ดวงใจพรต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 5

ตอน 5
ท้องฟ้าใกล้จะเริ่มเปลี่ยนสีเมื่อเวลาผ่านไปใกล้ค่ำ พรีมาดาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่ทิ้งไปหลายวัน เพราะหลายงานรอลายเซ็นของเธอ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นกดระหว่างคิ้ว เพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่มือสัญญาณบอกเตือนว่ามีคนโทรมาหา เธอยื่นมือไปหยิบมากดรับ พอเสียงแรกดังมาให้ได้ยิน ริมฝีปากก็ระบายยิ้ม ก่อนจะตอบสั้นๆว่าตกลง จากนั้นก็เก็บงานที่ทำมาทั้งวันให้เรียบร้อย ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่ เดินออกจากห้องที่ทำงาน ไปหาคนที่มารอรับอยู่ตรงล็อบบี้ข้างล่าง

พรีมาดาเปิดยิ้มให้หนุ่มหล่อที่ยกมือขึ้นทักทาย พลางเดินเข้าไปหา ซึ่งเขาก็เดินมาหาเธอเช่นกัน พอเจอกันกลางทางก็พากันเดินออกจากประตูอาคารไปที่รถที่จอดอยู่

“คิดยังไงถึงได้มาหา” พรีมาดาถามเพื่อนระหว่างเดินไปที่รถ

“หาคนเลี้ยงข้าว”

“แน่ใจหรือว่าแค่เลี้ยงข้าว”

“แน่ใจ แต่ถ้าจะแถมอย่างอื่นด้วยก็ยินดี” เสียงหยอกเย้าคล้ายมีบางอย่างแฝงไว้ ทำให้พรีมาดามองค้อน เพราะรู้ดีว่าของที่จะแถมคืออะไร “ไปรถเค”

เควินบอกพร้อมกับจับแขนพรีมาดาให้เดินตามไปที่รถ ซึ่งใช้กุญแจกดล็อก เปิดประตูให้ขึ้นไปนั่ง พรีมาดาขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ดึงเบลล์มาคาดตัวเพื่อความปลอดภัย เควินที่เปิดประตูขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยก็เช่นกัน จากนั้นก็พารถยนต์คันหรูของเขาวิ่งฉิวไปบนถนน ที่เต็มไปด้วยแสงไฟที่เปิดขึ้นมาไล่ความมืด จนมาถึงโรงแรมสุดหรู ที่ชั้นบนสุดเปิดเป็นร้านอาหารสุดแพง เพราะสามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองแฟชั่นได้รอบเมือง

แสงไฟนับหมื่นนับล้านดวงส่องสว่างขึ้นมาแข่งกับดวงดาราบนฟ้ากว้าง พรีมาดาทอดสายตาออกไปมองความสวยงาม ก่อนจะดึงสายตากลับมา เมื่อเควินยกมือขึ้นแตะข้อศอกพาไปนั่งที่โต๊ะที่จองไว้ตรงด้านหน้า พนักงานที่คอยต้อนรับเข้ามาเลื่อนเก้าอี้ออกให้นั่ง พอทั้งคู่นั่งเรียบร้อย ก็ถอยออกไปยืนรอคอยบริการอยู่ไม่ห่าง ไม่นานก็เดินเข้าไปรับออเดอร์จากทั้งคู่ ซึ่งพอพนักงานถอยห่างออกไปก็คุยกันเบาๆ

“พาพรีมมาที่แสนจะโรแมนติกอย่างนี้ เคมีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มี” เสียงปฏิเสธของเควินเหมือนมีอะไรบางอย่างที่พรีมาดารู้สึกได้ แต่ไม่ถามออกมา นอกจากฟังคำพูดที่บอกต่อว่า “แค่อยากให้พรีมผ่อนคลายสบายสมองบ้างเท่านั้นเอง งานหนักไม่ใช่เหรอวันนี้”

“ก็ธรรมดา ทิ้งไปหลายวันก็อย่างนี้แหละ”

“ธรรมดาเหรอ”

คำถามที่พอจะรู้อะไรๆของเควิน ทำให้พรีมาดานิ่งไปนิด ก่อนจะรับคำ “อืม แต่อย่าพูดถึงมันเลย พรีมชินแล้ว”

เควินยิ้มกับคำว่าชิน แต่ในใจนั้นเป็นห่วงเพื่อนรักไม่น้อย เพราะนอกจากจะเหนื่อยกายกับงานมากมายแล้ว ยังต้องมาหน้าชื่นอกตรมกับเรื่องหัวใจของตัวเองอีก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มที่พนักงานนำมาบริการขึ้น ยื่นไปชนกับแก้วหญิงสาว ดื่มและคุยกันเรื่องงานของเขา ที่มักจะมีเรื่องตลกๆมาเล่าให้ฟังเสมอ

“วันก่อนเคลองสเก็ตเสื้อให้น้องหมา แต่ไม่รู้ใครเห็นเข้าตอนไหน ลายสเก็ตจึงไปอยู่บนชุดของไอโซคนดัง”

“แล้วเคทำไง”

“ก็ไม่ต้องทำไง แค่เอาแบบไปตัดเป็นชุดมาให้น้องหมาใส่ แล้วลงเฟส เท่านั้นเหละโลกโซเซียลก็กระหึ่ม ยัยไอโซถูกเปรียบเป็นหมา น่าไม่อาย แย่งเสื้อหมามาใส่”

