มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 42.......100%

ส่วนอีกหนึ่งชีวิตที่ตรงกันข้ามกับของภัทร์อย่างสิ้นเชิง หลังจากเหตุการณ์เสี่ยงตายของชีวิตในครั้งนั้นผ่านไปพริมาก็ต้องวิ่งวุ่นระหว่างโรงพยาบาลกับศาลอยู่พักใหญ่ เพราะต้องไปให้ปากคำกับศาลเรื่องคดีที่เกิดขึ้น เรืองเดชที่หนีไปได้ไม่ไกลหลังจากที่พยายามจะหลบหนีออกไปต่างจังหวัดถูกจับได้ในคืนนั้นนั่นเอง ชายหนุ่มไม่ได้สำนึกในความผิดที่ตนเองได้ก่อเอาไว้แม้แต่น้อยแถมยังอาฆาตพยาบาลวรปรัชญ์อย่างฝังใจและผูกใจเจ็บ ก็เพราะความรอบคอบของวรปรัชญ์ที่ต่อโทรศัพท์มือถือถึงตำรวจตั้งแต่ที่เห็นปืนในมือของเรืองเดชจึงทำให้ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดเพราะเสียงพูดคุยจากนอกตัวรถนั้นไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่เพียงได้ยินคำว่า “ปืน” และเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกของวรปรัชญ์และพริมาในขณะที่ถูกเรืองเดชแกล้งยิงขู่ในช่วงแรกนั้น ก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถนิ่งนอนใจอยู่เฉย ๆ ได้ หลังจากใช้เวลาหาคลื่นความถี่เพื่อระบุพิกัดของสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้สำเร็จแล้วก็ตัดสินใจส่งสายตรวจมาตรวจดูที่เกิดเหตุในทันที และแม้จะมาไม่ทันเวลาเพราะเรืองเดชได้ลั่นปืนใส่ภัทร์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังนับว่าโชคดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามและสกัดจับเรืองเดชได้อย่างทันท่วงที คดีนี้ทางกรมตำรวจจึงได้รับความดีความชอบไปจากบรรดาประชาชนและสื่อต่าง ๆ ที่ต่างก็ชื่นชมในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและที่สำคัญ คือ ไม่นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยกับสายที่โทรเข้ามาแจ้งความอย่างที่ผ่าน ๆ มา

เรืองเดชที่แม้จะเสียงแข็งและปฏิเสธข้อกล่าวหาในคราวแรกก็ต้องยอมจำนนด้วยหลักฐานที่มัดจนดิ้นไม่หลุดและพยานบุคคลที่ต่างก็ชี้ตัวเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำซึ่งวรปรัชญ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เรืองเดชจึงไม่สามารถรอดพ้นความผิดในครั้งนี้ไปได้ แต่เพราะอำนาจและบารมีของเจ้าของธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของไทยอย่างนายพัฒน พัฒนภิรมย์ คดีนี้จึงจบลงได้ด้วยมูลเหตุของความโกรธแค้นที่เรืองเดชถูกภัทร์ไล่ออกจากงานเพราะถูกจับได้ว่าโกงเงินธนาคารแทนที่จะเป็นคดีน้องเมียกับอดีตพี่เขย!!!

นอกจากจะต้องวิ่งวุ่นระหว่างบ้านกับศาลแล้วพริมายังต้องแบ่งเวลามาดูแลภัทร์อีกต่างหาก แม้ว่าจะเป็นการดูแลผ่านช่องหน้าต่างกระจกก็ตาม!!! และหญิงสาวก็ยังต้องทำหน้าที่ของแม่ต่อไป เธอต้องดูแลลูกชายทั้งสองควบคู่กันไปกับการดูแลคนป่วย และแม้ว่าบิดาและมารดาของเธอจะบินกลับมาเป็นกำลังใจและแรงสนับสนุนในการช่วยดูแลหลาน ๆ ให้อีกแรงแต่เธอก็ยังคงเป็นกำลังหลักของภารกิจนี้อยู่ เธอพูดคุยให้ลูก ๆ ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในขอบเขตที่เด็กพึงจะรับรู้ได้และแน่นอนเธอเลือกที่จะให้พ่อของพวกเขาเป็นฮีโร่มากกว่าคนร้าย ที่สำคัญพริมาตัดสินใจเก็บเรื่องราวของ ด.ญ. พิมพ์ชนก หรือหนูน้อยแป้งร่ำน้องสาวต่างมารดาไว้เป็นความลับจากลูกชายทั้งสอง เพราะเธอเองยังคิดไม่ตกว่าจะยอมให้เด็กหญิงตัวน้อยนั้นเข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตของลูกชายทั้งสองของเธอมากน้อยเพียงไร.....เธอยังมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอีกหลายเรื่อง ซึ่งพริมาก็ได้แต่แอบหวังไว้ลึก ๆ ว่าเธอจะไม่ต้องตัดสินใจมันตามลำพังหรือตัดสินใจแทนใครอีกคน! พริมาจึงต้องเข้มแข็งและสร้างกำลังใจให้กับตัวเองเพราะต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้กับลูก ๆ รวมทั้งเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัวที่มาเฝ้าดูอาการของภัทร์อยู่ทุกวัน เมื่อกลับถึงบ้านเธอก็จะนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาคนไข้แบบภัทร์ ณ นาทีนั้นเธอรู้แล้วว่าการจากเป็นทรมานน้อยกว่าการจากตายหลายเท่านัก!!!

