^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว

...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...

ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง

ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน

ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น

เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน

เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด

เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด

มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป

Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา

ตอน: season II Chapter 1.1

บทที่ 1

I don't know how one can be fallen without knowing,
but you make me love, even you are the stranger...

ดวงตาดำจัดมองเหม่อไปยังเพดานห้องสีขาว พลางถอนใจเบา ๆ เสียงเพลงจากหูฟังยังดังก้องอยู่ในหู แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็คลี่คลาย ความทรงจำบางอย่างที่เธอไม่คิดจะลืม หากรู้ว่าการไม่จำคงช่วยให้เจ็บน้อยกว่า

“วี…วี…” เสียงเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ทำให้เธอตื่นจากความคิด หญิงสาวดึงหูฟังออกข้างหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไปดูเคสหรือยัง พี่เขาเขียนไว้ที่กระดานในวอร์ดนะ”

“หืม…ออกแล้วเหรอ”

“ใช่ ๆ ไปดูกันไหม” เพื่อนสาวเอ่ยชวน ญาตาวีจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งเดินออกจากห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหอผู้ป่วยในส่วนซึ่งกั้นด้วยประตูเข้ารหัสอีกชั้นเป็นส่วนสำหรับผู้ป่วยจิตเวช

ห้องกว้างภายในหอผู้ป่วยจิตเวชถูกเบ่งเป็นห้องพักผู้ป่วยที่กั้นย่อย ๆ อยู่รอบโถงกลางที่จัดเป็นส่วนสำหรับนั่งเล่นรวมทำกิจกรรมอยู่ข้าง ‘ตู้ปลา’ที่พวกนักศึกษาใช้เรียกเคาท์เตอร์กระจกรอบด้านซึ่งกั้นเป็นพื้นที่ทำงานของพยาบาลประจำวอร์ด

เมื่อเดินผ่านเข้าไปในตู้ปลา อีกฝั่งคือประตูเปิดสู่หอผู้ป่วยหญิง ตรงหน้าประตูเป็นกระดานขาวเขียนรายชื่อผู้ป่วยและแพทย์เจ้าของไข้ ซึ่งบัดนี้แถวสุดท้ายมีรายื่อของนักศึกษาแพทย์ผู้รับผิดชอบดูแล เขียนรายงานผู้ป่วยร่วมอยู่ด้วย

ญาตาวีมองหารายชื่อตัวเอง แล้วไส่ไปดูรายชื่อผู้ป่วย

…นางสาวนาลิน นันทา…พ.พิมมาดา...

นักศึกษาแพทย์จะต้องติดต่อแพทย์ประจำบ้านเจ้าของไข้เพื่อเข้าสัมภาษณ์ผู้ป่วย และร่วมวางแผนการดูแลรักษา

หญิงสาวเดินเข้าไปหาแฟ้มบันทึกการรักษาผู้ป่วย เปิดอ่านข้อมูลคร่าว ๆ ก่อนไล่หาเบอร์โทรศัพท์พ.พิมมาดาที่ติดอยู่หน้าเคาท์เตอร์พยาบาล แล้วกดหมายเลขดังกล่าว สูดลมหายใจเข้ายาวระหว่างรอเสียงตอบรับ

“ค่ะ…”

“พี่พิมมาดาใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

“วี…ญาตาวี นักศึกษาแพทย์ปีสี่ค่ะ วีได้เคสคุณนาลินที่พี่ดูแลอยู่น่ะค่ะ”

ปลายสายนิ่งไปครู่ “คุณนาลิน...ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อวานใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอตอบได้ทันที

“น้องโทร.ถามพี่กันต์เลย เคสนี้พี่กันต์เป็นคนดูแล้วนะ” แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดลงโดยไม่มีคำลา ญาตาวีขมวดคิ้วมองโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ความจริงการที่งานกับพี่กันต์คงทำให้เธอสะดวกใจกว่า เพราะรุ่นพี่หนุ่มเคยช่วยอาจารย์สอนทฤษฎีบางบท ทำให้พอคุ้นเคยกับบรรดานักศึกษา แต่ที่แปลกคือการเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้โดยกระทันหัน...น่าจะมีปัญหาบางอย่างเสียแล้ว

