กลร้อนซ่อนใจ
นิยายรักโรแมนติกเบาๆสบายๆ แฝงข้อคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันผ่านมุมมองของพิมพ์นารา ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ สายการบินเฟริส์แอร์ไลน์ ซึ่งไม่อยากทำงานตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามที่พ่อต้องการ เพราะไม่ชอบสังคมเมืองด้วยเหตุผลบางอย่างจึงขอไปทำธุรกิจโรงแรมทางภาคใต้ของครอบครัว ได้ใกล้ชิดธรรมชาติตามที่ใจหลงใหล
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายนัก เมื่อพ่อได้ยื่นข้อเสนอให้เธอ หางานทำในกรุงเทพฯให้ได้ประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี ถึงจะยอมทำตามข้อเสนอ หากไม่สำเร็จต้องกลับมารับตำแหน่งตามที่พ่อต้องการ
และเรื่องราวก็ไม่ง่ายจริงๆ เมื่อนางเอกของเราเปลี่ยนงานมาแล้วสองที่ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ทว่า การทำงานที่ใหม่ในครั้งที่สามจะทำให้เธอค้นพบความจริงบางอย่างในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่สอนให้เธอเรียนรู้มุมมองใหม่คือ เขาคนนั้น
ชายหนุ่มสุขุมหนุ่มลึกซึ่งกลายเป็นตรงกันข้าม เพียงอยู่ใกล้พิมพ์นารา หญิงสาวที่เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสงเป็นประกายเจิดจ้า หลอมละลายหัวใจเยือกเย็นของผู้ชายคนนี้....

Tags: โรแมนติก,พาฝัน

ตอน: 12

บนเตียงปฐมพยาบาล พิมพ์นาราลืมตาขึ้นช้าๆด้วยความอ่อนแรง เมื่อได้กลิ่นฉุนของแอมโมเนียจากสำลีจ่อไปมาตรงปลายจมูก พยาบาลวัยกลางคนอยู่เวรประจำกะกลางคืนของบริษัท ค่อยๆประคองเธอลุกนั่งแล้วเดินไปหยิบแก้วบรรจุน้ำยื่นมาให้ มือเล็กรับแก้วมาสั่นเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นจิบช้าๆ น้ำใสไหลผ่านลำคอที่แห้งผากเป็นเวลานานชะล้างอาการฝืดแข็งนำความชุ่มชื้นกลับคืน

เมื่อดื่มน้ำจนหมด เธอกวาดสายตามองแต่ละคน มีสีหน้ากังวลแฝงความห่วงใย ยืนรายล้อมห้องพยาบาล เว้นเสียแต่หญิงดาวและนันทนาซึ่งจ้องมองกลับอย่างไม่เป็นมิตร

“หายใจสะดวกขึ้นไหมคะ” พยาบาลถาม พลางบิดผ้าผืนเล็กสีขาวจนหมาดในอ่างแก้ว เช็ดใบหน้าคนป่วยไล่ไปถึงลำคอ ก่อนจะลูบไปมาตามแขนทั้งสองข้าง

“ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณค่ะ” เธอตอบเสียงแหบพร่า คลี่ยิ้มจางๆให้อีกฝ่ายที่กำลังลุกเดินนำอุปกรณ์ไปเก็บหลังจากเช็ดตัวเสร็จ

“ผมว่าพาหนูพิมไปโรงพยาบาล ให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่าไหมครับ” พินิจกล่าวเสียงกังวล

“อย่าเลยค่ะ…พิมไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง” ทันทีที่เธอพูดจบ ปรากฏรอยไหววูบในดวงตาพินิจ

“แน่ใจนะ ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” ธารธาราเดินเข้ามาใกล้ หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงปฐมพยาบาล เพ่งมองอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนใดบุบสลาย

พิมพ์นาราพยักหน้าตอบรับช้าๆ พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผาก เมื่อยังรู้สึกตึงและชารอบศีรษะ อาการคลื่นไส้มวนท้องยังหลงเหลืออยู่ จนอยากไปโรงพยาบาลตามคำแนะนำของผู้ที่เป็นห่วง แต่ ต้องฝืนทนไว้ เหตุผลเดียวและสำคัญที่สุดคือ ไม่อยากให้ที่บ้านรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอเชื่อว่าพ่อคงเป็นห่วงมากอาจถึงขั้นไม่ยอมให้กลับมาทำงานที่นี่อีกเลย