ปัญหาหลักของภัทร์ในตอนนี้ คือ เส้นประสาทหลักที่หลังของเขานั้นถูกกระสุนลูกปรายฝังอยู่หลายจุด ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กมากกว่ากระสุนทั่วไปแต่เพราะภัทร์ถูกยิงในระยะที่ไม่ห่างมากนัก แรงอัดจึงทำให้กระสุนลูกปรายฝังลึกลงไปในเส้นประสาท หากแพทย์ไม่ชำนาญเฉพาะทางแล้วจะไม่สามารถผ่าตัดเอากระสุนปรายเหล่านี้ออกไปได้ และหากกระสุนลูกปรายเหล่านี้ถูกนำออกไปได้สำเร็จระบบประสาทของภัทร์อาจจะมีโอกาสกลับมาหายเป็นปกติได้ดังเดิม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าระบบประสาทในแต่ละจุดนั้นได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงไหนจากทั้งแรงอัดของตัวกระสุนลูกปรายเอง และจากการผ่าตัดด้วยมือของแพทย์เฉพาะทาง เพราะถึงแม้แพทย์เหล่านั้นจะมีประสบการณ์ในการผ่าตัดคนไข้แบบนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย กว่าจะผ่านแต่ละรายไปได้นั้นก็สาหัสสากรรจ์ไม่ใช่เล่น และก็ไม่ใช่ว่าคนไข้ทุกรายจะรอดปลอดภัยกลับมาเป็นคนปกติได้ทั้งหมด!!!



************************



พริมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ เธอจ้องมองหน้าชายคนรักพร้อมทั้งจับมือข้างซ้ายของเขา มือข้างที่ใกล้หัวใจของชายหนุ่ม

“พี่โป๊ปคะ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ตื่นขึ้นมาช่วยปริมคิดหน่อยสิคะว่าต้องทำยังไงต่อไปดี ปริมเหนื่อยและจนปัญญาจริง ๆ แล้วนะคะ” พริมาพึมพำกับตนเองอย่างคนที่สิ้นหวัง...เมื่อต้องอยู่คนเดียวเธอก็ไม่อาจจะที่ฝืนความรู้สึกของตนเองได้อีกต่อไป เธอไม่สามารถเข้มแข็งเหมือนอย่างในเวลาที่อยู่ต่อหน้าหรืออยู่กับคนอื่น ๆ ได้เลยโดยเฉพาะในเวลาที่ต้องอยู่กับสองหนุ่มน้อยนั้น เธอต้องฝืนยิ้มและแสร้งบอกกับลูก ๆ

“คุณพ่อจะไม่เป็นไรนะลูก เพราะคุณลุงหมอกำลังส่งคณะแพทย์ที่ดีที่สุดในด้านนี้มาฃ่วยคุณพ่อแล้วนะครับ คุณพ่อจะหายแล้วนะลูก”