ญาตาวีเปิดอ่านประวัติของนาลินซ้ำ เธอเป็นหญิงสาววัย 26 ปี ทำงานเป็นพนักงานบัญชีในบริษัทต่างประเทศที่มีชื่อเสียงพอสมควร เธอเริ่มป่วยเป็นโรคไบโพล่าหรือกลุ่มอารมณ์แปรปรวนสองขั้วตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย รักษาต่อเนื่องมาโดยตลอด ก่อนจะขาดการรักษาไปเมื่อปีก่อน และกลับมาอีกครั้งเมื่อวานนี้ด้วยอาหารเพ้อ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างคนไม่อยู่ในโลกความจริง ที่น่ากลัวคือมีเรื่องการด่าทอและทำร้ายผู้คนรอบข้าง

นักศึกษาแพทย์ในกลุ่มเดียวกับเธอกระจายไปสัมภาษณ์ผู้ป่วย และญาติที่มาเยี่ยมบ้างแล้ว ญาตาวีนิ่งหลับตาอยู่ครู่ เรียกสติให้ตัวเองก่อนเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยหญิง

เตียงหมายเลข 12 ของนาลิน มีเพียงกองผ้าห่มวางอยู่

ญาตาวีหมุนตัวเลือกเดินไปตามทางหลังตู้ปลา ซึ่งกั้นเป็นห้องนั่งเล่นสำหรับผู้ป่วยหญิง ภายในมีผู้ป่วยนั่งอยู่สามคน สองในสามมีเพื่อนของเธอกำลังนั่งคุยอยู่ข้าง ๆ

หญิงสาวผมดำยาวถึงบั้นเอวนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟายาวสีน้ำตาลอ่อนไม่ได้อยู่ในชุดผู้ป่วย เธอสวมเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ขายาว นั่งดูโทรทัศน์อยู่พร้อมรีโมทในมือ ผิวขาวจัดกับรูปหน้าเรียวได้รูป ดวงตาวาวที่บอกอารมณ์ดูหงุดหงิดง่ายอย่างจมูกโด่งรั้นที่เชิดขึ้นนั้นดูละม้ายคล้ายภาพของนาลินที่ปรากฏอยู่ในแฟ้มผู้ป่วย

ญาตาวียืนนิ่งอยู่ครู่ ก่อนเดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ หญิงสาว สักพักเธอก็หันมามองผู้มาเยือน

“คุณนาลินใช่ไหมคะ”

“ใช่ คุณเป็นใคร”

“วีค่ะ...นักศึกษาแพทย์ญาตาวี อาจารย์ให้หนูมาเรียนกับคุณ” เธอบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาที่มองสบตานาลินค่อนขางอ่อนแสงอย่างเกรงอกเกรงใจ “สะดวกเล่าเรื่องของคุณให้หนูฟังไหมคะ อาจารย์บอกว่าคุณเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก”

อาจารย์ไม่ได้บอก แต่แฟ้มประวัติบอกญาตาวีว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นโรคกลุ่มอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว และกำลังมีอาการฝั่งที่เรียกว่ามาเนีย ผู้ป่วยมักจะมีความกระตือรือร้นในการทำงานทำหลายสิ่งหลายอย่างราวกับมีพลังงานในตัวเหลือล้นจนไม่มีวันหมด ที่น่าสนใจว่านั้น นาลินมีอาการที่เรียกว่าแกรนดิออสคือความรู้สึกหลงตัวเองราวตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจ หรือมีพลังในการทำงาน ตัดสินใจมากกว่าปกติ เธอเข้าใจว่าตนเป็นผู้บริหาระดับสูงที่มีความสำคัญอย่างมากในบริษัท และบริษัทไม่สามารถจะขาดเธอได้

นาลินนิ่งไปครู่ มองเธออย่างพิจารณา ก่อนตอบ “ได้สิ...เธอเรียนหมอเหรอ”

“ค่ะ”

“ฉันจบบัญชี...” เธอเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศ “เกียรตินิยมด้วยนะ รู้ไหมมันยากมาก แต่ฉันก็ทำได้ พอเรียนจบฉันก็ได้งาน มีแต่คนแย่งกัน แต่ฉันก็ทำได้”

“คุณเก่งมาก”

เพราะยาหรืออะไรก็ตามแต่ เธอยังพอพูดคุยเป็นเรื่องราวได้ ไม่ได้มีความคิดแล่นเร็วอย่างแมเนียบางกลุ่มที่ถึงกับพูดออกมาไม่ปะติดปะต่อ เพราะคิดเร็วกว่าที่จะพูดทัน

