จำแลงแปลงรัก
โยษิตา สูญเสียพ่อกับแม่ไป โลกอันสวยงามของเธอก็ทลายตามไปด้วย เธอเริ่มเข้าสู่วังวนอันดำมืด และเป้าหมายของเธอก็คือเขา...บุคคลที่เธอได้รับหน้าที่ให้ตามติด

วิกรานต์ ชายหนุ่มแท้ มีใบหน้าหล่อยามเป็นชาย แต่ยามเป็นสาวก็หลอกตาใครต่อใครได้มาก ชีวิตของเขาสำมะเลไปวันๆ แต่ความสามารถของเขานั้นกลับเป็นที่ต้องการของใครมากมาย...

คนสองคนต้องมาใช้ชีวิตด้วยกัน เขาใช้เธอเป็นตัวหลอก เขี่ยสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ และเธอมีเขาเป็นเป้าหมาย คนแบบเขาเหมาะที่จะส่งไปสอดแนม ล้วงข้อมูลมาให้เธอ
Tags: ดราม่า แอ็กชั่น สืบสวน โรแมนติก สายลับ

ตอน: บทที่ 2 : คนประหลาด

ปวดหัว...โยษิตาเบ้หน้า รู้สึกอาการร้อนไข้ของเธอพานให้ร้อนไปทั้งร่าง แต่กลิ่นอโรมาของสมุนไพรไม่ชินจมูกทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นมา แสงสว่างนวลของความมืดที่ถูกจุดด้วยเทียนหอม ราวกับเป็นที่พักของผู้หญิง

ในแสงสว่างลางๆ เธอพบว่าที่นอนที่นอนอยู่ยามนี้เป็นโซฟาปรับนอนได้ เงยหน้าขึ้นมองพบกับโทรทัศน์แอลซีดีขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเสียงครบชุด มีโต๊ะกระจกเตี้ยอีกตัว หญิงสาวกัดริมฝีปากอดทนกับอาการปวดหัว เธอรู้สึกว่าตัวเธอเหนอะหนะด้วยกลิ่นบางอย่าง...เหมือนคาลาไมล์

มือแตะตามลำแขนตัวเองก็พบรอยนูนของเนื้อ ในปริมาณที่มากจนน่ากลัว เสียงกุกกักจากในห้องอื่นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว...ต้องปลอบใจตัวเองให้กล้าแกร่ง และเข้มแข็ง เยือกเย็นให้มากที่สุด

หยัดกายยืนไม่ทันเท่าไหร่ เสียงเปิดสวิตซ์ไฟก็ดังขึ้น ความสว่างไสวทำให้เธอต้องหลับตาเพื่อปรับแสง

“ทานยาแก้แพ้ก่อนสิ รู้ตัวไหมว่าวันหลังอะไรที่ทำไม่ได้ก็ควรบอก ถ้าไม่เจอคนดีอย่างฉัน เธออาจลงเอยที่ซอกตึก ข้างทาง เป็นเหยื่อไปแล้ว”

คนดี เป็นผู้ชายตัวสูง หุ่นเพรียว ด้วยเอวเล็ก ใบหน้าคมคาย ดวงตากลมโต ขนตางอนยาวมองเธอด้วยสายตาเหมือนกำลังเจรจากับเด็กน้อยอ่อนต่อโลกจมูกโด่งคมสันเป็นแนวลากลงมา ปากเป็นสีสวยธรรมชาติ ไหนจะโครงหน้าเรียวผิวนวลเนียนขนาดหญิงแท้ๆ อย่างเธอยังรู้สึกอาย

หนุ่มชุดนอนลายทางเดินมานั่งที่ว่างบนโซฟาเอนนอนที่เธอนั่งอยู่โดยไม่ให้เธอตั้งตัว โยษิตาถอยกรูด หัวใจเผลอตัวโหมแรงด้วยความหวั่นหวาด อยากรู้นักว่าเขาเป็นใคร ดูจากการพูด เสียงห้าวๆ แล้วเธอจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักมาก่อน

