สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
“วางดอกไม้ก่อนหนูเดือน ป้าอยากแนะนำหลานสาวให้รู้จัก ชื่อลษิดา ชื่อเล่นว่า ฟาง หนูฟางจ๊ะนี่เดือน
ประดับทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในบ้านเป็นแม่บ้านใหญ่ของบ้าน ขาดหนูเดือนไปคนหนึ่งก็เหมือนบ้านขาด
เสาตั้งอยู่ไม่ได้” พีรชาแนะนำสาวสวยให้รู้จักแต่คำชมนั้นดูเหมือนหยอกเล่นมากกว่า
“ยินดีที่รู้จักค่ะคุณเดือนประดับ” ลษิดาทักทายด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“ยินดีเช่นกันค่ะ เรียกเดือนเฉยๆก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเต็มยศ เดือนขอเรียกว่าคุณฟางก็แล้วกันนะคะ” เดือนประ
ดับเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเพียงแค่แรกพบเธอก็พูดจาเป็นกันเองกับลษิดา
“คุณเดือนอย่าเกรงใจฟางเลยค่ะ มีอะไรให้ฟางช่วยก็บอกได้ค่ะ” ลษิดารู้สึกดีที่เดือนประดับดูเป็นกันเอง
กับเธอนั่นเพราะเธอไม่เห็นแววตาของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้บอกว่าอยากเป็นกันเองกับเธอเลย
“แหมใครจะกล้าคะ คุณฟางเป็นถึงหลานสาวป้านาย เดือนเป็นเพียงลูกจ้างที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจเดือน
หรอกค่ะ มีอะไรให้เดือนรับใช้ก็บอกได้เลย” เดือนประดับรู้ถึงฐานะตัวเองดีจึงรีบออกตัว อย่างน้อยก็ทำให้พีรชา
เห็นว่าเธอเจียมเนื้อเจียมตัว
“เอาล่ะ เลิกเกรงใจกันไปมาได้แล้ว หนูเดือนช่วยไปสั่งแม่ครัวว่าเมื้อค่ำขอเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่
ป้าอยากต้อนรับหนูฟางหน่อย อย่าลืมทำเผื่อของคุณสตรองด้วย คืนนี้คงกลับมาทานข้าวเย็นที่นี่ ไม่ไปทานกับ
พวกที่รีสอร์ทแน่” พีรชาสั่งอย่างมั่นใจ
“คุณป้านายแน่ใจนะคะว่านายสตรองจะกลับมาทานข้าวเย็นที่นี่” เดือนประดับไม่ค่อยมั่นใจ ปกติเวลา
ปรินทร์จากผาตะวันไปนานๆ กลับมาเขาจะไปตรวจดูความเรียบร้อยของผาตะวันตามจุดต่างๆและสะสางงาน
ที่ค้างอยู่ ไม่กลับมาทานข้าวบ้านแต่ทานกับคนสนิทที่รีสอร์ทจนกว่าจะเคลียร์งานเสร็จ หรือไม่ก็ไปล้อมวงทานกับ
คนงานที่ดูแลความเรียบร้อยของรีสอร์ท กว่าจะกลับมาพักที่บ้านก็หลายวันอยู่
“ทำตามที่บอกก็พอ ฉันจะพาหนูฟางไปพัก ไปจ๊ะหนูฟางไปที่ห้องหนูกัน” พีรชาไม่อยากพูดอะไรมาก
เพราะลษิดามาอยู่ด้วย บุตรชายต้องกลับมาบ้านแน่ไม่ปล่อยให้ลษิดาแคว้งแน่ เวลานี้คนที่หญิงสาวไว้ใจและ
คุ้นเคยมากที่สุดก็คือบุตรชายของตนซึ่งไม่เคยลืมน้องฟาง
พีรชาจูงมือลษิดาเดินผ่านห้องนั่งเล่นเข้าไปด้านในปล่อยให้แม่บ้านใหญ่ของบ้านที่สาวที่สุดสวยที่
สุดทอดมองตามด้วยสายตาขุ่นข้อง
‘ฮึ มีหลานสาวหน้าจืดมาอยู่ด้วยหน่อยก็ลืมหนูเดือนคนโปรดเลยนะป้านาย คิดหรือนังหน้าจืดนั่นจะอยู่
นี่ได้นาน ถ้าคนอย่างเดือนประดับไม่ต้องการให้อยู่ก็อย่าหวังจะได้อยู่เลย’
============
“เป็นไงจ๊ะห้องหนู ชอบมั้ย พี่สตรองของหนูเป็นคนบอกน้าให้ช่วยจัดห้องวิวสวยที่สุดให้หนู น้าเห็นว่า