“ใช่ ใครๆก็บอกอย่างนี้ ทุกคนชื่นชมฉันมาก” เธอยิ้ม “เธอรู้ไหม ถ้าไม่มีฉันบริษัทต้องแย่แน่ ๆ ฉันต้องรีบออกไปทำงาน ถ้าฉันขาดงานไปเราจะทำสัญญาซื้อขายไม่ได้ มันจะแย่มาก เธอมีโทรศัพท์ไหม พวกนั้นเอาโทรศัพท์ฉันไป”

“พวกเขาเอาโทรศัพท์หนูไปเหมือนกัน” ญาตาวีบอกยิ้ม ๆ “หนูต้องฝากโทรศัพท์ไว้กับอาจารย์ถึงเข้ามาคุยกับคุณได้”

ความจริงญาตาวีจงใจฝากโทรศัพท์ไว้ที่เคาท์เตอร์พยาบาลเอง รุ่นพี่บอกเสมอว่าเธออาจพบเหตุการณ์เช่นนี้ และกฎสำคัญคือ ห้ามพวกเธอยื่นโทรศัพท์ เบอร์โทรศัพท์ หรือช่องทางติดต่อใด ๆ ให้ผู้ป่วยเป็นอันขาด

บางคนอาจไม่เข้าใจ แต่บางคราวผลลัพธ์ที่ตามมาจากความใจดีอันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบรรดานักศึกษาแพทย์นั้น ก่อเรื่องราวที่ยากจะแก้ยาวเป็หางว่าวเลยทีเดียว

นาลินเบะปาก นัยน์ตามีร่องรอยเกรี้ยวกราดที่ใกล้ปะทุ ญาตาวีขยับตัวห่างจากเธอเล็กน้อย กวาดสายตาหาทางหนีทีไล่ ก่อนบอกเสียงเบาคล้ายลูกแมวที่กำลังขลาดกลัว “ขอโทษนะคะ...หนูถามได้ไหมว่างานขอคุณเกี่ยวกับอะไร ฟังจากที่คุณเล่ามันน่าสนใจมากจริง ๆ ”

ข้อดีของแมเนียคือ ถึงจะหงุดหงิดง่ายแต่ก็ลืมง่ายด้วย เมื่อเธอจุกประเด็นเรื่องใหม่ สายตานาลินก็เปลี่ยนไป เธอดูภาคภูมิใจเมื่อเอ่ยถึงงานของเธอ “ฉันเป็นผู้บริหาร ต้องเซ็นอนุมัตงบประมาณซื้อขายกับบริษัทอื่นเต็มไปหมด”

“อ้อ…อย่างนี้คุณคงยุ่งมาก”

“ใช่สิ ฉันยุ่งมาก” เธอบอกแล้วอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเอาดื้อ ๆ “นี่…เธอรู้ไหม แฟนฉันก็เป็นผู้บริหารนะ เขาเป็นผู้จัดการและรักฉันมากเลย”

ญาตาวีนิ่งไปครู่ ข้อมูลในแฟ้มประวัติบอกว่าคนที่ถูกเธอทำร้ายจนต้องนำเธอส่งโรงพยาบาลก็คือคนรักของเธอเอง

“หรือคะ เขาชื่ออะไร” เธอทำหน้าไร้เดียงสเหมือนไม่รู้เรื่อง

“มาร์ค…เขาชื่อมาร์ค ทำงานที่เดียวกับฉันนั่นล่ะ แต่เขาไม่เก่งเท่าฉันหรอกนะ ฉันต้องคอยแก้งานให้ประจำเลย”

“รู้ไหม จะคบใครต้องเลือกนะ ผู้ชายสมัยนี้ไม่ได้เรื่อง ฉันน่ะเจอมาเยอะแล้ว...มีคนมาชอบฉันตั้งมาก ตามจีบตั้งเยอะ ดอกไม้น่ะเป็นกอง ๆ จนไม่รู้จะเก็บที่ไหน ฉันก็ต้องเลือกใช่ไหม แฟนเก่าฉันน่ะไม่ได้เรื่อง เหลาะแหละ ทำงานก็ไม่ค่อยดี สู้มาร์คก็ไม่ได้ เขาเป็นถึงผู้จัดการเชียวนะ”

