ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร
แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร
แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า
ตอน: (3)ไปด้วย
ฉันค่อยๆเปิดปิ่นโตที่ส่งกลิ่นยวนน้ำลายของกับข้าวในห้องพักแพทย์ พร้อมๆกับที่บดินทร์นั่งลงข้างๆ จ้องมองดูว่าวันนี้ฉันทำอะไรมาเผื่อเขาบ้าง
“มีไข่พะโล้ ดอกไม้กวาดผัดตับ แล้วนี่ก็…” บดินทร์ หรือที่ฉันเรียกสั้นๆว่า ดิน มองกับข้าวอย่างสุดท้ายด้วยความสงสัย
ฉันส่งจานที่มีข้าวพูนๆ ควันร้อนหอมฉุยพร้อมช้อนส้อมให้เขา “เขาเรียกว่า กุ้งกับสะตอผัดพริก ไม่เคยกินเหรอ แปลกจริง”
ดิน ถกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะรินน้ำส้มเย็นเจี๊ยบใส่แก้ว น้ำส้มเหยือกนี้ฉันคั้นเองสดๆกับมือแล้วแช่ใส่ตู้เย็นตั้งแต่เมื่อคืน
“ไม่เคยหรอก ก็ผมเป็นคนเหนือนี่นา”
ฉันอมยิ้ม รู้สึกภูมิใจแปลกๆ “งั้นดินก็ได้กินสะตอจากฝีมือดาคนแรกน่ะสิ กินเร็ว แล้วจะรู้ว่าอร่อยแค่ไหน”
“ครับๆ แม่ครัวใหญ่” ดินส่งยิ้มขำๆให้ ก่อนจะใช้ช้อนกลางตักสะตอกับกุ้งใส่จานฉัน แล้วตักอีกครั้งแบ่งใส่จานตัวเอง
เขาเป็นสุภาพบุรุษเสมอ
บดินทร์ตักข้าวคำแรกเข้าปาก ก่อนจะหันมามองฉันตาโต แล้วอมยิ้มทั้งๆที่เคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยจังดา”
ฉันยิ้มกว้าง และเริ่มรู้ว่าตัวเองหน้าแดง เลยหันไปหยิบรีโมทกดเปิดทีวีดูข่าวภาคเที่ยง เป็นการกลบเกลื่อน
“ดาทำอาหารเก่งนะ เหมือนแม่ผมเลย” บดินทร์พูดเรียบๆ นั่นทำให้ฉันละสายตาจากทีวีไปมองเขา แต่บดินทร์ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทานข้าวอยู่นั่นเอง
เขาคงคิดตามที่พูดจริงๆ แต่คงไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น
วันนี้บดินทร์ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม แว่นกรอบบางอันเดิมที่ฉันเห็นจนคุ้นตา กับทรงผมตัดสั้นเรียบร้อย จริงๆแล้ว เขาก็แต่งตัวเดิมๆอย่างนี้เกือบทุกวัน แต่สำหรับฉันก็ยังน่ามองเสมอตลอดเวลา 3 ปี
ดิน วางมือจากการตักผัดดอกไม้กวาดกับตับแล้วหันมาสบตาฉันที่จ้องเขานานไปนิดหนึ่ง
“อ้าว กินสิดา เดี๋ยวผมแย่งจนหมดหรอกนะ อะ ผมตักไข่พะโล้ให้อีกแล้วกัน ดานี่ก็กินช้าเหมือนคุณป้าเตียง 21 เลยนะ”
ฉันหัวเราะ เพราะคุณป้าที่ว่ากินช้าเนื่องจากฟันเหลือเพียงไม่กี่ซี่เท่านั้น
“ดินก็ว่าเข้านั่น…ดาตักพะโล้ตอบแทนบ้างแล้วกัน” แต่ขณะที่ฉันกำลังจะตักพะโล้ใส่จานเขา ห้องพักแพทย์ก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าขาวเนียนแต่งหน้าอ่อนๆ รับกับโครงหน้าเรียวสวยรูปไข่โผล่หน้ายิ้มอ่อนหวานเข้ามา “หมอบดินทร์คะ มีเอกสารต้องเซ็นต์ค่ะ” เดือนดารา หรือเ ดือน พยาบาลหน้าใหม่ที่พึ่งมาทำงานที่นี่พูดกับบดินทร์
เขาไม่ลังเล รีบตอบทันที “อ้อ ครับ” บดินทร์วางช้อนทานข้าวลงแล้วทำท่าจะรีบลุกออกไป
“กินให้อิ่มก่อนก็ได้นี่ดิน แล้วค่อยไป ไม่ด่วนมากไม่ใช่หรือ” ฉันรั้งเขาไว้ เรื่องอะไรคนยังทานข้าวไม่เสร็จ เข้ามารบกวนเสียได้
พยาบาลชื่อเดือนยังคงมองบดินทร์ไม่วางตา บดินทร์เองก็แทบไม่สนใจฉัน
“ด่วนค่ะ” สีหน้ายิ้มแย้ม แววตาหวานเชื่อม หล่อนตอบฉันแต่สบตาบดินทร์
บดินทร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างๆแล้วหันมามองด้วยความขอบคุณ “ผมอิ่มแล้วล่ะ อาหารอร่อยมาก ขอบใจนะดา”
