^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว

...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...

ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง

ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน

ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น

เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน

เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด

เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด

มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป

Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา

ตอน: Season II Chapter 1.2

…มันมีเหตุผลบางอย่างนะที่วียืนอยู่ตรงนี้...อย่าปล่อยให้เหตุผลนั้นต้องสูญเปล่า...
เคยมีคน...ไม่สิ ดวงวิญญาณหนึ่งเคยบอกเธออย่างนั้น เหตุผลของคนพิเศษ กับเหตุผลของมนุษย์ทั่วไปที่ได้ยืนอยู่ในบางสถานที่ บางเหตุการณ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
อาจเพื่อแก้ไข สร้างสรรค์บางสิ่ง

...หรือบางคราว...เราก็เพียงผ่านมาเพื่อจะเรียนรู้...บางเรื่องราว


ญาตาวีวางเอกสารรายงานผู้ป่วยลงในกล่องเหล็กหน้าห้องพักในตู้ปลา ก่อนจะเดินออกไปยังส่วนที่จัดเป็นโซฟาสำหรับนั่งเล่นในวอร์ด ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไป เสียงโวยวายก็ดังลั่นจากห้องด้านใน

“เฮ้ย ๆ พี่ คนไข้หลุดออกไปข้างนอก”

เพื่อนชายคนหนึ่งร้องตะโกน เมื่อเห็นภาพจากจอโทรทัศน์วงจรปิด ประตูชั้นนอกถูกเปิดออกด้วยฝีมือญาติผู้ป่วย โดยมีชายร่างเล็กในชุดผู้ป่วยค่อย ๆ ย่องตามออกไป ญาตาวีวิ่งไปดูหน้าจอพร้อมกับเพื่อน ๆ ขณะที่พี่พยาบาลซึ่งชะโงกตัวมามองรีบยกวิทยุสื่อสารแจ้งพนักงานรักษาความปลอดภัยทันที

ความอลวนย่อม ๆ เริ่มขึ้นเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยรีบกุลีกุจอออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะวิ่งตามไปที่ประตูด้านหน้าพร้อมกับบุรุษพยาบาล

กันต์ยืนกอดอกมองจอโทรทัศน์นิ่ง พร้อมบอกกับพยาบาลในเคาท์เตอร์ “เตรียมแวเลี่ยมครึ่งแอมป์ครับ”

“แวเลี่ยมครึ่งแอมป์นะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยทวนคำสั่งก่อนจะเดินไปเตรียมยาซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม

เกือบสิบนาที พนักงานรักษาความปลอดภัยและบุรุษพยาบาลก็หิ้วปีกผู้ป่วยชายคนนั้นกลับมา ท่าทางงุนงงสับสนนั้นไม่ได้ดูวุ่นวายมากจนต้องใช้ยา กันต์จึงทำเพียงให้นำตัวผู้ป่วยไปไว้ในห้องพัก แล้วขึ้นชื่อไว้ในกลุ่มเฝ้าระวังเป็นพิเศษร่วมกับชื่อที่ถูกเขียนติดกระดานมานับเดือนแล้ว คือชื่อของ ด.ช.เทียน

บรรยากาศในวอร์ดกลับเข้าสู่ความสงบสุขออกครั่ง บรุษพยาบาลที่ออกไปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหัวเราะเบา ๆ เมื่อเล่าให้เพื่อนร่วมงานและกันต์ฟัง

“เขาคงงง ๆ น่ะหมอ เดินออกไปก็เจออยู่หน้าลิฟต์เลย ถามมาทำอะไรก็บอกผมหน้าตาเฉยเลยนะว่ารอลิฟต์”

คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ บ้างก็อมยิ้มบาง ๆ

“เลยถามว่าจะไปไหน เขาบอกร้านเหล้า”

“น่าน…สมองเสื่อมเพราะเหล้าแล้วยังไม่หยุด” พยาบาลคนหนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะ

แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของตนต่อ กันต์เดินเข้าไปในห้องทำงานนักศึกษาแพทย์ ขณะที่ญาตาวีตัดสินใจออกไปนั่งเล่นรอเพื่อนหน้าตู้ปลา ตรงโซฟาที่จัดเป็นส่วนนั่งเล่นสำหรับวอร์ดชายมีโต๊ะตัวเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า หญิงสาวหยิบเอาหนังสือนิยายเล่มโปรดออกมาเปิดอ่าน