“พี่โป๊ปคะ อีก 2 วันคณะแพทย์จากอเมริกาจะมาถึงแล้วนะคะ พี่เปรมบอกว่าพี่โป๊ปจะหายแน่ ๆ พี่เปรมเขาดูมั่นใจมาก ปริมก็ขอให้เป็นเช่นนั้นนะคะ ปริมขอภาวนาให้พี่โป๊ปหายป่วยและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมนะคะ” พริมาพยายามให้กำลังใจและปลอบใจตนเองไปพร้อม ๆ กัน หญิงสาวหลับตาลงอย่างช้า ๆ แม้หัวใจจะแช่มชื่นอยู่บ้างเพราะพี่ชายเป็นคนจุดประกายความหวังนั้นขึ้นมาให้เธออีกครั้ง แต่เธอก็ไม่อาจเชื่อใจและมั่นใจได้ทั้งหมดเพราะเธอกลัวว่าต้องผิดหวังอีกครั้ง พริมาซับน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาบนแก้มนวลที่เริ่มตอบและดูซูบซีดไปเพราะการพักผ่อนที่ลดน้อยลงรวมทั้งเพราะความเศร้าโศกเสียใจ หญิงสาวน้ำหนักลดหายไปเกือบ 5 กิโลกรัมในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เธอซบใบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วปล่อยโฮออกมาเบา ๆ อยู่นานหลายนาที.....เธอมักปลดปล่อยแบบนี้เมื่อต้องมาเห็นสภาพของชายที่รัก

พริมาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนที่พยายามกลั้นน้ำตาด้วยการเงยหน้าขึ้นมองเพดานของห้อง.....จ้องมองฝ้าเพดานนิ่งราวกับจะให้ทะลุไปถึงบนท้องฟ้า....เพื่อสวดอ้อนวอนขอร้องใครที่อยู่บนนั้น

“หรือ....หรืออย่างน้อย.....อย่างน้อยปริมขอให้พี่โป๊ปรับรู้ได้ให้พี่โป๊ปรู้สึกตัวได้ก็ยังดี ขออย่าให้พี่โป๊ปต้องนอนนิ่ง ๆ แบบนี้เลย พี่โป๊ปคะตื่นขึ้นมาพูดกับปริมสิคะ ปริมใจไม่ดีเลยรู้ไหม” พริมาหันมาจ้องใบหน้าที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดของภัทร์ซึ่งเขาและเธอก็ไม่แตกต่างกันเลย ต่างผ่ายผอมลงทั้งคู่

“พี่โป๊ปรู้ไหมคะ ปริมมีเรื่องที่จะปรึกษาพี่เยอะแยะมากมายเลยนะคะ พี่โป๊ปตื่นมาฟังปริมหน่อยสิคะ พี่อยากคุยกับปริมไม่ใช่เหรอ ตื่นขึ้นมาสิ อย่ามัวเอาแต่นอนแบบนี้ ตื่นมาพูดกันมาคุยกันนะ” พริมาอ้อนวอนอีกครั้ง เธอกลัวว่าภัทร์จะกลายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไปเพราะมีหมอหลายท่านได้บอกกับเธอว่าหากเวลาแห่งการนอนหลับหรือสลบอย่างที่ภัทร์เป็นอยู่ยิ่งยืดเยื้อออกไปแบบนี้ โอกาสที่จะหายเป็นปกติยิ่งมีน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกวันนี้นอกจากการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาภัทร์เพิ่งเริ่มได้รับการฝังเข็มเพื่อกระตุ้นจุดประสาทต่าง ๆ จากหมอจีนที่เชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษซึ่งนายพัฒนเป็นผู้จัดหามารักษาลูกชายของตนหลังจากได้ปรึกษากับหมอที่เป็นเจ้าของไข้แล้วว่าไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ แม้จะยังไม่เห็นประสิทธิผลใด ๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะเพิ่งเริ่มต้นการรักษาได้ไม่นานแต่ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยเพิ่มกำลังใจให้กับทุก ๆ คน

“พี่โป๊ปคะ ตอบสนองอะไรออกมาหน่อยสิ สักนิดก็ยังดี พี่โป๊ปได้ยินเสียงปริมไหมคะ คิดถึงปริมบ้างไหม พี่โป๊ปรู้ไหมคะว่าปริมคิดถึงพี่จังเลย คิดถึงเหลือเกิน ฮือๆๆๆ” พริมาร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง เธอใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าจะสงบอารมณ์ของตัวเองลงได้