“ทำไมถึงเข้าไปติดอยู่ข้างในตู้คอนเทรนเนอร์ได้” คำถามของธารธาราทำให้เธอมองเพื่อนด้วยแววฉงน พลางนึกทบทวนเหตุการณ์

สีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกว่า สงสัยในเรื่องราวทั้งหมด เป็นคำตอบสนับสนุนความคิดคาดเดาแต่แรกว่า เพื่อนรักไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำครั้งนี้ แต่ บางอย่างที่เกิดขึ้น โดยมีความเกี่ยวโยงกับธารธาราเป็นสิ่งที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้

“ฉันเห็นข้อความในมือถือที่น้ำส่งมา ให้รีบไปช่วยด่วนเพราะลังหล่นทับขา ตอนเข้าไปหาของในตู้คอนเทรนเนอร์ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อจะมาเตรียมงานเลี้ยง”

สายตาทุกคู่ละจากคนพูด เพ่งมองไปยังธารธารา คำถามเริ่มปรากฏในสีหน้าของแต่ละคน ภูมิมินทร์ขมวดคิ้วมุ่นทำท่าจะเดินเข้าไปหาสองสาว แต่ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าโยธินจ้องมองมาที่ตนเอง

“ฉันนี่นะ ! ส่งข้อความไปหาพิม” อีกฝ่ายมีท่าทีตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อให้แก่พิมพ์นารา ว่าเพื่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

“แน่ใจหรือ ว่าไม่ได้กุเรื่องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง” น้ำเสียงเย้ยหยันของนันทนา ทำให้ธารธาราสะบัดหน้าหันไปมอง ตะโกนถามเสียงห้วนอย่างไม่ไว้หน้า

“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความอย่างที่พูด…ถ้าเพื่อนเธอไม่ได้โกหก หรือ ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันว่า ก็เอาข้อความในโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดูสิ” นันทนาโต้กลับ ไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัว

“น้ำโทรศัพท์ฉันอยู่ไหน” พิมพ์นาราหน้าร้อนผ่าว เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวหาจนเริ่มหมดความอดทน นานนับชั่วโมงที่ถูกขังอยู่ในนั้นช่างทรมาน แต่ ไม่สร้างความกดดันให้เธอเท่ากับคำพูดไม่กี่คำของนันทนา

ธารธาราหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าสะพาย ส่งให้พิมพ์นาราที่ยื่นมือมารอ เมื่อได้รับแล้วเธอจึงรีบกดเปิดโทรศัพท์ ไล่สายตาหาข้อความดังกล่าวพร้อมขยับนิ้วมือเลื่อนตาม ข้อความถูกเลื่อนลงมาเรื่อยๆจนถึงข้อความสุดท้าย หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับนิ้วมือไปมาอย่างเร็วบนโทรศัพท์อีกครั้ง

ดวงหน้าซีดเซียวยิ่งเผือดลงอีก นิ้วมือที่เลื่อนหาข้อความเมื่อสักครู่ ถูกขยับไปรวมกับนิ้วที่เหลือแล้วกำโทรศัพท์ในมือแน่นด้วยเรี่ยวแรงไม่มากนัก เธอเงยหน้าขึ้นมองหญิงดาว ยืนอยู่ข้างประตูห้องพยาบาล ทันเห็นรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก ก่อนอีกฝ่ายจะตีหน้าเรียบเฉย

“ไหนล่ะข้อความ” น้ำเสียงแหลมเล็กของนันทนา กรีดแทงเข้าไปในใจเธอ ทรมานเกินกว่าคำว่าเจ็บปวด

พิมพ์นาราหลับตาลงช้าๆ ความรู้สึกเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่ จนไม่เหลือหนทางให้ความหวังปรากฏขึ้นเลย

“พิม…” ธารธาราเห็นอาการผิดปกติของอีกฝ่ายแล้วหน้าเปลี่ยนสี

“น้ำ…ไม่มี…มันไม่มีแล้ว…ข้อความหายไป” เธอตอบเสียงสั่นยังคงหลับตานิ่ง สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ให้สั่นสะเทือนไปมากกว่านี้ จึงไม่ทันเห็นสายตาเศร้าๆของโยธินที่มองมาอย่างห่วงใย ตรงข้ามกับหญิงดาวและนันทนาซึ่งพลัดกันแสยะยิ้มคล้ายสาแก่ใจกับภาพที่เห็น