เพียงไม่นาน เด็กผู้ชยร่างอวบในชุดผู้ป่วยก็เดินมานั่งข้าง ๆ “พี่ ๆ ทำไรอ่ะ”

“อ่านหนังสือค่ะ” เธอตอบพร้อมเหลือบมองผู้มาใหม่เพียงแว่บเดียว

ด.ช.เทียน เป็นหนึ่งในคนไข้รุ่นเดอะประจำวอร์ด อยู่มานานจนนักศึกษาแพทย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเรียนแล้วผ่านไป เขาก็ยังคงอยู่ในโรงพยาบาลตามเดิม

ญาตาวีไม่ค่อยใส่ใจโลก เธอไม่รู้ว่าเด็กชายเป็นอะไร เพียงได้ยินชื่อเขาผ่านหูมาพอสมควรพร้อมเสียงหัวเราะปนหวาดหวั่นของเพื่อน ๆ หลายคนถึงกับต้องชะโงกหน้าแอบดูก่อนว่าเด็กชายอยู่ในพื้นที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าวอร์ดหรือไม่ ก่อนจะยอมเปิดประตูเดินเข้ามาแล้วรีบวิ่งหายเข้าไปในตู้ปลา

“หนังสืออะไร”

“หนังสืออ่านเล่นค่ะ” เธอบอกก่อนจะปิดหนังสือ “เวลาพูดกับผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียงว่าครับ...ด้วยสิคะ คนเขาจะได้อยากคุยด้วย”

เด็กชายมองอย่างงุนงง “ทำไมต้องมี เทียนจะพูดอย่างนี้ล่ะ”

“อย่างนั้นเทียนก็ไปคุยกับคนอื่น พี่จะไม่คุยด้วย” แล้วเธอก็เปิดหนังสือนั่งอ่านเล่นต่อ เด็กชายนิ่งไปครู่ มองหญิงสาวที่นั่งอ่านหนังสือนิ่ง

“อย่าทำอย่างนี้สิ เทียนจะคุยกับพี่นะ”

มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ แล้วเด็กชายก็ยอมเอ่ยถามเบา ๆ “พี่ชื่ออะไรครับ”

“พี่ชื่อพี่วีค่ะ...” เธอตอบเสียงนุ่ม แล้วปิดหนังสือลง มองใบหน้ากลม ๆ ที่มีร่องรอยของอาการงอนเจืออยู่เบาบาง

“พี่วี...”

“ใช่แล้วจ้ะ”

“ไม่เพราะเลย สู้ชื่อเทียนก็ไม่ได้”

“เหรอ ใครตั้งให้ล่ะจ๊ะ ชื่อเราน่ะ”

“ป้า ป้าเทียนใจดีมากเลยนะ ถ้าพี่วีเจอพี่ต้องชอบแน่ๆ”

ญาตาวีคลี่ยิ้ม “เหรอ แล้วนอกจากป้าแล้ว ที่บ้านเทียนมีใครใจดีอีกไหม”

“พ่อกับแม่ก็ใจดี แต่พ่อกับแม่ไม่ค่อยว่าง เวลาพ่อกลับมาบ้านทีพ่อก็จะเอาของเล่นมาให้เทียนเต็มไปหมด เทียนชอบรถเครื่องน่ะ กับตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ พี่วีชอบไหม”

“รถเครื่องหรือตุ๊กตา”

“ตุ๊กตาสิ เป็นผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตา”

“อ้าว…เทียนเป็นผู้ชายทำไมเล่นตุ๊กตาล่ะ” หญิงสาวถามกลั้วหัวเราะ

“ก็เทียนจะเล่น” เด็กชายตวัดเสียงบอก แถมทำแก้มป่องอย่างแสนงอน

“พี่ก็จะเล่นรถเครื่องเหมือนกัน” หญิงสาวบอกก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าเด็กชายเริ่มทำหน้างอ ตาเขียว “แล้ว…เทียนมีพี่น้องไหม”

“มี…ก็พี่วีไง พี่สาวเทียน”

“ไม่สิ...พี่น้องที่บ้านน่ะ”

เด็กชายนิ่งไปครู่ เม้มปากคล้ายขัดใจ “เทียนไม่มีพี่ไม่มีน้อง พี่น้องแบบนั้นเทียนไม่นับหรอก”