“พี่โป๊ปคะ จำได้ไหมจะถึงวันเกิดลูกแล้วนะคะ เดือนหน้าน้องป๊อปจะครบ 6 ขวบแล้วนะคะ พี่โป๊ปต้องตื่นมางานวันเกิดของลูกนะ ตื่นมาช่วยลูกเป่าเทียนเหมือนทุกปีไงคะ พี่ต้องตื่นมาอวยพรให้ลูกนะคะ ลูกคงจะดีใจมากที่ได้ยินคำอวยพรของพี่ น้องป๊อปบอกจะให้พี่โป๊ปแข่งเล่นเกมกับเขาและเพื่อน ๆ อีกเหมือนปีที่ผ่านมา พี่โป๊ปอย่าทำให้ลูกผิดหวังนะคะ พี่ต้องตื่นขึ้นมานะ พี่อย่าทำให้ลูกและปริมผิดหวังนะคะ ปริมขอร้องละ ถ้าพี่ยอมตื่นขึ้นมานะ....ปริมยอม.....ยอมทุกอย่างที่พี่อยากได้ ปริมยอมแล้ว ยอมหมดแล้ว ขอแค่ให้พี่ตื่นขึ้นมา ตื่นมาเป็นเหมือนเดิม พี่โป๊ปได้ยินไหมคะ ได้ยินไหม” พริมาบอกสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจกับภัทร์ที่ยังคงนอนหลับและไม่รับรู้ใด ๆ ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ภัทร์นอนหมดสติอยู่แบบนี้อได้ตริตรองและได้ถามหัวใจตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าจะยอมอภัยให้เขาได้หรือไม่ จะยอมให้เขากลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้งได้หรือไม่ และทุกครั้งที่ตั้งคำถาม คำตอบเดียวที่เธอได้ยินจากหัวใจของตนเอง คำตอบที่ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งนับตั้งแต่วันที่เธอมอบหัวใจให้เขาไป เธออาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของใครต่อใคร อาจเป็นคนโง่ของใครอีกหลายคน และอาจเป็น ‘ควาย’ ในสายตาผู้หญิงด้วยกันอีกนับร้อยนับพัน แต่เธอก็ยอม......เพราะมันเป็นคำตอบจากหัวใจเธอเอง

พริมากระชับฝ่ามือของตนเองและออกแรงบีบมือของชายหนุ่มเจ้าของหัวใจแน่น ๆ อยู่ 2 – 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการรับรู้ให้กับภัทร์อย่างที่บรรดาคุณหมอได้แนะนำมา เธอพยายามส่งไออุ่นของหัวใจไปให้เขา ให้เขาได้รับรู้ว่าเธอพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง.....เริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับหัวใจดวงเดิม หลังจากนั้นพริมาก็นั่งจับมือภัทร์อยู่เกือบ 10 นาทีแล้วในที่สุดจึงลุกเดินออกมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและร่างกายที่อ่อนล้าเพราะไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากเขาเลย.......หรือภัทร์จะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่เสียแล้ว



************************



หลังการผ่าตัดเพื่อนำกระสุนปรายออกจากเส้นประสาท ทุกคนต่างก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อต่อปฏิกิริยาตอบสนองของภัทร์ ซึ่งนับจากตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบจะ 24 ชั่วโมงเต็มแล้วที่การผ่าตัดกว่า 5 ชั่วโมงนั้นได้ผ่านพ้นและสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ณ เวลานี้ทุกคนในครอบครัวรวมทั้งคณะแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกาต่างก็ได้แต่ภาวนาขอให้ภัทร์ไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้นมาอีก และต่างก็หวังว่าภัทร์จะตอบสนองหรือรู้สึกตัวภายใน 48 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดสิ้นสุดลง พริมาที่เฝ้ารอดูอาการของภัทร์รู้สึกเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่เห็นมีสัญญาณตอบสนองใด ๆ เกิดขึ้น และเธอก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้เพราะกลัวว่าจะไปทำลายความหวังของคนอื่น ๆ โดยเฉพาะบุพการีทั้งสองของคนป่วยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แตกต่างไปจากเธอ ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงพิจิตรา พัฒนภิรมย์ ซึ่งกำลังนั่งลูบศีรษะของลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถูกนั่งขนาบด้วยสามีลูกครึ่งหลายเชื้อชาติ หรือนายพัฒน พัฒนภิรมย์เองที่เพิ่งพูดคุยอาการล่าสุดของลูกชายกับคณะแพทย์ทั้งจากต่างประเทศและของไทย ทั้งสองท่านที่มีอายุต่างก็เริ่มอิดโรยเพราะได้นอนหลับพักผ่อนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง

บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีเส้นกราฟเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้ทุกคนทราบว่าสัญญาณชีพจรของภัทร์ยังคงทำงานตามปกติและนั่นหมายถึง หัวใจของชายหนุ่มยังเต้นและทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่สมองกลับไม่สั่งการให้เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คณะแพทย์ต่างก็ยืนยันว่าบาดแผลจากกระสุนและการผ่าตัดนั้นเรียบร้อยทุกประการและไม่มีปัญหาใด ๆ อย่างไรก็ตามหนึ่งในคณะแพทย์ก็ได้บอกกับบรรดาญาติ ๆ ของคนป่วยไว้ว่าต้องเผื่อใจไว้ด้วย เพราะสมองและเซลล์ประสาทของคนเรานั้นเป็นอวัยวะที่แม้จะบอบบางแต่ก็สลับซับซ้อน และแม้ว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับสมองมานักต่อนักแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบข้อมูลที่ต้องการได้ทั้งหมด เพราะในการศึกษาแต่ละกรณีนั้นคนป่วยก็มีอาการแตกต่างกันไป หรือหากมีอาการเหมือนกันแต่สภาพและความแข็งแรงของคนป่วยก็ไม่เท่ากัน แถมในบางครั้งการศึกษาที่เกิดขึ้นนั้นก็ใช้สมองของสัตว์ที่มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับมนุษย์แทน และในอีกหลาย ๆ ครั้งก็ต้องศึกษาจาก ‘อาจารย์ใหญ่’ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางที่จะเหมือนกับสมองของคนปกติ ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้คนที่เฝ้ารอปาฏิหาริย์อย่างมีความหวังนั้น ต้องยอมรับว่าความหวังในใจของพวกตนนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

“หมอ นี่มันก็ครบ 24 ชั่วโมงแล้วนะ ทำไมยังไม่มีอาการตอบสนองบ้างเลยล่ะ” นายพัฒน ถามขึ้นหลังจากที่นั่งกระสับกระส่ายเฝ้ามองแต่นาฬิกาเรือนทองบนข้อมูลของตนอยู่นานสองนานแล้ว

“แต่อย่างน้อยการเต้นของชีพจรของคุณภัทร์ก็ไม่ได้ผิดปกติ ความดันก็ไม่ได้ลดต่ำลงเหมือนตอนที่ถูกผ่าตัดนะครับ ผมว่าแค่นี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีแล้ว ท่านอย่าลืมสิครับว่าคุณภัทร์เพิ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่มานะครับ และนี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 สัปดาห์เศษ เราต้องให้เวลาคนป่วยได้พักฟื้นร่างกายบ้างสิครับ” หัวหน้าคณะแพทย์ของไทยเป็นผู้ตอบ

“ร่างกายพักฟื้นน่ะพอเข้าใจ แต่สมองมันไม่ได้เป็นอะไร ทำไมถึงไม่ฟื้นสักทีล่ะ” บิดาของคนป่วยยังคงซักถามอย่างหงุดหงิด แม้จะเข้าใจที่หมอพยายามอธิบาย แต่ก็อดที่จะหัวเสียไม่ได้เมื่อไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

“คุณพ่อคะใจเย็น ๆ สิคะ” ภัทราที่ปกติเป็นอีกคนที่ใจร้อนตามประสาลูกคนรวยกลับเตือนสติบิดา หญิงสาวค่อย ๆ ลุกจากที่นั่งและเดินมากอดแขนผู้เป็นบิดาพร้อมให้กำลังใจว่า

“พี่โป๊ปต้องฟื้น คุณพ่อเชื่อปั๊ปนะคะ แต่เราต้องใจเย็น ๆ หน่อย ให้เวลาร่างกายของพี่เขาได้พักฟื้นอย่างที่คุณหมอบอกหน่อยนะคะ คุณพ่อคะ มันเพิ่งผ่านไปครึ่งทางเอง เรายังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 24 ชั่วโมงนะคะ” ภัทราปลอบใจพลางพยุงร่างท้วมนิด ๆ ของบิดาให้นั่งลงบนโซฟาหนังตัวใหญ่

“......” ผู้เป็นบิดาได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาว

“คุณพ่อต้องคิดในแง่บวกเอาไว้ ต้องมั่นใจและเชื่อใจว่าพี่โป๊ปจะต้องฟื้น พ่อจำได้ไหม ลอว์ออฟ แอคแทรคชั่น (Law of attraction – กฎแห่งการดึงดูด) ไงคะ เราต้องเชื่อต้องศรัทธาในมัน แล้วมันถึงจะสัมฤทธิ์ผล” ภัทราอ้างแนวคิดที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้ยินบิดาสนทนากับสามีของเธอที่โต๊ะอาหารค่ำ

“พ่อจะพยายาม” นายพัฒนพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่จะหันมาหาพริมา

