กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....
Tags: โรแมนติก,พาฝัน
ตอน: ตอนที่ 11
แสงไฟจากเวทีดับลงราวกับม่านรูดปิดให้การแสดงชุดแรกเตรียมตัว หญิงดาวหันมองทุกคนด้วยอาการกระสับกระส่าย ก่อนจะยืนประสานมือนิ่ง
“พี่พิมออกจากห้องแต่งตัวไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว…หญิงดาวเห็นว่าใกล้เวลาขึ้นรำ เลยเดินมาด้านหลังเวทีก่อน เผื่อว่าพี่พิมจะมารออยู่ที่นี่” หญิงดาวทำหน้าเศร้า ชายตามองโยธินที่ยืนนิ่งราวกับครุ่นคิดบางสิ่ง
“น้องหญิงดาวใจเย็นๆนะคะ พี่เตรียมงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่เย็น ยังไม่เห็นพิมพ์นาราเดินมาเลย…” นันทนารีบปลอบทำหน้าทำตาแสดงความเห็นใจอีกฝ่าย
“หรือว่า…พี่พิมไม่อยากรำร่วมกับหญิงดาวเลยหายตัวไปแบบนี้” เสียงของหญิงดาวสั่นเครือ
“พิมไม่ใช่คนไร้เหตุผลอย่างนั้น เดี๋ยวก็คงเดินมาแล้ว” ธารธารารีบแย้ง เมื่อเห็นโยธินขมวดคิ้วมุ่น
“เดี๋ยวอะไรกันล่ะ ตอนนี้ได้เวลาขึ้นรำแล้วนะ ถ้าจะมา คงเดินมาถึงนานแล้ว เพื่อนเธอนี่ไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้น้องหญิงดาวมายืนรอ” นันทนาเถียงพร้อมกับเบ้ปากใส่อีกฝ่าย
“ใจเย็นกันก่อนนะครับ น้องพิมคงติดปัญหาอะไรหรือเปล่า” เตมินทร์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสถานการณ์แลดูจะเกิดการวิวาท
“พี่จะไปตามพิมเอง” โยธินพูดจบ หมุนตัวเดินออกจากห้องทันที
“พี่โย…รอน้ำด้วย” ธารธารารีบวิ่งตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โยธินโทรศัพท์เข้าเบอร์ของพิมพ์นาราระหว่างวิ่งขึ้นมาตามที่ห้องแต่งตัว แต่ ปลายทางไม่มีคนรับสายทำให้ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นตามความเป็นห่วง เมื่อมาถึง เขารีบผลักประตูห้องเข้าไป กวาดสายตามองหาหญิงสาวอย่างร้อนรน
ชายหนุ่มกดเบอร์โทรออกอีกครั้ง ทำให้ธารธาราซึ่งวิ่งตามมาเลิกคิ้วขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่คุ้นเคย ดังอยู่ข้างหน้าบนโต๊ะตัวยาว จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ ปัดของจิปาถะวางเกลื่อนกลาดออกแล้วเอื้อมหยิบที่มาของเสียงทันทีที่มองเห็น
“โทรศัพท์ของพิมอยู่ที่นี่”
“แล้วพิมไปไหน” โยธินขมวดคิ้วมุ่น ยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ
“ขอไปตามในห้องน้ำก่อนนะคะ” ธารธาราสบตาอีกฝ่าย ที่เงยหน้ามองด้วยความหวัง แล้วรีบวิ่งออกจากห้องประชุม
โยธินเดินวนไปมาในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ จากการทำงานร่วมกัน พิมพ์นาราเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ไม่เคยทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จตามกำหนด ทำให้สังหรณ์ใจว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ก่อนจะหันมองทางประตูเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
“พี่โยครับ ข้างล่างเริ่มวุ่นวายกันใหญ่ เพราะเวทีมืดนานเกือบสิบนาที ผู้ใหญ่โต๊ะข้างหน้าเริ่มสอบถามสาเหตุแล้วครับ” เตมินทร์รีบขึ้นมาบอกสถานการณ์ ทำให้คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พิมไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ…ทำยังไงดีคะ” ธารธาราวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา
“เราต้องลงไปแก้สถานการณ์ข้างล่างกันก่อน ไม่อย่างนั้นงานเลี้ยงจะเริ่มไม่ได้ ถ้าไม่มีการแสดงรำอวยพรเปิดงาน” โยธินบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ไม่ต่างจากสีหน้าแล้วรีบพากันลงไปข้างล่าง สวนกับเอิงที่กำลังเดินขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ…พี่เห็นเวทีมืดไปนาน เลยเอาบิลค่าใช้จ่ายขึ้นมาเก็บก่อน” เอิงได้รับมอบหมายให้อยู่ทีมเหรัญญิกไม่ค่อยได้พบทั้งสามคนจึงรีบถามทันที
“พิมหายไปค่ะ” ธารธาราตอบเสียงสั่น
“ผมโทรตามแล้ว แต่ พิมไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น” โยธินหน้าเสียเมื่อพูดจบ
“ใจเย็นๆกันก่อน ค่อยๆคิด…เอาอย่างนี้นะ โยไปบอกให้น้องหญิงดาวขึ้นรำคนเดียวก่อน ส่วนพี่จะไปเรียนคุณอเนกให้ว่า พิมไม่สบาย” เอิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล เมื่อเห็นทั้งสามคนพยักหน้าตอบรับจึงแยกย้ายกันไปแก้ไขสถานการณ์
“พี่โยจะให้หญิงดาวขึ้นรำคนเดียวหรือคะ” เธอเบี่ยงหน้าหนีโยธินทันทีที่พูดจบ
“น้องหญิงดาวคะ เราไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้ต้องช่วยกันก่อน” ธารธาราเดินเข้ามาหาหญิงดาว มองอีกฝ่ายด้วยแววอ้อนวอน
“อย่ามาพูดกดดันกันนะ เพื่อนเธอเป็นฝ่ายผิดที่หายไปแบบนี้” นันทนาแทรกตัวเข้ามายืนตรงกลางระหว่างทั้งคู่
“แล้วเธอจะทำยังไง ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว” ธารธาราเชิดหน้าขึ้นราวกับประกาศสงคราม ทำให้นันทนาสืบเท้าเข้ามาใกล้แล้วจ้องตากลับ
“เวลานี้อย่าเพิ่งมีเรื่องกันเลย…” เตมินทร์รีบเข้ามาห้าม ทั้งคู่จึงถอยกันมาคนละก้าว
“น้องหญิงดาวทำตามที่พี่บอกนะครับ มันเป็นทางเดียวที่จะไม่ให้งานนี้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น” โยธินเดินมาจับมือของหญิงดาว ทำให้เธอหันกลับมามองพร้อมถอนหายใจ
“ค่ะ…หญิงดาวจะช่วยพี่โยเอง”