“แบบไหน”

“ก็แบบที่เวลาเทียนทำอะไรแล้วโดนคุณแม่ดุก็คอยหัวเราะเยาะเทียน แย่งพ่อกับแม่ไปจากเทียน”

ญาตาวีนิ่งไปครู่ เธอไม่ค่อยตามเรื่องราวในกลุ่มนัก หญิงสาวไม่รู้ว่าเด็กชายเทียนมีปัญหาใดจึงต้องมาอยู่ที่นี่ แต่ถ้าร้ายแรงขนาดกลายเป็นเจ้าถิ่นประจำวอร์ด เธอคิดว่าคงเป็นปัญหาใหญ่โตไม่น้อย

“ทำไมเทียนคิดอย่างนั้น”

“เทียนรู้...ไม่มีใครรักเทียนเลย” เด็กชายบอกแล้วขยับเข้ามากอดแขนเธอไว้ “พี่วีรักเทียนนะ อย่าทิ้งเทียนไปนะ”

เธอยกมือลูบหัวเด็กชายเบา ๆ “ถ้าเทียนเป็นเด็กดี พี่เชื่อว่าทุกคนก็รักเทียนทั้งนั้นล่ะค่ะ”

“พี่วีก็รักเทียนใช่ไหม” เด็กชายถามตามใส แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ถ้าพี่รักเทียนพี่ก็ต้องจูบเทียน”

หญิงสาวดึงตัวออกห่างเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องจูบก็รักได้ แล้วคนที่จูบกันก็ไม่ได้แปลว่าเขารักกันทั้งหมดหรอกนะ”

“แต่ในหนังเทียนเห็น คนรักกันเขาก็จูบกันทั้งนั้น” เด็กชายยังเถียง

“ความรักมีหลายรูปแบบนะเทียน ถ้าโตขึ้นแล้วเทียนจะเข้าใจ”

“เทียนเข้าใจ เทียนโตแล้ว”

“ถ้าโตแล้วเทียนก็ต้องเข้าใจสิว่าคนรักกันไม่จำเป็นต้องจูบกัน” หญิงสาวบอกแล้วดันตัวเด็กชายออกห่าง ชี้นิ้วไปที่ปลายอีกฟากของโซฟา “ขยับไปตรงโน้น ห่างไปอีกหน่อย ไม่อย่างนั้นพี่จะเลิกรักเทียนแล้ว”

ได้ผล เด็กชายรีบกระโดดถอยห่างไปทันที เมื่อเงยหน้ามาเจอหญิงสาวที่ขึงตามองอยู่ เขาก็ทำได้แค่มองนิ่ง ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก

“เทียนห้ามทำแบบนี้อีกรู้ไหมคะ”

“ครับ…”

แล้วหญิงสาวก็นั่งคุยกับเด็กชายต่อด้วยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย หลายคราวที่เขาขยับเข้ามาใกล้จนชิด แล้วแขนก็เลื่อนมาใกล้จนเกือบโอบร่างบาง แต่หญิงสาวรู้ทัน เธอขึงตาใส่แล้วสั่งให้เขาขยับออกไป ก่อนจะพูดคุยกันไปเรื่อย

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ จนเมื่อบุรุษพยาบาลร่างสูงแง้มประตูตู้ปลาออกมาตะโกนบอก

“หมอน้อง...หมอ”

ญาตาวีเงยหน้ามอง เลิกคิ้วกึ่งถาม “เข้ามานี่ก่อนหมอ หมอกันต์เรียก”

หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วหันไปหาเด็กชาย “พี่ต้องไปแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่นะจ๊ะ”

เทียนมองหน้า “อย่าเพิ่งไปสิ เทียนยังอยากคุยกับพี่อยู่เลย”

“พี่มีงานต้องทำนะ พี่ไปละ” เธอโบกมือให้เด็กชายแล้วเดินเข้าไปในตู้ปลา

ทันทีที่ร่างบางก้าวพ้นประตูเข้าไปภายใน บุรุษพยาบาลที่มาเรียกก็รีบปิดประตูทันที พยาบาลสาวที่อยู่ภายในรีบลุกขึ้นมาจับแขนเธอไว้

“หมอน้องเป็นอะไรหรือเปล่า”

“อะไรคะ”