“ฮึ ! ที่แท้ก็สร้างเรื่องขึ้นมาเรียกร้องความสนใจ” นันทนาไม่หยุดแขวะ

“พี่นันหยุดเถอะค่ะ…เห็นสภาพพี่พิมอย่างนี้ ทำให้หญิงดาวไม่โกรธแล้วที่ต้องขึ้นรำเพียงคนเดียว”

พิมพ์นารารู้สึกขอบตาร้อนผ่าว ก่อนจะลืมตามองคนพูดด้วยความคาดไม่ถึง เธอยอมรับแล้วว่าผู้หญิงคนนี้น่ากลัวที่สุด สามารถทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างแนบเนียน

“ไม่เป็นไรนะ ฉันเชื่อว่าพิมพูดจริง” ธารธาราเอื้อมจับแขนของเพื่อนให้กำลังใจ ทำให้อีกฝ่ายหันมามองน้ำตาคลอหน่วย

พิมพ์นารากะพริบตาถี่ๆไล่น้ำใสๆให้ไหลย้อนกลับไปทางเดิม แต่ ความอัดอั้นตันใจในสิ่งที่กำลังเผชิญกลับผลักดันน้ำตาไหลออกมาเป็นกำแพงแห่งความรู้สึก ปกป้องหัวใจบอบช้ำไม่ให้บุบสลาย

“ฉันอยากกลับบ้าน…” เธอพูดเสียงสั่น ไม่เหลือแรงต่อสู้กับสิ่งใดอีก

แค่นี้จริงๆ สำหรับเวลานี้ที่ต้องการ…

ธารธาราโผเข้ากอดเพื่อนรัก ไม่มีคำพูดใดไถ่ถามหรือปลอบโยน แต่สิ่งที่พิมพ์นาราได้รับจากอีกฝ่ายมันมากมายกว่าสิ่งเหล่านั้น

ภูมิมินทร์ยืนกระสับกระส่ายราวกับทนไม่ได้ในสิ่งที่เห็น แล้วเดินมาหาทั้งสองคนด้วยท่าทีเมินเฉยต่อสายตาของโยธินที่มองมา

“พี่จะพากลับบ้านเอง” เขาพูด พลางแตะบ่าพิมพ์นารา

ดวงหน้าคมเข้มของโยธินบึ้งตึงทันทีที่ได้ยิน สายตาตวัดแวบไปยังมือของภูมิมินทร์ที่วางบนบ่าหญิงสาว แล้วกัดริมฝีปาก เขม้นมองภาพนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจในการกระทำของลูกค้าคนสำคัญ

“พี่โย…” เสียงเรียกของหญิงดาว ทำให้เขาคลายริมฝีปากหันมามอง

“เมื่อสักครู่ คุณพ่อโทรมาชวนกลับบ้าน แต่ หญิงดาวเป็นห่วงพี่พิมเลยให้คุณพ่อกลับไปก่อน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว รบกวนพี่โยไปส่งที่บ้านได้ไหมคะ” เธอช้อนตามองเขา ก่อนจะทำหน้าเศร้า

สีหน้าของโยธินแลดูลำบากใจกับคำขอร้องนี้ ทำให้หญิงดาวหันมามองนันทนา อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ทั้งคู่อย่างรู้งาน

“ถ้าไม่ติดว่านันก็ต้องอาศัยรถคนอื่นกลับ คงจะหาทางไปส่งน้องเขาแล้ว” เธอช่วยพูด แต่ แลดูไม่เป็นผลเพราะชายหนุ่มยืนฟังนิ่ง สายตาจับไว้ที่พิมพ์นารา คนพูดจึงมองตามไปก่อนจะเอ่ย

“ไม่ต้องห่วงพิมหรอกค่ะ เขามีคนไปส่งแล้ว” คำพูดของอีกฝ่ายคล้ายตอกย้ำความไม่พอใจของโยธิน คิ้วหนาจึงขมวดเข้าหากันทันที

เตมินทร์ตามเข้ามาในห้องพยาบาลเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องอยู่ประสานงานในงานเลี้ยงจนจบ เขารู้เรื่องราวคร่าวๆจากพินิจ แล้วมองพิมพ์นาราด้วยแววเห็นใจ ก่อนจะหันไปหาหัวหน้าของตนเองที่ถูกล้อมวงด้วยผู้หญิงสองคน