การแสดงรำอวยพรบนเวทีจบลงแล้ว แต่ โยธินยังวิ่งวุ่นเพื่อตามหาพิมพ์นารา หลังจากย้อนกลับไปดูบนอาคารสำนักงานทุกชั้นและทุกห้องไม่พบ จึงออกไปสอบถามยามรักษาความปลอดภัยที่ป้อมข้างหน้าบริษัท ข้อมูลที่ได้รับทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อหัวหน้ายามคนหนึ่งบอกว่า ยังไม่เห็นพิมพ์นาราเดินออกจากรั้วของบริษัทเลย
ชายหนุ่มยืนนิ่งพยายามสงบสติอารมณ์ ไตร่ตรองข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา เขามั่นใจว่าหญิงสาวยังอยู่ในบริษัท แต่อยู่ส่วนไหนแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เป็นสิ่งที่เขายังหาคำตอบไม่ได้ และทำให้ทุกข์ใจเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจกลับเข้าไปปรึกษาเตมินทร์กับธารธาราให้ช่วยกันระดมความคิด
เขารีบหมุนตัวกลับเข้าไปในรั้วบริษัทอีกครั้ง จ้ำเดินอย่างเร็วมุ่งตรงไปด้านหลังเวที ด้วยความเร่งรีบจึงชนเข้ากับชายร่างท้วมที่เดินสวนมา ทำให้ช่อดอกไม้ในมือของอีกฝ่ายหล่นลงกับพื้น
“ขอโทษครับ ! ผมรีบไปหน่อย พอดีมีพนักงานหายตัวไป” โยธินก้มลงช่วยเก็บช่อดอกไม้
“ไม่เป็นไรครับ…ว่าแต่ใครหายไปครับ” พินิจมองช่อดอกไม้ในมือ จัดการขยับบางดอกที่ยื่นออกมาให้เข้าที่
“พิมพ์นาราครับ”
เขาลดช่อดอกไม้ลงแล้วมองอีกฝ่ายเต็มตา
“หนูพิมที่อยู่แผนกการตลาดใช่ไหม”
“ครับ…เธอต้องแสดงรำอวยพรเปิดงาน แต่ ไม่มีใครหาเธอเจอเลย”
“เมื่อชั่วโมงก่อน ผมเห็นเธอเดินอยู่ด้านหลังโรงงาน ทางไปบ่อบำบัดน้ำเสีย”
“พิม ! ขอบคุณมากครับ” โยธินอุทานอย่างตื่นตระหนก หัวใจกระตุกวูบ ความรู้สึกดีใจเมื่อได้ข่าวของพิมพ์นาราและกลัวว่าหญิงสาวจะเป็นอันตรายพลุ่งพล่านในเวลาเดียวกัน เขารีบวิ่งไปด้านหลังโรงงาน แต่ต้องชะงัก เพราะอีกฝ่ายดึงมือไว้
“เดี๋ยวครับ รอผมก่อน” พินิจกวาดตามองพนักงานที่เดินอยู่ เมื่อเห็นคนรู้จัก เขาจึงฝากช่อดอกไม้ในมือไปให้แผนกธุรการ ก่อนจะวิ่งไปด้านหลังโรงงานพร้อมกับโยธิน
ความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วทั้งตู้คอนเทรนเนอร์ ล่อลวงจินตนาการของพิมพ์นาราให้หลอกหลอนจิตใจตนเองจนเกิดความหวาดกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็น เธอนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูเหล็ก ฝ่ามือและข้อมือทั้งสองปวดร้าวระบม หลังจากใช้ทุบผลักสิ่งที่ปิดกั้นอิสรภาพ ไม่ต่างจากลำคอแสบร้อนเพราะตะโกนขอความช่วยเหลือจนหมดแรงพลางคิดหาคำตอบว่า ใครเป็นคนวางแผนทำร้ายกันได้ถึงเพียงนี้
เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยแทงรากลึกเข้าไปในจิตใจจนเจ็บปวด ก่อนน้ำตาแห่งความหวังจะไหลออกมายามคิดถึงพ่อและแม่ อยากให้ท่านทั้งสองมาอยู่เคียงข้างในเวลาที่ความกลัวคืบคลานเข้ามา กลืนกินร่างทั้งร่างจนสั่นไหว เมื่อคาดเดาไม่ได้ว่า ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
พิมพ์นาราไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว รู้อย่างเดียวคือ เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความทรมานจากลมหายใจติดขัดที่เริ่มแสดงอาการชัดเจน ราวกับอากาศในนี้ใกล้หมดลง กลิ่นสารเคมีตลบอบอวลมาจากลังสีน้ำตาลจำนวนมากทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน
หญิงสาวพยายามเกร็งลำคอไม่ให้ก้อนลมลูกแล้วลูกเล่าตีขึ้นมาจากช่องท้องเป็นระลอก พาสิ่งที่อยู่ข้างในขย้อนออกมาและเริ่มรู้สึกว่า พื้นตู้คอนเทรนเนอร์ที่นั่งอยู่หมุนเคว้งไปมา ทั่วทั้งศีรษะเจ็บแปลบเหมือนเข็มนับร้อยทิ่มแทงจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
ร่างบางเอนลงแนบพื้นช้าๆอย่างอ่อนแรง ลมหายใจค่อยๆแผ่วลงทีละน้อย เปลือกตาทั้งสองหนักอึ้งจนไม่สามารถเปิดขึ้นมาได้ มือที่กุมขมับตกลงข้างลำตัว เมื่อทั้งกายเริ่มไม่มีความรู้สึก
สำนึกสุดท้ายตอนนี้คือ ร่างกายเบาหวิวไร้น้ำหนัก ล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับเธอเป็นเพียงสายลมไม่มีตัวตน…
ในสติอันเลือนราง พิมพ์นาราได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อตนเอง…มันดังๆดับๆเป็นระยะ…
ใครกัน…
หนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งห้าเริ่มกลับมาทำงาน เสียงที่เรียกปลุกปีกแห่งความหวัง ฟื้นคืนมาแผ่ขยายโอบล้อมตัวเธอแล้วดึงความรู้สึกล่องลอยนั้นดิ่งลงสู่พื้น
ร่างของพิมพ์นารากระตุกเฮือกขึ้น พลัน ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เจ็บปวดรวดร้าวทั่วทั้งศีรษะ จู่โจมกลับเข้ามาใหม่ เธอพยายามต่อสู้กับความทรมาน รวบรวมแรงยกมือขึ้นทุบประตู แต่ทำได้เพียงแผ่วเบา ความชาด้านทั้งแขนทำให้ไม่มีแรง มือที่ไปถึงประตูจึงได้แค่ลูบไล้ไปมาไม่เกิดเสียงอันใด
โยธินกวาดสายตามองฝ่าความมืด มีแสงสลัวแซมเป็นระยะจากเสาไฟจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ห่างกัน พื้นที่ด้านหลังโรงงานเป็นบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดปะปน มีตู้คอนเทรนเนอร์เพียงหนึ่งตู้ไว้สำหรับเก็บสารเคมีซึ่งใช้ในบ่อบำบัดน้ำเสียตั้งอยู่ข้างหน้า
เขาและพินิจช่วยกันเดินหาพิมพ์นาราจนทั่วบริเวณ พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อ อยู่พักใหญ่ แต่ ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มแลดูเคร่งเครียด
“ไม่มีวี่แววเลยครับ” พินิจพูดจบ เดินกลับมาหาโยธินที่ยืนรออยู่หน้าตู้คอนเทรนเนอร์