เขาพูดตัดบทแค่นั้นแล้วเดินตามร่างระหงของเดือนออกไป ฉันก็พูดห้ามเอาไว้ไม่ทัน
ฉันนั่งมองประตูห้องพักที่ถูกปิดลงเบาๆด้วยความสงสัยและไม่พอใจนิดหนึ่ง แต่ก็รีบทานข้าวให้เสร็จ เพราะตอนบ่ายนั้นยังคงมีคนไข้เข้าคิวรอตรวจอีกมากนัก
ข่าวภาคเที่ยงใกล้จบลง ฉันรีบรวบช้อนส้อมและกวาดเศษอาหารลงในปิ่นโต ก่อนจะซ้อนปิ่นโตเป็นชั้นแล้วปิดสนิทวางแอบไว้ข้างโต๊ะทำงาน ฉันรีบดื่มน้ำอึกสุดท้าย ก่อนจะกุลีกุจอออกจากห้องพัก แต่แล้วอาถกลและอามณพร้อมหลานชายผู้มาจากกรุงเทพฯก็เปิดประตูห้องพักแพทย์เข้ามา
หลานชายมองหน้าฉัน ฉันเลยมองตอบ
“หนูดาอยู่พอดี ดีเลย ตาผาจะได้มีเพื่อนคุย” อามณพูด
ฉันยิ้มแห้งๆ รีบคว้ากระเป๋าสะพายและคล้องหูฟังที่คอ เป็นเชิงบอกว่า ‘ต้องออกตรวจค่ะ’
แต่ก็ยังคงไม่มีใครเข้าใจอยู่ดี อามณชวนคุณภูผาดูนิตยสาร national geographic ที่บดินทร์สมัครเป็นสมาชิกรับทุกเดือน ส่วนอาถกลหันมายิ้มคุยกับฉันที่กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ว่าง
“เย็นนี้ว่างไหม อาจะพาพวกเราไปทานข้าวข้างนอก จะได้รู้จักกับภูผาอย่างเป็นทางการด้วย บอกบดินทร์ด้วยนะ”
ฉันคิดนิดหนึ่ง ยังต้องรู้จักอย่างเป็นทางการอีกอย่างนั้นหรือ ทั้งๆที่ฉันก็เคยช่วยเขาทำกับข้าว และตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนบ้าตอนงูเลื้อยผ่านหน้าเขาไป
“ดาอยู่เวรค่ะ เดี๋ยวลองถามดินให้นะคะ แต่ตอนนี้ดาขอไปตรวจคนไข้ก่อนนะคะอา”
อาหญิงที่กำลังพลิกนิตยสารดูอยู่หันมามองฉัน “อ้าวช่วงบ่ายไม่ได้เปิดตรวจห้องเดียวเหรอจ๊ะหนูดา”
ฉันจับลูกบิดประตู เตรียมพร้อมออกทุกเมื่อ ถึงฉันว่าง ฉันก็คงไม่อยากนั่งคุยกับคนแปลกหน้าตามลำพังเท่าไรนัก เพราะความจริงคือ ฉันคุยเก่งกับคนที่สนิทกันแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ค่อยรู้จักฉันมักทำตัวไม่ถูก
“วันนี้สองห้องค่ะ คนไข้เยอะเป็นพิเศษ ดาขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วฉันก็ยิ้มให้ทุกคนในห้องแล้วรีบออกมา และก่อนประตูจะปิดสนิทฉันก็ได้ยินอามณพูดกับคุณภูผาว่า
“เสียดายจริง อดคุยกันเลย หนูดาคุยด้วยได้แทบทุกเรื่องเลยนะจ๊ะ หลานจะได้ไม่เหงา”
คุณภูผาตอบกลับเสียงเหมือนขันๆ “เหรอฮะ แต่ดูเธอไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไรนะครับ”
ฉันสะดุ้งนิดหนึ่ง คิดบ่นในใจว่า นายจะมาอ่านใจฉันออกได้ยังไง!
ยามบ่ายคนไข้ยังคงต่อคิวเข้ามาเรื่อยๆ ช่วงนี้คนป่วยมีมากเป็นพิเศษเนื่องจากอากาศหนาวและฝนตกบ่อยทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวแท้ๆ
ขณะที่ฉันนั่งรอคนไข้รายต่อไปเข้ามา จึงเอื้อมมือไปเปิดปฏิทินเพื่อนับถอยหลังจนถึงช่วงปีใหม่ เหลืออีกสามอาทิตย์เท่านั้น ถ้าฉันขอลาแล้วให้บดินทร์อยู่เวรแทนสักสองสามวันได้ ฉันคงได้กลับกรุงเทพฯ ไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว
สายรุ้งรอบบ้าน รายการพิเศษทางทีวี ขนมเค้กที่แม่มักจะอบเอง และการเลี้ยงฉลองต้อนรับปีใหม่ของญาติๆ นั่นทำให้ฉันรอคอยและคิดถึงช่วงเวลานี้เสมอ
แล้วประตูห้องตรวจก็เปิดออก พร้อมๆที่พี่ชัชบุรุษพยาบาลเดินประคองคุณยายท่านหนึ่งเข้ามา
“มาคนเดียวด้วยสิครับหมอ เก่งจริงๆนะเนี่ยยาย” พี่ชัชพูดกับฉันก่อนจะกระซิบดังๆข้างหูคุณยายขณะปล่อยแกอย่างเบามือบนเก้าอี้
ฉันยกมือสวัสดีแล้วยิ้มให้ คุณยายจะได้ไม่เกร็งมาก ฉันประเมิณจากสายตากะอายุคร่าวๆว่าน่าจะสัก 70 กว่าๆ คุณย้ายส่งยิ้มกว้างๆที่มีคราบหมากอยู่เต็ม ดวงตาภายใต้รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้านั้นดูซื่อๆและใจดี