พรีมาดายิ้มขำ ก่อนจะบอกว่า “แรงเหมือนเดิมเลยนะ”

เควินยักไหล่อย่างไม่สนใจ แล้วดื่มพั้นซ์รสเลิศ ก่อนจะเล่าเรื่องอื่นให้ฟังอีก ภาพการพูดคุยของทั้งคู่ สะท้อนเข้าไปอยู่ในสายตาของใครหลายคนที่มองมา เพราะพอจะรู้จักดีไซเนอร์คนดังอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็มองมาอย่างต่างความคิดกันออกไป ทั้งชื่นชม อิจฉาและเฉยเมย

“ลูกเลี้ยงในตระกูลอัลโตนิโอ ที่กุมธุรกิจใหญ่ๆในเมืองนี้ไว้หลายแห่ง”

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังมองหญิงสาวดึงสายตากลับมามองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ ซึ่งไม่เพียงแค่นั้นยังพูดออกมาอีกว่า

“เธอเป็นคนไทย ที่สำคัญเธอเพิ่งเกี่ยวข้องกับม็อตต้า”

พรตปรายตาไปมองหญิงสาวที่ถูกพูดถึงอีกแวบเดี๋ยวก็ดึงสายตากลับมามองหน้านายมาเฟียหัวใจดอกไม้ ที่ดูจะมีข้อมูลดีๆไม่น้อย ก็ถามออกมา “หมายความว่าไง”

“น้องสาวเธอเพิ่งหมั้นกับอดัม เด ม็อตต้าไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แต่ที่ตลกร้ายคือคู่หมั้นของน้องสาวเคยเป็นคู่ควงของเธอมาก่อน”

พรตนิ่งไปแล้วนึกถึงคืนที่เขาเจอเธอริมทะสาบ มุมปากก็ยกขึ้นหยันเมื่อพอจะเดาสาเหตุที่ทำให้เธอเมา “แล้วตอนนี้ละ เธอเป็นคู่ควงใคร ใครเป็นคู่ควงเธอ”

“เท่าที่รู้ สถานะตอนนี้โสด แต่คงไม่นานเพราะมีหนุ่มมารอคิวเพียบ แถวนี้ก็คนหนึ่งแล้ว มองไม่วางตาเชียว” เสียงตอนท้ายคล้ายสะบัดใส่ จนพรตอยากจะแตะให้มาดแมนสักที แต่รู้ดีว่าแตะให้ตายก็เปลี่ยนใจกระเทยไม่ได้แล้ว

“แล้วผู้ชายที่นั่งอยู่ด้วยกันล่ะ”

“ไม่รู้สถานะ แต่ถ้าไม่ใช่ไม้ประดับก็คงเป็นไม้กันหมา”

“ทำไมไม่คิดว่าเป็นคิวแรกของเธอละ”

ไมค์ยักไหล่อย่างไม่รู้ แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาดื่ม แต่สายตามองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งยิ้มแย้มอยู่กับหญิงสาว เพราะมีความไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง พรตเองก็เช่นกัน สายตาเขายังแวะเวียนไปมองใบหน้างามอยู่บ่อยๆ และไม่แปลกใจที่นายมาเฟียจะรู้เรื่องของเธอ เพราะตอนนี้ใครที่เกี่ยวข้องกับเขาและตระกูลม็อตต้า นายมาเฟียคงตรวจสอบข้อมูลมาหมดแล้ว

พรตมองแก้วเหล้าในมือ พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หลังจากคุยกับพี่ชายจบ นายมาเฟียก็จัดการเก็บข้าวของเขาไปใส่ไว้ท้ายรถและพาเขาออกมาจากบ้านหลังนั้นมาอยู่บ้านสองชั้นหรือเซฟเฮ้าท์ ที่มีคนดูแลอยู่ แรกเข้าไปก็เหมือนไม่มีใคร แต่หางตาเขาเห็นว่ามี ก็ไม่ถามอะไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า คนพวกนี้เป็นใคร และพาเขามาทานอาหารที่นี่ ทั้งๆที่เขายังเจ็บอยู่

‘เลี้ยงปลอบใจ’

นั่นคือประโยคที่นายมาเฟียบอก แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่าถูกทดสอบความอดทนมากกว่า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาอ่อนแอหรือเข้มแข็งมากขึ้น

“เธอจะไปแล้ว”

เสียงนายมาเฟียที่ดังขึ้น ทำให้พรตตวัดสายตาไปมอง โต๊ะที่เขานั่งอยู่ด้านในสุด และมีต้นไม้บังทำให้สามารถเห็นเธอได้ชัด ร่างอรชรเคียงยืนขึ้นเคียงข้างชายหนุ่ม ภาพลักษณ์ภายนอกดูเหมาะสมกันมาก แต่ภายในใจเกะกะสายตาเขามากกว่า พรตมองจนทั้งสองคนเดินออกไปจากร้าน ก็ลุกขึ้นเดินตามไป โดยที่ไมค์ทักท้วงไว้ไม่ทัน จึงรีบจ่ายค่าอาหารก่อนจะตามออกไป
********
เควินพาพรีมาดาเดินลงบันไดไปข้างล่างที่เปิดเป็นผับ เพื่อฟังเพลงให้ผ่อนคลายและทักทายเพื่อนนิดหน่อย ก็จะพากลับ ภายในผับบรรยากาศดูเรียบหรูและน่านั่ง แสงไฟริบหรี่ให้เข้ากับเพลงเพราะๆที่เปิดให้เคลิ้ม แถมยังกั้นกระจกใสให้เห็นวิวแสงสีภายนอกอีกด้วย หนุ่มสาวหลายคู่นั่งฟังเพลงพร้อมดื่มและคุยกันเบาๆ อีกหลายคนก็เช่นเดียวกัน