“เทียนทำอะไรหมอน้องไหม”

ญาตาวีหัวเราะ “ไม่ค่ะ...เกือบ ๆ อยู่เหมือนกัน ทำไมหรือคะ”

“วีไม่รู้เหรอ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเทียนหรอก” เพื่อนคนหนึ่งบอกด้วยท่าทางสยดสยอง “เทียนน่ะเป็นไฮเปอร์เซ็กชวล วันดีคืนดีก็ไปจิ้มก้นพวกผู้ชาย พวกนั้นถึงกลัวกันขนหัวลุก”

คราวนี้หญิงสาวเบิกตากว้าง ทำหน้าตาเหวอจัด ขณะที่เพื่อน ๆ ได้แต่ส่ายหน้า “วีนี่นะ...ไม่ใช่แค่หลังเขาธรรมดา ต้องเรียกว่าด้นทะเลเลยถึงจะถูก เคยรู้ข่าวลืออะไรกับเขาบ้างไหม”

“ก็พวกเธอไม่ได้ลือกันใกล้หูเรานี่” คนก้นทะเลบ่นอุบอิบ

“เถอะ…รอดมาได้ก็ดีแล้ว ปิ่นน่ะโดนจับก้นไป ไม่กล้าเข้าใกล้เทียนอีกเลยล่ะ”

กันต์หัวเราะในคอ มองหน้ารุ่นน้องสาวที่ทำตาโตปากอ้าจนแมลงวันแทบบินเข้าไปนอนเล่น “อาจารย์ไม่ได้เตือนแล้วเหรอ ว่าในวอร์ดจิตเวชไม่ได้น่ากลัวจนต้องระแวง แต่ก็ควรระวังและอย่าวางใจใครง่าย ๆ”

“คราวนี้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ต่อไปวีคงต้องระวัง พี่ว่า...เทียนคงไม่ปล่อยวีง่าย ๆ แล้วล่ะ”

“อีกอาทิตย์เดียวหนูก็ลองวอร์ดแล้ว คงไม่เป็นอะไรมั้งคะ”



คำภาวนาของญาตาวีทำให้เธอรอดพ้นจากเด็กชายเทียนมาได้โดยตลอด คงเพราะช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบเธอต้องตามรุ่นพี่ไปดูแลผู้ป่วยที่รับคำขอปรึกษามาจากแผนกอื่น ส่วนมากเป็นผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง เมื่อมานอนโรงพยาบาลก็เกิดอาการสับสนจากการขาดสุรา อีกบางส่วนก็เป็นภาวะซึมเศร้าจากความเจ็บป่วย และภาวะอื่น ๆ ที่จิตเวชร่วมดูแลเพื่อส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม คือไม่ใช่ดูแลรักษาแต่โรค แต่ครอบรวมถึงโลกทั้งใบ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

พรุ่งนี้จะสอบแล้ว บรรดานักศึกษาแพทย์ขึ้นมาที่วอร์ดเพื่ออ่านหนังสือร่วมกับเพื่อน ๆ กันต์นัดติวน้อง ๆ ที่ตู้ปลา แต่เพราะชายหนุ่มติดธุระด่วน เด็ก ๆ จึงกระจายตัวกันไปหาของกินเล่น เหลือเพียงญาตาวีและเพื่อนอีกไม่กี่คน

“วี ๆ ” ปานตะวันเอ่ยเรียกเพื่อนสาวเสียงเบา “เข้าไปดูคนไข้กับเราหน่อยสิ วันนี้เรายังไม่ได้เขียนโปรเกรสโน้ตเลย ตะกี้เราเข้าไปแล้วเขาหลับอยู่ เห็นพี่พยาบาลว่าอาละวาดเลยได้ฮาดอลไปเมื่อเที่ยง”

ปกตินักศึกษาแพทย์จะต้องเขียนบันทึกความก้าวหน้าในการรักษา โดยระบุอาการและผลการตรวจร่างกายผู้ป่วยในแต่ละวัน และลงบันทึกการประเมินผลรวมถึงแผนการรักษาร่วมกับรุ่นพี่แพทย์ประจำบ้าน และวันนี้ปานตะวันยังไม่ได้เขียนบันทึกผู้ป่วยของเธอ ด้วยเหตุผลที่ทำให้คนฟังต้องหวั่นใจ