ฉันเขยิบเก้าอี้เข้าไปประชิด และเริ่มซักประวัติ เริ่มต้นด้วยการทักทายอย่างเป็นกันเอง ถามชื่อ อายุ และประวัติครอบครัวเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
“วันนี้มีอะไรให้หมอช่วยเหรอคะคุณยาย” ฉันถาม พลางสายตาก็สอดส่องดูลักษณะโดยรวมของคนไข้
คุณยายยกมือไปจับที่คอตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าปนกับสำเนียงคนเหนือ “เจ็บคอมาหลายวันแล้ว มีน้ำมูกตลอดเลย”
“เป็นมากี่วันแล้วคะ”
“3 วันได้จ้ะ แล้วก็อ๋อยบ่อยๆด้วย”
ฉันฟังไปคิดไป คาดว่าอาจจะเป็นไข้หวัดธรรมดา คงไม่ถึงกับไข้หวัดใหญ่ แต่ก็สะดุดกับคำว่า ‘อ๋อย’ นี่แหละ มันเป็นอาการอะไรเหรอ อยู่ภาคเหนือมาก็เกือบสามปีแล้ว ไม่เคยได้ยินคำนี้สักที
ฉันเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือคุณยาย ซึ่งรู้สึกได้ว่าตัวอุ่นเล็กน้อย “เอ่อ..คือ...อ๋อยนี่เป็นอาการยังไงเหรอคะ”
คุณยายมองฉันงงๆ “อ๋อยบ่อยๆน่ะจ้ะคุณหมอ”
อ้าว…จะเข้าใจมากขึ้นไหมนี่ ฉันเกือบจะจนมุมอยู่แล้วแต่ก็คงต้องป้อนคำถามต่อไป
“อ๋อย นี่คือ ปวดหัว ตัวร้อน เมื่อยตามตัวหรือเปล่าคะ” คิดว่าถ้ายิงคำถามตรงๆแบบมีตัวเลือกให้ คุณยายน่าจะอธิบายได้มากขึ้น
ยายยิ้มแห้งๆแล้วส่ายหน้า “ก็อ๋อย น่ะจ้ะ อ๋อยทุกวัน”
ฉันเกือบจะกลายเป็นหมาจนตรอก แต่ก็พอดีที่คุณยายไอออกมาเสียเสียงดัง
ฉันเลยเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่บนโต๊ะ และรีบรินน้ำใส่แก้วเปล่าให้ และแล้วฉันก็นึกออกจนได้
“อ๋อย! คือ ไอ ใช่ไหมคะ คุณยายอ๋อยบ่อยๆ เอ้ย ไอบ่อยใช่ไหมคะ”
ฉันตะโกนเสียเสียงดังราวกับตอนแย่งตอบคำถามในห้องเรียนมัธยม
คุณยายรับแก้วน้ำจากฉันไปจิบ พอค่อยยังชั่ว ยายก็เงยหน้ามายิ้มให้
“ใช่จ้ะอ๋อยบ่อยๆ”
ฉันแทบอยากจะไชโยดังลั่น กับชัยชนะเล็กๆ “ไอใช่ไหมคะ ไอแค่กๆ”
คุณยายยังคงพยักหน้าแล้วไอให้ดูอีกสองสามที
เอาละ สรุปว่าฉันหูไม่ดีเอง คุณยายคงพูดว่า ไอ แต่ฉันได้ยินไม่ถนัด เลยกลายเป็นอ๋อย ให้ตายสิ! ดีนะที่อ๋อยไม่ได้มีความหมายอื่น เช่น ท้องผูก ไม่อย่างนั้นฉันคงสั่งยาถ่ายให้คุณยาย จากนั้นไม่กี่วันต่อมาคงได้รับจดหมายสั่งฟ้องเป็นแน่
พอได้ความ ฉันจึงตรวจร่างกายพื้นฐาน คือฟังเสียงหัวใจ เสียงปอด และวัดอุณหภูมิร่างกาย
โชคดีที่คุณยายไม่มีไข้สูงและไม่ปวดเมื่อยตามแขนขา คุณยายเพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อย มีน้ำมูกใส ไอ และเจ็บคอ เท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าคงไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นแค่ไข้หวัธรรมดาเท่านั้น
ฉันพิมพ์สั่งยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ ลงในคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลต่อไปที่เภสัชกร
หลังจากพิมพ์สั่งยาเสร็จ ฉันก็หันไปคุยกับคุณยายครั้งสุดท้าย
“คุณยายเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดานะคะ พอกลับบ้านแล้วหมออยากให้พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ อีก 2-3 วัน ก็คงหาย”
คุณยายพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจ ฉันจึงยื่นบัตรประจำตัวของคุณยายส่งคืนและบอกว่าให้เอาไปยื่นที่ช่องจ่ายยาด้านหน้า