“ปริม ไปพักผ่อนเถอะลูก ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วไม่ใช่เหรอ” นายพัฒนถามพริมาที่เป็นอีกคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดและยังไม่ได้นอนหลับเลย......เธอกลับไปนอนแต่นอนไม่หลับเพราะใจที่พะวง

“ปริมไหวค่ะคุณพ่อ ปริมอยากอยู่ตอนพี่โป๊ปรู้สึกตัว ปริมว่าคุณพ่อกับคุณแม่นั่นแหละค่ะที่ต้องกลับไปพักเสียก่อน เดี๋ยวจะไม่สบายไปนะคะ”

“ไม่ไปหรอก แม่กลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี อยู่ที่นี่ดีกว่า แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ถึงเป็นขึ้นมาก็อยู่ใกล้หมออยู่แล้ว กลับไปบ้านก็เครียดเปล่า ๆ นั่งรอฟังแต่เสียงโทรศัพท์ แบบนั้นน่ะจะทำเอาหัวใจวายเอา” คุณหญิงพิจิตราเป็นตัวแทนตอบ

“......” พริมายิ้มบาง ๆ และรับฟังด้วยความเข้าใจ.....ของคนหัวอกเดียวกัน ทันใดนั้นเองเสียงประตูของห้องไอซียูก็ถูกเปิดออกจากคนข้างใน หนึ่งในคณะแพทย์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่พริมาจำได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเซลล์ประสาทและสมองพูดด้วยเสียงอันดังอย่างดีใจว่า

“ฮีสะเวค (He’s awake!!! เขาฟื้นแล้ว!!!)” เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของทุกคนดังขึ้นแทบจะพร้อมกันในทันทีที่สมองแปลความหมายของประโยคนั้นได้



************************
มาแล้วๆๆๆ ตอนที่ 42 ค่ะ...100% นะคะ ^___^ จบสักทีนะคะ หลังจากเรื่องนี้คงต้องพัก และขอกลับไปเขียนเรื่องที่เบาสมองลงหน่อย น่าจะเป็นแนวโรแมนติคดีกว่า ไม่งั้นเครียดๆๆๆแบบเรื่องนี้อีก ยืดเยื้อมาตั้งปีครึ่งแล้ว เฮ้อในที่สุดก็จบได้สักที เย่ๆๆๆๆ

อาทิตายินดีรับฟังคำติชมของทุกท่านเสมอนะคะ โดยเฉพาะตอนนี้ (แต่ขอแบบธรรมดาพอค่ะ ไม่ต้องจัดหนักให้คนเขียนนะคะ อิๆๆ) ยิ่งเรื่องอาการของภัทร์นั้น อาทิตาหาข้อมูลมาบางส่วนบวกกับอาการของคนที่รู้จักมาผสมผสานกันนะคะ ถูกผิดอย่างไรทักท้วงได้ค่ะ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความจริงทั้งหมดนะคะแต่ก็ไม่อยากให้ผิดแผกประหลาดออกไปมากนักค่ะ ใครจะแนะนำอะไรเชิญได้เลยนะคะ....

ส่วนที่เหลืออีก 1 ตอนซึ่งเป็นตอนพิเศษนั้น อาทิตาไม่ได้ลงให้อ่านนะคะ เพราะจะเก็บไว้และส่งให้ สนพ. เลยค่ะ อย่างไรก็ตามหากมีข่าวดีเรื่อง สนพ. ก็จะมาแจ้งให้ทราบอย่างแน่นอนค่ะ ทั้งที่นี่และที่เฟซบุ๊คนะคะ...ขอบคุณค่ะ

Merry X Mas and Happy New Year กันทุกท่านนะคะ ขอให้เฮง ๆ ร่ำรวย ๆ สุขภาพแข็งแรงกันตลอดปีนะคะ ...อาทิตา



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2556, 02:47:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2556, 02:47:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2304





<< ตอนที่ 42......40%   มนตรากระดังงา....อัพเดตข่าวการตีพิมพ์ค่ะ >>
konhin 26 ธ.ค. 2556, 23:43:50 น.
ยินดีด้วยค่าาาา จบแล้ว


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ธ.ค. 2556, 00:52:45 น.
ทำไม เรืองเดชถึงไม่ได้รู้ความจริงละคะ ว่าจริงๆ แล้วใครมาว่าร้ายพี่สาวเขา แบบนี้ก็จองเวรกันไปไม่จบไม่สิ้น เอ๊ะหรือถึงรู้ก็จองอยู่ดี เง้ออออ
ดีใจกะไรเตอร์ เข็นมาได้จนจบ เย้ๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account