ผู้ป่วยของปานตะวันเป็นโรคจิตเวช เมื่อเที่ยงเขาอาละวาดวุ่นวาย จนแพทย์ผู้ดูแลสั่งฉีดยาเพื่อระงับอาการจนหลับไป ปานตะวันจึงต้องรอให้เขาตื่นเพื่อเข้าไปตรวจประเมินอาการ

“นะ…ไปกับเราหน่อยนะวี เรากลัว”

ญาตาวีได้แต่ถอนใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นเดินไปกับเพื่อนสาว

ในห้องพักผู้ป่วยชาย ร่างสูงใหญ่ยังนอนสงบอยู่ใต้ผ้าห่มคลุมสีขาวพิมพ์ลายตราโรงพยาบาล

“คงยังไม่ตื่น...โปรเกรสตามประวัติที่พี่พยาบาลเล่าให้ฟังได้ไหม”

“ถ้าพี่กันต์มาแล้วเขายังไม่ตื่นก็คงต้องตามนั้นล่ะ” ปานตะวันถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพร้อมญาตาวี

ประตูห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ข้างกันนั้นเปิดกว้าง คนภายในห้องจึงเห็นความเคลื่อนไหวภายนอกได้ชัดเจน ขณะที่ญาตาวีและปานตะวันที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องพักข้างกันไม่ทันได้สังเกตสภาพภายในห้องพักอีกห้องเลย

สองสาวก้าวเท้าสบาย ๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อมีเงาวูบเข้ามาหยุดตรงหน้า ร่างอวบของเด็กชายเทียนวิ่งตรงเข้ามา พร้อมกำหมัดชูหราด้วยท่าทางโกรธเคือง

ญาตาวีชะงักเท้า ดึงตัวปานตะวันมาหลบอีกด้านหนึ่ง พร้อมยกมือขึ้นชี้นิ้วนิ่งตรงหน้าเด็กชาย เสียงดุหลุดคำตวาดดังก้อง “หยุด!!!”

ได้ผล เด็กชายนิ่งไปด้วยอารามตกใจ ญาตาวียังยืนนิ่ง ขึงตามองหน้าเขาราวจะปราม ระยะเวลาเพียงชั่วครู่นั้นยาวนานเพียงช่วงลมหายใจผ่านเข้าออก ความวุ่นวายดำเนินอยู่เบื้องหลังเด็กชาย เมื่อบุรุษพยาบาลและพนักงานรักษาความปลอดภัยเตรียมพุ่งเข้าชาร์จตัวผู้ป่วย

วินาทีนั้นราวจะวัดใจกัน ก่อนที่ญาตาวีจะลดมือลง แล้วกำปั้นหนัก ๆ ของเด็กชายเทียนก็พุ่งลงบนต้นแขนขวาของหญิงสาว พยักงานรักษาความปลอดภัยกระโดดเข้าชาร์จตัวเด็กชายได้ เสียงโวยวายวายดังลันวอร์ด พยาบาลสองคนรีบออกมาจากตู้ปลาเพื่อประคองตัวนักศึกษาแพทย์สาว พร้อมคำถามร้อนรน

“หมอเป็นอะไรไหม”

“ไม่ค่ะ...แค่เจ็บนิดหน่อย” เธอบอกพร้อมส่งยิ้มให้

“เจ็บมากไหมวี เข้าไปข้างในก่อนเถอะ” ปานตะวันบอกพร้อมมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ

หลังจากที่ญาตาวีถูกพาเข้ามานั่งพักไม่นาน กันต์ก็มาถึงและรับทราบเรื่องทั้งหมดจากพยาบาลที่อยู่ด้วย โชคดีที่หญิงสาวไม่ได้บาดเจ็บมากนอกจากรอยช้ำบาง ๆ ที่ต้นแขน แต่ชายหนุ่มยังไม่ไว้ใจ เขียนใบสั่งยาแก้ปวดเผื่อไว้ให้

“เทียนเป็นพวกหวงของด้วย พี่ว่า...วีพยายามอย่าขึ้นมาที่นี่อีกดีกว่า ถ้าเทียนยังอยู่”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้สอบเสร็จก็ย้ายวอร์ด หนูคงไม่ค่อยได้แวะมานี่แล้วล่ะค่ะ”

“อืม…ดูแลตัวเองด้วย พี่หวังว่าพวกเราจะมีความทรงจำที่ดีกับจิตเวช แต่ดันเกิดเรื่องแบบนี้เสียนี่”

