สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาโอบไหล่ลษิดาอย่างถือสิทธิ์โดยคนถูกอ้างสิทธิ์แหงนหน้าจ้องมอง
อย่างไม่พอใจทว่ากลับเงียบไม่ส่งเสียงแย้งใดๆปล่อยให้คนอื่นส่งเสียงแทน
“คุณปรินทร์ คุณทำผมแปลกใจนะ ไม่เห็นมีข่าวว่าคุณแต่งงานเลยนี่แล้วจะให้ผมช่วยกระจายข่าวไหม”
คนแรกที่ส่งเสียงคือกฤติซึ่งดูเหมือนจะรู้จักปรินทร์ดีจนทานุกับลษิดาแปลกใจ
ทานุยังตั้งตัวไม่ทันที่เห็นปรินทร์อีกครั้งแม้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไปมากแต่เค้าหน้ากับนิสัยดูไม่เปลี่ยน
จากเดิมเท่าไรนัก ยามปรินทร์อยู่กับลษิดาจะปกป้องหวงเธอราวไข่ในหิน ใครรังแกลษิดาปรินทร์จะลุยแหลกและ
เอาคืนแบบไม่กลัวเกรง เพื่อนๆของเขาต่างเคยเจอมาแล้วแม้ตอนเกิดเรื่องเขาจะไม่อยู่ก็ตาม ตอนนี้ลษิดาโตเป็น
สาวหน้าตาสวยเอามากๆ มีหรือปรินทร์จะไม่หวงมากกว่าเก่าอีก และลษิดาคงมาพักที่นี่ไม่ได้หากไม่ใช่ปรินทร์พา
มาแต่ที่เขาสงสัยคือทั้งคู่ไปพบกันได้อย่างไร เขาไม่เคยเห็นลษิดาคบหาผู้ชายคนไหนหรือไปไหนไกลจากบ้าน
ปกติเธอมักอยู่บ้านมากกว่าถ้าไม่ไปมหาวิทยาลัย ช่วงงานศพมารดาปรินทร์ก็ไม่มาร่วมงาน แล้วทำไมทั้งคู่จึงมา
ด้วยกันหรือเขามัวทำแต่งานเลยไม่ทันสังเกต
“ฟางบอกพี่มาซิ ฟางกับสตรองแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อไหร่” เมื่อสงสัยทานุจึงถามแต่เขาเลือกจะถาม
ลษิดาแทน หากถามปรินทร์คงไม่ได้คำตอบแน่
ลษิดานิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี รู้อยู่เต็มอกว่าปรินทร์โกหก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเธอก็ไม่ชอบใจ
ทั้งนั้น แต่ถ้าบอกความจริงเธออาจต้องกลับไปกับทานุและผจญกับคนที่เกลียดเธออยากกำจัดเธออีกแล้วจะ
ทำอย่างไรดี
“น้องฟางจ๊ะ ทำไมไม่ตอบคุณทานุไปว่าเราแต่งงานกันเมื่อไหร่” บอกเสร็จก็หอมแก้มนวลใสฟอดใหญ่
อวดโชว์คนอื่นเป็นการยืนยันโดยที่เจ้าของแก้มไม่ทันตั้งตัวเลยเกิดอาการนิ่งตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งต่อมาก็อายและ
ไม่พอใจจึงแอบจิกเล็บลงบนท่อนแขนแข็งแรงแล้วทำหน้าเฉยเสีย
“ผมว่าคุณกุเรื่องขึ้นมามากกว่า น้องสาวผมเป็นเด็กดี ไม่เคยไปไหนมาไหนกับผู้ชายตามลำพังมาก่อน
และอยู่ดูแลคุณแม่มาตลอดกระทั่งท่านเสีย เพิ่งจะผ่านพ้นงานศพคุณแม่มาไม่นาน อยู่ดีๆจะมีสามีได้ยังไง ฟาง
บอกพี่มาซิ ผู้ชายคนนี้ฉุดฟางมาใช่ไหม” ทานุเห็นลษิดายังเงียบเลยถามย้ำอีกครั้ง เขาไม่อยากปะทะกับปรินทร์
จึงต้องกดดันเธอให้บอกความจริง เขารู้น้องสาวบุญธรรมคนนี้ไม่เคยโกหก
“น้องฟางถ้าเกรงใจพี่นุของน้องฟางไม่กล้าบอกก็ตามใจ เราเลิกกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน” ก่อนลษิดาจะตอบ
ปรินทร์ก็ชิงพูดแทรกขึ้นก่อนแล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังมามอง
“ฟางมันทิ้งฟางแล้ว กลับบ้านกับพี่นะ” ทานุรีบฉวยจังหวะที่ลษิดากำลังมึนงงกับการกระทำของปรินทร์
ชวนเธอกลับทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาผิดหวัง
“ไม่คะฟางเป็นเมียเขาแล้ว ต้องตามเขาไปค่ะ ขอโทษค่ะพี่นุ” ลษิดาตัดสินใจในที่สุดเพราะการกลับไปกับ
ทานุคงปลอดภัยน้อยกว่าไปอยู่กับปรินทร์ แล้วร่างบางก็รีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่ไปโดยไม่สนใจว่าทานุจะมีความ
เห็นอย่างไร
“คุณทานุคุณไปจัดการเรื่องน้องสาวคุณให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยหาเวลามานัดผมอีกที พบกันคราวหน้า
ผมหวังว่าจะได้พบน้องสาวคุณอีกครั้งนะ” กฤติเตือนอย่างสุภาพแล้วปล่อยให้ทานุคิดเองว่าจะทำอย่างไรถึงนำตัว
ลษิดากลับมาได้ ดูท่ากฤติคงไม่สนใจเจรจาการค้าเท่ากับลษิดาแน่ ทำไมสิ่งที่เขาหวังต้องพังเพราะปรินทร์ที่มัก
มักขวางและช่วยลษิดาไว้เสมอ แล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะนำตัวลษิดากลับมาอย่างน้อยก็ช่วยให้กฤติยอมรับ
สินค้าค้างสต็อกของเขาก่อนค่อยว่ากัน เห็นทีต้องกลับไปหาวิธีใหม่และสืบให้รู้ว่าทำไมลษิดาถึงมากับปรินทร์ได้
“พี่สตรองรอน้องฟางด้วย อย่าเพิ่งหนีน้องฟางไปไหนนะคะ” ลษิดาส่งเสียงร้องออกไปดังๆและทำท่าจะ
ร้องไห้ขณะเดินตามร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยอมหยุดขณะเดินออกจากโรงแรมไปยังลานจอดรถ ก็เธอเตี้ยกว่าเขาขาก็สั้น
กว่าเขาต่อให้วิ่งก็ไม่ทันคนขายาวจึงต้องส่งเสียงร้องออดอ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ยามวิ่งตามคนตัวใหญ่กว่าไม่ทัน
และมักหยุดร้องไห้อยู่กับที่จนกว่าคนตัวใหญ่จะย้อนกลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกันเธอเลือกที่หยุดยืนนิ่งไม่ซอยเท้าตาม
ต่อเพื่อเล่นเกมวัดใจ อยากรู้พี่สตรองของเธอยังรักและเอ็นดูเธอเหมือนสมัยเด็กๆหรือไม่
แค่เวลาเพียงไม่ถึงนาทีร่างสูงใหญ่ก็เดินย้อนกลับมาแล้วคิ้วหนาเข้มได้รูปก็ขมวดเข้าหากันทำหน้ายุ่งเล็ก
น้อยเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเพราะลษิดาไม่ได้เป่าปี่ให้เห็นเหมือนสมัยเธอยังเป็นน้องฟางตัวน้อยเลยสักนิดแต่กลับ
อมยิ้มเมื่อเห็นปรินทร์เดินกลับมาหา
“มันน่าตีนักเชียว ยายเด็กเจ้าเล่ห์ ระวังเถอะจะถูกพี่สั่งสอนจนกลัวไม่กล้าหลอกลวงใครอีก ที่ตามมานี่
แน่ใจแล้วหรือ” เสียงดุว่าในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นถามอย่างจริงจังพลางจ้องมองหน้าสวยใสงดงามนิ่ง
“แน่ใจอะไรคะ” คนถูกถามเหมือนไม่เข้าใจความหมาย
“แน่ใจว่าจะตามไปอยู่กับพี่ บอกก่อนนะถ้าตามพี่ไป ก็ห้ามกลับไปกับนายทานุอีก แต่ถ้ากลับพี่ก็จะไม่มา
หาน้องฟางอีกต่อไป” ปรินทร์ยื่นคำขาดเพื่อวัดใจลษิดาและป้องกันเธอด้วย เขารู้ดีทานุไม่มีความสามารถพอที่จะ
ปกป้องน้องสาวนอกไส้ซึ่งตัวเองไม่ได้รักใคร่ใส่ใจอะไรมากนัก อยู่ดีๆก็เล่นบทพี่ชายที่หวงน้องสาวมันต้องมีผล
ประโยชน์แอบแฝงอยู่แน่ หากลษิดาจะเลือกพี่ชายนอกไส้เขาจะไม่ยุ่งอีกต่อไป
“ตัดสินใจได้หรือยัง ไปหรือกลับ พี่ให้โอกาสอีกครั้ง” เมื่อเห็นเธอยังเงียบอยู่เขาจึงถามย้ำอีกครั้ง
“ไป” ลษิดาตอบสั้นๆหลังตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ระหว่างปรินทร์ที่คอยปกป้องดูแลเธอกับพี่ชายบุญธรรม
ที่ไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของเธอ การไปอยู่กับปรินทร์ย่อมดีกว่า
“แน่นะ”
“แน่”
“รู้หรือเปล่า ถ้าไปอยู่กับพี่ น้องฟางต้องเปลี่ยนสถานะ”
“สถานะอะไร ไม่เข้าใจ” ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อราวรูปสลักด้วยเครื่องหมายคำถาม ก็เธอไม่
เข้าใจจริงๆนี่นา
“อยากรู้จริงเหรอ อยากรู้ก็ต้องมีค่าคำตอบ ไม่อย่างนั้นยังไม่บอก” ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้าสวยใส
พราวระยับ
“ถ้างั้นไม่อยากรู้แล้ว ถึงเวลาก็รู้เอง” ลษิดาเปลี่ยนใจกะทันหันและสร้างความผิดหวังให้เจ้าของดวงตา