คุณยายรับบัตรไปก่อนจะยกมือไหว้ฉัน ซึ่งทำเอาฉันเกือบรับไหว้ไม่ทัน
“ขอบใจนะจ๊ะคุณหมอ แล้วยายจะดื่มน้ำเยอะๆนะ จะได้ไม่อ๋อยบ่อยๆ”
ฉันน้อมรับคำขอบคุณ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขำกับคำสุดท้ายของคุณยาย
คุณยายค่อยๆลุกขึ้นอย่างไม่สะดวกนัก ฉันจึงผละจากเก้าอี้เข้าไปช่วยพยุง แล้วเปิดประตูให้
คุณยายขอบอกขอบใจอีกครั้ง และบอกว่าฉันไม่ต้องช่วยหรอก ยายเดินเองได้ นี่ยายก็เดินมาหาหมอเอง
ฉันเลยร้องเสียงสูง “อะไรนะคะ! คุณยายเดินจากบ้านมาโรงพยาบาลเองเหรอ”
คุณยายมองฉันด้วยสายตาภูมิใจ “ใช่จ้ะ ยายเดินมาเอง นี่ขนาดไม่สบายนะ”
นั่น…ฉันว่าสมัยสาวๆ คุณยายคนนี้คงเปรี้ยวน่าดู “แล้วลูกหลานล่ะคะ ไหนบอกหมอว่ามีลูกสามคน ไม่มีใครดูแลคุณยายเลยเหรอคะ”
คุณยายหัวเราะกว้าง “พวกมันไปทำงานกันหมดน่ะคุณหมอ ไม่ต้องห่วงหรอก ยายเดินกลับเองได้น่า”
มือฉันยังคงเกาะกุมมือคุณยายไว้แน่น ไม่ได้การละ จะปล่อยให้กลับคนเดียวได้ยังไง
ฉันเลยบอกให้คุณยายนั่งรอในห้องตรวจสักครู่ ก่อนตัวเองจะรีบออกไปถามพยาบาลหน้าแผนกผู้ป่วยนอกว่าเหลือคนไข้อีกกี่ราย
“หมดพอดีเลยค่ะ รายสุดท้ายพึ่งเข้าไปหาหมอบดินทร์” พี่จิ๋ม พยาบาลรุ่นใหญ่แจ้งฉัน
ฉันเลยบอกว่าตัวเองจะไปส่งคุณยายคนหนึ่งที่บ้าน ถ้ามีคนไข้มาใหม่ให้รบกวนส่งไปที่หมอบดินทร์ก่อน
พอแจ้งพยาบาลเสร็จฉันเลยเดินไปที่ห้องตรวจของบดินทร์ซึ่งอยู่ติดกับห้องของฉัน เพื่อจะบอกเขาว่า ฝากตรวจคนไข้แทนก่อน แต่พอฉันแง้มประตูเบาๆ ก็ไม่เห็นว่ามีคนไข้อยู่สักคน ฉันเห็นแต่บดินทร์กำลังรับแก้วกาแฟจากพยาบาลหน้าใหม่ที่ชื่อเดือน
ถ้าฉันไม่คิดมากไป ฉันว่าฉันเห็นมือของสองคนนั่นสัมผัสกัน พร้อมสายตาหวานเชื่อมที่พยาบาลสาวส่งให้เขา
แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวาบไปที่ตาตุ่ม ทั้งๆที่อยากส่งเสียงขัดขวางบรรยากาศน้ำเน่านั่น แต่ก็พยายามไม่คิดมากเกินกว่าที่เห็น ก่อนจะค่อยปิดประตูลงเบาๆ แล้วกลืนความรู้สึกเจ็บปวดลงไป
ไม่มีอะไรหรอก…ฉันคิด
ก่อนจะตัดสินใจเดินหันหลังกลับไปหาคุณยายแล้วพยุงเดินด้วยกันไปรับยาและขึ้นรถของฉันที่จอดไว้หลังห้องพักแพทย์
คุณยายขอบใจฉันไม่หยุดที่เสนอตัวไปส่ง และบอกว่าบ้านยายจริงๆอยู่ไม่ไกลนักหรอก ฉันไม่น่าลำบาก
“ไม่เป็นไรค่ะยาย” ฉันยิ้มให้ก่อนจะจับคุณยายนั่งลงที่เบาะข้างคนขับอย่างเบามือ แล้วปิดประตูตาม
และฉันรู้ได้เลยว่าเมื่อกี้ฉันฝืนยิ้มออกมา
ฉันเดินเหมือนคนไร้ความรู้สึกอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ แต่ขณะที่ฉันเปิดประตูรถออก ก็มีเสียงทุ้มๆทักขึ้นอย่างร่าเริง
“คุณดา จะไปไหนครับ” ฉันสะดุ้งและพอหันไปมองตามเสียง ก็ได้สบตาคมโตของคุณภูผาเข้าอย่างจัง
ฉันยิ้มเจื่อนๆ เนื่องด้วยไม่มีอารมณ์นัก “ไปส่งคุณยายน่ะค่ะ แกเดินมาเอง ฉันเลยห่วง”
หนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า เบิกตาโตด้วยความดีใจ “ขอผมไปด้วยได้ไหมครับ” ดูท่าทางเขาเป็นมิตรกับคนง่ายเสียจริง
ฉันลังเลเล็กน้อย เพราะไม่รู้จักเขาดี อีกทั้งฉันมักจะเขินคนแปลกหน้า แต่พอนึกภาพบดินทร์เมื่อครู่ เลยทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ
“เอาสิคะ”
คุณภูผาทำท่าดีใจเหมือนเด็กๆ ก่อนจะส่งเสียง เย่ เบาๆ แล้วเดินมาเปิดประตูรถนั่งเบาะหลังด้วยท่าที่กระตือรือร้น
ฉันอมยิ้มเมื่อได้ยินเขาคุยทักทายกับคุณยายอย่างน่ารัก แล้วจึงขับรถออกมาจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าสู่ถนนสายเล็กๆ
