเข้าไปข้างใน พลางยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะบริเวณที่ยืนอยู่ มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวคล้ายเนื้อหมูเน่า ชวนสะอิดสะเอียนจากบ่อพักน้ำเสียก่อนเข้าสู่กระบวนการบำบัด

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เธอเป็นห่วง ยิ่งเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น แล้วนึกโทษตนเองซึ่งรีบเดินออกมาก่อนตามนิสัยใจร้อนมุทะลุและเด็ดเดี่ยว ไม่เช่นนั้น เธอคงโทรตามโยธินให้มาเป็นเพื่อน

“น้ำอยู่ข้างในหรือเปล่า” พิมพ์นาราตะโกนถามซ้ำ หัวสมองจินตนาการไปต่างๆนานา เริ่มหวาดกลัวบรรยากาศขมุกขมัวรอบตัว ซึ่งมีเพียงแสงสลัวจากในตู้คอนเทรนเนอร์ สาดออกมาตรงที่หญิงสาวยืนอยู่ลำพัง

ความลังเลก่อร่างขึ้นมาให้เห็น…มันชัดเจนเสียจน กลายเป็นตัวเธออีกคน เดินมาจูงมือให้หันหลังกลับไป

แต่…ความห่วงใยที่เกิดขึ้นเป็นรูปร่างมาก่อนหน้านี้กลับดึงรั้งให้เธอยืนอยู่

ภาพมิตรภาพระหว่างตนเองกับธารธารา วิ่งผ่านจิตใต้สำนึกหมุนวนในร่างกาย จนเกิดกระแสอบอุ่นให้กล้าพอที่จะก้าวเข้าไปข้างใน

แสงสีส้มเหลืองจากหลอดไฟเพียงดวงเดียวห้อยอยู่กลางเพดาน สาดลงมาเคลือบบรรยากาศในตู้คอนเทรนเนอร์ที่ปิดทึบไร้หน้าต่าง จนแลดูสลัวมากกว่าส่องสว่าง เงาของพิมพ์นาราทาทาบอยู่บนผนังตู้เริ่มยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ ยามเธอก้าวเท้าเข้าไปข้างใน กลิ่นฉุนของสารเคมีจากลังสีน้ำตาลนับร้อย วางเรียงเป็นตั้งสูงถึงศีรษะ ระเกะระกะบดบังทัศนียภาพในการมองหาเพื่อนรัก หญิงสาวเอียงซ้ายเอียงขวา สอดส่ายสายตาไปมา แล้วเดินเข้าไปด้านในสุด

พลัน เสียงประตูปิดดังลั่นจนเธอสะดุ้งสุดตัว หันกลับไปมองด้วยความตกใจและคิดเข้าข้างตัวเองว่าเกิดจากลมพัด ก่อนที่แสงไฟจะดับลงเพื่อโต้แย้งความคิดปลอบใจตนเอง ว่าเป็นเรื่องปกติ

พิมพ์นาราตัวเย็นวาบ วิ่งตรงไปที่ประตู ความมืดมิดราวกับใครสักคน คลี่ผ้าผืนหนาสีดำคลุมไว้ บดบังทุกสิ่งรอบกายจนมองไม่เห็น ทำให้ร่างบางชนเข้ากับลังสีน้ำตาลวางเรียงเป็นตั้งสูงไร้ระเบียบจำนวนมาก เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก เพราะสะดุดล้มลงเข่ากระแทกพื้น

ลังเหล่านั้นหล่นลงมากระแทกร่างเล็ก ที่กำลังยันตัวขึ้นยืน ความเจ็บแปลบวิ่งจับหัวไหล่ขวาแล่นลงไปกลางแผ่นหลัง จนต้องทรุดกายลงไปนั่งใหม่ หญิงสาวเอื้อมมือคลำบริเวณหัวไหล่ซึ่งปวดร้าวจนน้ำตาเริ่มคลอหน่วย

เมื่อทุกอย่างสงบลง เธอจึงยันตัวขึ้นยืนช้าๆ ได้ยินเสียงข้อต่อหัวเข่าลั่นเบาๆจากแรงกระแทก แหวกขึ้นมาในความมืดและความเงียบสนิท…เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นโครมคราม แทบจะปะทุออกมาจากอก

มันเกิดอะไรขึ้น…

หญิงสาวรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดแขนไปข้างหน้าช้าๆ ใช้มือลูบคลำทางแทนสายตา ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูเหล็ก พยายามผลักมันออกแรงๆหลายครั้ง เมื่อไม่สำเร็จจึงมองหาสวิตซ์ไฟในความมืด เธอคลำไปมาตามผนังตู้คอนเทรนเนอร์ข้างประตูทั้งซ้ายและขวา พบแต่สายไฟต่อกับหลอดไฟด้านบนเดินมาจากช่องขนาดเล็ก ซึ่งเจาะทะลุมาจากภายนอก

พลัน ชาวาบทั้งตัว !

พิมพ์นาราตัวเย็นแล้วตัวเย็นอีก เมื่อพบว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สวิตซ์ไฟอยู่ด้านนอกและประตูถูกล็อคจากด้านนอก ส่วนตัวเธอถูกขังอยู่ในนี้ !



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ธ.ค. 2556, 08:16:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ธ.ค. 2556, 08:22:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1260





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 >>
phugan 13 ธ.ค. 2556, 20:08:08 น.
หนูพิมจะเป็นอะไรมั้ย...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account