คนฟังกระพริบตาปริบ ๆ เออออตามเธอไปโดยไม่ขัด เกือบค่อนชั่วโมง ญาตาวียังไม่ค่อยแน่ใจว่าเธอได้ข้อมูลใดที่พอใช้เขียนรายงานได้บ้าง แต่ที่รู้คือมิติทางด้านจิตใจของผู้หญิงคนนี้อยู่ในโลกที่เธอเป็นนางเอกโดยสมบูรณ์

นักศึกษาแพทย์สาวเหลือบมองนาฬิกา “ตายจริง...คุยกับคุณจนลืมเวลา หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ”

“อะไร จะไปไหนล่ะ”

“อาจารย์ไม่ให้หนูกวนคุณนาน ได้ยินว่างานคุณยุ่งมาก ขอบคุณที่สละเวลาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้หนูฟังนะคะ”

เพียงเท่านั้น ญาตาวีก็ยกมือไหว้ลาแล้วเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นได้อย่างง่ายดาย

เธอเดินกลับเข้ามาในตู้ปลา พี่พยาบาลที่นั่งอยู่หันมามอง เธอส่งยิ้มให้ เตรียมจะเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ซึ่งกั้นไว้เป็นพื้นที่ทำงานของแพทย์และนักศึกษาแพทย์ แต่กลับต้องหยุดอยู่หน้าห้องเพราะเสียงร้องทักของพี่คนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกวาดสายตามองเธออย่างสำรวจตรวจตรา

“น้องไปคุยกับคุณนาลินมาเหรอ”

“ค่ะ”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง มีอะไรสึกหรอไปหรือเปล่า” ไม่ถามเปล่า เธอยังยกมือแตะสำรวจตามตัวคนอ่อนวัยกว่า

ญาตาวีกระพริบตาปริบ ๆ ขณะที่เพื่อน ๆ ในห้องเงยหน้ามอง ชลกานต์เห็นเพื่อนก็รีบเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา “วี เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่นี่...มีอะไรเหรอ”

“ก็คุณนาลินน่ะสิ เห็นพี่พยาบาลบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าหน้าเธอติดสักคน”

“ใช่…พี่เห็นกับตาเลยนะ เมื่อวานเธอฟ้อนเงี้ยวตบหน้าหมอพิมไปฉาดเบ้อเริ่ม หมอยังอ้าปากได้ไม่ถึงครึ่งคำเลยนะ” พี่พยาบาลคนเดิมรีบบอก

“พี่เข้าไปช่วยยังแทบแย่ เธอวีนใส่พยาบาลผู้หญิงทุกคนจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ พอหมอกันต์มาคุยนั่นล่ะถึงสงบหน่อย ไม่อย่างนั้นคงได้เข้าห้องแยกไปแล้ว”

“น่ากลัวจัง ทำไมอาจารย์ยังจัดเคสนี้ให้วีนะ” เพื่อนอีกคนบ่นพึมพำ

“ขอเปลี่ยนเคสไหมวี” ชลกานต์ถามด้วยความเป็นห่วง

ญาตาวีคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เราว่าเธอก็ไม่ได้ดูร้ายกาจนัก คงพอคุยได้อยู่”



การเข้าใจใครสักคนในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่เขาแสดงออกมา จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งที่ปลูกสร้างเขามา ต้นกำเนิดรากเหง้าที่บ่มเพาะมนุษย์คนหนึ่งออกมาสู่สังคม เหมือนผลไม้ รสจะดีหรือไม่อาจต้องมองไปถึงตำแหน่งแห่งที่เพาะปลูกว่าจะมีน้ำดีดินอุดมที่เหมาะแก่การเจริญงอกงามมากน้อยเท่าไร

ญาตาวีไม่ได้คุยกับนาลินเพียงคนเดียว เธอแจ้งที่วอร์ดให้แจ้งกับญาติของนาลิน เพื่อขอเวลาสัมภาษณ์เพิ่มเติม และผู้ที่เธอได้พบคือชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางสุภาพคนหนึ่ง

เขาสวมเสื้อเชิตสีฟ้าลายทาง กับกางเกงสีดำแบบพนักงานบริษัททั่วไป แนะนำตัวว่าชื่อ ‘อาร์ท’

“เป็นแฟนครับ” เขาตอบทันทีที่เธอถามถึงความสัมพันธ์กับผู้ป่วย

นักศึกษาแพทย์สาวนิ่งไปครู่ ขณะที่เขายิ้มบาง ๆ “ลินกำลังโกรธผม เธอหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะผมไม่ยอมลาออกจากงานไปทำบริษัทเดียวกับเธอ”

