มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี
ตอน: ตอนที่ 42......40%
ตอนที่ 42
ณ วินาทีที่เสียงปืนที่แผดลั่นดังขึ้นนั้น ทั้งพริมา วรปรัชญ์ และภัทร์ต่างก็ใช้สัญชาตญาณป้องกันตัวเองและคนที่ตนรัก วรปรัชญ์ทรุดตัวลงนั่งยองแทบจะทันทีพร้อมทั้งใช้มือคลุมหน้าคลุมตาตนเองอย่างหวาดกลัว ส่วนพริมาก็ใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูอย่างอัตโนมัติ เธอรีบก้มศีรษะแนบลำตัวและย่อเข่าลงเพียงเล็กน้อยเพราะคิดว่าวิธีนี้น่าจะช่วยให้หลบวิถีกระสุนได้รอดพ้น ส่วนภัทร์ที่ไม่ได้ยืนหันหลังให้กับเรืองเดชอย่างพริมาและวรปรัชญ์จึงได้มองเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าต่อตา ณ เสี้ยววินาทีนั้นเองชายหนุ่มก็โถมเอาร่างของตนเองเข้าบังร่างของพริมาให้พ้นจากลูกกระสุนอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา เขาใช้เวลาไม่ถึงเศษเสี้ยวของวินาทีตัดสินใจสละร่างของตัวเองเพื่อเป็นโล่กำบังภัยให้กับพริมา.......หัวใจของเขา สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันมากกว่าสัญชาตญาณ มากกว่าการไตร่ตรองด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะมันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจที่สั่งให้เขาต้องปกป้องคนที่เป็นเจ้าของของมัน.....ปกป้องและรักษาด้วยชีวิต
************************
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการจัดอันดับว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ในห้องห้องฉุกเฉินหรือที่รู้จักกันดีว่าห้องไอซียูนั้น ฃมีร่างผู้ป่วยนอนไร้สติอยู่บนเตียงคนไข้หนึ่งคน ซึ่งมีสายระโยงระยางมากมายจากเครื่องมือหลากหลายชนิดไปยังตัวผู้ป่วยทำให้ผู้ที่ได้มาพบเห็นต่างก็พอจะเดาระดับความรุนแรงของอาการของผู้ป่วยได้ไม่ยาก และแม้คนไข้รายนี้จะเข้ามาอยู่ในความดูแลของคณะแพทย์จำนวนหลายสิบคน ซึ่งแต่ละท่านต่างก็เป็นระดับชั้นแนวหน้าของประเทศในสาขาที่ตนได้ร่ำเรียนมา และแม้จะเป็นเวลากว่า 5 สัปดาห์แล้วก็ตามแต่อาการของผู้ป่วยก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด
หน้าประตูห้องฉุกเฉินที่มีช่องกระจกใสบานยาวติดอยู่ บานกระจกนี้มีไว้เพื่อให้ญาติหรือคนที่ต้องการจะมาเยี่ยมผู้ป่วยได้มองลอดเข้าไปดูอาการได้นั้น มีอีกร่างหนึ่งที่ยืนเฝ้าดูอาการของคนรักอยู่นานร่วมชั่วโมงแล้ว คนป่วยที่ยังนอนไร้สติจะรับรู้ได้ไหมว่ามีใครเป็นห่วงเขาบ้างจะรับรู้ไหมว่ามีคนที่รอการฟื้นกลับคืนสติมาของเขาอยู่ทุกวัน เฝ้ารอด้วยความหวังแม้ว่ามันจะริบหรี่ก็ตาม สิ่งที่คนนอกห้องทำได้ก็คือภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นสักครั้ง.....ขอเพียงแค่นี้จะให้เธอได้ไหม
หยาดน้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยของพริมาที่มาเฝ้าดูอาการของภัทร์อยู่ทุกวันนับตั้งแต่เขาถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนี้เมื่อ ๓ สัปดาห์ก่อน หญิงสาวเหม่อมองเข้าไปในห้องโดยมีจุดโฟกัสของสายตาอยู่ที่เตียงคนไข้ เธอยืนดูผู้ชายที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเธอนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสายเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าคนข้างในที่นอนไร้สติและคนข้างนอกที่ยืนนิ่งงันนั้นแตกต่างกัน....คนหนึ่งไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แม้ว่าร่างกายจะมีบาดแผลฉกรรจ์ ส่วนอีกคนที่ร่างกายปกติดีนั้นกำลังเจ็บปวดแทบขาดใจ
พริมาซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่ในมือก่อนที่จะขยับตัวห่างออกมาจากช่องประตู แล้วจึงค่อย ๆ เดินมาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้นวมบุหนังสีน้ำตาลเข้มซึ่งมีพนักพิงสูงท่วมศีรษะของเธอ หญิงสาวนั่งลงอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง เธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมายนานนับหลายนาที แล้วภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก็ค่อย ๆ ย้อนกลับเข้ามาสู่โสตประสาทของเธออีกครั้ง.....ภาพช่วงนาทีที่เธอไม่สามารถจะลืมเลือนได้เลย
พริมายังจำได้ดีว่าร่างของเธอนั้นถูกภัทร์โถมเข้าใส่อย่างแรงและแทบตั้งตัวไม่ทัน เธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตของลานจอดรถในทันทีและรู้สึกหนักอึ้งเพราะน้ำหนักตัวของภัทร์ที่อยู่ด้านบน พอสิ้นเสียงปืนและตามมาด้วยเสียงหวีดร้องที่แตกตื่นด้วยความตกใจของบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานสวดศพคืนสุดท้ายของวิภาวีเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็มีเสียงของผู้คนบางส่วนวิ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุ บ้างอาจต้องการมาดูเหตุการณ์ บ้างก็คงวิ่งเพื่อกลับมายังรถของตนเอง
“เฮ้ย! ระวัง! คนนั้นมีปืน!”
“ว้าย! ช่วยด้วยมีคนถูกยิงค่ะ!”
“ใครก็ได้โทรตามรถพยาบาลที!”
“แจ้ง 191 เร็ว!”
“เฮ้ย! อย่าให้มันหนีไปได้ ช่วยกันจับไว้ก่อน!”
“คุณคะ เป็นอะไรมากไหม ขยับตัวได้ไหมคะ!”
“ว้ายตายแล้ว! คนนี้เลือดออกมากเลย ใครก็ได้ช่วยเขาที!”
ความวุ่นวายและเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้พริมาค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้นจากพื้นและพยายามที่จะหันหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปริม! แกเป็นอะไรไหม!” เสียงวรปรัชญ์ร้องถามอย่างตระหนกและขวัญผวา เพราะเพิ่งผ่านนาทีชีวิตที่คาบเกี่ยวความเป็นความตายเอาไว้
“ไม่เป็นไร แกละปรัชญ์!” พริมาตอบ แล้วพูดต่อว่า
“ปรัชญ์ แกช่วยยกคนที่ทับหลังฉันอยู่หน่อยสิ ใครล่ะ”
“พี่โป๊ปไง! ตายแล้วปริม! พี่โป๊ป! พี่โป๊ปเลือดไหลเต็มหลังเลยแก” วรปรัชญ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ด้วยความตกใจ
“จริงเหรอปรัชญ์!” พริมารีบยันร่างของตนเองให้ลุกขึ้นเพื่อมาดูอาการของภัทร์ด้วยความเป็นห่วง
“ว้าย! ปริม! แกเลือดไหลด้วย ที่หน้าผากน่ะ” วรปรัชญ์ร้องเสียงดังลั่นราวกับเจ็บเสียเอง
“ช่างมันเถอะ แผลเล็กนิดเดียว” พริมาพูดหลังจากใช้นิ้วมือคลำหาแผลของตนเองที่หน้าผาก เคราะห์ดีที่ศีรษะของเธอไม่ได้โดนกระแทกอย่างแรงกับพื้นปูน แต่โหนกแก้มทางด้านขวาก็รู้สึกชาไปชั่วขณะหนึ่งและออกอาการบวมและช้ำอยู่หลายวัน เธอมีเพียงแผลถลอกตามเนื้อตัวซึ่งมีเลือดไหลซิบ ๆ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยเมื่อเทียบกับอีกคน
“พี่โป๊ปคะ ๆ ๆ!” เสียงร้องอย่างร้อนใจดังไม่ขาดสายจากปากของพริมา เธอรีบใช้นิ้วมืออังจมูกของภัทร์ก่อนที่จะรีบหันไปออกคำสั่งกับวรปรัชญ์ว่า
“ปรัชญ์! เร็ว! ช่วยกันยกพี่โป๊ปขึ้นรถหน่อย ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เร็วสิแก! อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งและมัวแต่ตกใจอยู่ ช่วยกันเร็ว ๆ หน่อย” พริมาที่แม้จะสามารถควบคุมสติตนเองได้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเธอก็กำลังหวาดกลัวจนแทบจะสิ้นสติสมประดี