“มีแต่โจ๊กซองกินได้ไหม”

“ไม่หิวค่ะ...ขอบคุณ” สายตามองยาเม็ดสีขาวบนโต๊ะอย่างระแวง ไม่กล้าแตะต้องของของคนแปลกหน้าสักอย่าง

“คุณดื้อเป็นกิจวัตรหรือเปล่า หัวรั้นไม่ยอมใคร แต่บางทีก็ควรดูตัวเองบ้างนะ อวดดีไม่เข้าเรื่อง”

คนโดนว่าตีหน้านิ่ง ยกแขนขึ้นกอดอก เบือนหน้าหนีไปอีกทาง “คุณเป็นใคร...แล้วฉันจะกลับบ้านได้หรือยัง”

เสียงห้าวหัวเราะในลำคอ เลือกหยิบรีโมทมาเปิดเพลงคลอในจังหวะรื่นหู ไม่ให้บรรยากาศมันหม่นหมองตามใครอีกคนไป

“จำฉันไม่ได้เหรอ เด็กน้อย

สรรพนามที่เธอนึกเกลียดจับใจ เพราะมันทำให้เธอดูอ่อนด้อย อ่อนแอจากปากเขา แค่นั้นเธอก็จำได้ กวาดมองเขาทั่วตัวไม่ใช่ด้วยความพิศวาส แต่เป็นเพราะนึกแปลกใจ...ยามนี้ ที่ใบหน้าเขาเกลี้ยงเกลา สะอาด ไร้เครื่องสำอาง ทำให้เธอจำเขาไม่ได้ หน้าตาดูดีตรงหน้า ไม่เหมือนสาวสวยคนนั้นสักนิด

“ล้อฉันเล่นแน่ๆ...โลกนี้วิปริตไปแล้ว” บ่นกับตัวเอง ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เธอเชื่อว่าโลกนี้ยังมีสิ่งประหลาดยากจะคาดเดาอยู่มาก
“เธอเป็นคนแรกที่รู้ตัวจริงของฉัน”

“ไม่ได้อยากจะรู้ จู่ๆ ก็ถูกลากมาเอง” ความเอื่อยเฉื่อย เย็นชาครอบงำโยษิตาอีกครั้ง เพียงแค่ปรับตัว และเข้าใจสถานการณ์ได้ทั้งหมด “ฉันว่าฉันจะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย”

“ตีสามจะกลับยังไง”

“ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ กลับยังไงก็เรื่องของฉัน” เธอไม่ชอบความรู้สึกเหมือนถูกผู้ใหญ่ ทั้งที่จากหน้าตาแล้วเขาดูไม่แก่ไปกว่าเธอเลยสักนิด ปากงอเป็นสระอิ อารมณ์เสียแต่อาละวาดไม่เป็น

ไม่ทันจะลุก แขนเนียนของอีกฝ่ายก็กางกั้นไว้ก่อน เขานั่งกระดิกเท้าไปมาในท่าไขว่ห้าง ฮัมเพลงในลำคอตามจังหวะที่เปิด ไม่มีคำพูดใดๆ นั่นยิ่งยั่วอารมณ์ของเธอให้ขุ่นข้องมากขึ้น

“อีกสามชั่วโมงจะปล่อยกลับ ถึงตัวจะผื่นแดงไปทั้งตัว หน้าตาก็งั้นๆ แต่ถ้าไปเจอคนไม่ดี พวกหน้ามืด ก็คงพอให้พวกมันแกล้มคอได้”

สาวแก้มป่องอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด ตัดสินใจนั่งตัวตรง หน้านิ่ง ไม่แตะต้องของใดๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอมีสิทธิ์ที่จะไม่สนใจของของคนอื่น และเธอก็กำลังได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าของห้อง