สีนิลเข้ม
“ว้า เปลี่ยนใจง่ายจังน้องฟาง ไม่เป็นไรฝากไว้ก่อน ยังไงน้องฟางก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก” แม้จะเหมือนคำพูด
ปลอบใจตัวเองแต่กลับทำให้คนฟังชักแหยงๆ และเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดผิดหรือถูกที่ตามพี่สตรองมา แต่ก็ยินดีให้มือ
ใหญ่แข็งแรงจับจุงไปขึ้นรถและขับออกไป
=========
กฤติซึ่งพบกับปรินทร์โดยไม่คาดฝันนั้นได้สั่งให้ลูกน้องแอบตามอีกฝ่ายไปห่างๆแล้วให้โทรมารายงานให้
ทราบ บนเส้นทางธุรกิจไม่มีใครไม่รู้จักเขาและไม่มีใครไม่รู้จักนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตสวยๆกับท่องเที่ยวเชิง
เกษตรสวยๆหลายแห่งแต่กลับไม่มีใครรู้ถึงชีวิตส่วนตัวกับที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ยกเว้นเขาซึ่งรู้ว่าปรินทร์ใช้ชีวิตส่วน
ใหญ่ที่ผาตะวันซึ่งเป็นรีสอร์ตแสนสวยแต่กลับดูลึกลับมีมนต์เสน่ห์ให้ผู้คนอยากไปชมทว่าไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้า
ไปพักได้ง่ายๆทั้งนี้เพราะผาตะวันมีสิ่งล้ำค่าซึ่งเขาอยากได้ ผู้คนในสังคมไม่มีใครรู้ว่ากิจการเรือสำราญกับรีสอร์ต
บนเกาะซัมมูนเป็นเพียงธุรกิจบังหน้า
ที่จริงกฤติก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับใครเพราะอาจกระเทือนถึงธุรกิจมืดที่เขาทำอยู่แต่กับปรินทร์มันต่างกัน
เพราะปรินทร์มาเป็นตาอยู่ชิงเอาผาตะวันไปจากมือของเขาทั้งที่เจ้าเดิมเกือบขายให้เขาแล้วหากไม่มีปรินทร์มา
ขวางและทวงสิทธิ์ความเป็นทายาทอันชอบธรรมจนทำให้ผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของทั้งหลายต่างล่าถอยเพราะกลัว
ถูกเอาผิดทางกฏหมายจึงพากันบินหนีไปอยู่ต่างแดนตั้งหลักก่อน คนนอกอย่างเขาที่อยากได้สิ่งล้ำค่าในผาตะวัน
ซึ่งยังไม่มีการสำรวจจริงจังมีอันต้องหลบไปก่อนแล้วเล่นงานลับหลัง แต่มันน่าเจ็บใจนักส่งคนแฝงตัวไปกี่คนๆ
คนของปรินทร์ก็จับได้ทุกครั้งแม้จะยังไม่รู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่เพราะคนที่อยากได้ผาตะวันมาครอบครอง
มีมาก
แต่วันนี้การได้พบน้องสาวบุญธรรมของทานุทำให้เขารู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจัดการกับปรินทร์ได้ กำจัด
ปรินทร์ได้ผาตะวันก็ต้องตกเป็นของเขา เห็นทีงานนี้คนที่จะช่วยเขาได้คือทานุซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากเขา
คงต้องทำตามความต้องการของเขาแน่นอนโดยที่เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย
“คาดเข็มขัดให้ดี ถ้าง่วงก็หลับได้เลย จากนี้ไปจะไม่จอดพักจนกว่าน้ำมันจะหมด” ขึ้นรถได้ปรินทร์ก็บอก
ลษิดาเสียงเข้มเฉียบขาดจนเธอคิดว่าเขากำลังจะออกรบกับใครอย่างนั้นแหละ
“จะไม่ให้เข้าห้องน้ำเลยเหรอ มันเกินไป” ลษิดามีบ่น
“ถ้าปวดก็บอกจะหาปั้มให้เข้า พอใจหรือยังเด็กเจ้าปัญหา” เขาพูดเหมือนคนใจดีแต่น้ำเสียงแข็งกร้าว
“พอใจ” คราวนี้เธอประชดเสียเลย
“เด็กดี” เขากลับอารมณ์ดีหยอกเย้าเธอเล่นแต่ทำให้ลษิดาเริ่มสับสนกับอารมณ์น้ำขึ้นน้ำลงของพี่สตรอง
ที่ยากต่อการคาดเดาแต่เธอก็เลือกที่จะเงียบและจ้องมองวิวทิวทัศน์สองข้างทางแทนเมื่อเห็นว่าเริ่มเข้าสู่เขตป่า
เขาซึ่งดูงดงามไม่น้อย จนเกิดคำถามในใจ
‘พี่สตรองจะพาเราเข้าป่าหรือไงเนี่ย’ แม้จะสงสัยก็ไม่คิดจะถามเมือเห็นอีกฝ่ายมุ่งมั่นขับรถมุ่งไปตามทาง
ข้างหน้าเลยหันกลับมาสนใจวิวทิวทัศน์สองข้างทางต่อดูไปดูมาก็หลับไป และนั่นก็ทำให้ปรินทร์พอใจเขาเร่งความ
เร็วของรถเต็มพิกัตเมื่อเห็นว่ามีรถตามหลังมา ถ้าเดาไม่ผิดต้องเป็นคนของกฤติแน่ กฤติพยายามตามหาเขามา
ตลอดเมื่อพบแล้วคงไม่ปล่อยไว้แน่เพราะกฤติเป็นคนหนึ่งที่อยากครอบครองผาตะวันร่วมกับคนที่เคยอ้างสิทธิ์
มาตลอดและไม่แน่กฤติอาจเป็นคนหนึ่งที่ส่งคนแฝงตัวเข้ามาที่ผาตะวันก็เป็นได้
“ฟาล มีคนสะกดรอยตามฉันมา ช่วยส่งคนมากำจัดเสีย ฉันใกล้ถึงปากทางเข้าผาตะวันแล้ว ฉันจะทิ้งรถ
ไว้หน้าปากทางแล้วเข้าอีกทางเตรียมม้าให้ด้วย ที่เหลือจัดการต่อที จับเป็นพวกมันสอบให้รู้ว่าเป็นพวกนายกฤติ
หรือคนอื่น แล้วจัดการส่งพวกมันกลับไปหาเจ้าของ ส่วนจะให้มีลมหรือสิ้นลมก็แล้วแต่นาย” ปรินทร์สั่งคนสนิท
มือขวาแห่งผาตะวัน เมื่อเห็นรถที่ตามหลังมาตามติดไม่เลิกแม้เขาจะเร่งความเร็วมากแค่ไหน แต่พวกมันไม่รู้ว่า
กำลังจะเจอกับอะไร ไม่ช้านักก็มีรถโฟล์วิลกับรถมอเตอร์ไซด์สีดำคันใหญ่สองคันซึ่งมีคนขับใส่ชุดหนังสีดำ
กับหมวกกันน๊อคแล่นมาขนาบข้างรถที่ตามหลังมาแล้วยิงยางรถรถก่อนที่รถโฟล์วิลจะขับไปจอดขวางหน้าไว้
คนในรถเป็นชายฉกรรจ์ห้าคนสวมแว่นกันแดดสีดำ แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวคล้ายนักท่องเที่ยวทว่าในมือ
กลับมีปืนและระดมยิงใส่รถโฟล์วิล กับรถมอเตอร์ไซด์สีดำสองคัน แต่คนขับกลับหลบได้ขณะที่คนบนรถโฟล์วิล
สองคนได้เปิดประตูออกมาพร้อมยิงสวนกลับพลางเดินตรงเข้าไปหาพวกมันซึ่งยิงกระหน่ำไม่ยังแต่อีกฝ่ายกลับ
หลบได้และไม่กลัวเพราะต่างสวมเสื้อกันกระสุน
“เฮ้ย มันไม่กลัว เอาไงดีว่ะ” หนึ่งในห้าชายฉกรรจ์ถามเพื่อน
“มันไม่กลัวแล้วมึงกลัวหรือไงว่ะ ลุยเลยดีกว่า” พวกมันเองก็เดินลุยเข้าไปหาขณะที่มือก็กราดกระสุน
ใส่ไม่ยั้งแต่ยังไม่ทันที่จะถึงตัวอีกฝ่ายทุกคนก็ล้มลงแล้วนอนแน่นิ่งไปบนพื้นถนนจากเข็มฉีดยาปักหลังซึ่งมาจาก
คนขับมอเตอร์ไซด์นั่นเอง
“ทำดีมากเพื่อน ฝีมือฉีดยายังแม่นเหมือนเดิม โดนยาสลบอย่างแรงจะฟื้นอีกทีก็ถึงบ้านอเวจีมั้ง”
คนขับรถโฟล์วิลบอกแล้วช่วยกันพาคนสลบห้าคนไปขึ้นรถและออกรถมุ่งสู่ผาตะวันที่ใครๆก็อยากไปเที่ยวพัก
ผ่อนกับธรรมชาติอันงดงามดั่งเมืองสวรรค์ทว่าสำหรับผู้ที่เป็นศัตรูคงไม่ใช่เมืองสวรรค์แน่หากถูกจับได้
==========
ปรินทร์พารถเข้าแอบจอดบริเวณลับตาคนห่างจากปากทางเข้าผาตะวันสักร้อยเมตรที่มีม้าสีน้ำตาลเข้ม
ตัวใหญ่ผูกติดกับต้นไม้ใหญ่ก่อนเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ลษิดานั่งอยู่และหลับไปเพราะความเพลียจากการเดินทาง
กับพักผ่อนน้อย ใบหน้าสวยใสยามหลับนั้นดูใสซื่อน่ารักนักหนา เห็นแล้วต้องยอมรับว่า ลษิดานั้นเหมือนได้พร
จากฟ้าหรือไม่ก็บุญกุศลจากชาติปางก่อนที่ได้ทำมาถึงทำให้เธอเกิดมามีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงามน่ารักจน
ใครๆต่างพากันอิจฉา ตอนเธอเป็นเด็กเขาก็ว่าน่ารักนักหนาแล้ว แต่ไม่นึกว่าโตขึ้นจะสวยหมดจดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
โดยเฉพาะแก้มเนียนขาวใสอมชมพู เห็นแล้วอดจรดริมฝีปากลงกับแก้มสาวเพื่อสัมผัสความเนียนนุ่มหอมละ
มุนไม่ได้ก่อนขยับใบหน้าออกห่าง
“เด็กขี้เซา ถูกขโมยจูบยังไม่ตื่นอีก ต้องลองอีกทีมั้ง” พูดแล้วก็ทำตามทันทีคราวนี้คนคิดขโมยหอมแก้ม
สาวไม่หยุดง่ายๆเฝ้าวนเวียนหอมแก้มเนียนนุ่มไปมาจนกว่าจะพอใจจึงขยับออกห่างแต่อดไม่ได้ที่จะสัมผัสเบาๆ