พรีมาดาเดินตามเควินเข้ามานั่งที่โซฟานุ่มมุมด้านใน ซึ่งก็เทคแคร์ดูแลเธอด้วยการสั่งเครื่องดื่มมาให้ ก่อนจะบอกใบ้ว่าขอตัวไปทักทายเพื่อน เธอก็พยักหน้าว่าตามสบาย เขาจึงผละไป ระหว่างรอเครื่องดื่มพรีมาดากวาดตามองไปรอบร้าน บรรยากาศที่สบายๆทำให้เธอผ่อนคลายได้จริง แต่แล้วลมหายใจหยุดหายไปเสี้ยววินาที เมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนคลอเคลียกันอยู่หน้าร้าน แค่นั้นยังไม่พอทั้งคู่ยังจูบกันอย่างดูดดื่มด้วย

ริมฝีปากแย้มยิ้มออกหยัน เพราะใจไปรู้สึกเจ็บกับภาพที่เห็น เขาเป็นคู่หมั้นกัน จะกอดจูบกันก็ไม่เห็นแปลก ที่แปลกก็คือเธอที่ยังไปรู้สึกกับคนที่ทำร้ายใจเธออยู่ได้ แล้วสูดลมหายใจให้คลายความเจ็บ

“เห็นแล้วใช่ไหม”

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้พรีมาดากะพริบดวงตาให้สติกลับมา ตวัดสายตามองเพื่อนหนุ่มที่เดินกลับมายืนอยู่ข้างเธอเมื่อไหร่ไม่รู้ ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า “ที่พามาที่นี่ เพราะเหตุนี้เหรอ”

“ใช่ พรีมจะได้มีคำตอบ ตอบคำถามที่เคยค้างคาอยู่ในใจเสียทีไง ว่าพวกเขาหมั้นกันได้ยังไง”

“แค่นี้เหรอ”

“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ นี่คือคำตอบ” เควินบอกแล้วยื่นกระดาษที่มีตัวเลขให้ดู พรีมาดาหรุบตามองกระดาษตรงหน้า เสียงเควินก็บอกว่า “เขาเดินกันไปแล้ว”

พรีมาดาเมินหน้าหนีเหมือนไม่สนใจ แต่สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นเดินตามคู่รักที่เดินโอบกอดกันไป โดยไม่สนใจจะมองใคร ใครที่คอยตามเธออยู่เหมือนกัน! เควินมองตามเพื่อนสาวไป แต่ไม่ตามไป เพราะเขารู้แล้วว่าเรื่องนี้มันจบลงตรงไหน ก็เดินกลับไปหาเพื่อนที่หาข่าวนี้มาให้...พรีมาดาตามมาทันได้เห็นทั้งคู่เข้าไปยืนอยู่ในลิฟต์ พอประตูลิฟต์ปิด ลิฟต์อีกตัวก็เปิดออกพอดี เธอเข้าไปยืนและกดตัวเลขที่เห็นมาจากเควิน แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด ก็มีคนอีกสามสี่คนเดินเข้ามา

พรีมาดาก็ยังไม่สนใจจะมองใคร สายตาเธอมองแค่ตัวเลขที่กดเลือกไว้เท่านั้น ไม่นานลิฟต์ก็เลื่อนลงมาถึงชั้นที่ต้องการ ก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ มองซ้ายมองขวาหาตัวเลขที่อยู่ในกระดาษ จนเห็นหลังคู่รักที่เธอตามอยู่ ก็รีบตามไป แล้วก็ได้เห็นภาพที่ตอบคำถามที่ค้างคาใจอยู่

ทั้งคู่กอดจูบกันอยู่หน้าประตูห้อง ท่าทางที่เร่าร้อนไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองก็รู้ได้ทันทีว่าต่อไปจะเป็นยังไง ใบหน้าเธอเย็นชา ขณะสายตากระด้างเมื่อคำตอบที่ได้คือ ‘ความง่าย’ ที่ทำให้เกิดการหมั้น รวมกันแทงข้างหลังเธออย่างเลือดเย็น

พรีมาดายืนมองจนประตูห้องปิดสนิท ก็หันหลังจะเดินไปให้ไกลแต่ก้าวไปไหนไม่ได้เพราะมีคนมายืนกอดอกพิงผนังขวางทางเธอไว้ ดวงตากลมโตสบตาคมที่มองอยู่เพียงแวบเดียว ก็เบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง แต่...