จะเห็นเธอเป็นเด็กน้อย น่าตลก น่าขันยังไงก็ตามแต่...ก็ปล่อยเขารู้สึกไป ครบสามชั่วโมงเธอจะรีบไปแบบไม่เหลียวหลังเลย

“เธอชื่ออะไร นอกจากโยษิตา”

“ค้นกระเป๋าฉันเหรอคะ”

อีกฝ่ายไหวไหล่ “เผื่อเป็นตำรวจจะได้ไม่ช่วย ไม่ชอบยุ่งกับพวกทำตัวตรง แต่คดข้างใน”

วาจาถากถาง บอกถึงความคิดของเขาต่ออาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ครั้งนี้โยษิตายอมปล่อยให้ตัวเองหัวเราะออกมา ดวงตาเศร้า เหม่อลอย

“ฉันก็คิดแบบนั้น...แต่ไม่ใช่กับทุกคนหรอกนะที่จะคด ที่สำคัญบางคนก็ไม่ได้เถรตรงหรือตงฉินเลยก็มี ทำไม โดนจับมาบ่อยเหรอคะ”

วิกรานต์ส่งเสียงหึ ยกมือเสยผมยาวปรกคอของตัวเองครึ่งศีรษะมัดเป็นจุกเล็ก ปล่อยชายผม และหน้าม้าด้านหน้าเป็นอิสระส่งสายตาวิบวับอย่างคนเจ้าชู้ประตูลิงมาให้สาวน้อยแสนจืดชืดที่มองตนเคลื่อนไหวทุกท่วงท่า

“ทุกคนก็หลงเสน่ห์ฉันทั้งนั้น”

“ยกเว้นฉัน...ฉันแค่สงสัยว่าคุณเป็นเกย์ หรือตุ๊ดกันแน่”

วิกรานต์ไมได้โกรธ แต่หัวเราะเสียงพลิ้วดัดเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่

“ไว้มีโอกาสจะมาพิสูจน์ก็ได้นะ...เด็กน้อย”


จากนี้เธอจะไม่อวดดีด้วยการดื่มแอลกอฮอล์เพราะคำท้าใครอีก...จะว่าเธอเป็นเด็กน้อย ไก่อ่อนก็ช่างปากคน แค่หนีเที่ยวสถานที่แบบนั้นอย่างพวกอยากรู้อยากลอง พ่อแม่คงได้เอะอะโวยวายบนนั้น

โยษิตาแหงนหน้ามองฟ้าสีขาวสะอาด มีปุยเมฆลอยเอื่อย ขอโทษขอโพยพวกท่านในใจ มือแตะผ้าพันคอถักลายตารางขาวดำปกปิดร่องรอยตุ่มที่ยังแพ้แอลกอฮอล์ให้เห็นแน่นขึ้น รับสภาพที่ตัวเองมาสายในการฝึกงาน

“จูนอย่าเพิ่งขึ้นไป” ยังไม่ทันเหยียบบันไดขึ้นไปชั้นสองสถานที่ทำงานของเธอ ด้วยตัวตึกออกแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยม โล่งเตียน ไม่ต่างจากอาคารพาณิชย์ทั่วไป ดูแลระบบข้อมูลของลูกค้าที่มาจดโดเมนไว้ ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เล็กขนาดเป็นมดแมวไม่มีชื่อ

อย่างน้อยๆ เจ้านายใหญ่ของเธอที่นี่ ก็เป็นถึงไฮโซชื่อดังที่มีความคิดอยากออกนอกกรอบ กางปีกอวดกับครอบครัวว่าสามารถบินได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง แต่ก็แปลกประหลาดเข้าไม่ค่อยถึงอยู่ดี