บนกลีบปากอิ่มบางสวยสดสีชมพูเรื่อตามธรรมชาติไม่ใช่สีจากลิปติกแต่ประการใด
“ยังไม่ตื่นอีกแฮะ ถูกขโมยจูบจนแก้มช้ำหมดแล้วนะน้องฟาง สงสัยจะเพลียจริง คงต้องอุ้มแล้วมั้งเรา”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแล้วช้อนอุ้มร่างงามเดินไปที่ม้าตัวใหญ่ แต่พอถึงคนในอ้อมแขนก็ลืมตาขึ้นทันทีพร้อม
ส่งเสียงโวยออกมา
“พี่สตรอง ทำอะไรน้องฟาง”
“ก็อุ้มเด็กขี้เซามาขึ้นม้าไปบ้านพี่ไง” ปรินทร์ตอบขณะที่สองมือแข็งแรงก็จับร่างคนตัวบางกว่าขึ้นไปนั่ง
บนหลังม้าตัวใหญ่พร้อมคำสั่งสำทับ “นั่งนิ่งๆนะถ้าไม่อยากตกจากหลังม้าแล้วกลายเป็นคนพิการ” แล้วเดินไป
ปลดเชือกที่ผูกม้าไว้ก่อนเหวี่ยงตัวขึ้นมานั่งบนหลังม้ามือหนึ่งโอบเอวเล็กบางกลมกลึงไว้อีกมือจับบังเหียรไว้
“พี่สตรองปล่อยน้องฟางนะ น้องฟางไม่ขี่ม้า น้องฟางกลัวตก” ลษิดาดิ้นพลางโวยพลาง
“อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัวตกหรอก พี่กอดน้องฟางแน่นออก อึดอัดหน่อยนะ แต่ถ้าดิ้นมากจะปล่อยให้ตก
แล้วห้ามดื้อด้วย ยังไงๆเราก็ต้องเดินทางด้วยม้าเพราะบ้านพี่อยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย
ตัดสินใจมากับพี่ต้องทำใจเข้าใจไหม” เขาสั่งและขู่ตามคิดว่าเธอจะโวยแต่ผิดคาดเธอหยุดดิ้นและหันหน้ามา
ส่งยิ้มหวานให้พร้อมคำตอบแสนหวานอีกต่างหาก
“เข้าใจค่ะ น้องฟางจะไม่ดื้อไม่ซน พอใจไหมคะ เผด็จการหลงยุค”
เจอเข้าแบบนี้ปรินทร์เกิดอาการเงิบขึ้นมากะทันหันตอบไม่ถูกอยู่พักหนึ่งก่อนยิ้มพร้อมหัวเราะ “หึ หึ หึ”
แล้รีบกระตุกบังเหียรควบม้าเข้าสู่ปากทางเข้าผาตะวันที่มีแต่ต้นไม้สองข้างทางโดยไม่รู้ว่าคนยิ้มหวานเสียงหวาน
ได้บ่นว่าเขาในใจเต็มอัตราศึกตั้งแต่เขาควบม้าเข้าสู่ป่า
‘พี่สตรองบ้าแกล้งได้แกล้งดี จอมเผด็จการ ใหญ่เหลือเกินนะ เอาแต่สั่งๆ ไม่ใช่ลูกน้องนะ ไม่รู้เอาความ
น่ารักแสนดีไปทิ้งไว้ไหนหมด คอยดูนะอย่าให้ถึงโอกาสของเราบ้าง จะเอาคืนให้เข็ดเลย’
แม้จะไม่พอใจจอมเผด็จการอย่างไรลษิดาก็ยังอดตื่นเต้นกับสองข้างทางที่นึกว่ามีแต่ป่ากับต้นไม้ แต่พอ
ผ่านไปได้สักระยะหนึ่งเธอก็เริ่มเห็นความงดงามของดอกไม้ป่า ลำธารน้ำใส บางช่วงมีน้ำตกด้วย แถมมีเสียงนก
ร้องในบางครั้ง บางที่ก็เป็นเนินหญ้าเขียวขจีและมีดอกไม้ป่าสีเหลืองสีแดงสีขาวสีม่วงแซมบ้าง จนเธออดชื่นชม
หลงใหลความงามของเส้นทางธรรมชาติอันงดงามไม่ได้และเผลออุทานออกมาเบาๆ
“สวยจัง” และก็มีเสียงตอบกลับมาทันควัน “ที่เห็นนี่แค่น้ำจิ้ม สวยกว่านี้ยังมีอีก ไว้วันหลังจะพาไป
เที่ยวชมให้หายอยาก”
“จริงนะ พี่สตรอง” ลษิดากลายเป็นเด็กใจแตกอยากเที่ยวไปเสียแล้ว ลืมเรื่องขุ่นมัวจอมเผด็จการหมด
“จริง ถ้าพี่ว่างนะ” จอมเผด็จการเหมือนใจดีในตอนแรกแต่ท้ายที่สุดก็ทำให้เด็กใจแตกมีสีหน้าผิดหวัง
“งั้นจะหาคนอื่นพาเที่ยวแทน” เด็กใจแตกก็ร้ายไม่เบาเริ่มแผลงฤทธิ์ ไม่เชื่อหรอกจะมีเขาแค่คนเดียวใน
บ้านของเขา
“ถ้าอย่างนั้นคงอดเที่ยวแน่” เขาขู่นิ่มๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ไปเที่ยวเหมือนกัน” เมื่อเขาขู่ได้เธอก็ตั้งแง่ได้เหมือนกัน
“จะอดใจไหวเรอะ”
“พี่สตรองก็คอยดูแล้วกัน”
“เอาล่ะเด็กช่างเถียง หยุดเถียงก่อน ถึงแล้ว” ปรินทร์เปลี่ยนเรื่องแล้วเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าและช้อนอุ้ม
เด็กช่างเถียงลงมาหยุดยืนอยู่ณสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งลษิดาเห็นแล้วทำหน้าสงสัย ก็ที่เขาว่าถึงแล้วมันมีแค่ต้นไม้
ใหญ่สีสวยปลูกเป็นแนวติดๆกันเหมือนกำแพงต้นไม้ยาวสุดลูกหูลูกตาแต่จุดที่เธอยืนอยู่เป็นซุ้มประตูโค้งครึ่ง
วงกลมมีดอกไม้เลื้อยสีสวยหลายสีหุ้มซุ้มประตูอีกทีทว่าเป็นซุ้มประตูที่กว้างใหญ่มาก ใหญ่พอให้รถผ่านได้
ด้านในที่เห็นมีหินก้อนใหญ่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมวางเรียงซ้อนกันเป็นทางเดินข้างทางเป็นต้นหญ้าสีเขียวขจีแซม
ดอกไม้ป่าหลากสีสันทอดไปเป็นแนวยาวไปจนถึงบ้านหลังหนึ่งที่เห็นได้ในระยะไกล
“ที่นี่ที่ไหนคะ” เธออยากรู้อย่างมาก
“ผาตะวัน บ้านแท้จริงของพี่เอง เข้าไปข้างในกันเถอะ รับรองน้องฟางต้องชอบ” เขาดูมั่นใจมาก ที่เขาจง
ใจใช้ม้ามาเส้นทางผ่านป่าเขาอันงดงามแทนเส้นทางหลักที่เข้าด้านหน้าตามถนนลาดยางเพื่อให้เธอเพลินกับ
ธรรมชาติอันงดงามจะได้ผ่อนคลายความเครียดจากการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้น
“รู้ดี” เสียงหวานใสประชดเบาๆด้วยความหมั่นไส้คนรู้ดีระหว่างเดินตามือใหญ่แข็งแรงที่จับจูงมือเธอ
ผ่านซุ้มประตูดอกไม้เข้าไป
“รู้สิ ไม่อย่างนั้นตอนเด็กๆน้องฟางจะติดพี่แจเหรอ” เขาหันมาบอกพลางจ้องมาหน้าเธอแล้วยิ้มยั่วนัยน์
ตาพราวจนเธอตั้งรับไม่ทันกับอารมณ์ของเขา
“เวลาเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยน ของที่เคยติดตอนเด็กโตแล้วก็เลิก” เธออยากทำลายความมั่นใจของคนตัว
ใหญ่แถมอายุก็ใหญ่กว่าเธอมาก อย่างน้อยก็เพื่อความสุขใจเล็กน้อยๆที่ได้เอาคืนพี่สตรองจอมยั่วช่างแกล้งบ้าง
แต่..ไม่ทันถึงสามวินาทีเธอก็ต้องเสียแก้มให้พี่สตรองจอมยั่วช่างแกล้งเพราะแก้มเนียนใสถูกฝังจูบแรงๆโดยไม่รู้ตัว
“อุ๊ย”
“อุ๊ยหอมเนียนนุ่มเหมือนตอนเด็กๆเลย”
เจ้าของแก้มหอมเนียนนุ่มได้ยินแล้วทั้งฉุนทั้งอายแต่ก็เลือกที่จะเงียบและทำเฉยเสียแต่อีกฝ่ายกลับไม่
เงียบยังคงพูดต่อ
“แก้มน้องฟางพี่ยังชอบเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแม้เวลาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน” ลษิดาได้ยินแล้วก็ให้
ย้อนนึกถึงสมัยเด็กๆที่ปรินทร์ชอบหอมแก้มเธอบ่อยๆ ยามมารดาหรือผู้ใหญ่เผลอแต่ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้
คิดอะไรมากเพราะมารดาหรือผู้ใหญ่บางคนก็ชอบหอมแก้มเธอด้วยความเอ็นดูในความน่ารักจนอดใจไม่ไหว
เหมือนกันแต่มาตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วสิ
‘พี่สตรองร้ายนักคิดไม่ดีกับเราตั้งแต่เด็ก มันน่านัก’ เธอได้แต่เข่นเขี้ยวในใจแต่ไม่กล้าทำอะไรกลัวถูกคน
คิดไม่ดีกับเด็กเอาเปรียบอีกจึงได้แต่เดินตามร่างสูงใหญ่ไปตามทางเดินจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีกำแพงดอกกุ
หลาบหลากสีช่อใหญ่ลำต้นสูงปลูกติดๆกันโอบล้อมตัวบ้านซึ่งสร้างด้วยไม้สองชั้นแบบผสมผสานระหว่างไทย
กับเทศปลูกบนเนินหญ้าเขียวขจี ด้านหลังมีขุนเขาโอบล้อมดูแล้วสวยงามมาก
ร่างสูงใหญ่เดินไปเคาะประตูสามครั้งประตูก็เปิดออกอัตโนมัติ พอประตูเปิดออกลษิดาก็เห็นหญิงวัย
เดียวกับมารดาของเธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่งกายด้วยผ้าไหมสีเขียวอ่อนดูเรียบร้อยสวยงามซึ่งเธอรู้สึกคุ้น
หน้ายืนอยู่ตรงหน้ากับหญิงวัยใกล้เคียงกันสวมผ้าซิ่นสีน้ำตาลกับเสื้อลูกไม้สีเหลืองอ่อนยืนอยู่ข้างกาย