“มีไข่พะโล้ ดอกไม้กวาดผัดตับ แล้วนี่ก็…” บดินทร์ หรือที่ฉันเรียกสั้นๆว่า ดิน มองกับข้าวอย่างสุดท้ายด้วยความสงสัย
ฉันส่งจานที่มีข้าวพูนๆ ควันร้อนหอมฉุยพร้อมช้อนส้อมให้เขา “เขาเรียกว่า กุ้งกับสะตอผัดพริก ไม่เคยกินเหรอ แปลกจริง”
ดิน ถกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะรินน้ำส้มเย็นเจี๊ยบใส่แก้ว น้ำส้มเหยือกนี้ฉันคั้นเองสดๆกับมือแล้วแช่ใส่ตู้เย็นตั้งแต่เมื่อคืน
“ไม่เคยหรอก ก็ผมเป็นคนเหนือนี่นา”
ฉันอมยิ้ม รู้สึกภูมิใจแปลกๆ “งั้นดินก็ได้กินสะตอจากฝีมือดาคนแรกน่ะสิ กินเร็ว แล้วจะรู้ว่าอร่อยแค่ไหน”
“ครับๆ แม่ครัวใหญ่” ดินส่งยิ้มขำๆให้ ก่อนจะใช้ช้อนกลางตักสะตอกับกุ้งใส่จานฉัน แล้วตักอีกครั้งแบ่งใส่จานตัวเอง
เขาเป็นสุภาพบุรุษเสมอ
บดินทร์ตักข้าวคำแรกเข้าปาก ก่อนจะหันมามองฉันตาโต แล้วอมยิ้มทั้งๆที่เคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยจังดา”
ฉันยิ้มกว้าง และเริ่มรู้ว่าตัวเองหน้าแดง เลยหันไปหยิบรีโมทกดเปิดทีวีดูข่าวภาคเที่ยง เป็นการกลบเกลื่อน
“ดาทำอาหารเก่งนะ เหมือนแม่ผมเลย” บดินทร์พูดเรียบๆ นั่นทำให้ฉันละสายตาจากทีวีไปมองเขา แต่บดินทร์ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทานข้าวอยู่นั่นเอง
เขาคงคิดตามที่พูดจริงๆ แต่คงไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น
วันนี้บดินทร์ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม แว่นกรอบบางอันเดิมที่ฉันเห็นจนคุ้นตา กับทรงผมตัดสั้นเรียบร้อย จริงๆแล้ว เขาก็แต่งตัวเดิมๆอย่างนี้เกือบทุกวัน แต่สำหรับฉันก็ยังน่ามองเสมอตลอดเวลา 3 ปี
ดิน วางมือจากการตักผัดดอกไม้กวาดกับตับแล้วหันมาสบตาฉันที่จ้องเขานานไปนิดหนึ่ง
“อ้าว กินสิดา เดี๋ยวผมแย่งจนหมดหรอกนะ อะ ผมตักไข่พะโล้ให้อีกแล้วกัน ดานี่ก็กินช้าเหมือนคุณป้าเตียง 21 เลยนะ”
ฉันหัวเราะ เพราะคุณป้าที่ว่ากินช้าเนื่องจากฟันเหลือเพียงไม่กี่ซี่เท่านั้น
“ดินก็ว่าเข้านั่น…ดาตักพะโล้ตอบแทนบ้างแล้วกัน” แต่ขณะที่ฉันกำลังจะตักพะโล้ใส่จานเขา ห้องพักแพทย์ก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าขาวเนียนแต่งหน้าอ่อนๆ รับกับโครงหน้าเรียวสวยรูปไข่โผล่หน้ายิ้มอ่อนหวานเข้ามา “หมอบดินทร์คะ มีเอกสารต้องเซ็นต์ค่ะ” เดือนดารา หรือเ ดือน พยาบาลหน้าใหม่ที่พึ่งมาทำงานที่นี่พูดกับบดินทร์
เขาไม่ลังเล รีบตอบทันที “อ้อ ครับ” บดินทร์วางช้อนทานข้าวลงแล้วทำท่าจะรีบลุกออกไป
“กินให้อิ่มก่อนก็ได้นี่ดิน แล้วค่อยไป ไม่ด่วนมากไม่ใช่หรือ” ฉันรั้งเขาไว้ เรื่องอะไรคนยังทานข้าวไม่เสร็จ เข้ามารบกวนเสียได้
พยาบาลชื่อเดือนยังคงมองบดินทร์ไม่วางตา บดินทร์เองก็แทบไม่สนใจฉัน
“ด่วนค่ะ” สีหน้ายิ้มแย้ม แววตาหวานเชื่อม หล่อนตอบฉันแต่สบตาบดินทร์
บดินทร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างๆแล้วหันมามองด้วยความขอบคุณ “ผมอิ่มแล้วล่ะ อาหารอร่อยมาก ขอบใจนะดา”
เขาพูดตัดบทแค่นั้นแล้วเดินตามร่างระหงของเดือนออกไป ฉันก็พูดห้ามเอาไว้ไม่ทัน
ฉันนั่งมองประตูห้องพักที่ถูกปิดลงเบาๆด้วยความสงสัยและไม่พอใจนิดหนึ่ง แต่ก็รีบทานข้าวให้เสร็จ เพราะตอนบ่ายนั้นยังคงมีคนไข้เข้าคิวรอตรวจอีกมากนัก