เสียงซุบซิบตรงช่องแคบบริเวณหลังบันไดรวมชีวิตห้าชีวิตไว้ด้วยกัน ใบหน้าแต่ละคนต่างหวาดผวา ลุกลี้ลุกลน บางรายนึกอย่างจะวิ่งหนีออกจากสถานการณ์อันอึดอัดนี้ โดยเฉพาะ พี่ฤดีที่ลากเธอเข้ามา สาวอ้วนวัยสามสิบต้นๆ มองขึ้นไปด้านบนอยู่บ่อยครั้ง

“องค์ลง อย่าเพิ่งไปขวาง”

“อะไรองค์ลงคะ”

ฤดีมองหน้าคนอื่นอย่างจนปัญญา บอกปัดนักศึกษาฝึกงานไป “เดี๋ยวก็รู้”

“ไอ้กลาง แกเบี้ยวนัดฉัน ยังมีหน้ามาควงสาวเย้ยฉันอีกเหรอยะ”

เสียงดังทะลุปรอททำคนฟังเบื้องล่างขนลุกซู่ ห่อไหล่ร้องอู้วกับปรากฏการณ์อันคุ้นชินนี้เป็นอย่างดี องค์ลงทุกครั้ง จะลงใส่บุคคลที่ถูกเรียกว่า ‘ไอ้กลาง’ เสมอ

“ถ้าแกตัดสายรอบที่สิบของฉันอีกครั้ง คอยดูฉันจะไปถล่มแก” เสียงปึงปังกระทืบเท้าทำให้ทุกคนจงใจส่งโยษิตาเป็นหน่วยกล้าตายเยี่ยมหน้าไปดู

และไม่รู้ว่าซวยหรืออย่างไร สายตาของเธอสบกับดวงตาคมกริบของกรแก้ว ร่องรอยเดือดแค้นฉายแววสว่างวาบขึ้น กรแก้วกวักมือเรียกหญิงสาวฝึกงาน ไม่ต้องรอให้ถูกเรียกซ้ำ พี่กองหนุนก็พร้อมใจดุนหลังเธอให้เดินออกไป

“ถ้าแกไม่มาในสิบห้านาที ฉันจะฟ้องพี่โป้งว่าแกทำฉันท้อง แค่นี้นะ!”

โยษิตาทำหน้าเรียบ ไม่กล้าแสดงความรู้สึกใดๆ ออกไปในยามที่ผู้สนทนาไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ คนตะคอกเมื่อครู่วางโทรศัพท์ ยกมือเท้ากับโต๊ะหอบหายใจแรง ใช้พลังในการสนทนากับปลายสายไปมากโข

มือนวดขมับ เป่าลมออกจากปากฟู่ๆ เป็นอาการอันแปลกตา ภาพเจ้านายสาวสุดเนี้ยบ ผมเรียบ ชุดไม่มีรอยยับ บัดนี้หน้าตายับยุ่ง ปากบิดเบี้ยวด้วยความไม่สบอารมณ์ พอเธอเดินมาถึง อีกฝ่ายจึงกลับมายืนหลังตรง เท้าสะเอว

“งานอะไรคะ”

“ให้คนที่กำลังมาถึงเซ็นนี่ให้ฉันหน่อย” ยื่นแฟ้มงานหนาสีดำส่งมาให้ กรแก้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ทำหน้าตกใจ รีบคว้ากระเป๋าถือทันที “มันต้องใกล้มาแล้วแน่ๆ บอกมัน เอ้อ...ไอ้คุณกลางน่ะว่าฉันไม่อยู่ แต่งานของเธอวันนี้คือต้องล่าลายเซ็นหมอนั่นมาให้ได้ ทำได้ไหม”

สรรพนามอันชินปากของกรแก้วถูกแก้เปลี่ยนไม่ให้คนฟังระคายหูจนเกินไป ไม่วายใส่ไอ้นำหน้าชื่อ สีหน้าท่าทางการพูดหมั่นไส้เต็มทน กำชับสั่งทิ้งท้ายแล้วหนีไปด้านหลังของตึก