“บาดตาปวดใจมากมั๊ย” เสียงพูดภาษาบ้านเกิดไม่ได้ทำให้พรีมาดาแปลกใจ แต่พอจะเดินต่อ เสียงพูดก็ดังขึ้นอีก “อยากกินเหล้าไหม คราวนี้ไม่ต้องจ้าง ผมเลี้ยงเอง”

“อย่ามายุ่งกับฉัน”
เสียงเค้นออกมาไม่ได้ทำให้พรตถอย กลับยิ้มที่มุมปาก พลางตวัดสายตาไปมองห้องที่เธอมองอยู่ก่อนหน้านี้ แม้ไม่เห็นหน้าคู่รักที่เธอตามมา แต่ก็พอจะเดาได้ว่า เป็นเรื่องรักสามเศร้าของเราสามคน แล้วดีดตัวขึ้นมา ดึงร่างอรชรมากอดไว้อย่างรวดเร็ว “อุ๊ย” พรีมาดาร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะดิ้นให้หลุดจากวงแขน แต่... “มีคนออกมาจากห้อง อยากให้เขาเห็นหน้าคุณหรือไง”

พรีมาดาเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจแต่จำต้องยืนหลบซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา โดยไม่รู้ว่าไม่มีใครออกมาสักคน จนเวลาผ่านไปหญิงสาวก็ดันตัวออกพร้อมบอกว่า “ปล่อย”

พรตหลุบตามองเพียงนิด ก็คลายอ้อมแขนออก แต่ยังไม่ถอยห่างจากตัวเธอ “พวกเขาเป็นใคร ทำไมคุณต้องตามมาดู”

“เรื่องของฉัน”

“แต่บังเอิญว่ามันผ่านเข้ามาในสายตาผม และถ้าคุณไม่บอก ผมจะไปเคาะประตูแล้วถามให้รู้เรื่อง”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“แต่ผมอยากเสือก”

คำตอบที่บอกให้รู้ว่าเขาจะไม่เลิกยุ่ง ทำให้พรีมาดามองหน้าคมอย่างขุ่นเคือง แล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ลิฟต์ โดยมีพรตสาวเท้าเดินตามมาติดๆ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์ เขาก็เดินขึ้นมายืนเคียงข้าง ปรายตามองใบหน้างามที่นิ่งเฉย ก็เปรยขึ้นอีก

“ที่ไม่บอก เพราะว่าเป็นเรื่องรักสามเส้าเราสามคน หรือฉันรักผัวเขาละ”

“ฉันไม่ได้สิ้นคิดขนาดนั้น”

“แล้วตามมาดูทำไม หรือมันแน่นอก จึงตามมายกออก”

พรีมาดาไม่อยากพูดกับคนที่ไม่สนิท จึงยืนเงียบ จนกระทั่งลิฟต์ที่เรียกไว้เปิดประตูออก เธอก็เดินเข้าไปยืนข้างในพร้อมกดชั้นที่ต้องการ พรตก็เดินเข้าไปยืนเคียงข้าง พอประตูลิฟต์ปิดและเลื่อนขึ้นไป เสียงเขาก็ดังขึ้นอีก “ผมพรต แล้วคุณ” ไม่มีคำตอบให้เขา พรตจึงขยับตัวมายืนตรงหน้า แล้วถามอีกครั้ง “ว่าไงครับ ชื่ออะไร”

หญิงสาวยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม พรตจึงขยับเข้าไปชิด จนพรีมาดาผงะถอยไปชิดผนังลิฟต์ แต่จะเบี่ยงตัวออกไม่ได้ เพราะพรตยกมือขึ้นกันไว้ แล้วบอกว่า

“คุณรู้ไหม การที่คุณดื้อเงียบเนี๋ย มันเป็นความท้าทายสำหรับผม และถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะทำทุกทางที่จะให้รู้ให้ได้” พูดจบพรตก็ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมข้างแก้มนุ่มจนพรีมาดารู้สึกถึงไออุ่น จึงรีบยกมือปัดปลายนิ้วเขา แต่กลับพรตกลับจับมือเธอไว้ ยิ้มใส่ตาก่อนจะบอกว่า “แม้จะต้องจูบเปิดปากคุณก็ตาม”

“อย่ามาบ้านะ” เสียงพรีมาดาดังออกมาอย่างตกใจ

“งั้นก็บอกมา แค่ชื่อจะหวงไว้ทำไม แต่เดี๋ยวผมเปลี่ยนใจแล้ว คุณไม่บอกก็ไม่เป็นไร ผมจะเรียกคุณตามใจผมแล้วกัน ผู้หญิงที่ดูเข้มแข็งแต่เย็นชาใจไม่ด้านพออย่างคุณ ควรจะชื่ออะไรดี”

“พรีม”

เสียงที่ดังเข้ามา เพราะประตูลิฟต์ที่เปิดออกโดยที่ทั้งสองไม่รู้ พรีมาดารีบโผล่หน้าไปมอง พอเห็นว่าเป็นเควินก็รีบผลักแขนแกร่งออก แต่พรตเร็วกว่าเขาหมุนตัวตวัดแขนกอดเอวดึงเธอให้ยืนอยู่กับเขา ขณะสายตามองตรงไปยังผู้ชายที่เขาคิดว่าเป็นคิวแรกของเธอ และมองเลยไปเห็นมาเฟียหัวใจดอกไม้ ที่ยืนกอดอกแอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง ก็ละสายตากลับมามองหญิงสาวที่เขาจับตัวไว้

“เขาเป็นใคร ไม้กันหมาหรือคนด้ามใจ”

“ที่รัก”

“หน้าอย่างนั้นไม่เหมาะกับคุณสักนิด ต้องหน้าอย่างผมนี่ถึงเหมาะกับคุณ จำไว้นะแล้วเราจะได้พบกันอีก อ๋อ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครออกมามองหรอก ผมหลอกกอดคุณ!”