ญาตาวีคลี่ยิ้ม “เรื่องไม่ดีก็ไม่ใช่ความทรงจำที่ไม่ดีเสมอไปหรอกค่ะพี่กันต์ หนูว่านี่ก็เป็นวอร์ดที่สนุกดี...เป็นความประทับใจไปอีกแบบนะคะ”

“คิดแบบนี้ก็ดีแล้ว...” กันต์ยิ้มให้หญิงสาว “แต่คิดอีกที...พี่ว่าวีเป็นพวกดึงดูดคนไข้ดีนะ ตั้งแต่คราวคุณนาลินแล้ว เพื่อนพี่ที่รับรีเฟอร์ไปบอกว่าเธอชอบเรียกหาหมอญาตาวี นี่ก็มาเทียนอีกคน”

หญิงสาวได้แต่หัวเราะเจื่อน ๆ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ เมื่อแม้แต่นาลินที่ถูกส่งตัวไปรับการรักษาด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าที่โรงพยาบาลอื่นยังอุตส่าห์คิดถึงเธอขนาดนั้น แต่เมื่อคิดถึงบรรดาวิญญาณหลงทางที่อยู่รอบตัวเธอแล้ว บางที…ผู้ป่วยจิตเวชก็อาจรับรู้ได้ด้วยหัวใจและจิตวิญญาณไม่ต่างจากดวงวิญญาณเหล่านั้น

…มีเหตุผลบางอย่าง...ที่เธอยืนอยู่ตรงนี้...

-------
คุณ pandepam : รีบเอามาส่งก่อนเข้าเวรพรุ่งนี้ค่ะ

คุณ kraten : ใช่เลยค่ะ แต่ไอซ์ว่าบางทีพวกเขาก็น่ารักดีนะคะ

คุณ ปีกกรรณิการ์ : น่าสนใจจังค่ะ ผู้ป่วยแต่ละคนก็มีเรื่องราวที่หลากหลายนะคะ บางเวลาไอซ์ก็ได้เรียนรู้บางอย่างจากเรื่องราวของพวกเขา

คุณ sai : คิดถึงเช่นกัน สวัสดีปีใหม่ค่ะ^^ ว่าแต่ไอซ์ไม่ได้ดูโทรทัศน์เลยอ่ะค่ะ นายรามนี่...เหมือนนาลิน หรือญาตาวีคะ

------
เอามาฝากก่อนขึ้นเวรอายุรกรรมพรุ่งนี้ค่ะ(อยากร้องไห้ พยายามจะขายทุกเวร นี่คงเป็นไม่กี่อย่างบนโลกที่คนขายต้องจ่ายเงินให้คนซื้อ แถมอ้อนวอนให้รับซื้อ) คิดถึงทุกท่านค่ะ

และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ




ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ม.ค. 2557, 14:05:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2557, 13:59:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1361





<< season II Chapter 1.1   Season II Chapter 2.1 >>
คิมหันตุ์ 5 ม.ค. 2557, 02:00:28 น.
ตามมาอ่านค่ะ...สนุกเหมือนเดิมเลยจ่ะ


sai 5 ม.ค. 2557, 10:49:42 น.
นายรามเหมือนนาลินคะเปนไบโพลา
วีหนอวี ดึงดูดทุกอย่างเลยย 555

ปล.คุณไอซ์ค่ะทำไมบ้างช่วงชื่อพี่วี เป็นพี่นีสอ่ะ


ลิขิตรา 5 ม.ค. 2557, 14:03:18 น.
คุณ sai กรี๊ดดดดด ขอบคุณค่ะ จริง ๆ ตอนแรกไอซ์จะเขียนเป็นเรื่องราวของหนูนีส แต่เปลี่ยนใจจัดเต็มญาตาวีคนเดียวก็โฮกแล้ว ยายนีสเลยตกกระป๋องไปค่ะ
ps. และความจริงแล้ว ทั้งกระชากคอเสื้อและต่อยแขนนี่ โดนกันคนเดียวจริง ๆ ไม่อิงสแตนด์อิน 3 วีคในภาควิชาจิตเวช เธอคนนี้เป็นคนเดียวที่คุยกับคนไข้ที่ทุกคนกลัวได้ และโดนจัดมาครบ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account