โยษิตายืนคิดว่าเธอกำลังผจญกับเรื่องอะไรกันแน่ คู่รักทะเลาะกัน หรือคู่แค้นที่มีผลประโยชน์ต่อกัน เกินกว่าเธอจะทำความเข้าใจ

“ไม่รอให้ปฏิเสธเลยนะ” ฤดีพี่เลี้ยงของเธอทำหน้าซีดเป็นไก่ต้ม มองของในมือเธอด้วยสายตาอย่างกับพบอุกกาบาตนอกโลกพุ่งเข้าใส่ “ความสำเร็จแทบเป็นศูนย์”

“พี่รู้จักคุณกลางเหรอคะ”

“ทุกคนที่นี่ก็รู้จักแหละจ้ะ เอาใจยากพอๆ กับบอสเราเลย”

คงจะประเภทเดียวกัน...โยษิตากอดแฟ้มไว้ ทำตามที่ฤดีบอกให้เธอไปนั่งรอในห้องประชุมของบริษัท มีคำอวยพรส่งมาให้ครบจากปากของทุกคน

พวกเขาทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังไปออกรบ ไม่ใช่คุยงาน

พี่ในที่ทำงานอีกคนยกแก้วน้ำ และกาแฟ บนถาดเข้ามาวางให้เธอ และตรงข้ามเธอ “สู้ๆ นะจูน ถ้าสำเร็จ พวกเราสบายไปเป็นเดือนเลยนะ”
สบายไปเป็นเดือน...ทั้งที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานในแฟ้มคืออะไร

โยษิตามองห้องประชุมขนาดย่อมมีที่นั่งไม่เกินสิบที่ จอโพรเจ็กต์เตอร์ขนาดใหญ่อีกหนึ่งจอขึ้นฉาย มุมสี่มุมมีไม้กระถางประดับไม่ให้บรรยากาศเคร่งเครียดเกินไป จริงๆ ผนังสีด้านที่คุณกรแก้วสั่งให้ทาเป็นสีรุ้ง ก็คงร่าเริงสดใสมากพอแล้ว

กรแก้วค่อนข้างเป็นคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงอย่างไม่ต้องสงสัย เวลางานจะเคร่ง แต่นอกงาน เธอจะปล่อยให้ทุกคนทำตามใจต้องการ โดยเฉพาะตัวกรแก้วเอง

“คราวนี้ใครเป็นหนังหน้าไฟล่ะ” เสียงกวนเอ่ยขึ้นมา ประตูยังไม่ทันเปิดออกด้วยซ้ำ โยษิตาสงบนิ่งมากพอที่จะไม่แสดงความกังวลออกมา

“สวัสดีค่ะคุณกลาง” โยษิตาลุกขึ้นยืนพนมมือแนบอก ทำความเคารพ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาขบขันของอีกฝ่าย ปากของเธอก็เบะออกแทบจะทันที

“มาฝึกงานที่นี่เหรอ รู้งี้ออกมาพร้อมกันก็ดี” วิกรานต์ไม่ได้ประจำเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ แต่หย่อนลงนั่งบนโต๊ะ ไขว่ห้าง ห่างจากโยษิตาไม่ถึงช่วงตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ เริ่มคุยงานกันเลยดีกว่านะคะ”

“ก็ฉันไม่อยากคุย...ปีหนึ่งกว่ายัยแก้วจะได้ลายเซ็นของฉัน ต้องใช้ความพยายามนาน”

“แล้วคุณจะยักย้ายท่ามากไปทำไมคะ” โยษิตารู้ว่าวันนี้ผู้ชายคนนั้นมาในกางเกงแดงจัด ไม่รู้ว่าจะท้าสายตาคนมองไปไหน เงยขึ้นมาก็พบว่าครึ่งบนเขาไม่ต่างกัน เข็มขัดหัวโตหนังสีน้ำตาล สวมเสื้อเชิ้ตลายตาราง ทับด้วยสูทกำมะหยี่สีน้ำเงิน สวมแว่นสีดำ ผมเรียบแปล้ด้วยเยล