พูดจบพรตก็เดินสวนเควินที่เดินมาหาพรีมาดา ซึ่งก็มองตามเขาไปอย่างสุดโกรธ เควินเองก็ตวัดสายตามองใบหน้าคมที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแต่มีท่าทีแปลกๆกับเพื่อนของเขา พอเดินเข้ามายืนข้างเพื่อนสาว กดเลือกชั้นที่จอดรถไว้ แล้วรอจนประตูลิฟต์ปิดก็ถามออกมาทันที

“เขาเป็นใครเหรอ”

“ไม่รู้จัก”

คำตอบนั้นสร้างความกังขาให้เควิน เพราะภาพที่เห็นการยืนแนบชิดและวงแขนที่โอบกอดมันมากเกินกว่าคำว่าไม่รู้จัก พรีมาดาเห็นสายตาเควิน แต่ไม่อธิบายอะไร ซึ่งเควินก็ไม่ซัก นอกจากถามถึงเรื่องที่เพื่อนไปเห็นมา “ได้คำตอบแล้วใช่ไหม”

“เครู้เรื่องนี้เมื่อไร”

“วันนี้ เพื่อนสาระแนให้ฟัง จึงพามาให้เห็นกับตา พวกเขาจะได้เลิกหัวเราะลับหลังพรีมเสียที ว่าโง่ให้เขาสวมเขา”

พรีมาดายิ้มเหยียด ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่เพราะความค้างคา ถูกสะกิดขึ้นมาให้หายไปอย่างน่าสมเพช “ทำไมเคไม่ปล่อยให้มันจบไป ตั้งแต่เขาหมั้นกัน”

“เพราะไม่อยากให้พรีมจมอยู่กับมัน เจ็บแต่ไม่จบมันทรมานนะพรีม ให้จบแล้วเจ็บดีกว่า ทรมานไม่นานก็หาย”
“แล้วถ้าความเจ็บนี้มีเบื้องหลังมากกว่านี้ละเค พรีมจะทำยังไง”

เควินมองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็จับมือนุ่มให้กำลังใจ พรีมาดาจึงฝืนยิ้มให้และยืนนิ่งจนกระทั่งลิฟต์หยุดนิ่ง เปิดออก ทั้งคู่ก็เดินออกมาจากลิฟต์ไปยังรถที่จอดอยู่ ลิฟต์อีกตัวที่เปิดออก คนที่อยู่ข้างในได้เห็นสองคนที่เดินจับมือกันไป

นายมาเฟียหัวใจดอกไม้มองตามหนุ่มสาวที่เดินไป ก็เปรยออกมา “ไปทำอะไรเธอหรือเปล่า แรกเห็นหน้าถึงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกชอบกล”

“กอด”

ไมค์ตาโต ก่อนจะบอกว่า “มือไวนะฮะ มิน่านายคิวแรกถึงตาขวาง แต่แค่อยากลองเล่นเพราะเห็นว่าเป็นของยาก หรือจริงจังเพราะถูกใจ”
พรตไม่ตอบ เขาเดินนำไปที่รถ ไมค์ยักไหล่นิดๆ ก็เดินตามไป แต่แล้วก็หันขวับมาดูข้างหลัง เพราะรู้สึกเหมือนถูกแอบมอง แต่ก็ไม่เห็นใคร จึงเดินตามพรตไป
**********
บนอาคารสูงเจ็ดชั้น ที่แบ่งเป็นห้องพักสุดหรู แสงไฟหลายห้องยังสว่างอยู่บอกให้รู้ว่าคนที่อาศัยอยู่ยังไม่นอน ชั้นบนสุดของอาคาร เจ้าของห้องเปิดหน้าต่างกระจกรับลมธรรมชาติที่พัดเข้ามา สายตาทอดมองไปไกล ปล่อยใจกับสมองให้ว่างเปล่า ก่อนจะรับเรื่องใหม่เข้ามา ไม่นานเรื่องที่รอก็มาถึง

เสียงประตูถูกเคาะเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้ามา พร้อมๆกับเจ้าของห้องหันหน้าไปมองแขกที่มาหายามวิกาล ทั้งคู่สบตากันเพียงนิด แขกที่เข้ามาก็พูดขึ้น

“เขาไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคนเข้ามาดูแลและพาไปอยู่ที่อื่นแล้ว”

“แล้วจะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับเรา”

“ถ้ามองในแง่ดีก็ดี ถ้ามองในแง่ร้ายก็ร้าย เพราะเราไม่รู้ว่าไอ้คนที่เข้ามาอยู่ข้างตัวเขา มันเป็นใครมาจากไหน เป็นแค่คนโง่ๆทั่ว หรือฉลาดเป็นกรดกันแน่”

“มันจะเป็นใครก็ช่าง แต่อย่าประมาทจนขาดความระวัง จนแผนการที่เราวางไว้พังลงไปก็แล้วกัน”

“ครับ ส่วนเรื่องที่เรารออยู่ น่าจะเป็นไปอย่างที่เราคิดไว้”

“ก้าวหน้าไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว”

“ยังเท่ากับศูนย์ แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหนึ่งเปอร์เซ็นต์จะเป็นของเราและจะบวกขึ้นไปเรื่อยๆตามที่เราต้องการ”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”