“คุณทราบไหมคะว่าคุณลินป่วยเป็นอะไร”

“ผมรู้ตั้งแต่คบกับเธอเมื่อ 3 ปีก่อนนั่นล่ะครับ ตอนนั้นเธอก็มาแอดมิดที่นี่ ถึงกับต้องชอตไฟฟ้า”

“เธอหายไป 1 ปี…”

“ครับ ลินคิดว่าเธอหายดีแล้ว ผมก็เห็นเธอปกติดีเลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร”

“โรคแบบนี้ควรติดตามรักษาต่อเนื่องค่ะ เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไร” ญาตาวีบอกเสียงเนิบ “ได้ยินว่าพวกคุณทะเลาะกัน ก่อนคุณลินจะมาอยู่ที่นี่”

“บอกว่าลินทะเลาะกับผมดีกว่าครับ” เขาหัวเราะ “เรื่องเดิม ๆ ลินเริ่มคิดว่าตัวเองกำหนดทุกอย่างในบริษัทได้ เธอบอกว่าเธอสนิทกับเจ้าของบริษัท เป็นคนที่เขาเชื่อมือที่สุด และเธอต้องการให้ผมลาออกมาทำงานกับเธอ เธอจะให้ผมเป็นผู้จัดการ แต่ผมก็รู้ว่าไม่ใช่...เธอเป็นแค่พนักงานบัญชีตัวเล็ก ๆ ก็แค่เฟืองที่หมุนอยู่ในจักรเหมือนผมนั่นล่ะ”

“ช่วงหนึ่งปีที่หายไป เธอเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ”

“ก็แล้วแต่ครับ เป็นบางช่วงแต่ไม่หนักมาก บางทีลินก็ร้องไห้กอดเข่าอยู่คนเดียว ใครก็เข้าหน้าไม่ติด บางทีลินก็มีความสุข ร่าเริงจนผมแทบวิ่งตามจับไม่ทัน”

“แต่คุณก็ยังอยู่ข้างเธอ”

“บางครั้งลินก็น่ากลัวจนผมไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เวลาที่เป็นปกติ ลินเป็นคนน่ารักครับ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ในดวงตาคู่นั้นญาตาวีเห็นร่องรอยของอารมณ์ที่เธอเดาไม่ออก ความซับซ้อนของมนุษย์เป็นเรื่องที่เธอไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าถึง

“ยังไงคะ...”

“เขาเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ขี้อ้อนเป็นช่วง ๆ หลายคนก็เลยตกหลุมรักง่าย ๆ ผมก็เหมือนกัน”

“ดูเป็นผู้หญิงที่น่าเอาใจใส่นะคะ”

“นั่นล่ะครับ ลินเป็นผู้หญิงประเภทที่ใครเห็นก็อยากดูแล ยิ่งถ้ารู้แบ็คกราวน์เขาก็ยิ่งอยากดูแล”

ญาตาวีเลิกคิ้วมอง เอียงคอเล็กน้อยกึ่งถาม

“ผมเล่าให้คุณฟังได้ใช่ไหม...ลินไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ คนอื่น ๆ คงไม่บอกคุณ”

“ถ้าคุณคิดว่าสำคัญกับการดูแลรักษาเธอ ข้อมูลนั้นก็ควรถูกบันทึกในประวัติเพื่อการรักษาค่ะ”

เขานิ่งไปครู่ “ผมไม่รู้ แต่มันอาจเป็นเหตุผลให้เธอเป็นแบบนี้”

“ลินเกิดจากพ่อที่...เอ่อ...ไม่ได้ต้องการ แม่ลินเป็นภรรยาน้อย พอมีลิน...พ่อลินก็ขอเลิก แต่แม่ลินไม่ยอมเลยพาลินไปก่อกวนที่บ้านภรรยาหลวง แล้วก็ตามไปกวนถึงภรรยาน้อยคนอื่น ๆ ของพ่อลิน จนฝ่ายนั้นรำคาญเลยทำข้อตกลงส่งเงินมาส่งเสียเลี้ยงดูลิน”