บ้านเขาเปิดเวทีแคชวอล์กหรือเปล่า หญิงสาวเบือนสายตามายังแฟ้ม เลื่อนส่งไปให้เขา ไม่อยากให้เสียเวลาการทำงาน

“พอดีฉันท่ามากสิ...เด็กน้อย ว่าแต่รู้จักชื่อเล่นฉัน รู้ชื่อจริงหรือยัง” นิ้วเรียวไล้ผ่านเสี้ยวหน้าซีดตั้งแต่ขมับลงมาอย่างพินิจ เห็นขมับปูดปูน กรามขบกันแน่นแล้วยิ่งอารมณ์ดี “ผ้าพันคอนี่ปกปิดรอยเมื่อคืนที่เราเผชิญร่วมกันเหรอ”

“ว้าย!”

โยษิตาหันขวับไปมองนอกห้อง ทันเห็นเงาของรุ่นพี่ในที่ทำงานวูบไหว และหายไป มือของเธอวางลงบนต้นขา กำเข้าหากันแน่น...เขาจงใจทำให้ทุกคนเข้าใจผิด เขารู้อยู่แล้วว่ามีคนแอบฟัง

ศีรษะของเธอเบนออกจากมือเนียนของอีกฝ่าย ในใจมีความโกรธกรุ่นลอยฟุ้งอยู่ภายใน แต่ท่าทีที่จำต้องแสดงออกไป มีเพียงความสงบ และเจียมตัว

“มีอะไรที่ต้องการบอกมาเถอะค่ะ”

“ไม่มี”

“แล้ว...”

“ไม่มีแต่ไม่อยากเซ็น ถ้าอยากให้เซ็นก็อยู่คุยกับฉันสิ คุยไปเรื่อยๆ ฉันเบื่อฉันอาจยอมแพ้”

เธอเริ่มคิดถึงพ่อแม่ หากเธอจะใช้ความรุนแรงบังคับคน เธอจะทำผิดมากหรือเปล่า “ฉันคุยไม่เก่งค่ะ ไม่มีเรื่องจะเล่า และคิดว่าไม่เหมาะสมจะคุยเล่นกับคนระดับคุณ”

“คนอย่างฉันอย่าวางไว้สูงนักเลย แต่ก็ขอบคุณนะ” น้ำเสียงในประโยคมีรอยเย้ยหยัน ถึงจะแสร้งร่าเริง แต่เธอว่าเธอจับน้ำเสียงผิดปกติได้

โทรศัพท์ของเขาสั่นรัว คนสำคัญที่เธอต้องบีบให้เขาเซ็นใบสำคัญในแฟ้มหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา มองเบอร์บนหน้าจอยิ้มแก้มปริ เขาเหลือบตามองเธอชั่วครู่ สั่งการเธอด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห

“ฟังฉันสวีทกับกิ๊กหมายเลขสี่ก่อนนะ อย่าทำหน้าออกความเห็น”

อยากให้เธอสนใจนัก...ก็จะสนใจ โยษิตามองเขาตลอดบทสนทนา แต่ไม่ทำให้เขาหลุดบทชายแสนดี น้ำเสียงลูกอ้อน หรือบทยั่วเย้าอย่างน่าตี ยิ่งขับให้เขากลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ กะล่อน ปลิ้นปล้อน ไม่มีอะไรเป็นหลักมั่นคงในสายตาเธอสักนิด น่าสงสารผู้หญิงพวกนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเล่นกับไฟ

ผู้ชายคนนี้เหมือนเปลวไฟ ไหลไปได้เรื่อยๆ

ขณะที่เขาคุยกับน้องนุ่น สายตาของเขากลับจ้องเธอไม่วาง แต่นัยน์ตาเขาเป็นอย่างไรนั้นเธอไม่รู้หรอก เล่นใส่แว่นดำขนาดนี้