“คุยอะไรกันอยู่ครับ” เสียงของเตมินทร์ ทำให้นันทนาหันมาส่งยิ้มหวาน

“กำลังขอร้องให้พี่โยไปส่งน้องหญิงดาวอยู่ค่ะ” เธอทำเสียงออดอ้อน เตมินทร์ได้ยินดังนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น

“ผมเห็นคุณสุจริตรออยู่ที่ห้องคุณอเนกนะครับ ก่อนเดินมาที่นี่ คุณอเนกยังวานให้ผมมาตามน้องหญิงดาวกลับบ้าน” ทันทีที่เขาพูดจบหญิงดาวมีทีท่าอึกอัก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ

“ตายจริง ! สงสัยคุณพ่อคงเป็นห่วงเลยไม่ยอมกลับไปก่อน…ถ้าอย่างนั้นคงไม่รบกวนพี่โยแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” เธอพูดจบหันไปจับแขนนันทนา บีบจนแน่น ทำเอาคนถูกจับนิ่วหน้าแล้วพากันเดินออกจากห้องพยาบาล

ภูมิมินทร์ประคองพิมพ์นาราลงจากเตียง หลังจากนอนพักครู่หนึ่งจนเธอเริ่มมีแรงกลับคืน เมื่อเดินผ่านโยธิน นัยน์ตาสีนิลเจือรอยเศร้าของหญิงสาว หลบวูบเบี่ยงมองทางอื่น ทำให้สีหน้าชายหนุ่มหม่นลงทันที

“พิม ให้พี่ไปส่งที่บ้านนะ” เสียงโยธินสั่นเครือ บ่งบอกความหวั่นไหวต่อภาพที่เห็น

พิมพ์นาราชะงัก ก้มหน้านิ่งคล้ายลังเลใจในบางสิ่ง จนคนข้างกายต้องค่อยๆหยุดตามเพื่อประคองได้ถนัด

“ให้คุณภูมิมินทร์ไปส่งเถอะค่ะ ตอนอยู่ในงานเลี้ยง เราเคยคุยกันเรื่องที่พัก จึงรู้ว่า บ้านพิมเป็นทางผ่านพอดี”ธารธารารีบแก้ไขสถานการณ์

โยธินขยับตัวคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ เมื่อสบตาอีกฝ่ายที่มองมาอย่างขอร้อง เขาจึงยืนนิ่งยอมให้ภูมิมินทร์ประคองพิมพ์นาราเดินต่อ

พินิจรีบเปิดประตูให้ทันที ระหว่างทั้งคู่กำลังก้าวออกจากประตูพิมพ์นาราหยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองภูมิมินทร์ที่มองตอบด้วยแววฉงน

“สักครู่นะคะ…” เธอค่อยๆหมุนตัว มองกลับเข้าไปในห้องพยาบาล

“ลุงคะ…” หญิงสาวเรียกโยธินเบาๆ รอจนเขาหันมาจึงเอ่ยต่อ

“ลุงเชื่อที่พิมพูด…ไหมคะ” กระแสเสียงสั่นเครือยิ่งทำให้เห็นว่า เธอห่วงความรู้สึกเขามากแค่ไหน

โยธินยิ้มจางๆ สีหน้าผ่อนคลายลง เขายืนนิ่งมองตอบเธอ ยังไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา แต่ หัวใจที่แห้งแล้งและอ่อนล้าของพิมพ์นารากลับชุ่มชื่นมีเรี่ยวแรงขึ้นมา เมื่อได้สัมผัสแววตาอบอุ่นนั้น

“พี่เชื่อพิม”

หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ คำเพียงสามคำทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ทั้งสองคนนิ่งมองกันและกันจนภูมิมินทร์เริ่มขยับตัว

“กลับกันเถอะ พิมจะได้ไปพักผ่อน” ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เธอหันกลับมาให้เขาประคองเดินออกจากห้องพยาบาล ไม่ทันสังเกตน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาว่าเศร้าเพียงใด ไม่ต่างจากสีหน้าและท่าทางห่อเหี่ยวของคนพูด