พริมาและวรปรัชญ์ที่รีบกุลีกุจอกันนำภัทร์ส่งโรงพยาบาลเลยลืมนึกถึงคนก่อเรื่องเสียสนิท ณ นาทีนั้นความเป็นความตายของภัทร์มาก่อนเรื่องใด ๆ ฆาตกรอย่างเรืองเดชจึงรีบฉวยโอกาสหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ทิ้งความวุ่นวายเบื้องหลังให้คนอื่นสะสาง......ผู้เป็นมารดาจึงต้องเสียน้ำตาอีกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ความผิดครั้งนี้ของเขาใหญ่หลวงมากนัก ยิ่งอาการของภัทร์อยู่ในขั้นวิกฤตด้วยแล้วโอกาสที่จะรอดพ้นจากความผิดที่ได้กระทำลงไปจึงค่อนข้างริบหรี่เต็มที
************************
ในที่สุดภัทร์ก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลมีชื่อ และได้รับการรักษาอย่างสุดความสามารถจากคณะแพทย์ชื่อดังหลายสาขาที่ถูกเรียกตัวมาจากหลายโรงพยาบาลเพื่อมาช่วยยื้อชีวิตคนป่วยจากมือของมัจจุราชตามคำสั่งของท่านเจ้าของธนาคารผู้ซึ่งยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตของลูกชายเพียงคนเดียว ในที่สุดภัทร์ก็รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ แต่เพราะกระสุนที่เจาะเข้าไปนั้นฝังอยู่ที่กระดูกด้านหลังจึงส่งผลให้เส้นประสาทส่วนนั้นขาดโดยสิ้นเชิง ภัทร์ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราในทันทีที่เขาถูกยิง!!!
ภัทร์นอนหมดสติโดยมีทั้งเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางการแพทย์ที่ทำให้เขายังมีลมหายใจอยู่ได้ แม้จะไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้อีกเลยนับตั้งแต่นาทีที่เขายอมเสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องพริมา และแม้ว่าทางคณะแพทย์จะบอกว่าโอกาสหายเป็นปกติของภัทร์นั้นมีอยู่น้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียวแต่นายพัฒน พัฒนภิรมย์ก็ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะยอมเสี่ยง เจ้าของและผู้ก่อตั้งธนาคารพัฒนทรัพย์จึงรีบติดต่อขอแพทย์เฉพาะทางจากต่างประเทศเพื่อมารักษาอาการลูกชายของตนให้หายเป็นปกติ ไม่ว่าใครแนะนำอะไรหรือได้รับข้อมูลว่าแพทย์จากประเทศไหนเก่งหรือเคยมีประวัติในการรักษาคนไข้แบบนี้ให้หายมาแล้วนายพัฒนก็จะไม่รอช้าที่จะติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาและเชิญมาดูอาการของลูกชายถึงเมืองไทย ซึ่งขณะนี้ทางครอบครัวพัฒนภิรมย์ก็กำลังรอคณะแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะเดินทางมาถึงภายในสัปดาห์นี้.....ด้วยความหวังอันล้นปรี่
ณ วินาทีที่เสียงปืนที่แผดลั่นดังขึ้นนั้น ทั้งพริมา วรปรัชญ์ และภัทร์ต่างก็ใช้สัญชาตญาณป้องกันตัวเองและคนที่ตนรัก วรปรัชญ์ทรุดตัวลงนั่งยองแทบจะทันทีพร้อมทั้งใช้มือคลุมหน้าคลุมตาตนเองอย่างหวาดกลัว ส่วนพริมาก็ใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูอย่างอัตโนมัติ เธอรีบก้มศีรษะแนบลำตัวและย่อเข่าลงเพียงเล็กน้อยเพราะคิดว่าวิธีนี้น่าจะช่วยให้หลบวิถีกระสุนได้รอดพ้น ส่วนภัทร์ที่ไม่ได้ยืนหันหลังให้กับเรืองเดชอย่างพริมาและวรปรัชญ์จึงได้มองเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าต่อตา ณ เสี้ยววินาทีนั้นเองชายหนุ่มก็โถมเอาร่างของตนเองเข้าบังร่างของพริมาให้พ้นจากลูกกระสุนอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา เขาใช้เวลาไม่ถึงเศษเสี้ยวของวินาทีตัดสินใจสละร่างของตัวเองเพื่อเป็นโล่กำบังภัยให้กับพริมา.......หัวใจของเขา สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันมากกว่าสัญชาตญาณ มากกว่าการไตร่ตรองด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะมันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจที่สั่งให้เขาต้องปกป้องคนที่เป็นเจ้าของของมัน.....ปกป้องและรักษาด้วยชีวิต