“ลินโตมาอย่างเด็กไม่มีพ่อ พอเริ่มโตหน่อยนั่นล่ะพ่อลินถึงมารับไปดูแลบ้าง แต่ก็ถูกแม่ฝังหัวไปแล้วว่าลินเป็นเด็กที่พ่อไม่ต้องการ”

“ลินเคยบอกผมว่า...ถ้าลินเก่ง ถ้าลินรวยและยืนอยู่เหนือใคร ๆ ทุกคน พ่อก็จะมองเห็นลิน”

ญาตาวีนั่งฟังนิ่ง เรื่องราวของนาลินคล้ายเรื่องของใครหลายคนที่ยืนอยู่ในสังคมปัจจุบัน เพียงแต่วิธีคิดและทางเลือกในการกระทำของแต่ละคนนั้นต่างกัน



ญาตาวีเขียนรายงานเรื่องของนาลินเรียบร้อยแล้ว ประวัติและบทวิเคราะห์กว่า 10 แผ่น สำหรับเรื่องราวชีวิต ความเจ็บป่วยและมิติอันหลากหลายในชีวิตที่ประกอบเข้าเป็นตัวคนคนหนึ่งนั้น ทำให้รายงานผู้ป่วยในภาควิชาจิตเวชศาสตร์ได้ชื่อว่าเป็นรายงานที่ยาวและเขียนยากที่สุดในบรรดารายงานของภาควิชาทั้งหมด

นาลินอาการไม่ดีขึ้น กันต์ตัดสินใจจะส่งเธอไปรับการรักษาด้วยเครื่องชอตไฟฟ้าที่โรงพยาบาลอื่น เพราะเครื่องที่อยู่ในโรงพยาบาลขณะนี้อยู่ระหว่างซ่อมแซม

นักศึกษาแพทย์สาวตัดสินใจเข้าไปพบเธออีกครั้ง จากรายงานที่เขียนเธอวิเคราะห์ดูหาสิ่งสำคัญที่ทำให้นาลินยังป่วย บางทีอาจเพราะเธอยังไม่ยอมรับ และไม่รับรู้ว่าตนกำลังหลุดออกจากกรอบความจริง

“สวัสดีค่ะ”

“เธอนั่นเอง”

“คุณจะหนูได้”

“จำได้สิ...นักเรียนแพทย์คนนั้น” เธอคลี่ยิ้ม ยื่นมือมาแตะอกเสื้อกาว์น “ญาตาวี...ชื่อเพราะดีนะ”

“ขอบคุณค่ะ ชื่อคุณก็เพราะเหมือนกัน”

“แม่ฉันตั้งให้ เป็นชื่อที่ดีใช่ไหม เรียบ ๆ แต่ฟังเก๋ดี ฉันชอบมาก”

“ค่ะ…”

“เธอมาจากไหนน่ะ ทำไมเขายอมให้เธอเข้าออกได้”

“หนูเป็นนักศึกษาแพทย์นี่คะ”

“ดีจังนะ ฉันเรียนบัญชี”

“คุณต้องเก่งเรื่องตัวเลขมาก”

“แน่นอน ฉันได้เอตลอดเลยนะ”

ญาตาวีอมยิ้ม นั่งฟังนิ่ง ๆ แล้วเรื่องราวของเธอทั้งการทำงานและความรักก็ถูกปล่อยออกมาราวน้ำไหลอีกครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องซ้ำเดิมที่เธอเคยได้ยินมาแล้ว ที่แปลกคือคนที่เธอกล่าวว่าเป็นคนรัก กับผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนเธอไม่ใช่คนเดียวกัน

“คุณมาร์คเป็นคนยังไงหรือคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อนาลินเล่าถึงคนรักด้วบความชื่นชม

“เขาเป็นสุภาพบุรุษ นิสัยดี ใจดีกับคนไปทั่วแต่ที่เขาเป็นห่วงเป็นใยที่สุดก็คือฉันนี่ล่ะ คงเพราะฉันช่วยงานเขาใกล้ชิดที่สุด เขาชอบชมว่าผมฉันสวย ฉันก็เลยไว้ผมยาว แต่จริง ๆ แล้ว…ฉันว่าฉันก็สวยทั้งตัวนะ ไม่ใช่แค่ผมหรอก”

“แล้วคุณรักกันได้ยังไงคะ”

“เราทำงานด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน แล้วฉันก็สวยขนาดนี้ใครจะห้ามใจได้ล่ะ”