“เพราะท่าทางของเขา ที่บอกว่าจะไม่ยอมให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจบลงไปเพียงแค่นั้น แต่เราควรจะมีคนมากระตุ้นหรือทำให้เห็นว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นน่าจะมีมูลจริงๆ”

“งั้นก็หาใครสักคน มาเป็นเครื่องมือก็ได้กัน”

“ครับ”

เสียงตอบรับทำให้มุมปากของคนฟังหยักขึ้นอย่างพอใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนแขกที่มาพบก็หันหลังกลับออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ แต่ความคิดของเจ้าของห้องไม่เงียบตาม เพราะมันกำลังมีหลายสิ่งหลายอย่างผุดขึ้นมาเตรียมไว้ในกาลข้างหน้า ที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่

เช้าวันรุ่งขึ้นแสงอรุณโผล่บนขอบฟ้า สกุณาหลายตัวส่งเสียงร้องก่อนจะโผผินบินขึ้นสู่ฟ้ากว้าง หน้าต่างคฤหาสน์อัลโตนิโอเปิดออกรับแสงแรกของวัน หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงพลิกหน้าหนีแสงแดดอุ่นๆที่ส่องเข้ามาถึงตัวก่อนจะลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีคนมานั่งบนเตียง

แพทิเซียเปิดยิ้มให้คนเป็นแม่ แล้วขยับตัวมานอนหนุนตักนุ่มของแม่ หลับตาลงเหมือนจะหลับต่อ แต่จริงๆแล้วไม่ได้หลับ

“เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก” นางพรเพ็ญถามพลางยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของลูกเบาๆ

“ค่ะ อดัมพาไปฟังเพลงต่อ เพราะมากเลยคะ”

“หนูกับเขาไปด้วยกันได้ดีใช่ไหม”

“ค่ะ” แพทิเซียรับปากแล้วลุกขึ้นนั่งซบอกคนเป็นแม่พลางบอกว่า “ขอบคุณแม่มากนะคะ ที่ช่วยทำให้หนูสมหวัง เขาดีและน่ารักอย่างที่หนูคิดไว้เลยค่ะ”

นางพรเพ็ญยิ้มที่ลูกมีความสุข แต่เพียงเดี๋ยวเดียวรอยยิ้มก็เลือนหายไป เพราะคิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำลับหลังกับลูกอีกคนไว้ แต่นางจำเป็นต้องทำ แม้จะต้องหน้าชื่นอกตรมเพียงใดก็ตาม “แม่ดีใจที่หนูมีความสุข”

“ขอบคุณค่ะ แต่แม่คะ เขาไม่ได้ครอบครองทุกอย่างของอเล็กซ์นะคะ มีคนอื่นมาแทนที่เขา ที่สำคัญเป็นทายาทของชีคแห่งทะเลทราย ร่ำรวยมากด้วย แต่อดัมดูจะไม่ค่อยสนใจที่จะเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง บอกแต่เพียงว่ามีคนทำงานให้ก็ดีแล้ว แพทไม่ชอบเลยที่อดัมทำแบบนี้ เพราะอยากให้ทุกอย่างเป็นของเขา ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้มาชุบมือเปิบ”

“แม่ก็พอจะรู้มาเหมือนกันว่าอดัมไม่ได้สิทธิตรงนี้ แล้วหนูเจอผู้ชายคนนั้นหรือยัง”

“ยังค่ะ แต่แพทคิดว่าจะเข้าไปช่วยอดัมทำงานดีไหมคะ”

นางพรเพ็ญนิ่งคิดถึงเหตุผลต่างๆ ก็บอกว่า “หนูเป็นคู่หมั้นเขา ไปทำอย่างนั้นก็ไม่น่าเกลียด ไปอยู่ใกล้กัน จะเป็นหูเป็นตา ดูแลซึ่งกันและกันได้”

แพทิเซียยิ้มคล้ายสมใจในบางอย่าง แล้วดันตัวขึ้นมาจากอกคนเป็นแม่ ซึ่งก็ยกมือลูบผมเธออย่างแสนรัก “เมื่อวานที่พี่เราไปส่ง เรียบร้อยดีไหมลูก”

“ค่ะ ไม่ได้พบกัน ไม่มีการถามถึงกันด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไรต่อกันแล้วนะคะ เพราะอดัมดูจะตัดบัวยังเหลือใยค่ะ ส่วนพี่พรีมหนูไม่รู้ แต่บางทีสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้”

“ทำไมหนูคิดอย่างนั้น”

“ก็พี่พรีมเก็บความรู้สึกเก่งจะตาย” แพทิเซียว่าแล้วทำเหมือนไม่สนใจคำพูดตัวเอง ลุกขึ้นไปยืนสำรวจหน้าตาตัวเองที่กระจก

“แม่รับรองว่าพี่พรีมเขาจะไม่มีวันทำอย่างนั้น”

คำพูดที่ดูจริงจังของคนเป็นแม่ทำให้แพทิเซียหันมามอง ยิ่งเห็นสีหน้าที่เครียดลง ก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะบอกว่า “หนูก็ไม่ว่าอะไรนี่ค่ะ แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง แม่อย่าคิดมากซิ อีกอย่างพี่พรีมอาจจะมีหนุ่มคนใหม่มาดามใจแล้วก็ได้ เมื่อวานแพทเห็นคุยกับใครบางคน ท่าทางสนิทสนมเชียวค่ะ”