ห้องนี้เหมาะที่สุด เปิดผ้าม่านออกไป จะเห็นวิวธรรมชาติโดยรอบ” พีรชาบอกหลังพาลษิดาเข้ามายังห้องนอน
ที่จัดให้หญิงสาว ซึ่งตกแต่งได้งดงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากธรรมชาติ เช่นเตียงไม้สีน้ำตาลเข้มปูฟูกสีขาวรับ
กับมุ้งสีขาวบางใส ถัดไปเป็นประตูกระจกบานใหญ่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง มีผ้าม่านทำจากผ้าฝ้ายทอมือลาย
สวยสองชั้น ชั้นในเป็นผ้าสีขาวบางใสกั้นแสงแดดจากภายนอกส่วนชั้นนอกเป็นผ้าฝ้ายสีน้ำตาลลายสวยรูดติดไว้
หัวมุมประตูทั้งสองข้าง ระเบียงห้องมีกระถางดอกไม้หลากสีวางเรียงรายอยู่เชิงบันไดสองสามขั้นทอดลงไปยังเนิน
หญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้ป่าหลากสีท่ามกลางป่าเขาอันงดงาม
“สวยจัง” ลษิดาเผลออุทานออกมาเมื่อเห็นความงามของธรรมชาติอันงดงามผ่านม่านสีขาวบางใส ขนาด
ยังไม่เลิกม่านออกภาพธรรมชาติด้านนอกยังงดงามชวนหลงใหลถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆจะสวยเพียงใด
“น้าดีใจที่หนูชอบห้องนี้ ระหว่างรอพี่สมรเอากระเป๋ามาส่ง น้ามีอะไรอยากให้หนู เป็นจดหมายแม่ดาของ
หนูส่งมาให้น้า ลูกชายน้าถึงไปรับหนูมาอยู่ด้วย” พีรชายื่นจดหมายของชาดาให้หญิงสาว ลษิดารับมาแล้วรีบเปิด
อ่านทันที
‘ชา หลังเธอได้รับจดหมายฉบับนี้ ฉันเคงไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วก็ได้ ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันพักหลังมานี้
อาการป่วยของฉันทำไมถึงทรุดหนัก คงเป็นเพราะฉันทำกรรมไว้มากถึงได้อายุสั้น ฉันไม่อยากค้นหาความจริง
เรื่องอาการป่วยของฉัน ฉันพยายามฝืนไม่ให้น้องฟางรู้ว่าฉันป่วยหนัก ให้น้องฟางเห็นว่าอาการป่วยของฉันดีวันดี
คืน เวลาฉันเหลือไม่มาก ฉันมีห่วงอย่างเดียวคือน้องฟาง ถ้าฉันเป็นอะไรไปคงไม่มีใครคุ้มครองน้องฟางได้
ครั้นจะฝากฝังให้ตานุดูแลคงไม่ได้ ลูกชายฉันไม่ได้รักใคร่ผูกพันน้องสาวคนนี้เท่าไรนักและสนใจแต่งาน
ฉันคงนอนตายตาไม่หลับแน่ถ้าลูกสาวคนเดียวของฉันยังไม่มีคนช่วยดูแลคุ้มครองและคงไม่มีใครดูแลได้ดี
เท่าลูกชายของเธอ ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปสิบกว่าปี สตรองยังรักและเอ็นดูน้องฟางเหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าไม่ฉัน
ก็หวังพึ่งเธอให้ช่วยพาตัวน้องฟางมาอยู่ด้วย ถือเสียว่าฉันยกลูกสาวให้เธอช่วยดูแลแทนจนกว่าจะมีคนที่ดีพร้อม
และรักน้องฟางด้วยใจจริงมารับช่วงต่อ แต่ฉันมั่นใจสตรองจะดูแลน้องฟางได้ดีกว่าใครๆ เวลาของฉันเหลือไม่
มาก หลังเธอได้อ่านจดหมายแล้วช่วยไปรับน้องฟางมาอยู่ด้วยก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป สุดท้ายนี้ฉันขอฝาก
ลูกสาวที่น่าสงสารคนนี้ไว้ในมือเธอกับสตรองด้วย สุดท้ายนี้ฉันขอฝากจดหมายอีกฉบับให้น้องฟางที’