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาก็ยังไม่หยุด โยษิตาเม้มปากแน่น เธอมีเวลาพอจะศึกษาเอกสาร และรู้ว่าเป็นสัญญาดูแลข้อมูลของบริษัทลูกในเครือดีเอส เธอเพิ่งรู้ว่าผู้ชายสำอาง แต่งตัวจัดคนนี้มีนามสกุลดังอย่างเดชอนันต์สิทธิ์ ชื่อของเขาคือวิกรานต์ คนที่ไม่ชอบดูข่าววงการธุรกิจ หรือหน้าบันเทิง จึงไม่รู้จักเขามาก่อน

สัญญารายปีนี้หากบริษัทได้ดูแลโดเมนและเว็บโอสต์ติ้งต่อ เงินหลายหลักจะไหลเข้ามา ในเมื่อดูแลมาตลอดห้าปี ปีนี้ก็คงเหมือนเดิม แต่คงต้องอดทน

“จ้า...มาที่บริษัททูเคเลยนะน้องนุ่น พี่กลางจะนอนรอเลยจ้ะ จ้ะมาถึงก็เข้ามาที่ห้องประชุมเลยนะจ๊ะ พี่จัดเซอร์ไพร้ส์ไว้รอ”

“สรุปวันนี้คุณจะไม่คุยงานแล้วใช่ไหมคะ”

หูทันได้ยินบทสนทนาสุดท้ายของวิกรานต์ วันนี้หากไม่ได้เธอก็จำต้องยอมไปก่อน ขอให้เธอตั้งตัวได้ หาวิธีมาล่อให้เขาเซ็น คนแบบเขาน่าจะมีจุดอ่อนอยู่

ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้เลยก็ตาม...

“อีกสักชั่วโมงน่า...ช่วยฉันกำจัดกิ๊กที่น่าเบื่อก่อน แล้วจะปล่อยเธอไป ถือว่าตอบแทนที่ฉันช่วยเธอเมื่อคืน”

“ถ้าไม่ล่ะคะ”

“ไม่มีการคุยเรื่องสัญญาอีก ให้ยัยแก้วเอาเรื่องเท็จมาขู่ฉันก็ไม่กลัว ฉันไม่ใช่โรคกลัวพี่ชายขึ้นสมอง” นิ้วมือเล่นพันปอยผมหยักศกของหญิงสาวแก้อาการว่าง มือคว้าแว่นสายตาอันเบ้อเริ่มเฉิ่มเชยของโยษิตาออก ดวงตาของหญิงสาวไม่ได้หรี่ตามอง หรือเพ่งอะไรสักอย่าง

“แว่นนี่ไม่ใช่แว่นสายตาสินะ”

โยษิตาอดกลั้น เห็นเขาถอดแว่นดำตัวเอง เผยดวงตาชี้ขึ้น หนังตากรีดอายไลน์เนอร์เข้มจัด เขาลองสวมแว่นของเธอ ยกมือชูนิ้วเป็นเลขหนึ่งเลขสอง ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา “อยากปลอมตัวเหรอ”

“มันเป็นเรื่องของฉัน”

“แต่ถ้าคุยงานกับฉัน เรื่องทุกอย่างคือเรื่องของฉัน ฉันอยากรู้ ฉันต้องได้รู้” วิกรานต์เอ่ยย้ำชัดทุกคำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง เพราะถือว่าบอกกฎของตัวเองไปแล้ว “ทีนี้เธอก็เชิดเข้าไว้ เป็นคู่ควงฉันต้องมั่น”

“เซ็นก่อนค่ะ” โยษิตาไม่สนว่าตัวเองจะต้องไปแสดงบทบาทไหน ตอนนี้เธอเห็นแค่งาน

และครั้งนี้เธอทำสำเร็จ วิกรานต์นำไปเปิดอย่างว่าง่าย แบมือขอปากกา เธอส่งปากกาลุกลื่นให้เขา ไม่วายโดนจับไว้แน่น และโดนนิ้วโป้งของเขาลูบวนไปมา