“ผมเป็นห่วงพิมครับ แถวนี้เปลี่ยวมากด้วย เวลาทำงานปกติในตอนกลางวัน พนักงานยังไม่อยากเดินผ่านเพราะมีกลิ่นเหม็นต้องคนที่มีหน้าที่ดูแลจริงๆ ถึงจะเข้ามาวัดค่าน้ำเสียซึ่งส่งมาบำบัด” เขาถอนใจเฮือกใหญ่
“ผมเห็นเธอ เมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง เดินเลี้ยวเข้ามาในนี้ ท่าทางรีบร้อน”
“พิมเดินมาคนเดียวหรือครับ” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางกระวนกระวาย
พินิจนิ่งคิดก่อนตอบกลับมา
“ครับ…ผมไม่เห็นใครเดินตามมาด้วยเลย”
คำตอบที่ได้รับทำให้แววตาโยธินอ่อนแสงลง เขาหันมองรอบตัวอีกครั้ง
“ถ้าวันนี้เราหา พิมไม่เจอจริงๆ คงต้องแจ้งผู้ใหญ่ให้รับทราบ ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นและอาจต้องแจ้งความคนหายถ้าเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วยังไม่พบตัว” ชายหนุ่มกัดฟันแน่นจนสันกรามขึ้นนูน
“ผมว่าเรากลับเข้าไปในงานกันเถอะครับ เผื่อจะได้สอบถามพนักงานคนอื่นว่ามีใครเห็นเธออีกไหม” พินิจเอ่ยชวนสีหน้าเขาแลดูกังวลไม่ต่างจากโยธิน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับจึงพากันเดินกลับเข้าไปในงาน
ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดของบรรยากาศโดยรอบ ทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก โยธินสบตาชายร่างท้วมแล้วหันกลับไปมองรอบบ่อบำบัดน้ำเสีย
เสียงนั้นเงียบไปพักใหญ่พร้อมกับความเงียบงันของทั้งคู่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างใจจดใจจ่อรอฟังที่มาของเสียงอีกครั้ง
“พิม! ใช่พิมไหม” โยธินตัดสินใจตะโกนเรียก หมุนไปมารอบกาย
ไม่กี่อึดใจ…เสียงดังแหลมก้องขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มมองตรงไปยังที่มาของเสียง แล้วเดินดิ่งไปที่ตู้คอนเทรนเนอร์
“เสียงมาจากในนี้ครับ” เขาพูดพลางเพ่งมองประตูซึ่งถูกแม่กุญแจขนาดใหญ่คล้องไว้
“แต่…ประตูมันถูกล็อคจากข้างนอกจะมีใครอยู่ข้างในได้ยังไงกัน” พินิจเดินไปขยับแม่กุญแจแกว่งไปมาตรวจดูจนแน่ใจว่ามันล็อคสนิท
“หรือว่า…พิมถูกขังอยู่ในนี้” ชายหนุ่มมองแม่กุญแจแล้วใช้มือทุบประตูแรงๆ
“พิม ! ได้ยินพี่ไหม อยู่ข้างในหรือเปล่า พิม!” เขาตะโกนเรียกสุดตัว
พินิจหน้าเสีย เมื่อได้ยินบทสรุปของเขา ชายร่างท้วมรีบแนบหูติดบานประตูทันที
“คุณโย ลองฟังสิครับ”
โยธินแนบหูติดบานประตูตามอีกฝ่าย ทั้งคู่นิ่งงันพยายามฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน
พิมพ์นารารวบรวมแรงกำพาหุรัดในมือแน่น ราวกับมันเป็นความหวังสุดท้าย ที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่หลังจากพยายามถอดออกจากต้นแขนด้วยแรงซึ่งเหลือเพียงน้อยนิด
สติสัมปชัญญะที่กลับมาครบถ้วนทำให้เธอตระหนักดีว่า เวลาไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ แม้แต่เสียงของตนเองยังร้องออกมาขอความช่วยเหลือไม่ได้ควรทำเช่นไร
“พี่…”
“พี่…โย…” เธอพยายามต่อสู้กับความเจ็บแสบและแห้งผากในลำคอ เค้นเสียงให้ลอดผ่านออกมา
โยธินหน้าตื่น เมื่อได้ยินเสียงพิมพ์นาราจากข้างใน แม้จะแผ่วเบา แต่ความเงียบสงัดรอบกายก็ทำให้ได้ยินชัดเจน เขาขยับตัวก้มลงให้แนบชิดประตูมากขึ้น
“พิม! ใช่ไหม ถ้าใช่ตอบพี่อีกที” เขาขยับตัวก้มลงให้แนบชิดประตูมากขึ้น
หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยายามเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง แต่ ไม่ได้ผลจึงขยับพาหุรัดในมือเคาะประตูเหล็กจนเกิดเสียงดังก้อง
ชายหนุ่มสบตากับพินิจแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นมายืนตรง
“ผมว่าพิมอยู่ในนี้แน่ครับ…แต่คงเริ่มไม่มีแรงแล้ว ตู้คอนเทรนเนอร์ใบนี้ไม่มีช่องระบายอากาศใช้เก็บสารเคมีที่ใส่ลงในบ่อบำบัดน้ำ ” โยธินหน้าเสีย เมื่อพูดจบ
“เราต้องรีบหาอะไรมางัดกุญแจออก ก่อนเธอจะเป็นอะไรไป” พินิจกล่าวด้วยอาการร้อนรน
“ผมเห็นเครื่องมือช่างที่ใช้ต่อเวที วางอยู่ด้านหลังเวทีครับ…” ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับเข้าไปในงานเลี้ยงทันที เขาให้พินิจรออยู่ที่หน้าตู้คอนเทรนเนอร์ เพื่อช่วยดูสถานการณ์ไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายไปกว่านี้
โยธินมองเศษเหล็กและไม้กระดานรวมทั้งเครื่องมือช่างจำนวนหนึ่ง วางกองรวมกันอยู่มุมด้านในสุดของห้องเพื่อเตรียมใช้รื้อเวทีเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง เขาก้มลงหยิบชะแลงที่วางอยู่ในกองนั้นแล้วลุกขึ้นวิ่งไปทางประตู สวนกลับธารธาราซึ่งเดินเข้ามา
“พี่โยเจอพิมหรือยังคะ” ธารธาราถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทำให้นันทนาที่กลับเข้ามาพร้อมหญิงดาว เดินอาดๆมามองด้วยสายตาท้าทาย
“เพื่อนเธอกลับบ้านไปแล้วมั้ง”
“ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับเธอนะ ถอยไป ! ” ธารธาราผลักร่างเล็กของอีกฝ่าย เซไปอีกทางแล้วขึงตาใส่หญิงดาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“นี่ ! เธอ…” นันทนาทรงตัวกลับมายืนใหม่ แต่กรีดร้องได้เพียงเท่านั้น เพราะเสียงของโยธินดังแทรกขึ้นมา
“เจอแล้ว” เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงค่อนข้างห้วนอย่างรำคาญใจต่อการวิวาทแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง จึงไม่เห็นหญิงดาวและนันทนาเบิกตากว้างขึ้น สีหน้าถมึงทึงราวกับไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน
“พี่โยรอน้ำด้วยค่ะ !”