“คุณแม่ลงทุนมารอน้องฟางถึงหน้าประตู สงสัยผมคงตกกระป๋องเร็วๆนี้แน่ นี่ผมคิดผิดหรือถูกที่พามา”
ปรินทร์ยั่วมารดาก็จริงแต่ลษิดากลับรู้สึกเหมือนเขาจงใจยั่วเธอมากกว่า
“ขอบใจนะที่ช่วยแนะนำ แม่กำลังอยากเขี่ยลูกชายปากร้ายออกจากกองมรดกแล้วหาลูกสาวแทน” พีรชา
ทำเอาบุตรชายหน้าจืดสนิทแต่กลับทำให้ว่าที่ลูกสาวลอบยิ้มได้ อย่างน้อยก็มีคนเอาคืนพี่สตรองตัวร้ายของเธอได้
ต่อมาก็หน้าแดงจัดเมื่อถูกพี่สตรองตัวร้ายหอมแก้มต่อหน้าบุคคลที่สามที่สี่
“โทษฐานแอบยิ้มเยอะพี่” ปรินทร์ฉวยโอกาสเอาเปรียบแก้มเธอโดยหาข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย
โดยที่ลษิดาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในฐานะเสียเปรียบ
เพี๊ยะ! พีรชาทนไม่ไหวกับพฤติกรรมไม่สำรวมของบุตรชายเลยตีแรงๆที่มือหนาแข็งแรงของเขาตามมาด้วย
เสียงต่อว่า “สตรอง ความเป็นสุภาพบุรุษหายไปไหน น้องเป็นสาวแล้วนะจะทำเหมือนตอนเด็กๆไม่ได้”
“สำหรับผม ไม่ว่าตอนเด็กหรือตอนโต ความรู้สึกของผมที่มีต่อน้องฟางก็ไม่เปลี่ยน” สีหน้ากับน้ำเสียงจริง
จังที่บอกทำให้พีรชาทำหน้าไม่ถูก ไม่คิดว่าบุตรชายจะจริงจัง ปกติมักจะหยอกล้อเล่นกับเธอมากกว่า ขณะที่ลษิ
ดาเกิดอาการไม่แน่ใจมึนงงสงสัยในความหมาย ส่วนหญิงสูงวัยที่ยืนข้างกายพีรชาก็มีสีหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ขอยุ่ง
เกี่ยวเพราะเป็นเรื่องของเจ้านายปล่อยให้นายจัดการกันเอง
“สตรองเก็บความรู้สึกของลูกไว้ก่อน จะแนะนำน้องให้แม่รู้จักเป็นทางการได้หรือยัง แม่จะได้พาน้องไป
พักเสียที” พีรชาเป็นฝ่ายตัดบทเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นใจลษิดา เธอเข้าใจหญิงสาวคงทำตัวไม่ถูกแน่อยู่ดีๆก็ถูก
บุตรชายตัวดีบอกรักโดยไม่ทันตั้งตัวแต่จะรู้ตัวหรือเปล่ายังไม่รู้ ยอมรับว่าบุตรสาวบุตรธรรมของเพื่อนรักนั้น
สวยน่ารักไปทั้งตัวหาข้อติไม่ได้ สมัยเด็กลษิดาก็น่ารักน่าชังอยู่แล้ว โตเป็นสาวยิ่งสวยยิ่งน่ารักจนน่าอิจฉาอย่างนี้
จะไม่ให้บุตรชายซึ่งไม่เคยชายตาสาวใดรักได้อย่างไร รูปร่างหน้าตาคงไม่สามารถทำให้หัวใจของปรินทร์อ่อนไหว
ได้คงเป็นความผูกพันทางใจที่มีมาตั้งแต่สมัยเด็กมากกว่าจึงทำให้บุตรชายของเธอไม่ลืมลษิดาไปจากใจได้
“ได้ครับแม่ แต่ผมเชื่อว่าน้องฟางคงจำคุณแม่คนสวยของพี่สตรองได้แน่ จริงมั้ยน้องฟาง” ปรินทร์หันมา
ถามลษิดาที่ยังทำหน้าไม่ถูกกับอารมณ์ของเขา
“เอ่อ..ค่ะ น้องฟางสวัสดีคุณน้าพีรชาค่ะ” ลษิดายกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างงดงามตามมารยาทที่มารดา
อบรมมาตั้งแต่เล็กไปโดยอัตโนมัติมากกว่าเพราะยังมึนกับคำพูดของปรินทร์
“น่ารักจริงลูก มากับน้าดีกว่ามาเหนื่อยๆคงอยากพัก แล้วนี่กระเป๋าไปไหนจะได้ให้เด็กไปขนให้” พีรชา
ปฏิบัติกับลษิดาเหมือนลูกเหมือนหลานจนหญิงสาวอดซึ้งใจไม่ได้ขณะเดียวกันก็นึกถึงกระเป๋าเดินทางขึ้นมาได้
และเหมือนปรินทร์จะรู้ความคิดเธอจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“อีกสักพักฟาลคงเอามาให้ ผมทิ้งรถไว้ปากทางและให้ฟาลขับกลับมา ผมกับน้องฟางมาขี่เจ้าสมาร์ท
มาอีกทางหนึ่ง” ลษิดาถึงรู้ว่าม้าสีดำตัวใหญ่ชื่อสมาร์ท ส่วนคนชื่อฟาลเธอไม่รู้จัก
“ถ้างั้นแม่พาหนูฟางไปดูห้องพักก่อนดีกว่า ส่วนลูกมีอะไรก็ไปทำ จากผาตะวันไปเป็นเดือนคงมีเรื่องให้
สะสางเยอะ” พีรชาไล่บุตรชายทางอ้อมเธอมีเรื่องอยากพูดคุยกับลษิดามากมาย
“คุณแม่ได้ลูกสาวแล้วลืมลูกชายเลย ไม่เป็นไรยกให้น้องฟางคนหนึ่ง อนาคตจะได้ไม่มีปัญหาแม่..ผมไป
ดีกว่าไม่อยากให้ฟาลรอนาน” ก่อนไปเขาขยับไปใกล้มารดาแล้วหอมแก้มทำเหมือนปกติแต่ที่ไม่ปกติคือถือโอกาส
หอมแก้มลูกสาวมารดาด้วยโดยไม่มีใครคาดคิดก่อนพูดแก้ตัวว่า “กลัวน้องฟางน้อยใจ พี่เลยจัดให้เหมือนกัน จะได้
ไม่ถูกต่อว่าทีหลังว่าลำเอียง” ว่าแล้วก็รีบเดินจากไป ไม่สนใจว่าคนถูกฉวยโอกาสจะเขินอายแค่ไหน
‘พี่สตรองบ้า แก้มน้องฟางไม่ใช่ของสาธารณะนะ” ลษิดาประท้วงในใจขืนประท้วงออกเสียงคนที่อายคง
เป็นเธอ
“อย่าไปถือสาลูกชายน้าเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ น้าอยากแนะนำให้รู้จักคนของน้า พี่สมรอยู่กับ
น้ามานาน พี่สมรรู้จักคุณลษิดาลูกสาวเพื่อนสนิทฉัน” พีรชาแนะนำสตรีวัยใกล้เคียงกับเธอที่ยืนข้างกายให้ลษิดา
รู้จักเพื่อช่วยให้หญิงสาวหายเขินอายจากการถูกบุตรชายแกล้งเอา
“สวัสดีค่ะป้าสมร ฟางขอเรียกป้าก็แล้วกันนะคะ มีอะไรแนะนำสั่งสอนก็ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ถือว่าฟางเป็น
ลูกหลานนะคะ” ลษิดายกมือไหว้และฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ใหญ่ เธอมาอยู่บ้านคนอื่นการทำให้เจ้าของบ้านและคน
ในบ้านรักและเอ็นดูย่อมดีกว่ายกเว้นผู้ใหญ่บางคนที่ต้องเอาคืน
“โถ..น่ารักอะไรอย่างนี้ ทั้งสวยทั้งน่ารัก อย่างนี้เองคุณสตรองถึงได้..” สมรพูดยังไม่ทันจบเสียงของพีรชา
ก็ดังแทรกขึ้น
“พี่สมรอย่ามัวพูดมากเลย ให้ใครไปช่วยยกกระเป๋าของหนูฟางมาที่ห้องที ฟาลคงมาถึงแล้ว”
“จริงสิ พี่ลืมไป” สมรพาร่างท้วมเดินไปตามทางเดินปูลาดด้วยหินก้อนใหญ่ไปตามทางเดินที่ทอดยาว
ลงไปตามเนินหญ้าซึ่งลษิดาไม่รู้ว่าใต้เนินนั้นมีอะไรอยู่บ้างแต่ไม่ช้าคงได้รู้วันนี้เธอเหนื่อยอยากพักจึงเดินตามผู้
สูงวัยกว่าไปด้านในซึ่งตกแต่งได้สวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติอันงดงามเป็นไม้ผสมอิฐจนมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่ง
มีเตาผิงอยู่ บอกให้รู้ว่าอากาศที่นี่คงหนาวไม่น้อยแต่ที่สะดุดตาเธอคือหญิงสาวซึ่งนั่งจัดดอกไม้ใส่เจกันอยู่ข้างโต๊ะ
ไม้โอ๊กทรงกลมตัวใหญ่สวมกระโปรงบานลายสวยยาวถึงข้อเท้าสีน้ำตาลกับเสื้อสีน้ำตาลถักเป็นเปียไว้อย่างเรียบ
ร้อย ผิวขาว ใบหน้าเรียวรูปไข่สวยงามหมดจด ดูอ่อนหวานนักหนา และดูเหมือนหญิงสาวจะรู้ว่ามีผู้มาเยือนจึงหัน
หน้ามาหาแล้วยิ้มให้
“คุณป้านายคะเดือนเห็นดอกไม้ป่าพวกนี้สวยดีเลยเก็บมาปักแจกันในห้องนั่งเล่นให้ค่ะ” สวยสวยหน้าหวาน
บอกกับพีรชาทว่าสายตากลับจับจ้องมองลษิดาอย่างสำรวจตรวจตาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกหาก
ไม่ใช่การชื่นชมแน่
++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้ทุกคนโขคดีตลอดปี สุขภาพแข็งแรง มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต อาจจะมาลงให้อ่านช้า
ไปหน่อย ถ้ารักกันจริงอย่าลืมกันนะคะ มีปัญหาเรื่องสายตาค่ะ เจ็บบ่อยค่ะ
HAPPY NEW YEAR ค่ะ
ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาโอบไหล่ลษิดาอย่างถือสิทธิ์โดยคนถูกอ้างสิทธิ์แหงนหน้าจ้องมอง
อย่างไม่พอใจทว่ากลับเงียบไม่ส่งเสียงแย้งใดๆปล่อยให้คนอื่นส่งเสียงแทน
“คุณปรินทร์ คุณทำผมแปลกใจนะ ไม่เห็นมีข่าวว่าคุณแต่งงานเลยนี่แล้วจะให้ผมช่วยกระจายข่าวไหม”