“จริงสิคะ...” ญาตาวีกัดริมฝีปาก นิ่งไปครู่ ก่อนตัดสินใจถาม “เอ้อ…เขาใช่คนที่หนูเห็นมาเยี่ยมคุณบ่อย ๆ ไหมคะ”

ดวงตาของนาลินปรากฏรอยเกรี้ยวกราด “ไม่ นั่นมันพวกงี่เง่า น่ารำคาญ”

“เพราะมันนั่นล่ะที่คอยขวางทาง มาร์คเลยไม่ค่อยสนใจฉัน มันน่ะชอบไปวุ่นวายทำไปรับส่งฉันที่ทำงาน”

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังโกรธจัด และมีท่าทีจะมีพฤติกรรมรุนแรง ญาตาวีก็รีบยกมืออตะมือหญิงสาว เอ่ยเปลี่ยนเรื่องทันควัน “อ้อ…ได้ยินว่างานคุณหนักมาก ดูบัญชีทั้งบริษัทคนเดียว คงลำบากแย่นะคะ”

“ใช่ เธอรู้ไหมงานบัญชีน่ะสำคัญมาก ไม่ใช่แค่ตัวเลขหรอกนะ ฉันเป็นคนกำหนดงบประมาณใช้จ่ายในบริษัท การซื้อขายต่าง ๆ ต้องผ่านมือันทั้งนั้น ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ๋งไปเลยใช่ไหม”

“แต่นี่ฉันไม่ได้ไปทำงานตั้งสองวันแล้ว บริษัทต้องแย่แน่ ๆ ถ้าไม่มีฉัน เธอมีโทรศัพท์ไปไหม ฉันจะโทรไปสั่งงานเสียหน่อย”

“ไม่มีหรอกค่ะ ฉันต้องฝากไว้ข้างหน้า”

“อย่างนั้นเธอพาฉันออกไปได้ไหม ฉันต้องรีบกลับไปทำงาน”

“แล้วทำไมคุณต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ” ญาตาวีเริ่มเปิดประเด็นเพื่อชักจูงให้เธอรู้สึกตัว

นาลินนิ่งไปครู่ “ฉันก็ไม่รู้ แต่มีคนไม่ยอมให้ฉันออกไป”

“คุณรู้ไหมที่นี่คือที่ไหน”

“ไม่รู้สิ เออ…นั่นสิ เธอรู้ไหมที่ไหน ฉันจะได้บอกให้มาร์คมารับฉัน”

ญาตาวีเอ่ยชื่อโรงพยาบาล นาลินขมวดคิ้วมอง “ใช่เหรอ ฉันจะมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

“คุณไม่สบายค่ะ และเราพยายามดูแลให้คุณหายดีและกลับไปทำงานได้” ญาตาวีเอ่ยเบา ๆ “ดังนั้นตอนนี้ คุณคงต้องอยู่ที่นี่สักพักนะคะ”

“แต่ฉันอยากไปทำงาน เธอรู้ไหมมันจะเสียหายแค่ไหนหากฉันหายไป”

“คุณพักดูแลตัวเองก่อนเถอะนะ...” ญาตาวียังพูดไม่ทันจบ อีกฝากก็ยกมือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อกาว์นเธอทันที

“หุบปาก ไม่ต้องมาสั่ง แกก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่ามาสั่งฉันนะ” เสียงแหลมกรีดร้อง พยาบาลที่ช่วยประคองผู้ป่วยอีกรายอยู่ใกล้ ๆ รีบหันมาคว้ามือหญิงสาวให้ออกจากคอเสื้อกาวน์นักศึกษาแพทย์ ญาตาวียืนขึ้น ยกมือแกะมือนาลินออกช้า ๆ

“หมอเข้าไปข้างในก่อน” บุรุษพยาบาลที่เพิ่งออกมาจากตู้ปลาบอกก่อนจะเข้าไปคว้าตัวนาลินกดให้นั่งลงกับโซฟา

ญาตาวีถอนใจเบา ๆ เธอรู้ว่าตัวเองพลาด นาลินไม่ได้อยู่ในโลกของความจริง และเธอไม่พร้อมจะก้าวกลับเข้ามาในขณะนี้ แต่ญาตาวีก็ทนเออออปล่อยให้เธออยู่ในโลกของเธอต่อไปไม่ได้

“เป็นอะไรไหม” กันต์เดินเข้ามาถาม เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากกล้องวงจรปิดที่ต่อเข้ามา