หญิงดาวมองทั้งสองคนวิ่งออกจากห้องไปแล้วกำมือแน่น ก่อนจะหันกลับมาหานันทนา
“เรารีบตามไปกันเถอะ”
ธารธาราวิ่งตามโยธินไปติดๆโดยไม่ให้คลาดสายตา ก่อนจะหยุดชะงักเพราะมือใครคนหนึ่งฉุดไว้จากด้านหลัง
“พี่ภูมิ !” เธอหายใจหอบๆ หลังจากวิ่งมาอย่างเร็วแล้วหยุดลงกะทันหัน
“น้ำจะรีบไปไหน แล้วพิมล่ะ” ภูมิมินทร์ถามขึ้นทันที หลังจากมาถึงงานเลี้ยงได้พักใหญ่ แต่ยังไม่เจอพิมพ์นารา
“พิมหายตัวไปค่ะ ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว รีบไปกันเถอะ”
สีหน้าของภูมิมินทร์ตื่นตระหนก หลังจากรับรู้ว่า มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับพิมพ์นารา เขารีบวิ่งตามธารธาราไปทันที ความรู้สึกอยากปกป้องคุ้มครองผู้หญิงอันเป็นที่รัก ทำให้แต่ละฝีเท้าเร่งเร็วขึ้นจนแทบจะวิ่งแซงอีกฝ่าย ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้เธอปลอดภัย หากหญิงสาวเป็นอะไรไปเขาคงโทษตัวเองไปจนวันตาย ที่ไม่สามารถดูแลเธอได้
พินิจรับชะแลงจากโยธินมาแล้วสอดปลายแหลมเข้าไปบนแม่กุญแจ กดน้ำหนักมือแรงๆหลายครั้งจนเหงื่อเริ่มซึมทั่วแผ่นหลัง ชายร่างท้วมเขย่งเท้า เกร็งมือที่จับชะแลงจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนทั้งแขน จากนั้นกดน้ำหนักลงไปอีกครั้งจนตัวโยน เขาเซออกมาพร้อมกับน็อตยึดสายยูที่ใช้คล้องแม่กุญแจหลุดหล่นลงบนพื้น โยธินจึงคว้าบานประตูดึงออกทันที
ร่างของพิมพ์นาราที่พิงประตูอยู่ ไหลตามออกมากองอยู่ตรงทางเข้า เธอกะพริบเปลือกตาเบาๆ ปรับสายตากับบรรยากาศภายนอก แล้วสูดลมหายใจแรงๆเข้าไปเต็มปอด
“พิม !” โยธินทรุดนั่งกับพื้น คว้าตัวหญิงสาวพยุงขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนไว้ในอ้อมแขน
เธอขยับปากเรียกชื่อชายหนุ่ม แต่ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา พร้อมกับหยดน้ำใสไหลรินจากปลายตา
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย” เขาไล้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาข้างแก้มเธอออก โอบกอดร่างเล็กไว้แนบอก
พิมพ์นาราเผยรอยยิ้มจางๆ…
กี่ครั้งแล้วนะ…ที่โยธินมาช่วยเธอไว้ยามมีอันตราย
ผู้ชายคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่สำหรับเธอ เขาคือ ผู้วิเศษสามารถสั่งหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นยามอยู่ใกล้กัน ทำให้เธอหลอมละลายได้ในความเหน็บหนาว และสร้างความเข้มแข็งในจิตใจเวลาอ่อนแอ
“ไม่ต้องกลัวนะ…ปลอดภัยแล้ว” เขาปลอบแผ่วเบา
เธอซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง ปล่อยน้ำตาแห่งความอบอุ่นให้ไหลริน สองแขนเริ่มมีความรู้สึกหลังจากสูดอากาศเข้าไป ค่อยๆยกขึ้นโอบรอบแผ่นหลังของเขา หญิงสาวหลับตาผ่อนคลายความกังวล ซึมซับความสุขให้สมกับที่ยังมีลมหายใจอยู่
พินิจขยับเข้ามาใกล้ มองพิมพ์นาราด้วยความห่วงใย แต่ แฝงแววสงสัยในท่าทีของทั้งสองคน ก่อนจะหันไปเห็นธารธาราซึ่งผ่อนฝีเท้าช้าลงจนกลายเป็นหยุดยืน เธอคว้าแขนของภูมิมินทร์ซึ่งวิ่งตามมาไว้ทัน เมื่อเห็นเพื่อนปลอดภัยอยู่ในอ้อมกอดของโยธิน
ภูมิมินทร์นิ่งงันราวกับหยุดหายใจ ภาพของทั้งคู่ ทำให้สีหน้าเขาเปื้อนไปด้วยแววเศร้าระคนตัดพ้อ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนออกมาช้าๆ คล้ายสะกดกลั้นบางสิ่งที่อยู่ในใจ ตรงข้ามกับหญิงดาวที่ยืนแอบมองอยู่ในความมืด เธอกระทืบเท้าพร้อมกับเต้นเร่าๆเป็นเจ้าเข้าสิง จนนันทนาซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง มีสีหน้าหวั่นกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย
............................................................................................................................................................................
ขอบคุณ คุณ Phugan มากนะคะที่เอาใจช่วยพิมกับผู้เขียน ^ ^
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่ติดตามอ่านด้วยค่ะ
...................................................................................................................................................................................