คนแรกที่ส่งเสียงคือกฤติซึ่งดูเหมือนจะรู้จักปรินทร์ดีจนทานุกับลษิดาแปลกใจ
ทานุยังตั้งตัวไม่ทันที่เห็นปรินทร์อีกครั้งแม้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไปมากแต่เค้าหน้ากับนิสัยดูไม่เปลี่ยน
จากเดิมเท่าไรนัก ยามปรินทร์อยู่กับลษิดาจะปกป้องหวงเธอราวไข่ในหิน ใครรังแกลษิดาปรินทร์จะลุยแหลกและ
เอาคืนแบบไม่กลัวเกรง เพื่อนๆของเขาต่างเคยเจอมาแล้วแม้ตอนเกิดเรื่องเขาจะไม่อยู่ก็ตาม ตอนนี้ลษิดาโตเป็น
สาวหน้าตาสวยเอามากๆ มีหรือปรินทร์จะไม่หวงมากกว่าเก่าอีก และลษิดาคงมาพักที่นี่ไม่ได้หากไม่ใช่ปรินทร์พา
มาแต่ที่เขาสงสัยคือทั้งคู่ไปพบกันได้อย่างไร เขาไม่เคยเห็นลษิดาคบหาผู้ชายคนไหนหรือไปไหนไกลจากบ้าน
ปกติเธอมักอยู่บ้านมากกว่าถ้าไม่ไปมหาวิทยาลัย ช่วงงานศพมารดาปรินทร์ก็ไม่มาร่วมงาน แล้วทำไมทั้งคู่จึงมา
ด้วยกันหรือเขามัวทำแต่งานเลยไม่ทันสังเกต
“ฟางบอกพี่มาซิ ฟางกับสตรองแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อไหร่” เมื่อสงสัยทานุจึงถามแต่เขาเลือกจะถาม
ลษิดาแทน หากถามปรินทร์คงไม่ได้คำตอบแน่
ลษิดานิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี รู้อยู่เต็มอกว่าปรินทร์โกหก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเธอก็ไม่ชอบใจ
ทั้งนั้น แต่ถ้าบอกความจริงเธออาจต้องกลับไปกับทานุและผจญกับคนที่เกลียดเธออยากกำจัดเธออีกแล้วจะ
ทำอย่างไรดี
“น้องฟางจ๊ะ ทำไมไม่ตอบคุณทานุไปว่าเราแต่งงานกันเมื่อไหร่” บอกเสร็จก็หอมแก้มนวลใสฟอดใหญ่
อวดโชว์คนอื่นเป็นการยืนยันโดยที่เจ้าของแก้มไม่ทันตั้งตัวเลยเกิดอาการนิ่งตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งต่อมาก็อายและ
ไม่พอใจจึงแอบจิกเล็บลงบนท่อนแขนแข็งแรงแล้วทำหน้าเฉยเสีย
“ผมว่าคุณกุเรื่องขึ้นมามากกว่า น้องสาวผมเป็นเด็กดี ไม่เคยไปไหนมาไหนกับผู้ชายตามลำพังมาก่อน
และอยู่ดูแลคุณแม่มาตลอดกระทั่งท่านเสีย เพิ่งจะผ่านพ้นงานศพคุณแม่มาไม่นาน อยู่ดีๆจะมีสามีได้ยังไง ฟาง
บอกพี่มาซิ ผู้ชายคนนี้ฉุดฟางมาใช่ไหม” ทานุเห็นลษิดายังเงียบเลยถามย้ำอีกครั้ง เขาไม่อยากปะทะกับปรินทร์
จึงต้องกดดันเธอให้บอกความจริง เขารู้น้องสาวบุญธรรมคนนี้ไม่เคยโกหก
“น้องฟางถ้าเกรงใจพี่นุของน้องฟางไม่กล้าบอกก็ตามใจ เราเลิกกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน” ก่อนลษิดาจะตอบ
ปรินทร์ก็ชิงพูดแทรกขึ้นก่อนแล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังมามอง
“ฟางมันทิ้งฟางแล้ว กลับบ้านกับพี่นะ” ทานุรีบฉวยจังหวะที่ลษิดากำลังมึนงงกับการกระทำของปรินทร์
ชวนเธอกลับทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาผิดหวัง
“ไม่คะฟางเป็นเมียเขาแล้ว ต้องตามเขาไปค่ะ ขอโทษค่ะพี่นุ” ลษิดาตัดสินใจในที่สุดเพราะการกลับไปกับ
ทานุคงปลอดภัยน้อยกว่าไปอยู่กับปรินทร์ แล้วร่างบางก็รีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่ไปโดยไม่สนใจว่าทานุจะมีความ
เห็นอย่างไร
“คุณทานุคุณไปจัดการเรื่องน้องสาวคุณให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยหาเวลามานัดผมอีกที พบกันคราวหน้า
ผมหวังว่าจะได้พบน้องสาวคุณอีกครั้งนะ” กฤติเตือนอย่างสุภาพแล้วปล่อยให้ทานุคิดเองว่าจะทำอย่างไรถึงนำตัว
ลษิดากลับมาได้ ดูท่ากฤติคงไม่สนใจเจรจาการค้าเท่ากับลษิดาแน่ ทำไมสิ่งที่เขาหวังต้องพังเพราะปรินทร์ที่มัก
มักขวางและช่วยลษิดาไว้เสมอ แล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะนำตัวลษิดากลับมาอย่างน้อยก็ช่วยให้กฤติยอมรับ
สินค้าค้างสต็อกของเขาก่อนค่อยว่ากัน เห็นทีต้องกลับไปหาวิธีใหม่และสืบให้รู้ว่าทำไมลษิดาถึงมากับปรินทร์ได้
“พี่สตรองรอน้องฟางด้วย อย่าเพิ่งหนีน้องฟางไปไหนนะคะ” ลษิดาส่งเสียงร้องออกไปดังๆและทำท่าจะ
ร้องไห้ขณะเดินตามร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยอมหยุดขณะเดินออกจากโรงแรมไปยังลานจอดรถ ก็เธอเตี้ยกว่าเขาขาก็สั้น
กว่าเขาต่อให้วิ่งก็ไม่ทันคนขายาวจึงต้องส่งเสียงร้องออดอ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ยามวิ่งตามคนตัวใหญ่กว่าไม่ทัน
และมักหยุดร้องไห้อยู่กับที่จนกว่าคนตัวใหญ่จะย้อนกลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกันเธอเลือกที่หยุดยืนนิ่งไม่ซอยเท้าตาม
ต่อเพื่อเล่นเกมวัดใจ อยากรู้พี่สตรองของเธอยังรักและเอ็นดูเธอเหมือนสมัยเด็กๆหรือไม่
แค่เวลาเพียงไม่ถึงนาทีร่างสูงใหญ่ก็เดินย้อนกลับมาแล้วคิ้วหนาเข้มได้รูปก็ขมวดเข้าหากันทำหน้ายุ่งเล็ก
น้อยเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเพราะลษิดาไม่ได้เป่าปี่ให้เห็นเหมือนสมัยเธอยังเป็นน้องฟางตัวน้อยเลยสักนิดแต่กลับ
อมยิ้มเมื่อเห็นปรินทร์เดินกลับมาหา
“มันน่าตีนักเชียว ยายเด็กเจ้าเล่ห์ ระวังเถอะจะถูกพี่สั่งสอนจนกลัวไม่กล้าหลอกลวงใครอีก ที่ตามมานี่
แน่ใจแล้วหรือ” เสียงดุว่าในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นถามอย่างจริงจังพลางจ้องมองหน้าสวยใสงดงามนิ่ง
“แน่ใจอะไรคะ” คนถูกถามเหมือนไม่เข้าใจความหมาย
“แน่ใจว่าจะตามไปอยู่กับพี่ บอกก่อนนะถ้าตามพี่ไป ก็ห้ามกลับไปกับนายทานุอีก แต่ถ้ากลับพี่ก็จะไม่มา
หาน้องฟางอีกต่อไป” ปรินทร์ยื่นคำขาดเพื่อวัดใจลษิดาและป้องกันเธอด้วย เขารู้ดีทานุไม่มีความสามารถพอที่จะ
ปกป้องน้องสาวนอกไส้ซึ่งตัวเองไม่ได้รักใคร่ใส่ใจอะไรมากนัก อยู่ดีๆก็เล่นบทพี่ชายที่หวงน้องสาวมันต้องมีผล
ประโยชน์แอบแฝงอยู่แน่ หากลษิดาจะเลือกพี่ชายนอกไส้เขาจะไม่ยุ่งอีกต่อไป
“ตัดสินใจได้หรือยัง ไปหรือกลับ พี่ให้โอกาสอีกครั้ง” เมื่อเห็นเธอยังเงียบอยู่เขาจึงถามย้ำอีกครั้ง
“ไป” ลษิดาตอบสั้นๆหลังตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ระหว่างปรินทร์ที่คอยปกป้องดูแลเธอกับพี่ชายบุญธรรม
ที่ไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของเธอ การไปอยู่กับปรินทร์ย่อมดีกว่า
“แน่นะ”
“แน่”
“รู้หรือเปล่า ถ้าไปอยู่กับพี่ น้องฟางต้องเปลี่ยนสถานะ”
“สถานะอะไร ไม่เข้าใจ” ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อราวรูปสลักด้วยเครื่องหมายคำถาม ก็เธอไม่
เข้าใจจริงๆนี่นา
“อยากรู้จริงเหรอ อยากรู้ก็ต้องมีค่าคำตอบ ไม่อย่างนั้นยังไม่บอก” ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้าสวยใส
พราวระยับ
“ถ้างั้นไม่อยากรู้แล้ว ถึงเวลาก็รู้เอง” ลษิดาเปลี่ยนใจกะทันหันและสร้างความผิดหวังให้เจ้าของดวงตา
สีนิลเข้ม
“ว้า เปลี่ยนใจง่ายจังน้องฟาง ไม่เป็นไรฝากไว้ก่อน ยังไงน้องฟางก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก” แม้จะเหมือนคำพูด
ปลอบใจตัวเองแต่กลับทำให้คนฟังชักแหยงๆ และเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดผิดหรือถูกที่ตามพี่สตรองมา แต่ก็ยินดีให้มือ