“ไปออกรบมาเหรอ” ปากเขายังคงทำงานแม้ว่าจะเริ่มจรดปลายปากกา

“มือสากอย่างกับหนังจระเข้”

“ขอบคุณที่ชมค่ะ” เธอไม่อยากเสียเวลาเถียงปัญหาร้อยแปดกับเขา รับๆ ไปก็จบ

วิกรานต์ส่งแฟ้มยื่นคืนมาให้โยษิตา ทำหน้าคิดชั่วครู่ รอยยิ้มมหาเสน่ห์ของเขาก็เกิดขึ้น ใบหน้าหล่อที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสวยเกินหญิงทั่วไปยื่นหน้าใกล้ชิดหูของหญิงสาว “ค่าเซ็นครั้งนี้คือเธอ”

“ไม่”

“อย่าคิดว่าฉันหลงเสน่ห์ ก็แค่แก้เบื่อของฉัน อย่างเธอไม่กรี๊ด ไม่วิ่งไล่ฉัน อวดดี ฉันก็เลยสนใจ”

โยษิตามองวิกรานต์ด้วยหางตา เธอไม่สนใจว่าเขาจะสั่งให้เธอทำอะไร เพราะถ้าเธอไม่ ยังไงก็สั่งเธอไม่ได้

“รู้ไหมว่าทุกคนที่รู้ว่าฉันสนใจ จะระริกระรี้แค่ไหน”

“อย่างนั้นหรือเปล่าคะ” โยษิตาพยักพเยิดไปยังประตู ผู้หญิงนุ่งสั้นลายเสือทำหน้าเป็นนางยักษ์ ไม่รู้ว่ารอเฉ่งเขา หรือเตรียมมีดมาฆ่าเธอ

เฮ้อ...เธอยังไม่อยากลงมือเลยจริงๆ แต่มันจำเป็น



......................................
คุณ ปรางขวัญ บางทีพระเอกเรื่องนี้อาจสวยกว่านางเอก ฮา เป็นพระเอกที่เขียนเองรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์จะแปลกมากค่ะ ดีใจที่มาพบกันที่เรื่องนี้อีกค่า ^o^

คุณ Sukhumvit66 ใช่ค่ะ พระเอกเรื่องนี้ขนาดไม่แต่งหญิงก็จัดเต็มพอกัน ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ^_^


ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ คนไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2556, 09:09:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2556, 09:56:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1362





<< บทที่ 1 : โลกที่เปลี่ยนไป   บทที่ 3 : เจ้าคิดเจ้าแค้น >>
Sukhumvit66 22 ธ.ค. 2556, 09:57:47 น.
คิดถึงแนววิชวล เค เลยค่ะ อิอิ


นักอ่านเหนียวหนึบ 22 ธ.ค. 2556, 12:22:35 น.
กางเกงแดง กรีดอาย ไลเนอร์!!!!
ขุ่นพระ!!!! หน้าตาดีธรรมดาๆ ทำไม่ด้ายนะฮ้าาาาา


konhin 22 ธ.ค. 2556, 13:49:43 น.
น่าสนใจ พระเอกสวยยยยย


อัศวินนภา 22 ธ.ค. 2556, 15:13:18 น.
นิยมของแปลกแต่เร้าใจ 555


aom 22 ธ.ค. 2556, 15:30:31 น.
พระเอกจี๊ดมากกกกค่ะ


ปรางขวัญ 23 ธ.ค. 2556, 00:07:58 น.
ชอบพระเอกจัง *_^ แปลก แนว หายากจริงๆ


ผักหวาน 2 ม.ค. 2557, 21:10:47 น.
โอ๊ย จะหน้าสวยไปถึงไหนคุณกลาง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account