“พี่พิมออกจากห้องแต่งตัวไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว…หญิงดาวเห็นว่าใกล้เวลาขึ้นรำ เลยเดินมาด้านหลังเวทีก่อน เผื่อว่าพี่พิมจะมารออยู่ที่นี่” หญิงดาวทำหน้าเศร้า ชายตามองโยธินที่ยืนนิ่งราวกับครุ่นคิดบางสิ่ง
“น้องหญิงดาวใจเย็นๆนะคะ พี่เตรียมงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่เย็น ยังไม่เห็นพิมพ์นาราเดินมาเลย…” นันทนารีบปลอบทำหน้าทำตาแสดงความเห็นใจอีกฝ่าย
“หรือว่า…พี่พิมไม่อยากรำร่วมกับหญิงดาวเลยหายตัวไปแบบนี้” เสียงของหญิงดาวสั่นเครือ
“พิมไม่ใช่คนไร้เหตุผลอย่างนั้น เดี๋ยวก็คงเดินมาแล้ว” ธารธารารีบแย้ง เมื่อเห็นโยธินขมวดคิ้วมุ่น
“เดี๋ยวอะไรกันล่ะ ตอนนี้ได้เวลาขึ้นรำแล้วนะ ถ้าจะมา คงเดินมาถึงนานแล้ว เพื่อนเธอนี่ไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้น้องหญิงดาวมายืนรอ” นันทนาเถียงพร้อมกับเบ้ปากใส่อีกฝ่าย
“ใจเย็นกันก่อนนะครับ น้องพิมคงติดปัญหาอะไรหรือเปล่า” เตมินทร์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสถานการณ์แลดูจะเกิดการวิวาท
“พี่จะไปตามพิมเอง” โยธินพูดจบ หมุนตัวเดินออกจากห้องทันที
“พี่โย…รอน้ำด้วย” ธารธารารีบวิ่งตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โยธินโทรศัพท์เข้าเบอร์ของพิมพ์นาราระหว่างวิ่งขึ้นมาตามที่ห้องแต่งตัว แต่ ปลายทางไม่มีคนรับสายทำให้ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นตามความเป็นห่วง เมื่อมาถึง เขารีบผลักประตูห้องเข้าไป กวาดสายตามองหาหญิงสาวอย่างร้อนรน
ชายหนุ่มกดเบอร์โทรออกอีกครั้ง ทำให้ธารธาราซึ่งวิ่งตามมาเลิกคิ้วขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่คุ้นเคย ดังอยู่ข้างหน้าบนโต๊ะตัวยาว จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ ปัดของจิปาถะวางเกลื่อนกลาดออกแล้วเอื้อมหยิบที่มาของเสียงทันทีที่มองเห็น
“โทรศัพท์ของพิมอยู่ที่นี่”
“แล้วพิมไปไหน” โยธินขมวดคิ้วมุ่น ยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ
“ขอไปตามในห้องน้ำก่อนนะคะ” ธารธาราสบตาอีกฝ่าย ที่เงยหน้ามองด้วยความหวัง แล้วรีบวิ่งออกจากห้องประชุม
โยธินเดินวนไปมาในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ จากการทำงานร่วมกัน พิมพ์นาราเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ไม่เคยทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จตามกำหนด ทำให้สังหรณ์ใจว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ก่อนจะหันมองทางประตูเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
“พี่โยครับ ข้างล่างเริ่มวุ่นวายกันใหญ่ เพราะเวทีมืดนานเกือบสิบนาที ผู้ใหญ่โต๊ะข้างหน้าเริ่มสอบถามสาเหตุแล้วครับ” เตมินทร์รีบขึ้นมาบอกสถานการณ์ ทำให้คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พิมไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ…ทำยังไงดีคะ” ธารธาราวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา
“เราต้องลงไปแก้สถานการณ์ข้างล่างกันก่อน ไม่อย่างนั้นงานเลี้ยงจะเริ่มไม่ได้ ถ้าไม่มีการแสดงรำอวยพรเปิดงาน” โยธินบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ไม่ต่างจากสีหน้าแล้วรีบพากันลงไปข้างล่าง สวนกับเอิงที่กำลังเดินขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ…พี่เห็นเวทีมืดไปนาน เลยเอาบิลค่าใช้จ่ายขึ้นมาเก็บก่อน” เอิงได้รับมอบหมายให้อยู่ทีมเหรัญญิกไม่ค่อยได้พบทั้งสามคนจึงรีบถามทันที
“พิมหายไปค่ะ” ธารธาราตอบเสียงสั่น
“ผมโทรตามแล้ว แต่ พิมไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น” โยธินหน้าเสียเมื่อพูดจบ
“ใจเย็นๆกันก่อน ค่อยๆคิด…เอาอย่างนี้นะ โยไปบอกให้น้องหญิงดาวขึ้นรำคนเดียวก่อน ส่วนพี่จะไปเรียนคุณอเนกให้ว่า พิมไม่สบาย” เอิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล เมื่อเห็นทั้งสามคนพยักหน้าตอบรับจึงแยกย้ายกันไปแก้ไขสถานการณ์
“พี่โยจะให้หญิงดาวขึ้นรำคนเดียวหรือคะ” เธอเบี่ยงหน้าหนีโยธินทันทีที่พูดจบ
“น้องหญิงดาวคะ เราไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้ต้องช่วยกันก่อน” ธารธาราเดินเข้ามาหาหญิงดาว มองอีกฝ่ายด้วยแววอ้อนวอน
“อย่ามาพูดกดดันกันนะ เพื่อนเธอเป็นฝ่ายผิดที่หายไปแบบนี้” นันทนาแทรกตัวเข้ามายืนตรงกลางระหว่างทั้งคู่
“แล้วเธอจะทำยังไง ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว” ธารธาราเชิดหน้าขึ้นราวกับประกาศสงคราม ทำให้นันทนาสืบเท้าเข้ามาใกล้แล้วจ้องตากลับ
“เวลานี้อย่าเพิ่งมีเรื่องกันเลย…” เตมินทร์รีบเข้ามาห้าม ทั้งคู่จึงถอยกันมาคนละก้าว
“น้องหญิงดาวทำตามที่พี่บอกนะครับ มันเป็นทางเดียวที่จะไม่ให้งานนี้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น” โยธินเดินมาจับมือของหญิงดาว ทำให้เธอหันกลับมามองพร้อมถอนหายใจ
“ค่ะ…หญิงดาวจะช่วยพี่โยเอง”
การแสดงรำอวยพรบนเวทีจบลงแล้ว แต่ โยธินยังวิ่งวุ่นเพื่อตามหาพิมพ์นารา หลังจากย้อนกลับไปดูบนอาคารสำนักงานทุกชั้นและทุกห้องไม่พบ จึงออกไปสอบถามยามรักษาความปลอดภัยที่ป้อมข้างหน้าบริษัท ข้อมูลที่ได้รับทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อหัวหน้ายามคนหนึ่งบอกว่า ยังไม่เห็นพิมพ์นาราเดินออกจากรั้วของบริษัทเลย