ใหญ่แข็งแรงจับจุงไปขึ้นรถและขับออกไป
=========
กฤติซึ่งพบกับปรินทร์โดยไม่คาดฝันนั้นได้สั่งให้ลูกน้องแอบตามอีกฝ่ายไปห่างๆแล้วให้โทรมารายงานให้
ทราบ บนเส้นทางธุรกิจไม่มีใครไม่รู้จักเขาและไม่มีใครไม่รู้จักนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตสวยๆกับท่องเที่ยวเชิง
เกษตรสวยๆหลายแห่งแต่กลับไม่มีใครรู้ถึงชีวิตส่วนตัวกับที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ยกเว้นเขาซึ่งรู้ว่าปรินทร์ใช้ชีวิตส่วน
ใหญ่ที่ผาตะวันซึ่งเป็นรีสอร์ตแสนสวยแต่กลับดูลึกลับมีมนต์เสน่ห์ให้ผู้คนอยากไปชมทว่าไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้า
ไปพักได้ง่ายๆทั้งนี้เพราะผาตะวันมีสิ่งล้ำค่าซึ่งเขาอยากได้ ผู้คนในสังคมไม่มีใครรู้ว่ากิจการเรือสำราญกับรีสอร์ต
บนเกาะซัมมูนเป็นเพียงธุรกิจบังหน้า
ที่จริงกฤติก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับใครเพราะอาจกระเทือนถึงธุรกิจมืดที่เขาทำอยู่แต่กับปรินทร์มันต่างกัน
เพราะปรินทร์มาเป็นตาอยู่ชิงเอาผาตะวันไปจากมือของเขาทั้งที่เจ้าเดิมเกือบขายให้เขาแล้วหากไม่มีปรินทร์มา
ขวางและทวงสิทธิ์ความเป็นทายาทอันชอบธรรมจนทำให้ผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของทั้งหลายต่างล่าถอยเพราะกลัว
ถูกเอาผิดทางกฏหมายจึงพากันบินหนีไปอยู่ต่างแดนตั้งหลักก่อน คนนอกอย่างเขาที่อยากได้สิ่งล้ำค่าในผาตะวัน
ซึ่งยังไม่มีการสำรวจจริงจังมีอันต้องหลบไปก่อนแล้วเล่นงานลับหลัง แต่มันน่าเจ็บใจนักส่งคนแฝงตัวไปกี่คนๆ
คนของปรินทร์ก็จับได้ทุกครั้งแม้จะยังไม่รู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่เพราะคนที่อยากได้ผาตะวันมาครอบครอง
มีมาก
แต่วันนี้การได้พบน้องสาวบุญธรรมของทานุทำให้เขารู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจัดการกับปรินทร์ได้ กำจัด
ปรินทร์ได้ผาตะวันก็ต้องตกเป็นของเขา เห็นทีงานนี้คนที่จะช่วยเขาได้คือทานุซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากเขา
คงต้องทำตามความต้องการของเขาแน่นอนโดยที่เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย
“คาดเข็มขัดให้ดี ถ้าง่วงก็หลับได้เลย จากนี้ไปจะไม่จอดพักจนกว่าน้ำมันจะหมด” ขึ้นรถได้ปรินทร์ก็บอก
ลษิดาเสียงเข้มเฉียบขาดจนเธอคิดว่าเขากำลังจะออกรบกับใครอย่างนั้นแหละ
“จะไม่ให้เข้าห้องน้ำเลยเหรอ มันเกินไป” ลษิดามีบ่น
“ถ้าปวดก็บอกจะหาปั้มให้เข้า พอใจหรือยังเด็กเจ้าปัญหา” เขาพูดเหมือนคนใจดีแต่น้ำเสียงแข็งกร้าว
“พอใจ” คราวนี้เธอประชดเสียเลย
“เด็กดี” เขากลับอารมณ์ดีหยอกเย้าเธอเล่นแต่ทำให้ลษิดาเริ่มสับสนกับอารมณ์น้ำขึ้นน้ำลงของพี่สตรอง
ที่ยากต่อการคาดเดาแต่เธอก็เลือกที่จะเงียบและจ้องมองวิวทิวทัศน์สองข้างทางแทนเมื่อเห็นว่าเริ่มเข้าสู่เขตป่า
เขาซึ่งดูงดงามไม่น้อย จนเกิดคำถามในใจ
‘พี่สตรองจะพาเราเข้าป่าหรือไงเนี่ย’ แม้จะสงสัยก็ไม่คิดจะถามเมือเห็นอีกฝ่ายมุ่งมั่นขับรถมุ่งไปตามทาง
ข้างหน้าเลยหันกลับมาสนใจวิวทิวทัศน์สองข้างทางต่อดูไปดูมาก็หลับไป และนั่นก็ทำให้ปรินทร์พอใจเขาเร่งความ
เร็วของรถเต็มพิกัตเมื่อเห็นว่ามีรถตามหลังมา ถ้าเดาไม่ผิดต้องเป็นคนของกฤติแน่ กฤติพยายามตามหาเขามา
ตลอดเมื่อพบแล้วคงไม่ปล่อยไว้แน่เพราะกฤติเป็นคนหนึ่งที่อยากครอบครองผาตะวันร่วมกับคนที่เคยอ้างสิทธิ์
มาตลอดและไม่แน่กฤติอาจเป็นคนหนึ่งที่ส่งคนแฝงตัวเข้ามาที่ผาตะวันก็เป็นได้
“ฟาล มีคนสะกดรอยตามฉันมา ช่วยส่งคนมากำจัดเสีย ฉันใกล้ถึงปากทางเข้าผาตะวันแล้ว ฉันจะทิ้งรถ
ไว้หน้าปากทางแล้วเข้าอีกทางเตรียมม้าให้ด้วย ที่เหลือจัดการต่อที จับเป็นพวกมันสอบให้รู้ว่าเป็นพวกนายกฤติ
หรือคนอื่น แล้วจัดการส่งพวกมันกลับไปหาเจ้าของ ส่วนจะให้มีลมหรือสิ้นลมก็แล้วแต่นาย” ปรินทร์สั่งคนสนิท
มือขวาแห่งผาตะวัน เมื่อเห็นรถที่ตามหลังมาตามติดไม่เลิกแม้เขาจะเร่งความเร็วมากแค่ไหน แต่พวกมันไม่รู้ว่า
กำลังจะเจอกับอะไร ไม่ช้านักก็มีรถโฟล์วิลกับรถมอเตอร์ไซด์สีดำคันใหญ่สองคันซึ่งมีคนขับใส่ชุดหนังสีดำ
กับหมวกกันน๊อคแล่นมาขนาบข้างรถที่ตามหลังมาแล้วยิงยางรถรถก่อนที่รถโฟล์วิลจะขับไปจอดขวางหน้าไว้
คนในรถเป็นชายฉกรรจ์ห้าคนสวมแว่นกันแดดสีดำ แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวคล้ายนักท่องเที่ยวทว่าในมือ
กลับมีปืนและระดมยิงใส่รถโฟล์วิล กับรถมอเตอร์ไซด์สีดำสองคัน แต่คนขับกลับหลบได้ขณะที่คนบนรถโฟล์วิล
สองคนได้เปิดประตูออกมาพร้อมยิงสวนกลับพลางเดินตรงเข้าไปหาพวกมันซึ่งยิงกระหน่ำไม่ยังแต่อีกฝ่ายกลับ
หลบได้และไม่กลัวเพราะต่างสวมเสื้อกันกระสุน
“เฮ้ย มันไม่กลัว เอาไงดีว่ะ” หนึ่งในห้าชายฉกรรจ์ถามเพื่อน
“มันไม่กลัวแล้วมึงกลัวหรือไงว่ะ ลุยเลยดีกว่า” พวกมันเองก็เดินลุยเข้าไปหาขณะที่มือก็กราดกระสุน
ใส่ไม่ยั้งแต่ยังไม่ทันที่จะถึงตัวอีกฝ่ายทุกคนก็ล้มลงแล้วนอนแน่นิ่งไปบนพื้นถนนจากเข็มฉีดยาปักหลังซึ่งมาจาก
คนขับมอเตอร์ไซด์นั่นเอง
“ทำดีมากเพื่อน ฝีมือฉีดยายังแม่นเหมือนเดิม โดนยาสลบอย่างแรงจะฟื้นอีกทีก็ถึงบ้านอเวจีมั้ง”
คนขับรถโฟล์วิลบอกแล้วช่วยกันพาคนสลบห้าคนไปขึ้นรถและออกรถมุ่งสู่ผาตะวันที่ใครๆก็อยากไปเที่ยวพัก
ผ่อนกับธรรมชาติอันงดงามดั่งเมืองสวรรค์ทว่าสำหรับผู้ที่เป็นศัตรูคงไม่ใช่เมืองสวรรค์แน่หากถูกจับได้
==========
ปรินทร์พารถเข้าแอบจอดบริเวณลับตาคนห่างจากปากทางเข้าผาตะวันสักร้อยเมตรที่มีม้าสีน้ำตาลเข้ม
ตัวใหญ่ผูกติดกับต้นไม้ใหญ่ก่อนเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ลษิดานั่งอยู่และหลับไปเพราะความเพลียจากการเดินทาง
กับพักผ่อนน้อย ใบหน้าสวยใสยามหลับนั้นดูใสซื่อน่ารักนักหนา เห็นแล้วต้องยอมรับว่า ลษิดานั้นเหมือนได้พร
จากฟ้าหรือไม่ก็บุญกุศลจากชาติปางก่อนที่ได้ทำมาถึงทำให้เธอเกิดมามีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงามน่ารักจน
ใครๆต่างพากันอิจฉา ตอนเธอเป็นเด็กเขาก็ว่าน่ารักนักหนาแล้ว แต่ไม่นึกว่าโตขึ้นจะสวยหมดจดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
โดยเฉพาะแก้มเนียนขาวใสอมชมพู เห็นแล้วอดจรดริมฝีปากลงกับแก้มสาวเพื่อสัมผัสความเนียนนุ่มหอมละ
มุนไม่ได้ก่อนขยับใบหน้าออกห่าง
“เด็กขี้เซา ถูกขโมยจูบยังไม่ตื่นอีก ต้องลองอีกทีมั้ง” พูดแล้วก็ทำตามทันทีคราวนี้คนคิดขโมยหอมแก้ม
สาวไม่หยุดง่ายๆเฝ้าวนเวียนหอมแก้มเนียนนุ่มไปมาจนกว่าจะพอใจจึงขยับออกห่างแต่อดไม่ได้ที่จะสัมผัสเบาๆ
บนกลีบปากอิ่มบางสวยสดสีชมพูเรื่อตามธรรมชาติไม่ใช่สีจากลิปติกแต่ประการใด
“ยังไม่ตื่นอีกแฮะ ถูกขโมยจูบจนแก้มช้ำหมดแล้วนะน้องฟาง สงสัยจะเพลียจริง คงต้องอุ้มแล้วมั้งเรา”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแล้วช้อนอุ้มร่างงามเดินไปที่ม้าตัวใหญ่ แต่พอถึงคนในอ้อมแขนก็ลืมตาขึ้นทันทีพร้อม