ข่าวภาคเที่ยงใกล้จบลง ฉันรีบรวบช้อนส้อมและกวาดเศษอาหารลงในปิ่นโต ก่อนจะซ้อนปิ่นโตเป็นชั้นแล้วปิดสนิทวางแอบไว้ข้างโต๊ะทำงาน ฉันรีบดื่มน้ำอึกสุดท้าย ก่อนจะกุลีกุจอออกจากห้องพัก แต่แล้วอาถกลและอามณพร้อมหลานชายผู้มาจากกรุงเทพฯก็เปิดประตูห้องพักแพทย์เข้ามา
หลานชายมองหน้าฉัน ฉันเลยมองตอบ
“หนูดาอยู่พอดี ดีเลย ตาผาจะได้มีเพื่อนคุย” อามณพูด
ฉันยิ้มแห้งๆ รีบคว้ากระเป๋าสะพายและคล้องหูฟังที่คอ เป็นเชิงบอกว่า ‘ต้องออกตรวจค่ะ’
แต่ก็ยังคงไม่มีใครเข้าใจอยู่ดี อามณชวนคุณภูผาดูนิตยสาร national geographic ที่บดินทร์สมัครเป็นสมาชิกรับทุกเดือน ส่วนอาถกลหันมายิ้มคุยกับฉันที่กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ว่าง
“เย็นนี้ว่างไหม อาจะพาพวกเราไปทานข้าวข้างนอก จะได้รู้จักกับภูผาอย่างเป็นทางการด้วย บอกบดินทร์ด้วยนะ”
ฉันคิดนิดหนึ่ง ยังต้องรู้จักอย่างเป็นทางการอีกอย่างนั้นหรือ ทั้งๆที่ฉันก็เคยช่วยเขาทำกับข้าว และตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนบ้าตอนงูเลื้อยผ่านหน้าเขาไป
“ดาอยู่เวรค่ะ เดี๋ยวลองถามดินให้นะคะ แต่ตอนนี้ดาขอไปตรวจคนไข้ก่อนนะคะอา”
อาหญิงที่กำลังพลิกนิตยสารดูอยู่หันมามองฉัน “อ้าวช่วงบ่ายไม่ได้เปิดตรวจห้องเดียวเหรอจ๊ะหนูดา”
ฉันจับลูกบิดประตู เตรียมพร้อมออกทุกเมื่อ ถึงฉันว่าง ฉันก็คงไม่อยากนั่งคุยกับคนแปลกหน้าตามลำพังเท่าไรนัก เพราะความจริงคือ ฉันคุยเก่งกับคนที่สนิทกันแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ค่อยรู้จักฉันมักทำตัวไม่ถูก
“วันนี้สองห้องค่ะ คนไข้เยอะเป็นพิเศษ ดาขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วฉันก็ยิ้มให้ทุกคนในห้องแล้วรีบออกมา และก่อนประตูจะปิดสนิทฉันก็ได้ยินอามณพูดกับคุณภูผาว่า
“เสียดายจริง อดคุยกันเลย หนูดาคุยด้วยได้แทบทุกเรื่องเลยนะจ๊ะ หลานจะได้ไม่เหงา”
คุณภูผาตอบกลับเสียงเหมือนขันๆ “เหรอฮะ แต่ดูเธอไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไรนะครับ”
ฉันสะดุ้งนิดหนึ่ง คิดบ่นในใจว่า นายจะมาอ่านใจฉันออกได้ยังไง!
ยามบ่ายคนไข้ยังคงต่อคิวเข้ามาเรื่อยๆ ช่วงนี้คนป่วยมีมากเป็นพิเศษเนื่องจากอากาศหนาวและฝนตกบ่อยทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวแท้ๆ
ขณะที่ฉันนั่งรอคนไข้รายต่อไปเข้ามา จึงเอื้อมมือไปเปิดปฏิทินเพื่อนับถอยหลังจนถึงช่วงปีใหม่ เหลืออีกสามอาทิตย์เท่านั้น ถ้าฉันขอลาแล้วให้บดินทร์อยู่เวรแทนสักสองสามวันได้ ฉันคงได้กลับกรุงเทพฯ ไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว
สายรุ้งรอบบ้าน รายการพิเศษทางทีวี ขนมเค้กที่แม่มักจะอบเอง และการเลี้ยงฉลองต้อนรับปีใหม่ของญาติๆ นั่นทำให้ฉันรอคอยและคิดถึงช่วงเวลานี้เสมอ
แล้วประตูห้องตรวจก็เปิดออก พร้อมๆที่พี่ชัชบุรุษพยาบาลเดินประคองคุณยายท่านหนึ่งเข้ามา
“มาคนเดียวด้วยสิครับหมอ เก่งจริงๆนะเนี่ยยาย” พี่ชัชพูดกับฉันก่อนจะกระซิบดังๆข้างหูคุณยายขณะปล่อยแกอย่างเบามือบนเก้าอี้
ฉันยกมือสวัสดีแล้วยิ้มให้ คุณยายจะได้ไม่เกร็งมาก ฉันประเมิณจากสายตากะอายุคร่าวๆว่าน่าจะสัก 70 กว่าๆ คุณย้ายส่งยิ้มกว้างๆที่มีคราบหมากอยู่เต็ม ดวงตาภายใต้รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้านั้นดูซื่อๆและใจดี
ฉันเขยิบเก้าอี้เข้าไปประชิด และเริ่มซักประวัติ เริ่มต้นด้วยการทักทายอย่างเป็นกันเอง ถามชื่อ อายุ และประวัติครอบครัวเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