ลษิดาอ่านจบก็น้ำตาซึมด้วยความคิดถึงมารดาพลางมองใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเมตตาของพีรชาก่อนที่
จดหมายอีกฉบับซึ่งจ่าหน้าถึงเธอจะถูกยื่นให้ หญิงสาวรีบเปิดอ่านโดยไม่รอช้า
‘น้องฟางลูกรักของแม่ ขณะที่หนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้ น้าชากับพี่สตรองของหนูคงไปรับหนูมาแล้ว
และแม่คงนอนตายตาหลับเสียที เพราะลูกของแม่ได้อยู่กับคนดีและพร้อมจะปกป้องดูแลลูกสาวที่น่ารักของแม่
น้องฟางจงเชื่อฟังน้าชากับพี่สตรองนะลูก อย่าดื้อกับพี่สตรองของหนูเหมือนตอนเด็กๆแต่จงเชื่อฟัง ไว้ใจให้เหมือน
ไว้ใจในความรักของแม่ที่มีต่อน้องฟางแล้วลูกของแม่จะมีแต่คนรัก สุดท้ายนี้ไม่ว่าแม่จะไปอยู่ที่ไหนจิตวิญญาณ
ของแม่ยังคอยเฝ้าดูแลน้องฟางเสมอ น้องฟางไม่ใช่ใครอื่นแต่น้องฟางคือสิ่งมีค่าสูงสุดเป็นของขวัญจากฟ้าของ
แม่เสมอ จำไว้นะลูก จงอย่าอ่อนแอนยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิต หากเราสู้ โชคชะตาก็ไม่อาจทำร้ายเราได้ รักและ
ห่วงน้องฟางที่สุด...จากแม่’
อ่านจบหยดน้ำใสๆจากดวงตากลมโตคู่สวยก็ตกลงสู่กระดาษจดหมายในมือ ลษิดาซึ้งในความรักของ
มารดาที่เลี้ยงดูมาแม้ไม่ได้คลอดเธอมาแต่ความรักความผูกพันนั้นมากยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งเธอไม่รู้ด้วย
ซ้ำว่าเป็นใคร แม้สิ้นลมหายใจไปแล้วชาดายังรักและเฝ้าปกป้องบุตรสาวบุญธรรมซึ่งรักยิ่งกว่าบุตรในอุทร
และความรักของชาดาก็ทำให้ลษิดาโหยหายิ่งนักจนอดสะอื้นไห้ไม่ได้ เวลานี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็ยินดี
ถ้ามันจะช่วยให้มารดาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
พีรชาเห็นอาการสะอื้นไห้อย่างหนักของหญิงสาวจึงนั่งลงข้างร่างบางอรชรแล้วกอดไว้แนบอก มือบาง
ลูบผมยาวสลวยไปมาทว่าไม่เอ่ยอะไรสักคำ การปลอบประโลมที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่คำพูดแต่เป็นการกระทำมากกว่า
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเสียงสะอื้นไห้ก็หยุดพร้อมๆกับการขยับกายออกห่างของลษิดา หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
คล้ายเด็ก ไม่กลัวว่าจะไม่งามในสายตาคนอื่นแล้วยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าพลางสารภาพตรงๆว่า
“ฟางขอบคุณน้าค่ะที่เมตตา ฟางขอโทษที่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะคิดถึงแม่ต่อหน้าคุณน้าค่ะ”
“น้าเข้าใจ ไม่มีใครที่ไม่เสียใจกับการจากไปของคนที่เรารักมากที่สุด ต่อให้แม่ของหนูไม่ขอร้องให้ช่วย
ถ้าน้าหรือพี่สตรองของหนูรู้ คงไม่นิ่งเฉยแน่แต่จะรีบไปรับหนูมาอยู่ด้วยทันที” ตั้งแต่ย่างกายเข้ามาสู่ผาตะวัน
พีรชามักย้ำคำว่า ‘พี่สตรองของหนู’ กับลษิดาเสมอยามเอ่ยถึงบุตรชายต้องการจะสื่อความหมายบางอย่างให้
หญิงสาวได้รู้
“คุณน้ากรุณาฟางเหลือเกินค่ะ ฟางไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” ดวงตากลมโตงดงามทอดมองผู้สูงวัยกว่า