นางพรเพ็ญเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะบอกว่า “แม่ว่าหนูอย่าไปสนใจเรื่องพี่เขาเลย ไปอาบน้ำแต่งตัว ไปบอกข่าวดีกับคู่หมั้นว่าหนูจะไปทำงานกับเขา ให้เขาดีใจดีกว่า”

“จริงด้วยค่ะ” ว่าแล้วแพทิเซียก็เดินมาหอมแก้มคนเป็นแม่ แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ

นางพรเพ็ญมองตามไปจนประตูห้องน้ำปิดสนิท ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง พลางคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้คุยกับลูกสาว โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่าที่ลูกเขย ที่จะทำให้ลูกของนางมีความสุขดุจเจ้าหญิงอยู่บนความมั่งคั่ง มั่นคงตลอดไป

แสงแดงสาดส่องลงมาให้ความอบอุ่นมากขึ้น บนทางเดินแผ่นคอนกรีตร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ร่างของหญิงสาวในชุดเซรกสีฟ้ามีเสื้อคลุมสีขาว เดินทอดน่องไปตามทาง ก่อนจะชะงักไป เมื่อเห็นคนเดินตรงมาหา สีหน้าและแววตาที่มองมา ทำให้เธอปรับสีหน้าตัวเองให้นิ่ง และสาวเท้าเดินต่อไปจนกระทั่งไปหยุดยืนเผชิญหน้ากันระหว่างทาง สองมือของหญิงสาวพนมยกขึ้นไหว้แล้วลดลงมาแนบข้างตัวพลางสบตาคนที่มองมา

“จะไปทำงานแล้วเหรอ”

“ค่ะ ทิ้งไปหลายวัน ยังเคลียร์ไม่จบเลยค่ะ”

“แต่เรื่องของเขาจบแล้วใช่ไหม”
ลมหายใจของพรีมาดาหยุดไปเพียงเสี้ยวนาที ก็ผ่อนออกมาคล้ายเบื่อหน่าย แล้วพูดขึ้น “ลูกสาวคนโปรดของแม่ว่าไงละคะ”

“น้องไม่เกี่ยว ฉันถาม ไม่ได้ให้มาย้อน”

“หนูก็ไม่ได้ย้อน แต่ที่ถามเพราะหนูเคยบอกแม่ไปแล้ว และถ้าไม่มีใครมาพูดอะไร ทำไมต้องมาขุดคุ้ยกันอีก”

“แต่ฉันต้องการความแน่ใจ”

“แสดงว่าแม่ไม่เคยเชื่อใจหนูเลย” พูดออกไปแล้วพรีมาดาก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ที่จริงหนูน่าจะชินแล้วนะคะ พูดออกมาก็แค่นั้น เพราะใจของคนเราที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่าเป็นยังไง วันนี้บอกว่าจบ บอกว่าเชื่อ แต่สุดท้ายก็ยังระแวง ไม่จบและยังเหมือนลูกแหง่ที่ไม่รู้จักโตเสียที”

“พรีมาดา”

น้ำเสียงที่บอกความไม่พอใจ ทำให้พรีมาดาเมินมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากพูดอีกแล้ว แต่นางพรเพ็ญยังพูดออกมา “แสดงว่ายังตัดใจจากเขาไม่ได้ใช่ไหม”

“แม่อย่าคาดคั้นให้มากนักเลยค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แล้วหนูอาจจะหันหลังกลับไปทำในสิ่งที่แม่ไม่ต้องการก็ได้”

“อย่าแม้แต่จะคิด และขอสั่งห้ามโดยเด็ดขาดว่าเลิกวุ่นวายกับอดีตคนรักเก่า คู่หมั้นของน้องเสียที น้องกำลังมีอนาคตที่ดี มีความสุข ลูกควรสนับสนุนน้อง ไม่ใช่คอยจะเป็นหอกข้างแคร่อยู่อย่างนี้”

“แม่พูดยังกับหนูไม่ใช่ลูก หรือแม่ลืมไปแล้วว่ายังมีเลือดของแม่อยู่ในตัวหนูครึ่งหนึ่ง”

“ฉันไม่เคยลืม”

“แต่ที่ผ่านมาแม่ก็ทำเหมือนลืม และถ้าลืมขึ้นมาจริงๆเมื่อไร บอกหนูด้วยนะคะ หนูจะกรีดเลือดก้อนนี้ออกไปเสียที” พูดจบพรีมาดาก็เดินผ่านคนเป็นแม่ไป เพราะไม่อาจทนฟังความลำเอียงที่สร้างความปวดร้าวให้เธอมากไปกว่านี้ได้แล้ว ใบหน้าเธอเศร้าหมอง นัยน์ตาคลอด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมา และจางหายไป เมื่อบอกตัวเองให้เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ แต่ยิ่งบอกความเป็นจริงก็ยิ่งตอกย้ำว่าเธอเป็นลูกที่...แม่ไม่รัก

นางพรเพ็ญกำมือเข้าหากันแน่น แล้วจะเดินตามไปจัดการลูกหัวดื้อ ที่อกตัญญูต่อว่าเธอ แต่เดินตามไปไม่ได้ เมื่อเห็นแม่ตัวเองมองมาและคงได้ยินเรื่องที่นางพูดเมื่อกี้ จึงข่มความไม่พอใจไว้ เดินไปหา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงนางเบญจาก็ดังขึ้น

“สิ่งที่แม่เสียใจที่สุด ก็คือสิ่งที่แกทำอยู่ทุกวันนี้”