“วันนี้มีอะไรให้หมอช่วยเหรอคะคุณยาย” ฉันถาม พลางสายตาก็สอดส่องดูลักษณะโดยรวมของคนไข้
คุณยายยกมือไปจับที่คอตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าปนกับสำเนียงคนเหนือ “เจ็บคอมาหลายวันแล้ว มีน้ำมูกตลอดเลย”
“เป็นมากี่วันแล้วคะ”
“3 วันได้จ้ะ แล้วก็อ๋อยบ่อยๆด้วย”
ฉันฟังไปคิดไป คาดว่าอาจจะเป็นไข้หวัดธรรมดา คงไม่ถึงกับไข้หวัดใหญ่ แต่ก็สะดุดกับคำว่า ‘อ๋อย’ นี่แหละ มันเป็นอาการอะไรเหรอ อยู่ภาคเหนือมาก็เกือบสามปีแล้ว ไม่เคยได้ยินคำนี้สักที
ฉันเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือคุณยาย ซึ่งรู้สึกได้ว่าตัวอุ่นเล็กน้อย “เอ่อ..คือ...อ๋อยนี่เป็นอาการยังไงเหรอคะ”
คุณยายมองฉันงงๆ “อ๋อยบ่อยๆน่ะจ้ะคุณหมอ”
อ้าว…จะเข้าใจมากขึ้นไหมนี่ ฉันเกือบจะจนมุมอยู่แล้วแต่ก็คงต้องป้อนคำถามต่อไป
“อ๋อย นี่คือ ปวดหัว ตัวร้อน เมื่อยตามตัวหรือเปล่าคะ” คิดว่าถ้ายิงคำถามตรงๆแบบมีตัวเลือกให้ คุณยายน่าจะอธิบายได้มากขึ้น
ยายยิ้มแห้งๆแล้วส่ายหน้า “ก็อ๋อย น่ะจ้ะ อ๋อยทุกวัน”
ฉันเกือบจะกลายเป็นหมาจนตรอก แต่ก็พอดีที่คุณยายไอออกมาเสียเสียงดัง
ฉันเลยเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่บนโต๊ะ และรีบรินน้ำใส่แก้วเปล่าให้ และแล้วฉันก็นึกออกจนได้
“อ๋อย! คือ ไอ ใช่ไหมคะ คุณยายอ๋อยบ่อยๆ เอ้ย ไอบ่อยใช่ไหมคะ”
ฉันตะโกนเสียเสียงดังราวกับตอนแย่งตอบคำถามในห้องเรียนมัธยม
คุณยายรับแก้วน้ำจากฉันไปจิบ พอค่อยยังชั่ว ยายก็เงยหน้ามายิ้มให้
“ใช่จ้ะอ๋อยบ่อยๆ”
ฉันแทบอยากจะไชโยดังลั่น กับชัยชนะเล็กๆ “ไอใช่ไหมคะ ไอแค่กๆ”
คุณยายยังคงพยักหน้าแล้วไอให้ดูอีกสองสามที
เอาละ สรุปว่าฉันหูไม่ดีเอง คุณยายคงพูดว่า ไอ แต่ฉันได้ยินไม่ถนัด เลยกลายเป็นอ๋อย ให้ตายสิ! ดีนะที่อ๋อยไม่ได้มีความหมายอื่น เช่น ท้องผูก ไม่อย่างนั้นฉันคงสั่งยาถ่ายให้คุณยาย จากนั้นไม่กี่วันต่อมาคงได้รับจดหมายสั่งฟ้องเป็นแน่
พอได้ความ ฉันจึงตรวจร่างกายพื้นฐาน คือฟังเสียงหัวใจ เสียงปอด และวัดอุณหภูมิร่างกาย
โชคดีที่คุณยายไม่มีไข้สูงและไม่ปวดเมื่อยตามแขนขา คุณยายเพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อย มีน้ำมูกใส ไอ และเจ็บคอ เท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าคงไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นแค่ไข้หวัธรรมดาเท่านั้น
ฉันพิมพ์สั่งยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ ลงในคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลต่อไปที่เภสัชกร
หลังจากพิมพ์สั่งยาเสร็จ ฉันก็หันไปคุยกับคุณยายครั้งสุดท้าย
“คุณยายเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดานะคะ พอกลับบ้านแล้วหมออยากให้พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ อีก 2-3 วัน ก็คงหาย”
คุณยายพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจ ฉันจึงยื่นบัตรประจำตัวของคุณยายส่งคืนและบอกว่าให้เอาไปยื่นที่ช่องจ่ายยาด้านหน้า
คุณยายรับบัตรไปก่อนจะยกมือไหว้ฉัน ซึ่งทำเอาฉันเกือบรับไหว้ไม่ทัน
“ขอบใจนะจ๊ะคุณหมอ แล้วยายจะดื่มน้ำเยอะๆนะ จะได้ไม่อ๋อยบ่อยๆ”
ฉันน้อมรับคำขอบคุณ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขำกับคำสุดท้ายของคุณยาย
คุณยายค่อยๆลุกขึ้นอย่างไม่สะดวกนัก ฉันจึงผละจากเก้าอี้เข้าไปช่วยพยุง แล้วเปิดประตูให้