ส่งเสียงโวยออกมา
“พี่สตรอง ทำอะไรน้องฟาง”
“ก็อุ้มเด็กขี้เซามาขึ้นม้าไปบ้านพี่ไง” ปรินทร์ตอบขณะที่สองมือแข็งแรงก็จับร่างคนตัวบางกว่าขึ้นไปนั่ง
บนหลังม้าตัวใหญ่พร้อมคำสั่งสำทับ “นั่งนิ่งๆนะถ้าไม่อยากตกจากหลังม้าแล้วกลายเป็นคนพิการ” แล้วเดินไป
ปลดเชือกที่ผูกม้าไว้ก่อนเหวี่ยงตัวขึ้นมานั่งบนหลังม้ามือหนึ่งโอบเอวเล็กบางกลมกลึงไว้อีกมือจับบังเหียรไว้
“พี่สตรองปล่อยน้องฟางนะ น้องฟางไม่ขี่ม้า น้องฟางกลัวตก” ลษิดาดิ้นพลางโวยพลาง
“อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัวตกหรอก พี่กอดน้องฟางแน่นออก อึดอัดหน่อยนะ แต่ถ้าดิ้นมากจะปล่อยให้ตก
แล้วห้ามดื้อด้วย ยังไงๆเราก็ต้องเดินทางด้วยม้าเพราะบ้านพี่อยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย
ตัดสินใจมากับพี่ต้องทำใจเข้าใจไหม” เขาสั่งและขู่ตามคิดว่าเธอจะโวยแต่ผิดคาดเธอหยุดดิ้นและหันหน้ามา
ส่งยิ้มหวานให้พร้อมคำตอบแสนหวานอีกต่างหาก
“เข้าใจค่ะ น้องฟางจะไม่ดื้อไม่ซน พอใจไหมคะ เผด็จการหลงยุค”
เจอเข้าแบบนี้ปรินทร์เกิดอาการเงิบขึ้นมากะทันหันตอบไม่ถูกอยู่พักหนึ่งก่อนยิ้มพร้อมหัวเราะ “หึ หึ หึ”
แล้รีบกระตุกบังเหียรควบม้าเข้าสู่ปากทางเข้าผาตะวันที่มีแต่ต้นไม้สองข้างทางโดยไม่รู้ว่าคนยิ้มหวานเสียงหวาน
ได้บ่นว่าเขาในใจเต็มอัตราศึกตั้งแต่เขาควบม้าเข้าสู่ป่า
‘พี่สตรองบ้าแกล้งได้แกล้งดี จอมเผด็จการ ใหญ่เหลือเกินนะ เอาแต่สั่งๆ ไม่ใช่ลูกน้องนะ ไม่รู้เอาความ
น่ารักแสนดีไปทิ้งไว้ไหนหมด คอยดูนะอย่าให้ถึงโอกาสของเราบ้าง จะเอาคืนให้เข็ดเลย’
แม้จะไม่พอใจจอมเผด็จการอย่างไรลษิดาก็ยังอดตื่นเต้นกับสองข้างทางที่นึกว่ามีแต่ป่ากับต้นไม้ แต่พอ
ผ่านไปได้สักระยะหนึ่งเธอก็เริ่มเห็นความงดงามของดอกไม้ป่า ลำธารน้ำใส บางช่วงมีน้ำตกด้วย แถมมีเสียงนก
ร้องในบางครั้ง บางที่ก็เป็นเนินหญ้าเขียวขจีและมีดอกไม้ป่าสีเหลืองสีแดงสีขาวสีม่วงแซมบ้าง จนเธออดชื่นชม
หลงใหลความงามของเส้นทางธรรมชาติอันงดงามไม่ได้และเผลออุทานออกมาเบาๆ
“สวยจัง” และก็มีเสียงตอบกลับมาทันควัน “ที่เห็นนี่แค่น้ำจิ้ม สวยกว่านี้ยังมีอีก ไว้วันหลังจะพาไป
เที่ยวชมให้หายอยาก”
“จริงนะ พี่สตรอง” ลษิดากลายเป็นเด็กใจแตกอยากเที่ยวไปเสียแล้ว ลืมเรื่องขุ่นมัวจอมเผด็จการหมด
“จริง ถ้าพี่ว่างนะ” จอมเผด็จการเหมือนใจดีในตอนแรกแต่ท้ายที่สุดก็ทำให้เด็กใจแตกมีสีหน้าผิดหวัง
“งั้นจะหาคนอื่นพาเที่ยวแทน” เด็กใจแตกก็ร้ายไม่เบาเริ่มแผลงฤทธิ์ ไม่เชื่อหรอกจะมีเขาแค่คนเดียวใน
บ้านของเขา
“ถ้าอย่างนั้นคงอดเที่ยวแน่” เขาขู่นิ่มๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ไปเที่ยวเหมือนกัน” เมื่อเขาขู่ได้เธอก็ตั้งแง่ได้เหมือนกัน
“จะอดใจไหวเรอะ”
“พี่สตรองก็คอยดูแล้วกัน”
“เอาล่ะเด็กช่างเถียง หยุดเถียงก่อน ถึงแล้ว” ปรินทร์เปลี่ยนเรื่องแล้วเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าและช้อนอุ้ม
เด็กช่างเถียงลงมาหยุดยืนอยู่ณสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งลษิดาเห็นแล้วทำหน้าสงสัย ก็ที่เขาว่าถึงแล้วมันมีแค่ต้นไม้
ใหญ่สีสวยปลูกเป็นแนวติดๆกันเหมือนกำแพงต้นไม้ยาวสุดลูกหูลูกตาแต่จุดที่เธอยืนอยู่เป็นซุ้มประตูโค้งครึ่ง
วงกลมมีดอกไม้เลื้อยสีสวยหลายสีหุ้มซุ้มประตูอีกทีทว่าเป็นซุ้มประตูที่กว้างใหญ่มาก ใหญ่พอให้รถผ่านได้
ด้านในที่เห็นมีหินก้อนใหญ่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมวางเรียงซ้อนกันเป็นทางเดินข้างทางเป็นต้นหญ้าสีเขียวขจีแซม
ดอกไม้ป่าหลากสีสันทอดไปเป็นแนวยาวไปจนถึงบ้านหลังหนึ่งที่เห็นได้ในระยะไกล
“ที่นี่ที่ไหนคะ” เธออยากรู้อย่างมาก
“ผาตะวัน บ้านแท้จริงของพี่เอง เข้าไปข้างในกันเถอะ รับรองน้องฟางต้องชอบ” เขาดูมั่นใจมาก ที่เขาจง
ใจใช้ม้ามาเส้นทางผ่านป่าเขาอันงดงามแทนเส้นทางหลักที่เข้าด้านหน้าตามถนนลาดยางเพื่อให้เธอเพลินกับ
ธรรมชาติอันงดงามจะได้ผ่อนคลายความเครียดจากการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้น
“รู้ดี” เสียงหวานใสประชดเบาๆด้วยความหมั่นไส้คนรู้ดีระหว่างเดินตามือใหญ่แข็งแรงที่จับจูงมือเธอ
ผ่านซุ้มประตูดอกไม้เข้าไป
“รู้สิ ไม่อย่างนั้นตอนเด็กๆน้องฟางจะติดพี่แจเหรอ” เขาหันมาบอกพลางจ้องมาหน้าเธอแล้วยิ้มยั่วนัยน์
ตาพราวจนเธอตั้งรับไม่ทันกับอารมณ์ของเขา
“เวลาเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยน ของที่เคยติดตอนเด็กโตแล้วก็เลิก” เธออยากทำลายความมั่นใจของคนตัว
ใหญ่แถมอายุก็ใหญ่กว่าเธอมาก อย่างน้อยก็เพื่อความสุขใจเล็กน้อยๆที่ได้เอาคืนพี่สตรองจอมยั่วช่างแกล้งบ้าง
แต่..ไม่ทันถึงสามวินาทีเธอก็ต้องเสียแก้มให้พี่สตรองจอมยั่วช่างแกล้งเพราะแก้มเนียนใสถูกฝังจูบแรงๆโดยไม่รู้ตัว
“อุ๊ย”
“อุ๊ยหอมเนียนนุ่มเหมือนตอนเด็กๆเลย”
เจ้าของแก้มหอมเนียนนุ่มได้ยินแล้วทั้งฉุนทั้งอายแต่ก็เลือกที่จะเงียบและทำเฉยเสียแต่อีกฝ่ายกลับไม่
เงียบยังคงพูดต่อ
“แก้มน้องฟางพี่ยังชอบเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแม้เวลาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน” ลษิดาได้ยินแล้วก็ให้
ย้อนนึกถึงสมัยเด็กๆที่ปรินทร์ชอบหอมแก้มเธอบ่อยๆ ยามมารดาหรือผู้ใหญ่เผลอแต่ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้
คิดอะไรมากเพราะมารดาหรือผู้ใหญ่บางคนก็ชอบหอมแก้มเธอด้วยความเอ็นดูในความน่ารักจนอดใจไม่ไหว
เหมือนกันแต่มาตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วสิ
‘พี่สตรองร้ายนักคิดไม่ดีกับเราตั้งแต่เด็ก มันน่านัก’ เธอได้แต่เข่นเขี้ยวในใจแต่ไม่กล้าทำอะไรกลัวถูกคน
คิดไม่ดีกับเด็กเอาเปรียบอีกจึงได้แต่เดินตามร่างสูงใหญ่ไปตามทางเดินจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีกำแพงดอกกุ
หลาบหลากสีช่อใหญ่ลำต้นสูงปลูกติดๆกันโอบล้อมตัวบ้านซึ่งสร้างด้วยไม้สองชั้นแบบผสมผสานระหว่างไทย
กับเทศปลูกบนเนินหญ้าเขียวขจี ด้านหลังมีขุนเขาโอบล้อมดูแล้วสวยงามมาก
ร่างสูงใหญ่เดินไปเคาะประตูสามครั้งประตูก็เปิดออกอัตโนมัติ พอประตูเปิดออกลษิดาก็เห็นหญิงวัย
เดียวกับมารดาของเธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่งกายด้วยผ้าไหมสีเขียวอ่อนดูเรียบร้อยสวยงามซึ่งเธอรู้สึกคุ้น
หน้ายืนอยู่ตรงหน้ากับหญิงวัยใกล้เคียงกันสวมผ้าซิ่นสีน้ำตาลกับเสื้อลูกไม้สีเหลืองอ่อนยืนอยู่ข้างกาย
“คุณแม่ลงทุนมารอน้องฟางถึงหน้าประตู สงสัยผมคงตกกระป๋องเร็วๆนี้แน่ นี่ผมคิดผิดหรือถูกที่พามา”
ปรินทร์ยั่วมารดาก็จริงแต่ลษิดากลับรู้สึกเหมือนเขาจงใจยั่วเธอมากกว่า
“ขอบใจนะที่ช่วยแนะนำ แม่กำลังอยากเขี่ยลูกชายปากร้ายออกจากกองมรดกแล้วหาลูกสาวแทน” พีรชา
ทำเอาบุตรชายหน้าจืดสนิทแต่กลับทำให้ว่าที่ลูกสาวลอบยิ้มได้ อย่างน้อยก็มีคนเอาคืนพี่สตรองตัวร้ายของเธอได้