“ฉันโทรไปถามที่ศูนย์บริการแล้ว เขาแจ้งว่าวันนี้เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เบอร์ของฉันมีส่งข้อความไปยังเบอร์พิม…” ธารธาราขมวดคิ้วมุ่น เดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่นใจในห้องโถงรับแขกที่บ้านของเพื่อนสาว

“แล้วตอนนั้นน้ำอยู่ที่ไหน” พิมพ์นาราค่อยๆเปลี่ยนท่านั่งจากพิงโซฟาหนังมาเป็นยืดหลังตรง โน้มตัวมาทางโต๊ะกระจกทรงกลมตั้งอยู่ตรงหน้า

ธารธาราแตะปลายนิ้วเบาๆที่ริมฝีปากหลายครั้งราวกับคิดไม่ตก

“ตอนนั้น…มันค่อนข้างยุ่ง แต่ เอ๊ะ!” ท่าทางของหญิงสาวเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู หน้าจอสว่างเรือง แสดงชื่อบุคคลและเวลาที่โทรเข้ามา

“ว่าแล้วเชียว…ตอนนั้น ฉันกำลังคุยอยู่กับแม่ แต่ ต้องวางสายก่อนเพราะพี่เต ตะโกนเข้ามาขอแผ่นป้ายไปติดของรางวัล ด้วยความรีบฉันจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไป จากเวลาที่ข้อความถูกส่งออกมันคือเวลาหลังจากแม่โทรเข้ามาซึ่งห่างกันไม่กี่นาที และคนเดียวที่อยู่ในห้องตอนฉันเดินออกไปคือ นันทนา…” เธอพูดจบหันไปสบตาแต่ละคน

ภูมิมินทร์ขยับตัวปรับท่านั่งให้สบายขึ้นหลังจากหายใจติดขัด เมื่อได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวพร้อมกับถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเหลียวมองพิมพ์นาราที่นั่งนิ่งข้างกาย ก่อนจะเอ่ย

“แล้วพิมก็ได้รับข้อความจากเบอร์ของน้ำ…แต่ ข้อความในเครื่องโทรศัพท์ของพิมมันหายไปได้ยังไง”

“น้องหญิงดาวมาขอยืมโทรศัพท์ค่ะ อ้างว่าของตัวเองแบตหมด พิมเป็นห่วงน้ำมากก็เลยรีบออกไปหา ไม่ทันรอให้น้องเขาคืนโทรศัพท์มาก่อน” เธอตอบเบาๆ น้ำเสียงฟังดูไร้เรี่ยวแรง

“อย่างนี้นี่เอง แม่นั้นก็เลยลบข้อความที่ยายนันทนาส่งมา…ทำงานกันเป็นทีม แล้วทำมาเป็นยืนไร้เดียงสาร้ายกาจที่สุด” ธารธาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน

“พี่ไม่อยากให้พิมกับน้ำทำงานที่นี่ต่อเลย บอกตรงๆนะ สองคนนั้นดูน่ากลัวเกินไปที่ทำกันขนาดนี้…ว่าแต่ ทำไมพวกเขาถึงคิดทำร้ายพิม…” ชายหนุ่มหันมองพิมพ์นารา ทันเห็นแววตาระริกไหว

หญิงสาวก้มหน้านิ่งไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไรดี ทำให้ธารธาราเดินกลับมานั่งลงข้างๆภูมิมินทร์แล้วชี้แจงแทน

“ยายเด็กนั่นชอบพี่โยค่ะ แต่ ผู้ชายเขาไม่มีท่าทีตอบรับใดๆ แม่นั่นก็เลยทำแบบนี้กับพิม เพราะ…” ธารธาราหยุดพูดพลางเหลียวมองเพื่อนที่นั่งนิ่ง จนภูมิมินทร์หันมองตามด้วยแววสงสัย

แต่พิมพ์นาราเข้าใจดีว่า อีกฝ่ายไม่อยากก้าวก่ายและไม่อยากสรุปความรู้สึกระหว่างตนเองกับโยธิน ธารธารามักให้เกียรติเพื่อนเสมอ

“เพราะอะไรหรือน้ำ” คนพูดขมวดคิ้วมุ่น ความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านสายตาแล้วหายวาบไป

“…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขาคงเห็นพิมทำงานร่วมกับพี่โยดูสนิทกันอาจจะหมั่นไส้เอา” น้ำเสียงเธอฟังดูไม่หนักแน่นเท่าประโยคที่ผ่านมา