“พี่กันต์...ไม่ค่ะ วีพลาดเองที่พยายามจะใส่อินไซท์ให้เธอ(Insight : ความรู้และเข้าใจในความเจ็บป่วยของตนเอง)”

“วี…หมอน่ะทำทุกอย่างให้เป็นตามใจเราหมดไม่ได้หรอกนะ บางคนเราก็ต้องค่อย ๆ ปล่อยให้เขาก้าวมาเอง ยิ่งฝืนเข้าไปดึง เขาอาจจะยิ่งต้านก็ได้”

“แต่วีก็เหนื่อยที่จะเออออกับโลกที่เขาสร้าง...เขาอยู่ตรงนั้นตลอดไปไม่ได้นะคะ” ญาตาวีคิดถึงบรรดาวิญญาณหลงทางที่ไม่สามารถก้าวไปสู่สุคติภูมิเพราะยังมีห่วงยึดกับโลก เคยมีวิญญาณหลายดวงบอกว่าเธอใจร้ายที่ส่งพวกเขาไปสู่ยมโลก แต่ความจริงคือทุกสิ่งมีธรรมชาติและกฎเกณฑ์

ความวุ่นวายจะตามมาถ้าเราไม่ก้าวไปตามกฎเกณฑ์นั้น

“วีเอาอะไรมาตัดสินว่าอะไรคือโลกที่เขาสร้าง” กันต์ขมวดคิ้วมอง “หรือวีเองไม่ได้สร้างโลกแห่งความจริงของเขาไว้เหมือนกัน”

“แล้ววี...เรามีสิทธิ์อะไรไปตัดสิน ว่าใครควรอยู่ในโลกที่ใครสร้าง”

“จิตแพทย์เป็นแค่คนชี้ทางนะวี...เราไม่ผลัก และไม่ตัดสิน”

หญิงสาวได้แต่นิ่งงัน ขณะที่กันต์มองหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่ แล้วตบไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไป

ข้างนอกตู้ปลา ห่างเพียงประตูกระจกกั้น เสียงโวยวายของนาลินยังรอดเข้ามาให้ได้ยิน หญิงสาวร้องหาญาตาวี ต้องการจะคุยกับเธออีก

ญาตาวีได้แต่ยืนมองก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานสำหรับนักศึกษาแพทย์ ไม่มีใครยอมให้เธอพบนาลินอีกแล้ว



…มันมีเหตุผลบางอย่างนะที่วียืนอยู่ตรงนี้...อย่าปล่อยให้เหตุผลนั้นต้องสูญเปล่า...

เคยมีคน...ไม่สิ ดวงวิญญาณหนึ่งเคยบอกเธออย่างนั้น เหตุผลของคนพิเศษ กับเหตุผลของมนุษย์ทั่วไปที่ได้ยืนอยู่ในบางสถานที่ บางเหตุการณ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

อาจเพื่อแก้ไข สร้างสรรค์บางสิ่ง

หรือบางคราว...เราก็เพียงผ่านมาเพื่อจะเรียนรู้...บางเรื่องราว

-----
คุณ pandepam : ดีใจที่ได้กลับมาเช่นกันค่ะ กลัวจังว่าจะลืมไอซ์เสียแล้ว

คุณ kraten : สวัสดีปีใหม่ค่ะ^^



ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ

คิดถึงทุกท่านค่ะ



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2557, 19:26:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2557, 19:26:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1387





<< season II Prologue   Season II Chapter 1.2 >>
pandepam 1 ม.ค. 2557, 20:31:43 น.
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^


kraten 1 ม.ค. 2557, 21:35:09 น.
อึ้งๆไปค่ะ นึกถึงคนไข้ที่เคยเป็น case study เป็นผู้ชาย แต่เค้าสงบแล้ว ความคิดของคนเราซับซ้อนจริงๆ


ปีกกรรณิการ์ 1 ม.ค. 2557, 23:48:26 น.
ไม่คิดว่าจะมีคนเขียนนิยายแนวนี้นะคะ ชอบมากค่ะ นึกถึงเคสที่ตัวเองเคยดูอยู่เลยค่ะ schizophrenia เหอๆๆ ติดตามนะคะ :))


sai 2 ม.ค. 2557, 10:02:34 น.
นึกถึงนายรามในเรื่องสามีเลยอ่ะคะ

ปล.คิดถึงหมอไอซ์จัง สวัสดีปีใหม่คะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account