************************
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการจัดอันดับว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ในห้องห้องฉุกเฉินหรือที่รู้จักกันดีว่าห้องไอซียูนั้น ฃมีร่างผู้ป่วยนอนไร้สติอยู่บนเตียงคนไข้หนึ่งคน ซึ่งมีสายระโยงระยางมากมายจากเครื่องมือหลากหลายชนิดไปยังตัวผู้ป่วยทำให้ผู้ที่ได้มาพบเห็นต่างก็พอจะเดาระดับความรุนแรงของอาการของผู้ป่วยได้ไม่ยาก และแม้คนไข้รายนี้จะเข้ามาอยู่ในความดูแลของคณะแพทย์จำนวนหลายสิบคน ซึ่งแต่ละท่านต่างก็เป็นระดับชั้นแนวหน้าของประเทศในสาขาที่ตนได้ร่ำเรียนมา และแม้จะเป็นเวลากว่า 5 สัปดาห์แล้วก็ตามแต่อาการของผู้ป่วยก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด
หน้าประตูห้องฉุกเฉินที่มีช่องกระจกใสบานยาวติดอยู่ บานกระจกนี้มีไว้เพื่อให้ญาติหรือคนที่ต้องการจะมาเยี่ยมผู้ป่วยได้มองลอดเข้าไปดูอาการได้นั้น มีอีกร่างหนึ่งที่ยืนเฝ้าดูอาการของคนรักอยู่นานร่วมชั่วโมงแล้ว คนป่วยที่ยังนอนไร้สติจะรับรู้ได้ไหมว่ามีใครเป็นห่วงเขาบ้างจะรับรู้ไหมว่ามีคนที่รอการฟื้นกลับคืนสติมาของเขาอยู่ทุกวัน เฝ้ารอด้วยความหวังแม้ว่ามันจะริบหรี่ก็ตาม สิ่งที่คนนอกห้องทำได้ก็คือภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นสักครั้ง.....ขอเพียงแค่นี้จะให้เธอได้ไหม
หยาดน้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยของพริมาที่มาเฝ้าดูอาการของภัทร์อยู่ทุกวันนับตั้งแต่เขาถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนี้เมื่อ ๓ สัปดาห์ก่อน หญิงสาวเหม่อมองเข้าไปในห้องโดยมีจุดโฟกัสของสายตาอยู่ที่เตียงคนไข้ เธอยืนดูผู้ชายที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเธอนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสายเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าคนข้างในที่นอนไร้สติและคนข้างนอกที่ยืนนิ่งงันนั้นแตกต่างกัน....คนหนึ่งไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แม้ว่าร่างกายจะมีบาดแผลฉกรรจ์ ส่วนอีกคนที่ร่างกายปกติดีนั้นกำลังเจ็บปวดแทบขาดใจ
พริมาซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่ในมือก่อนที่จะขยับตัวห่างออกมาจากช่องประตู แล้วจึงค่อย ๆ เดินมาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้นวมบุหนังสีน้ำตาลเข้มซึ่งมีพนักพิงสูงท่วมศีรษะของเธอ หญิงสาวนั่งลงอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง เธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมายนานนับหลายนาที แล้วภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก็ค่อย ๆ ย้อนกลับเข้ามาสู่โสตประสาทของเธออีกครั้ง.....ภาพช่วงนาทีที่เธอไม่สามารถจะลืมเลือนได้เลย
พริมายังจำได้ดีว่าร่างของเธอนั้นถูกภัทร์โถมเข้าใส่อย่างแรงและแทบตั้งตัวไม่ทัน เธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตของลานจอดรถในทันทีและรู้สึกหนักอึ้งเพราะน้ำหนักตัวของภัทร์ที่อยู่ด้านบน พอสิ้นเสียงปืนและตามมาด้วยเสียงหวีดร้องที่แตกตื่นด้วยความตกใจของบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานสวดศพคืนสุดท้ายของวิภาวีเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็มีเสียงของผู้คนบางส่วนวิ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุ บ้างอาจต้องการมาดูเหตุการณ์ บ้างก็คงวิ่งเพื่อกลับมายังรถของตนเอง
“เฮ้ย! ระวัง! คนนั้นมีปืน!”