ต่อมาก็หน้าแดงจัดเมื่อถูกพี่สตรองตัวร้ายหอมแก้มต่อหน้าบุคคลที่สามที่สี่
“โทษฐานแอบยิ้มเยอะพี่” ปรินทร์ฉวยโอกาสเอาเปรียบแก้มเธอโดยหาข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย
โดยที่ลษิดาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในฐานะเสียเปรียบ
เพี๊ยะ! พีรชาทนไม่ไหวกับพฤติกรรมไม่สำรวมของบุตรชายเลยตีแรงๆที่มือหนาแข็งแรงของเขาตามมาด้วย
เสียงต่อว่า “สตรอง ความเป็นสุภาพบุรุษหายไปไหน น้องเป็นสาวแล้วนะจะทำเหมือนตอนเด็กๆไม่ได้”
“สำหรับผม ไม่ว่าตอนเด็กหรือตอนโต ความรู้สึกของผมที่มีต่อน้องฟางก็ไม่เปลี่ยน” สีหน้ากับน้ำเสียงจริง
จังที่บอกทำให้พีรชาทำหน้าไม่ถูก ไม่คิดว่าบุตรชายจะจริงจัง ปกติมักจะหยอกล้อเล่นกับเธอมากกว่า ขณะที่ลษิ
ดาเกิดอาการไม่แน่ใจมึนงงสงสัยในความหมาย ส่วนหญิงสูงวัยที่ยืนข้างกายพีรชาก็มีสีหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ขอยุ่ง
เกี่ยวเพราะเป็นเรื่องของเจ้านายปล่อยให้นายจัดการกันเอง
“สตรองเก็บความรู้สึกของลูกไว้ก่อน จะแนะนำน้องให้แม่รู้จักเป็นทางการได้หรือยัง แม่จะได้พาน้องไป
พักเสียที” พีรชาเป็นฝ่ายตัดบทเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นใจลษิดา เธอเข้าใจหญิงสาวคงทำตัวไม่ถูกแน่อยู่ดีๆก็ถูก
บุตรชายตัวดีบอกรักโดยไม่ทันตั้งตัวแต่จะรู้ตัวหรือเปล่ายังไม่รู้ ยอมรับว่าบุตรสาวบุตรธรรมของเพื่อนรักนั้น
สวยน่ารักไปทั้งตัวหาข้อติไม่ได้ สมัยเด็กลษิดาก็น่ารักน่าชังอยู่แล้ว โตเป็นสาวยิ่งสวยยิ่งน่ารักจนน่าอิจฉาอย่างนี้
จะไม่ให้บุตรชายซึ่งไม่เคยชายตาสาวใดรักได้อย่างไร รูปร่างหน้าตาคงไม่สามารถทำให้หัวใจของปรินทร์อ่อนไหว
ได้คงเป็นความผูกพันทางใจที่มีมาตั้งแต่สมัยเด็กมากกว่าจึงทำให้บุตรชายของเธอไม่ลืมลษิดาไปจากใจได้
“ได้ครับแม่ แต่ผมเชื่อว่าน้องฟางคงจำคุณแม่คนสวยของพี่สตรองได้แน่ จริงมั้ยน้องฟาง” ปรินทร์หันมา
ถามลษิดาที่ยังทำหน้าไม่ถูกกับอารมณ์ของเขา
“เอ่อ..ค่ะ น้องฟางสวัสดีคุณน้าพีรชาค่ะ” ลษิดายกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างงดงามตามมารยาทที่มารดา
อบรมมาตั้งแต่เล็กไปโดยอัตโนมัติมากกว่าเพราะยังมึนกับคำพูดของปรินทร์
“น่ารักจริงลูก มากับน้าดีกว่ามาเหนื่อยๆคงอยากพัก แล้วนี่กระเป๋าไปไหนจะได้ให้เด็กไปขนให้” พีรชา
ปฏิบัติกับลษิดาเหมือนลูกเหมือนหลานจนหญิงสาวอดซึ้งใจไม่ได้ขณะเดียวกันก็นึกถึงกระเป๋าเดินทางขึ้นมาได้
และเหมือนปรินทร์จะรู้ความคิดเธอจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“อีกสักพักฟาลคงเอามาให้ ผมทิ้งรถไว้ปากทางและให้ฟาลขับกลับมา ผมกับน้องฟางมาขี่เจ้าสมาร์ท
มาอีกทางหนึ่ง” ลษิดาถึงรู้ว่าม้าสีดำตัวใหญ่ชื่อสมาร์ท ส่วนคนชื่อฟาลเธอไม่รู้จัก
“ถ้างั้นแม่พาหนูฟางไปดูห้องพักก่อนดีกว่า ส่วนลูกมีอะไรก็ไปทำ จากผาตะวันไปเป็นเดือนคงมีเรื่องให้
สะสางเยอะ” พีรชาไล่บุตรชายทางอ้อมเธอมีเรื่องอยากพูดคุยกับลษิดามากมาย
“คุณแม่ได้ลูกสาวแล้วลืมลูกชายเลย ไม่เป็นไรยกให้น้องฟางคนหนึ่ง อนาคตจะได้ไม่มีปัญหาแม่..ผมไป
ดีกว่าไม่อยากให้ฟาลรอนาน” ก่อนไปเขาขยับไปใกล้มารดาแล้วหอมแก้มทำเหมือนปกติแต่ที่ไม่ปกติคือถือโอกาส
หอมแก้มลูกสาวมารดาด้วยโดยไม่มีใครคาดคิดก่อนพูดแก้ตัวว่า “กลัวน้องฟางน้อยใจ พี่เลยจัดให้เหมือนกัน จะได้
ไม่ถูกต่อว่าทีหลังว่าลำเอียง” ว่าแล้วก็รีบเดินจากไป ไม่สนใจว่าคนถูกฉวยโอกาสจะเขินอายแค่ไหน
‘พี่สตรองบ้า แก้มน้องฟางไม่ใช่ของสาธารณะนะ” ลษิดาประท้วงในใจขืนประท้วงออกเสียงคนที่อายคง
เป็นเธอ
“อย่าไปถือสาลูกชายน้าเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ น้าอยากแนะนำให้รู้จักคนของน้า พี่สมรอยู่กับ
น้ามานาน พี่สมรรู้จักคุณลษิดาลูกสาวเพื่อนสนิทฉัน” พีรชาแนะนำสตรีวัยใกล้เคียงกับเธอที่ยืนข้างกายให้ลษิดา
รู้จักเพื่อช่วยให้หญิงสาวหายเขินอายจากการถูกบุตรชายแกล้งเอา
“สวัสดีค่ะป้าสมร ฟางขอเรียกป้าก็แล้วกันนะคะ มีอะไรแนะนำสั่งสอนก็ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ถือว่าฟางเป็น
ลูกหลานนะคะ” ลษิดายกมือไหว้และฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ใหญ่ เธอมาอยู่บ้านคนอื่นการทำให้เจ้าของบ้านและคน
ในบ้านรักและเอ็นดูย่อมดีกว่ายกเว้นผู้ใหญ่บางคนที่ต้องเอาคืน
“โถ..น่ารักอะไรอย่างนี้ ทั้งสวยทั้งน่ารัก อย่างนี้เองคุณสตรองถึงได้..” สมรพูดยังไม่ทันจบเสียงของพีรชา
ก็ดังแทรกขึ้น
“พี่สมรอย่ามัวพูดมากเลย ให้ใครไปช่วยยกกระเป๋าของหนูฟางมาที่ห้องที ฟาลคงมาถึงแล้ว”
“จริงสิ พี่ลืมไป” สมรพาร่างท้วมเดินไปตามทางเดินปูลาดด้วยหินก้อนใหญ่ไปตามทางเดินที่ทอดยาว
ลงไปตามเนินหญ้าซึ่งลษิดาไม่รู้ว่าใต้เนินนั้นมีอะไรอยู่บ้างแต่ไม่ช้าคงได้รู้วันนี้เธอเหนื่อยอยากพักจึงเดินตามผู้
สูงวัยกว่าไปด้านในซึ่งตกแต่งได้สวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติอันงดงามเป็นไม้ผสมอิฐจนมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่ง
มีเตาผิงอยู่ บอกให้รู้ว่าอากาศที่นี่คงหนาวไม่น้อยแต่ที่สะดุดตาเธอคือหญิงสาวซึ่งนั่งจัดดอกไม้ใส่เจกันอยู่ข้างโต๊ะ
ไม้โอ๊กทรงกลมตัวใหญ่สวมกระโปรงบานลายสวยยาวถึงข้อเท้าสีน้ำตาลกับเสื้อสีน้ำตาลถักเป็นเปียไว้อย่างเรียบ
ร้อย ผิวขาว ใบหน้าเรียวรูปไข่สวยงามหมดจด ดูอ่อนหวานนักหนา และดูเหมือนหญิงสาวจะรู้ว่ามีผู้มาเยือนจึงหัน
หน้ามาหาแล้วยิ้มให้
“คุณป้านายคะเดือนเห็นดอกไม้ป่าพวกนี้สวยดีเลยเก็บมาปักแจกันในห้องนั่งเล่นให้ค่ะ” สวยสวยหน้าหวาน
บอกกับพีรชาทว่าสายตากลับจับจ้องมองลษิดาอย่างสำรวจตรวจตาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกหาก
ไม่ใช่การชื่นชมแน่
++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้ทุกคนโขคดีตลอดปี สุขภาพแข็งแรง มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต อาจจะมาลงให้อ่านช้า
ไปหน่อย ถ้ารักกันจริงอย่าลืมกันนะคะ มีปัญหาเรื่องสายตาค่ะ เจ็บบ่อยค่ะ
HAPPY NEW YEAR ค่ะ
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2557, 20:15:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2557, 20:15:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1894
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |
konhin 1 ม.ค. 2557, 21:12:11 น.
ในที่สุดก็รอดพ้นจากคนบ้านนั้นมาได้
ในที่สุดก็รอดพ้นจากคนบ้านนั้นมาได้
แว่นใส 1 ม.ค. 2557, 23:32:18 น.
เจอคู่่ปรับใหม่แน่เลย
เจอคู่่ปรับใหม่แน่เลย
ผักหวาน 2 ม.ค. 2557, 20:28:07 น.
ฮั่นแน่ๆ พี่สตรองจะมาหอมแก้มน้องฟางให้ยายที่จัดดอกไม้เห็นรึเปล่าน๊า
ฮั่นแน่ๆ พี่สตรองจะมาหอมแก้มน้องฟางให้ยายที่จัดดอกไม้เห็นรึเปล่าน๊า