“พิมเหลือเวลาอีกกี่เดือน ถึงจะครบกำหนดหนึ่งปีในการทำงานตามข้อตกลงของคุณอา”

“เกือบห้าเดือนค่ะ”

“อีกตั้งห้าเดือน ! ให้พี่ช่วยคุยกับคุณอาให้ไหม เรื่องงานบริหารโรงแรมทางภาคใต้ พิมจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงแบบนี้อีก” น้ำเสียงเขาฟังดูร้อนรน

พิมพ์นารามองออกว่า ชายหนุ่มไม่อยากให้เธอทำงานที่นี่แล้ว คงอดเป็นห่วงไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ขอบคุณค่ะ…แต่พิมอยากทำให้ได้…ที่ผ่านมาพิมล้มเหลวมาตลอด ครั้งนี้ขอให้ได้พิสูจน์ตัวเองสักครั้ง” เธอมองไปที่ภูมิมินทร์ด้วยแววตามุ่งมั่น ทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ

“ระวังตัวด้วยนะ เดือนหน้าพี่มีงานที่ต่างประเทศทั้งเดือน ครึ่งเดือนแรกไปกับคุณพ่อของพิม ส่วนครึ่งหลังไปกับเจ้าเกรียงไกร…พี่เป็นห่วงพิมมากนะ” ท้ายประโยคเขาลงเสียงหนักแน่น

พิมพ์นาราพยักหน้าตอบรับแล้วยิ้มเศร้าๆให้อีกฝ่าย หญิงสาวซาบซึ้งใจในความห่วงใยของภูมิมินทร์ที่มีให้มาตลอดตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงปัจจุบัน เปรียบดั่งพี่ชายคอยดูแลเรื่อยมา จึงไม่แปลกใจที่เขาดูกระวนกระวายกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในทางกลับกัน หากมีใครมาทำอะไรชายหนุ่ม เธอคงมีอาการไม่ต่างกัน

“คุยอะไรกันอยู่หรือ…ดึกมากแล้วนะ” ไพฑูรย์เข้ามาในห้องโถงรับแขกแล้วรับไหว้ทุกคน ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆลูกสาวคนเดียว

พิมพ์นารารู้สึกขอบตาร้อนผ่าว ในโมงยามที่ถูกขังอยู่ในตู้คอนเทรนเนอร์ แม้บรรยากาศรอบตัวจะมืดมิดเพียงใด ดวงหน้าของพ่อและแม่ยังคงชัดเจนในห้วงคำนึง

“คุณพ่อเพิ่งกลับมาหรือคะ…พิม…พิมนึกว่าคุณพ่อหลับอยู่ข้างบนกับคุณแม่…” เธอพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่มันไม่ได้ผลเพราะน้ำตาแห่งความตื้นตันใจเมื่อได้พบหน้าพ่ออีกครั้ง ไหลรินขนาบสองแก้ม ยิ่งฝืนยิ่งกลั้นยิ่งผลักดันให้ไหลออกมามากขึ้น

หญิงสาวโผเข้ากอดพ่อทั้งน้ำตา สะอื้นไห้จนตัวโยน แม้อยากเข็มแข็งเพียงไรก็ทำไม่ได้ สิ่งที่อยากได้มากที่สุดในช่วงเวลาทรมานซึ่งถูกขังไว้ในความมืดคือ อ้อมอกของพ่อ

“ร้องออกมาให้พอ พ่ออยู่ข้างๆ ลูกแล้ว”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงห่วงใย เธอจึงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ร่างสั่นไหวตามน้ำตาซึ่งทิ้งตัวลงมา อดแปลกใจเล็กน้อยที่ผู้เป็นพ่อไม่สอบถามถึงที่มาของน้ำตา กลับปลอบโยนให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นราวกับท่านล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด แต่ความอบอุ่นและความสุขใจที่ได้รับ ทำให้เธอไม่สนใจหาคำตอบอื่นใด ก่อนคืนนี้จะผ่านไปขอแค่ได้อยู่ตรงนี้ในอ้อมแขนของพ่อเป็นพอ



พราวชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ธ.ค. 2556, 08:28:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ธ.ค. 2556, 08:40:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1295





<< ตอนที่ 11    13 >>
phugan 17 ธ.ค. 2556, 18:54:20 น.
สงสารหนูพิมเน๊อะ....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account