ด้วยแววซาบซึ้งในความเมตตาที่มีต่อเธอและไม่สะดุดใจกับคำว่า ‘พี่สตรองของหนู’ ที่พีรชาบอก
“เป็นสิ่งที่น้ากับลูกสมควรทำ น้าทำเพื่อตอบแทนบุญคุณเพื่อนรักที่คอยช่วยเหลือน้ายามเดือดร้อน เพื่อนกัน
ต้องช่วยเหลือกันยามเดือดร้อน อีกอย่างหนูเป็นสิ่งล้ำค่าที่ชาดารักมากที่สุด น้าจึงต้องปกป้องรักษา แต่สำหรับพี่
สตรองของหนูน้าเชื่อว่าเขาไม่มีวันทิ้งน้องฟางไปไหน”
“เพราะอะไรคะ” ลษิดาอยากรู้คำตอบแต่ยังไม่ทันที่พีรชาจะตอบเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นดังนั้นคำตอบ
ที่หญิงสาวจะได้รับจึงเป็น “สงสัยพี่สมรคงเอากระเป๋ามาให้แล้ว” แล้วประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างท้วมของสมร
และกระเป๋าของลษิดาวางอยู่ข้างกาย
“กระเป๋าหนูฟางมาแล้วค่ะ” สมรบอก ทั้งลษิดากับพีรชาต่างเดินไปที่ประตู
“ขอบคุณค่ะป้าสมร”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ “
“พี่สมรเราไปกันเถอะ ปล่อยให้หนูฟางพักก่อน” พีรชาบอกสมรแล้วหันมาพูดกับลษิดาต่อ “หนูฟางพัก
เถอะ ไว้ถึงเวลาอาหารเย็นน้าจะให้คนมาตาม” จากนั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวได้พัก
===========
ด้านปรินทร์นั้นหลังแยกจากลษิดาก็รีบรุดมายังบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่หลังกำแพงดินสูงตะหง่านราวป้อม
ปราการด้านบนปักด้วยใบมีดอันแหลมคมทว่าผู้ที่จะเห็นกำแพงดินนี้ได้คงยากเพราะถูกปิดบังด้วยดงไม้สูงใหญ่
และอยู่ลึกเข้าไปในป่าภายในอาณาเขตของผาตะวัน
“ฟาล ว่าไงมันยอมสารภาพไหมว่าเป็นพวกไหน” ปรินทร์ถามเสียงเย็นจนน่ากลัวนัยน์ตาคมจ้องมอง
ผู้ช่วยคนสนิทเยือกเย็นนักผิดกับยามอยู่ต่อหน้าลษิดากับมารดาและคนที่บ้านโดยสิ้นเชิง
“มันปากแข็งครับ” ผู้ช่วยคนสนิทตอบเสียงเรียบพลางจ้องใบหน้าคมเข้มราวรูปสลักที่นิ่งสนิทไร้ความรู้สึก
ก่อนหันมาสั่งเสียงเรียบก่อนจากไป
“ถ้ามันปากแข็งนักก็สอนให้มันรู้จักนรกของบ้านอเวจีขุมต่อไป”
ฟาลมองร่างสูงใหญ่ที่จากไปแล้วหันไปสั่งลูกน้องต่อ “ให้พวกมันทำงานหนักเป็นสองเท่า ให้อาหารแค่วัน
ละเมื้อ น้ำวันละแก้ว นอนวันละสองชั่วโมง ยกเว้นเว้นเวลาพักทานข้าวและนอนให้ทำงานไม่หยุดสักอาทิตย์หนึ่ง
ต่อให้ป่วยก็ต้องทำงาน ตายก็ส่งไปให้พระท่านทำพิธีทางศาสนาให้ ถ้าสารภาพก็พาไปให้หลวงพ่อท่านอบรมให้
เป็นคนดีต่อไป แต่ถ้าใครขัดขืนคิดหนีให้จับไปเข้าด่านนรก ให้มันอยู่กับความหวาดกลัวอดอยากหิวโหยทุกข์ทร
มานจนกว่าจะยอมสารภาพแล้วส่งไปให้หลวงพ่อท่านสั่งสอนต่อเพื่อให้สำนึกกลับตัวเป็นคนดี ค่อยให้มันเลือกว่า
จะอยู่ต่อหรือไป”
ทุกคนพอได้ยินคำสั่งต่างก็หนาวแทนเชลยทั้งหลาย ที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนที่ถูกส่งกลับไปหาเจ้านาย
ของตัวเองตามคำสั่งนายใหญ่แห่งผาตะวันเพื่อเป็นการเตือนเจ้านายของพวกมันว่าอย่าได้ส่งคนมาแทรกซึมปั่น