ชายหนุ่มยืนนิ่งพยายามสงบสติอารมณ์ ไตร่ตรองข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา เขามั่นใจว่าหญิงสาวยังอยู่ในบริษัท แต่อยู่ส่วนไหนแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เป็นสิ่งที่เขายังหาคำตอบไม่ได้ และทำให้ทุกข์ใจเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจกลับเข้าไปปรึกษาเตมินทร์กับธารธาราให้ช่วยกันระดมความคิด
เขารีบหมุนตัวกลับเข้าไปในรั้วบริษัทอีกครั้ง จ้ำเดินอย่างเร็วมุ่งตรงไปด้านหลังเวที ด้วยความเร่งรีบจึงชนเข้ากับชายร่างท้วมที่เดินสวนมา ทำให้ช่อดอกไม้ในมือของอีกฝ่ายหล่นลงกับพื้น
“ขอโทษครับ ! ผมรีบไปหน่อย พอดีมีพนักงานหายตัวไป” โยธินก้มลงช่วยเก็บช่อดอกไม้
“ไม่เป็นไรครับ…ว่าแต่ใครหายไปครับ” พินิจมองช่อดอกไม้ในมือ จัดการขยับบางดอกที่ยื่นออกมาให้เข้าที่
“พิมพ์นาราครับ”
เขาลดช่อดอกไม้ลงแล้วมองอีกฝ่ายเต็มตา
“หนูพิมที่อยู่แผนกการตลาดใช่ไหม”
“ครับ…เธอต้องแสดงรำอวยพรเปิดงาน แต่ ไม่มีใครหาเธอเจอเลย”
“เมื่อชั่วโมงก่อน ผมเห็นเธอเดินอยู่ด้านหลังโรงงาน ทางไปบ่อบำบัดน้ำเสีย”
“พิม ! ขอบคุณมากครับ” โยธินอุทานอย่างตื่นตระหนก หัวใจกระตุกวูบ ความรู้สึกดีใจเมื่อได้ข่าวของพิมพ์นาราและกลัวว่าหญิงสาวจะเป็นอันตรายพลุ่งพล่านในเวลาเดียวกัน เขารีบวิ่งไปด้านหลังโรงงาน แต่ต้องชะงัก เพราะอีกฝ่ายดึงมือไว้
“เดี๋ยวครับ รอผมก่อน” พินิจกวาดตามองพนักงานที่เดินอยู่ เมื่อเห็นคนรู้จัก เขาจึงฝากช่อดอกไม้ในมือไปให้แผนกธุรการ ก่อนจะวิ่งไปด้านหลังโรงงานพร้อมกับโยธิน
ความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วทั้งตู้คอนเทรนเนอร์ ล่อลวงจินตนาการของพิมพ์นาราให้หลอกหลอนจิตใจตนเองจนเกิดความหวาดกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็น เธอนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูเหล็ก ฝ่ามือและข้อมือทั้งสองปวดร้าวระบม หลังจากใช้ทุบผลักสิ่งที่ปิดกั้นอิสรภาพ ไม่ต่างจากลำคอแสบร้อนเพราะตะโกนขอความช่วยเหลือจนหมดแรงพลางคิดหาคำตอบว่า ใครเป็นคนวางแผนทำร้ายกันได้ถึงเพียงนี้
เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยแทงรากลึกเข้าไปในจิตใจจนเจ็บปวด ก่อนน้ำตาแห่งความหวังจะไหลออกมายามคิดถึงพ่อและแม่ อยากให้ท่านทั้งสองมาอยู่เคียงข้างในเวลาที่ความกลัวคืบคลานเข้ามา กลืนกินร่างทั้งร่างจนสั่นไหว เมื่อคาดเดาไม่ได้ว่า ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
พิมพ์นาราไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว รู้อย่างเดียวคือ เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความทรมานจากลมหายใจติดขัดที่เริ่มแสดงอาการชัดเจน ราวกับอากาศในนี้ใกล้หมดลง กลิ่นสารเคมีตลบอบอวลมาจากลังสีน้ำตาลจำนวนมากทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน
หญิงสาวพยายามเกร็งลำคอไม่ให้ก้อนลมลูกแล้วลูกเล่าตีขึ้นมาจากช่องท้องเป็นระลอก พาสิ่งที่อยู่ข้างในขย้อนออกมาและเริ่มรู้สึกว่า พื้นตู้คอนเทรนเนอร์ที่นั่งอยู่หมุนเคว้งไปมา ทั่วทั้งศีรษะเจ็บแปลบเหมือนเข็มนับร้อยทิ่มแทงจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
ร่างบางเอนลงแนบพื้นช้าๆอย่างอ่อนแรง ลมหายใจค่อยๆแผ่วลงทีละน้อย เปลือกตาทั้งสองหนักอึ้งจนไม่สามารถเปิดขึ้นมาได้ มือที่กุมขมับตกลงข้างลำตัว เมื่อทั้งกายเริ่มไม่มีความรู้สึก
สำนึกสุดท้ายตอนนี้คือ ร่างกายเบาหวิวไร้น้ำหนัก ล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับเธอเป็นเพียงสายลมไม่มีตัวตน…
ในสติอันเลือนราง พิมพ์นาราได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อตนเอง…มันดังๆดับๆเป็นระยะ…
ใครกัน…
หนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งห้าเริ่มกลับมาทำงาน เสียงที่เรียกปลุกปีกแห่งความหวัง ฟื้นคืนมาแผ่ขยายโอบล้อมตัวเธอแล้วดึงความรู้สึกล่องลอยนั้นดิ่งลงสู่พื้น
ร่างของพิมพ์นารากระตุกเฮือกขึ้น พลัน ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เจ็บปวดรวดร้าวทั่วทั้งศีรษะ จู่โจมกลับเข้ามาใหม่ เธอพยายามต่อสู้กับความทรมาน รวบรวมแรงยกมือขึ้นทุบประตู แต่ทำได้เพียงแผ่วเบา ความชาด้านทั้งแขนทำให้ไม่มีแรง มือที่ไปถึงประตูจึงได้แค่ลูบไล้ไปมาไม่เกิดเสียงอันใด
โยธินกวาดสายตามองฝ่าความมืด มีแสงสลัวแซมเป็นระยะจากเสาไฟจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ห่างกัน พื้นที่ด้านหลังโรงงานเป็นบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดปะปน มีตู้คอนเทรนเนอร์เพียงหนึ่งตู้ไว้สำหรับเก็บสารเคมีซึ่งใช้ในบ่อบำบัดน้ำเสียตั้งอยู่ข้างหน้า
เขาและพินิจช่วยกันเดินหาพิมพ์นาราจนทั่วบริเวณ พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อ อยู่พักใหญ่ แต่ ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มแลดูเคร่งเครียด
“ไม่มีวี่แววเลยครับ” พินิจพูดจบ เดินกลับมาหาโยธินที่ยืนรออยู่หน้าตู้คอนเทรนเนอร์
“ผมเป็นห่วงพิมครับ แถวนี้เปลี่ยวมากด้วย เวลาทำงานปกติในตอนกลางวัน พนักงานยังไม่อยากเดินผ่านเพราะมีกลิ่นเหม็นต้องคนที่มีหน้าที่ดูแลจริงๆ ถึงจะเข้ามาวัดค่าน้ำเสียซึ่งส่งมาบำบัด” เขาถอนใจเฮือกใหญ่