“ว้าย! ช่วยด้วยมีคนถูกยิงค่ะ!”
“ใครก็ได้โทรตามรถพยาบาลที!”
“แจ้ง 191 เร็ว!”
“เฮ้ย! อย่าให้มันหนีไปได้ ช่วยกันจับไว้ก่อน!”
“คุณคะ เป็นอะไรมากไหม ขยับตัวได้ไหมคะ!”
“ว้ายตายแล้ว! คนนี้เลือดออกมากเลย ใครก็ได้ช่วยเขาที!”
ความวุ่นวายและเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้พริมาค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้นจากพื้นและพยายามที่จะหันหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปริม! แกเป็นอะไรไหม!” เสียงวรปรัชญ์ร้องถามอย่างตระหนกและขวัญผวา เพราะเพิ่งผ่านนาทีชีวิตที่คาบเกี่ยวความเป็นความตายเอาไว้
“ไม่เป็นไร แกละปรัชญ์!” พริมาตอบ แล้วพูดต่อว่า
“ปรัชญ์ แกช่วยยกคนที่ทับหลังฉันอยู่หน่อยสิ ใครล่ะ”
“พี่โป๊ปไง! ตายแล้วปริม! พี่โป๊ป! พี่โป๊ปเลือดไหลเต็มหลังเลยแก” วรปรัชญ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ด้วยความตกใจ
“จริงเหรอปรัชญ์!” พริมารีบยันร่างของตนเองให้ลุกขึ้นเพื่อมาดูอาการของภัทร์ด้วยความเป็นห่วง
“ว้าย! ปริม! แกเลือดไหลด้วย ที่หน้าผากน่ะ” วรปรัชญ์ร้องเสียงดังลั่นราวกับเจ็บเสียเอง
“ช่างมันเถอะ แผลเล็กนิดเดียว” พริมาพูดหลังจากใช้นิ้วมือคลำหาแผลของตนเองที่หน้าผาก เคราะห์ดีที่ศีรษะของเธอไม่ได้โดนกระแทกอย่างแรงกับพื้นปูน แต่โหนกแก้มทางด้านขวาก็รู้สึกชาไปชั่วขณะหนึ่งและออกอาการบวมและช้ำอยู่หลายวัน เธอมีเพียงแผลถลอกตามเนื้อตัวซึ่งมีเลือดไหลซิบ ๆ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยเมื่อเทียบกับอีกคน
“พี่โป๊ปคะ ๆ ๆ!” เสียงร้องอย่างร้อนใจดังไม่ขาดสายจากปากของพริมา เธอรีบใช้นิ้วมืออังจมูกของภัทร์ก่อนที่จะรีบหันไปออกคำสั่งกับวรปรัชญ์ว่า
“ปรัชญ์! เร็ว! ช่วยกันยกพี่โป๊ปขึ้นรถหน่อย ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เร็วสิแก! อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งและมัวแต่ตกใจอยู่ ช่วยกันเร็ว ๆ หน่อย” พริมาที่แม้จะสามารถควบคุมสติตนเองได้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเธอก็กำลังหวาดกลัวจนแทบจะสิ้นสติสมประดี
พริมาและวรปรัชญ์ที่รีบกุลีกุจอกันนำภัทร์ส่งโรงพยาบาลเลยลืมนึกถึงคนก่อเรื่องเสียสนิท ณ นาทีนั้นความเป็นความตายของภัทร์มาก่อนเรื่องใด ๆ ฆาตกรอย่างเรืองเดชจึงรีบฉวยโอกาสหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ทิ้งความวุ่นวายเบื้องหลังให้คนอื่นสะสาง......ผู้เป็นมารดาจึงต้องเสียน้ำตาอีกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ความผิดครั้งนี้ของเขาใหญ่หลวงมากนัก ยิ่งอาการของภัทร์อยู่ในขั้นวิกฤตด้วยแล้วโอกาสที่จะรอดพ้นจากความผิดที่ได้กระทำลงไปจึงค่อนข้างริบหรี่เต็มที