คุณยายขอบอกขอบใจอีกครั้ง และบอกว่าฉันไม่ต้องช่วยหรอก ยายเดินเองได้ นี่ยายก็เดินมาหาหมอเอง
ฉันเลยร้องเสียงสูง “อะไรนะคะ! คุณยายเดินจากบ้านมาโรงพยาบาลเองเหรอ”
คุณยายมองฉันด้วยสายตาภูมิใจ “ใช่จ้ะ ยายเดินมาเอง นี่ขนาดไม่สบายนะ”
นั่น…ฉันว่าสมัยสาวๆ คุณยายคนนี้คงเปรี้ยวน่าดู “แล้วลูกหลานล่ะคะ ไหนบอกหมอว่ามีลูกสามคน ไม่มีใครดูแลคุณยายเลยเหรอคะ”
คุณยายหัวเราะกว้าง “พวกมันไปทำงานกันหมดน่ะคุณหมอ ไม่ต้องห่วงหรอก ยายเดินกลับเองได้น่า”
มือฉันยังคงเกาะกุมมือคุณยายไว้แน่น ไม่ได้การละ จะปล่อยให้กลับคนเดียวได้ยังไง
ฉันเลยบอกให้คุณยายนั่งรอในห้องตรวจสักครู่ ก่อนตัวเองจะรีบออกไปถามพยาบาลหน้าแผนกผู้ป่วยนอกว่าเหลือคนไข้อีกกี่ราย
“หมดพอดีเลยค่ะ รายสุดท้ายพึ่งเข้าไปหาหมอบดินทร์” พี่จิ๋ม พยาบาลรุ่นใหญ่แจ้งฉัน
ฉันเลยบอกว่าตัวเองจะไปส่งคุณยายคนหนึ่งที่บ้าน ถ้ามีคนไข้มาใหม่ให้รบกวนส่งไปที่หมอบดินทร์ก่อน
พอแจ้งพยาบาลเสร็จฉันเลยเดินไปที่ห้องตรวจของบดินทร์ซึ่งอยู่ติดกับห้องของฉัน เพื่อจะบอกเขาว่า ฝากตรวจคนไข้แทนก่อน แต่พอฉันแง้มประตูเบาๆ ก็ไม่เห็นว่ามีคนไข้อยู่สักคน ฉันเห็นแต่บดินทร์กำลังรับแก้วกาแฟจากพยาบาลหน้าใหม่ที่ชื่อเดือน
ถ้าฉันไม่คิดมากไป ฉันว่าฉันเห็นมือของสองคนนั่นสัมผัสกัน พร้อมสายตาหวานเชื่อมที่พยาบาลสาวส่งให้เขา
แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวาบไปที่ตาตุ่ม ทั้งๆที่อยากส่งเสียงขัดขวางบรรยากาศน้ำเน่านั่น แต่ก็พยายามไม่คิดมากเกินกว่าที่เห็น ก่อนจะค่อยปิดประตูลงเบาๆ แล้วกลืนความรู้สึกเจ็บปวดลงไป
ไม่มีอะไรหรอก…ฉันคิด
ก่อนจะตัดสินใจเดินหันหลังกลับไปหาคุณยายแล้วพยุงเดินด้วยกันไปรับยาและขึ้นรถของฉันที่จอดไว้หลังห้องพักแพทย์
คุณยายขอบใจฉันไม่หยุดที่เสนอตัวไปส่ง และบอกว่าบ้านยายจริงๆอยู่ไม่ไกลนักหรอก ฉันไม่น่าลำบาก
“ไม่เป็นไรค่ะยาย” ฉันยิ้มให้ก่อนจะจับคุณยายนั่งลงที่เบาะข้างคนขับอย่างเบามือ แล้วปิดประตูตาม
และฉันรู้ได้เลยว่าเมื่อกี้ฉันฝืนยิ้มออกมา
ฉันเดินเหมือนคนไร้ความรู้สึกอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ แต่ขณะที่ฉันเปิดประตูรถออก ก็มีเสียงทุ้มๆทักขึ้นอย่างร่าเริง
“คุณดา จะไปไหนครับ” ฉันสะดุ้งและพอหันไปมองตามเสียง ก็ได้สบตาคมโตของคุณภูผาเข้าอย่างจัง
ฉันยิ้มเจื่อนๆ เนื่องด้วยไม่มีอารมณ์นัก “ไปส่งคุณยายน่ะค่ะ แกเดินมาเอง ฉันเลยห่วง”
หนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า เบิกตาโตด้วยความดีใจ “ขอผมไปด้วยได้ไหมครับ” ดูท่าทางเขาเป็นมิตรกับคนง่ายเสียจริง
ฉันลังเลเล็กน้อย เพราะไม่รู้จักเขาดี อีกทั้งฉันมักจะเขินคนแปลกหน้า แต่พอนึกภาพบดินทร์เมื่อครู่ เลยทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ
“เอาสิคะ”
คุณภูผาทำท่าดีใจเหมือนเด็กๆ ก่อนจะส่งเสียง เย่ เบาๆ แล้วเดินมาเปิดประตูรถนั่งเบาะหลังด้วยท่าที่กระตือรือร้น
ฉันอมยิ้มเมื่อได้ยินเขาคุยทักทายกับคุณยายอย่างน่ารัก แล้วจึงขับรถออกมาจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าสู่ถนนสายเล็กๆ
ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2557, 12:34:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2557, 12:34:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1087
<< (2)รู้จักกัน | (4)หน้าต่าง >> |