“แม่เข้าใจหนูหน่อยได้ไหมคะ”

“ที่ผ่านมาแม่ก็พยายามจะเข้าใจแก แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่เข้าใจแล้วว่าแกไม่ได้ทำเพื่อใคร นอกจากทำเพื่อตัวเอง”
พูดจบนางเบญจาก็หันหลังให้ เดินกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง นางพรเพ็ญมองตามไปอย่างอัดอั้นที่ไม่มีใครเข้าใจนาง แต่จะให้นางเลิกทำในสิ่งที่คิดหวังไว้ ไม่มีวัน นางจะไม่ยอมกลับไปตกต่ำอย่างในอดีตอีกแล้ว
*********
อาคารเด ม็อตต้า ตั้งตระหง่านท้าดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบให้เกิดประกายวาววับคล้ายเหลี่ยมเพชร และสายลมที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบอาคารให้ไหวตาม ลานทางเข้าด้านหน้าพนักงานหลายสิบคนทยอยเดินเข้ามาในอาคาร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของคนที่ยืนมองอยู่ในห้องทำงาน แล้วละสายตามาเหลือบมองไปด้านหลัง เมื่อรู้สึกว่ามีคนเปิดประตูห้องเข้ามา

คนที่เข้ามาชะงักไปนิด เมื่อเห็นว่ามีคนยืนอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ร่างสูงเดินไปยืนข้างๆ สายตามองผ่านกระจกไปหยุดที่ประตูทางเข้าอาคาร “คุณมาเช้ามาเลยนะครับ”

“มันเป็นหน้าที่”

“ขอบคุณ ที่ทำได้คุ้มกับค่าจ้างเหลือเกิน”

“แล้วคุณละครับ ไม่คิดจะทำอะไรให้คุ้มกับตระกูลของตัวเองบ้างเหรอ”

สายตาของอดัมดึงกลับมามองใบหน้าทนายกัสโซ่ ที่นิ่งเรียบแต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ “มีคนทำแทนแล้ว จะทำให้เหนื่อยอีกทำไม”

“คนอื่นทำคนอื่นได้ ไม่ใช่เราได้ เช่นเดียวกับการปล่อยของๆเราให้อยู่ในน้ำมือคนอื่น มันไม่ดีเหมือนอยู่ในมือตัวเองหรอกนะคุณอดัม”

“คุณจะบอกอะไรผม”

“ผมไม่กล้าหรอกครับ แต่อยากให้คุณคิดดูบ้างว่าอย่าไว้ใจคนอื่นให้มากนัก เพราะบางเรื่องบางอย่างมันไม่เข้าใครออกใคร”

แววตาของอดัมนิ่งลึกลง ก่อนจะตวัดไปมองหน้าประตูทางเข้าอาคารเหมือนเดิม และเขาก็ได้เห็นร่างสูงของคนที่กุมทุกอย่างไว้แทนเขา “เขาเหรอ” ไม่มีคำตอบจากทนายกัสโซ่แต่ถ้าอดัมได้เห็นสายตาเขา คงแปลกใจที่มันวาววับขึ้นอย่างสมใจ และฟังเสียงของอดัมจึงดังขึ้นต่อ “เขาจะทำให้ม็อตต้าเจริญขึ้นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมต้องขัดขวางเขาด้วย”

“แล้วคุณอยากให้ม็อตต้าไปอยู่ในมือเขาจริงๆเหรอ”

ทนายกัสโซ่ถามแค่นั้น ก็หันหลังเดินออกไปจากห้องทำงานของอดัม ซึ่งก็ก้มลงมองมือตัวเอง ความว่างเปล่าที่เห็น ทำให้เขาต้องกำมือเข้าหากันพลางคิดว่าจะเปลี่ยนความคิดหรือจะให้เป็นอยู่อย่างนี้ ที่ไม่มีอะไรเลย!
********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ธ.ค. 2556, 16:56:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ธ.ค. 2556, 16:56:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 3041





<< ตอน 3   ตอน 6 >>
คำปน 13 ธ.ค. 2556, 17:12:26 น.
พี่praemรอบัลลังค์รักภูผาอยู่นะคะ่นํ้าค้างคะ่


goldensun 13 ธ.ค. 2556, 19:47:55 น.
แม่ลำเอียงจนน่าเกลียด สงสารพรีม โดนพรตตามป่วนไม่พอ น้องก็ร้ายเหลือ


แว่นใส 13 ธ.ค. 2556, 20:59:20 น.
ตัวร้ายเรื่องนี้เยอะจริงนะ


konhin 13 ธ.ค. 2556, 22:56:31 น.
ตัวละครสีเทาเยอะมาก


Zephyr 14 ธ.ค. 2556, 06:48:07 น.
จบตอนนี้ ไม่ชอบ อดัม แพทริเซีย พรเพ็ญ
อดัม ลังเล โลเล ไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง รักสบาย สมควรละ ที่เสียบริษัทให้พรต
แพทริเซีย ทำไมเรารู้สึกว่าเธอเป็นคนสองหน้า สองบุคลิกนะ จิตน้อยๆ
พรเพ็ญ แม่ที่ลำเอียงมากๆ และอยากสบาย เห็นแก่ตัว
พรตกับพรีมมาดา ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่คงแซ่บเวอร์ ถ้าอ่านๆไปน่ะนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account