************************
ในที่สุดภัทร์ก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลมีชื่อ และได้รับการรักษาอย่างสุดความสามารถจากคณะแพทย์ชื่อดังหลายสาขาที่ถูกเรียกตัวมาจากหลายโรงพยาบาลเพื่อมาช่วยยื้อชีวิตคนป่วยจากมือของมัจจุราชตามคำสั่งของท่านเจ้าของธนาคารผู้ซึ่งยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตของลูกชายเพียงคนเดียว ในที่สุดภัทร์ก็รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ แต่เพราะกระสุนที่เจาะเข้าไปนั้นฝังอยู่ที่กระดูกด้านหลังจึงส่งผลให้เส้นประสาทส่วนนั้นขาดโดยสิ้นเชิง ภัทร์ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราในทันทีที่เขาถูกยิง!!!
ภัทร์นอนหมดสติโดยมีทั้งเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางการแพทย์ที่ทำให้เขายังมีลมหายใจอยู่ได้ แม้จะไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้อีกเลยนับตั้งแต่นาทีที่เขายอมเสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องพริมา และแม้ว่าทางคณะแพทย์จะบอกว่าโอกาสหายเป็นปกติของภัทร์นั้นมีอยู่น้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียวแต่นายพัฒน พัฒนภิรมย์ก็ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะยอมเสี่ยง เจ้าของและผู้ก่อตั้งธนาคารพัฒนทรัพย์จึงรีบติดต่อขอแพทย์เฉพาะทางจากต่างประเทศเพื่อมารักษาอาการลูกชายของตนให้หายเป็นปกติ ไม่ว่าใครแนะนำอะไรหรือได้รับข้อมูลว่าแพทย์จากประเทศไหนเก่งหรือเคยมีประวัติในการรักษาคนไข้แบบนี้ให้หายมาแล้วนายพัฒนก็จะไม่รอช้าที่จะติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาและเชิญมาดูอาการของลูกชายถึงเมืองไทย ซึ่งขณะนี้ทางครอบครัวพัฒนภิรมย์ก็กำลังรอคณะแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะเดินทางมาถึงภายในสัปดาห์นี้.....ด้วยความหวังอันล้นปรี่
อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2556, 01:53:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2556, 01:53:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1875
<< ตอนที่ 41.......100% | ตอนที่ 42.......100% >> |
konhin 16 ธ.ค. 2556, 05:00:06 น.
โหดมากอ่ะ
โหดมากอ่ะ
glory 16 ธ.ค. 2556, 10:08:05 น.
แอบงง ฝังที่กระดูกสันหลังที่หลังแล้วทำให้เป็นอัมพาตนี่น่าจะเป็นไปได้ หรือทำให้ช็อกจากการที่ระบบประสาทบาดเจ็บหนักก็เป็นไปได้แต่ก็หมดสติชั่วคราวไม่นานแบบนี้
แต่ถึงขนาดเป็นเจ้าชายนิทราเลยนี่เป็นไปได้เหรอคะ
แอบงง ฝังที่กระดูกสันหลังที่หลังแล้วทำให้เป็นอัมพาตนี่น่าจะเป็นไปได้ หรือทำให้ช็อกจากการที่ระบบประสาทบาดเจ็บหนักก็เป็นไปได้แต่ก็หมดสติชั่วคราวไม่นานแบบนี้
แต่ถึงขนาดเป็นเจ้าชายนิทราเลยนี่เป็นไปได้เหรอคะ