“ผมเห็นเธอ เมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง เดินเลี้ยวเข้ามาในนี้ ท่าทางรีบร้อน”
“พิมเดินมาคนเดียวหรือครับ” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางกระวนกระวาย
พินิจนิ่งคิดก่อนตอบกลับมา
“ครับ…ผมไม่เห็นใครเดินตามมาด้วยเลย”
คำตอบที่ได้รับทำให้แววตาโยธินอ่อนแสงลง เขาหันมองรอบตัวอีกครั้ง
“ถ้าวันนี้เราหา พิมไม่เจอจริงๆ คงต้องแจ้งผู้ใหญ่ให้รับทราบ ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นและอาจต้องแจ้งความคนหายถ้าเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วยังไม่พบตัว” ชายหนุ่มกัดฟันแน่นจนสันกรามขึ้นนูน
“ผมว่าเรากลับเข้าไปในงานกันเถอะครับ เผื่อจะได้สอบถามพนักงานคนอื่นว่ามีใครเห็นเธออีกไหม” พินิจเอ่ยชวนสีหน้าเขาแลดูกังวลไม่ต่างจากโยธิน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับจึงพากันเดินกลับเข้าไปในงาน
ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดของบรรยากาศโดยรอบ ทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก โยธินสบตาชายร่างท้วมแล้วหันกลับไปมองรอบบ่อบำบัดน้ำเสีย
เสียงนั้นเงียบไปพักใหญ่พร้อมกับความเงียบงันของทั้งคู่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างใจจดใจจ่อรอฟังที่มาของเสียงอีกครั้ง
“พิม! ใช่พิมไหม” โยธินตัดสินใจตะโกนเรียก หมุนไปมารอบกาย
ไม่กี่อึดใจ…เสียงดังแหลมก้องขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มมองตรงไปยังที่มาของเสียง แล้วเดินดิ่งไปที่ตู้คอนเทรนเนอร์
“เสียงมาจากในนี้ครับ” เขาพูดพลางเพ่งมองประตูซึ่งถูกแม่กุญแจขนาดใหญ่คล้องไว้
“แต่…ประตูมันถูกล็อคจากข้างนอกจะมีใครอยู่ข้างในได้ยังไงกัน” พินิจเดินไปขยับแม่กุญแจแกว่งไปมาตรวจดูจนแน่ใจว่ามันล็อคสนิท
“หรือว่า…พิมถูกขังอยู่ในนี้” ชายหนุ่มมองแม่กุญแจแล้วใช้มือทุบประตูแรงๆ
“พิม ! ได้ยินพี่ไหม อยู่ข้างในหรือเปล่า พิม!” เขาตะโกนเรียกสุดตัว
พินิจหน้าเสีย เมื่อได้ยินบทสรุปของเขา ชายร่างท้วมรีบแนบหูติดบานประตูทันที
“คุณโย ลองฟังสิครับ”
โยธินแนบหูติดบานประตูตามอีกฝ่าย ทั้งคู่นิ่งงันพยายามฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน
พิมพ์นารารวบรวมแรงกำพาหุรัดในมือแน่น ราวกับมันเป็นความหวังสุดท้าย ที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่หลังจากพยายามถอดออกจากต้นแขนด้วยแรงซึ่งเหลือเพียงน้อยนิด
สติสัมปชัญญะที่กลับมาครบถ้วนทำให้เธอตระหนักดีว่า เวลาไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ แม้แต่เสียงของตนเองยังร้องออกมาขอความช่วยเหลือไม่ได้ควรทำเช่นไร
“พี่…”
“พี่…โย…” เธอพยายามต่อสู้กับความเจ็บแสบและแห้งผากในลำคอ เค้นเสียงให้ลอดผ่านออกมา
โยธินหน้าตื่น เมื่อได้ยินเสียงพิมพ์นาราจากข้างใน แม้จะแผ่วเบา แต่ความเงียบสงัดรอบกายก็ทำให้ได้ยินชัดเจน เขาขยับตัวก้มลงให้แนบชิดประตูมากขึ้น
“พิม! ใช่ไหม ถ้าใช่ตอบพี่อีกที” เขาขยับตัวก้มลงให้แนบชิดประตูมากขึ้น
หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยายามเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง แต่ ไม่ได้ผลจึงขยับพาหุรัดในมือเคาะประตูเหล็กจนเกิดเสียงดังก้อง
ชายหนุ่มสบตากับพินิจแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นมายืนตรง
“ผมว่าพิมอยู่ในนี้แน่ครับ…แต่คงเริ่มไม่มีแรงแล้ว ตู้คอนเทรนเนอร์ใบนี้ไม่มีช่องระบายอากาศใช้เก็บสารเคมีที่ใส่ลงในบ่อบำบัดน้ำ ” โยธินหน้าเสีย เมื่อพูดจบ
“เราต้องรีบหาอะไรมางัดกุญแจออก ก่อนเธอจะเป็นอะไรไป” พินิจกล่าวด้วยอาการร้อนรน
“ผมเห็นเครื่องมือช่างที่ใช้ต่อเวที วางอยู่ด้านหลังเวทีครับ…” ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับเข้าไปในงานเลี้ยงทันที เขาให้พินิจรออยู่ที่หน้าตู้คอนเทรนเนอร์ เพื่อช่วยดูสถานการณ์ไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายไปกว่านี้
โยธินมองเศษเหล็กและไม้กระดานรวมทั้งเครื่องมือช่างจำนวนหนึ่ง วางกองรวมกันอยู่มุมด้านในสุดของห้องเพื่อเตรียมใช้รื้อเวทีเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง เขาก้มลงหยิบชะแลงที่วางอยู่ในกองนั้นแล้วลุกขึ้นวิ่งไปทางประตู สวนกลับธารธาราซึ่งเดินเข้ามา
“พี่โยเจอพิมหรือยังคะ” ธารธาราถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทำให้นันทนาที่กลับเข้ามาพร้อมหญิงดาว เดินอาดๆมามองด้วยสายตาท้าทาย
“เพื่อนเธอกลับบ้านไปแล้วมั้ง”
“ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับเธอนะ ถอยไป ! ” ธารธาราผลักร่างเล็กของอีกฝ่าย เซไปอีกทางแล้วขึงตาใส่หญิงดาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“นี่ ! เธอ…” นันทนาทรงตัวกลับมายืนใหม่ แต่กรีดร้องได้เพียงเท่านั้น เพราะเสียงของโยธินดังแทรกขึ้นมา
“เจอแล้ว” เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงค่อนข้างห้วนอย่างรำคาญใจต่อการวิวาทแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง จึงไม่เห็นหญิงดาวและนันทนาเบิกตากว้างขึ้น สีหน้าถมึงทึงราวกับไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน
“พี่โยรอน้ำด้วยค่ะ !”