ป่วนผาตะวันอีก
คนในผาตะวันยกเว้นปรินทร์กับฟาลและลูกน้องต่างคิดว่าดินแดนแห่งนี้งดงามสวยดังเมืองในฝันของทุก
คนหากได้รู้ว่ายังมีบ้านอเวจีที่มีไว้ลงโทษผู้ทำผิดฉกรรจ์และศัตรูผู้ไร้สำนึกคงมองไม่เห็นความงามของดินแดนแห่ง
นี้ ผู้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านอเวจีจะได้รับการทรมานราวตกนรกและหากสำนึกผิดก็จะถูกส่งไปอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่ง
ธรรมเพื่อให้ธรรมะกล่อมเกลาจิตใจให้เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจได้ก่อนถูกทดสอบความดีจากจิตอย่างแท้จริงและได้รับ
อนุญาตให้กลับออกไปใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปแต่ก็มีบางคนตัดสินใจสละทางโลกยอมถวายชีวิตให้พระศาสนา
โดยที่ผู้คนในผาตะวันต่างไม่มีใครรู้ว่า พระคุณเจ้าที่ดูท่าทางสงบสำรวมที่ตนใส่บาตรทุกวันนั้นบางองค์เคยเป็น
นักฆ่า นักเลงหัวไม้ บอดี้การ์ดเจ้าพ่อมาเฟียมาก่อน
============
หลังออกจากบ้านอเวจีปรินทร์ก็แวะเข้าไปตรวจงานที่รีสอร์ตรับฟังรายงานจากผู้จัดการรีสอร์ต
“คุณสตรองครับ เราน่าจะขยายจำนวนห้องพักให้มากขึ้นและรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ตอนนี้คิวจอง
เลยไปถึงกลางปีหน้าแล้ว” ผู้จัดการรีสอร์ตเสนอความเห็น
“ผมขอเหตุผลด้วยคุณวิวัฒน์” ปรินทร์จ้องมองหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแปด หน้าตาสะอาดสะอ้านสวมกางเกง
ผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้มเสื้อสีครีมคอกลมผ่าหน้านิ่งจนผู้จัดการหนุ่มใหญ่เกิดอาการลังเลไม่แน่ใจในสิ่งที่เสนอต่อ
นายใหญ่แห่งผาตะวันซึ่งยากจะหยั่งความคิดได้
“พื้นที่ว่างบริเวณรีสอร์ตยังเหลืออยู่มากควรนำมาพัฒนาเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านของเรา อีกอย่างเป็นการ
ช่วยแพร่ความคิดเกี่ยวกับวิถีธรรมชาติตามอุดมการณ์ของคุณสตรองไปในตัวด้วย ถ้านักท่องเที่ยวได้ซึมซับวิถี
ธรรมชาติอันงดงามของชาวผาตะวันแล้วไปบอกต่ออาจช่วยให้โลกมีอากาศบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นอีก”
“เหตุผลน่าฟังแต่ยังไม่ถึงเวลา ชาวผาตะวันยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะต้านพิษร้ายจากโลกแห่งเทคโน
โลยี่และคนโลภบางคนจากสังคมภายนอกได้ เอาเป็นว่าผมเห็นด้วยแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ผมอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้คน
ที่นี่ก่อน” สิ่งที่ปรินทร์กลัวคือความโลภของมนุษย์จากสังคมภายนอกที่ต้องเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อให้ได้มาซึ่ง
ลาภ ยศ ชื่อเสียงโดยไม่สนว่าต้องทำลายอะไรไปบ้าง ที่แห่งนี้เปรียบเหมือนดินแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
อันเจริญด้วยเทคโนโลยีแต่จิตใจคนกลับไม่เจริญตาม