หญิงดาวมองทั้งสองคนวิ่งออกจากห้องไปแล้วกำมือแน่น ก่อนจะหันกลับมาหานันทนา
“เรารีบตามไปกันเถอะ”
ธารธาราวิ่งตามโยธินไปติดๆโดยไม่ให้คลาดสายตา ก่อนจะหยุดชะงักเพราะมือใครคนหนึ่งฉุดไว้จากด้านหลัง
“พี่ภูมิ !” เธอหายใจหอบๆ หลังจากวิ่งมาอย่างเร็วแล้วหยุดลงกะทันหัน
“น้ำจะรีบไปไหน แล้วพิมล่ะ” ภูมิมินทร์ถามขึ้นทันที หลังจากมาถึงงานเลี้ยงได้พักใหญ่ แต่ยังไม่เจอพิมพ์นารา
“พิมหายตัวไปค่ะ ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว รีบไปกันเถอะ”
สีหน้าของภูมิมินทร์ตื่นตระหนก หลังจากรับรู้ว่า มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับพิมพ์นารา เขารีบวิ่งตามธารธาราไปทันที ความรู้สึกอยากปกป้องคุ้มครองผู้หญิงอันเป็นที่รัก ทำให้แต่ละฝีเท้าเร่งเร็วขึ้นจนแทบจะวิ่งแซงอีกฝ่าย ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้เธอปลอดภัย หากหญิงสาวเป็นอะไรไปเขาคงโทษตัวเองไปจนวันตาย ที่ไม่สามารถดูแลเธอได้
พินิจรับชะแลงจากโยธินมาแล้วสอดปลายแหลมเข้าไปบนแม่กุญแจ กดน้ำหนักมือแรงๆหลายครั้งจนเหงื่อเริ่มซึมทั่วแผ่นหลัง ชายร่างท้วมเขย่งเท้า เกร็งมือที่จับชะแลงจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนทั้งแขน จากนั้นกดน้ำหนักลงไปอีกครั้งจนตัวโยน เขาเซออกมาพร้อมกับน็อตยึดสายยูที่ใช้คล้องแม่กุญแจหลุดหล่นลงบนพื้น โยธินจึงคว้าบานประตูดึงออกทันที
ร่างของพิมพ์นาราที่พิงประตูอยู่ ไหลตามออกมากองอยู่ตรงทางเข้า เธอกะพริบเปลือกตาเบาๆ ปรับสายตากับบรรยากาศภายนอก แล้วสูดลมหายใจแรงๆเข้าไปเต็มปอด
“พิม !” โยธินทรุดนั่งกับพื้น คว้าตัวหญิงสาวพยุงขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนไว้ในอ้อมแขน
เธอขยับปากเรียกชื่อชายหนุ่ม แต่ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา พร้อมกับหยดน้ำใสไหลรินจากปลายตา
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย” เขาไล้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาข้างแก้มเธอออก โอบกอดร่างเล็กไว้แนบอก
พิมพ์นาราเผยรอยยิ้มจางๆ…
กี่ครั้งแล้วนะ…ที่โยธินมาช่วยเธอไว้ยามมีอันตราย
ผู้ชายคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่สำหรับเธอ เขาคือ ผู้วิเศษสามารถสั่งหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นยามอยู่ใกล้กัน ทำให้เธอหลอมละลายได้ในความเหน็บหนาว และสร้างความเข้มแข็งในจิตใจเวลาอ่อนแอ
“ไม่ต้องกลัวนะ…ปลอดภัยแล้ว” เขาปลอบแผ่วเบา
เธอซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง ปล่อยน้ำตาแห่งความอบอุ่นให้ไหลริน สองแขนเริ่มมีความรู้สึกหลังจากสูดอากาศเข้าไป ค่อยๆยกขึ้นโอบรอบแผ่นหลังของเขา หญิงสาวหลับตาผ่อนคลายความกังวล ซึมซับความสุขให้สมกับที่ยังมีลมหายใจอยู่
พินิจขยับเข้ามาใกล้ มองพิมพ์นาราด้วยความห่วงใย แต่ แฝงแววสงสัยในท่าทีของทั้งสองคน ก่อนจะหันไปเห็นธารธาราซึ่งผ่อนฝีเท้าช้าลงจนกลายเป็นหยุดยืน เธอคว้าแขนของภูมิมินทร์ซึ่งวิ่งตามมาไว้ทัน เมื่อเห็นเพื่อนปลอดภัยอยู่ในอ้อมกอดของโยธิน
ภูมิมินทร์นิ่งงันราวกับหยุดหายใจ ภาพของทั้งคู่ ทำให้สีหน้าเขาเปื้อนไปด้วยแววเศร้าระคนตัดพ้อ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนออกมาช้าๆ คล้ายสะกดกลั้นบางสิ่งที่อยู่ในใจ ตรงข้ามกับหญิงดาวที่ยืนแอบมองอยู่ในความมืด เธอกระทืบเท้าพร้อมกับเต้นเร่าๆเป็นเจ้าเข้าสิง จนนันทนาซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง มีสีหน้าหวั่นกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย
............................................................................................................................................................................
ขอบคุณ คุณ Phugan มากนะคะที่เอาใจช่วยพิมกับผู้เขียน ^ ^
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่ติดตามอ่านด้วยค่ะ
...................................................................................................................................................................................
พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2556, 08:06:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2556, 08:08:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1287
<< ตอนที่ 10 | 12 >> |
phugan 16 ธ.ค. 2556, 18:38:07 น.
พี่โยเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วหนูพิมอีกครั้งแล้ว.....
พี่โยเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วหนูพิมอีกครั้งแล้ว.....
พราวชมพู 17 ธ.ค. 2556, 08:22:31 น.
ขอบคุณ คุณ phugan มากค่ะ มาตามต่อกันนะคะ ^ ^
ขอบคุณ คุณ phugan มากค่ะ มาตามต่อกันนะคะ ^ ^