ทุกคนที่นี่มีชีวิตอยู่อย่างสงบเรียบง่ายกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่ต้องการสิ่งใด
เพิ่มอีกคงยากจะมีภูมิคุ้มกันภัยจากผู้คนจากโลกภายนอกที่โตมากับเทคโนโลยีและการเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีเพราะในบริเวณรีสอร์ตที่นักท่องเที่ยวพักอยู่กับบ้านของเขามีโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตติดตั้ง
และไม่ห้ามถ้าชาวจะบ้านจะขอใช้ด้วยเพราะการจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้คนที่นี่ก็ต้องให้ผู้คนเรียนรู้ด้วยว่า
โลกภายนอกเขาพัฒนาอะไรไปแล้วบ้าง อีกอย่างตลอดเวลาก็มีพวกโลภอยากได้สิ่งล้ำค่าของผาตะวันไปครอง
โดยส่งคนเข้ามาแทรกซึมอยู่เรื่อยๆเพื่อปลุกปั่นยุยงคนที่นี่เป็นประจำ บางคนก็ถูกคนของเขาจับได้บางคนก็ยัง
จับไม่ได้ หากรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พวกโลภส่งคนเข้ามาทำลายผาตะวันมากขึ้น
และปล้นเอาดินแดนอันงดงามนี้ไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าจะทำลายธรรมชาติ
ทำลายจิตใจอันบริสุทธิ์ของผู้คนที่นี่แต่ประการใด ดังนั้นเขาจึงต้องทอดเวลาในการขยายกิจการรีสอร์ตออกไปอีก
“ถ้างั้นผมไม่กวนคุณสตรองแล้วครับ” ไม่จำเป็นต้องพูดจากให้มากความลองนายใหญ่แห่งผาตะวันตัด
สินใจแล้วอย่าได้พยายามขอให้เปลี่ยนใจแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก โอกาสเพิ่มรายได้เห็นๆกลับไม่เอา ไม่รู้ว่า
โง่หรือฉลาดกันแน่
=============
เดือนประดับแม่บ้านใหญ่ของบ้านมาที่รีสอร์ตตั้งใจมาหานายใหญ่แห่งผาตะวันแต่กลับพบกับฟาลระหว่าง
ทาง ใบหน้าเหี้ยมดุของฟาลอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสาวสวยตรงหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“สวัสดีค่ะพี่ฟาล นายสตรองยังอยู่ที่รีสอร์ตหรือไปที่อื่น” สาวสวยถามหาปรินทร์เลยทำให้แววตาสีสนิมเหล็ก
ของหนุ่มใหญ่วัยกลางคนมีแววหมองลงเล็กน้อยก่อนแปรเปลี่ยนเป็นดุเหมือนเดิม
“อยู่” ฟาลตอบเสียงห้วน ตามนิสัย
“งั้นเดือนขอไปพบก่อน คุณป้านายให้มาตามค่ะ” เดือนประดับอ้างไม่ค่อยชอบหน้าดุดันของฟาลเท่าไรนัก
“ตามใจ” ฟาลทำท่าจะเดินเลยไปแต่เหมือนนึกอะไรได้จึงหันมาบอกว่า “อยู่ที่นี่มานาน น่าจะรู้ว่าเย็นๆ
อากาศหนาวและควรใส่เสื้อผ้าแบบไหน” แล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจ
“ไอ้ยักษ์โหด เย็นชา ตาไร้แววถึงมองไม่เห็นความงามของผู้หญิง มิน่าเล่าสาวๆถึงพากันวิ่งหนี ฉันอุตส่าห์
พูดดีด้วยยังมาว่าอีก” เดือนประดับก่นด่าไล่หลังร่างหนาสูงใหญ่ของฟาลด้วยใบหน้าหงิกงอและต่อมาก็รีบยิ้ม
หวานเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินมา
“นายฟาล มาพอดีเลย เดือนกำลังจะไปตาม คุณป้านายให้มาตามไปทานข้าวเย็นค่ะ” เดือนประดับบอก
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผ้าคลุมไหล่ทำจากผ้าไหมทอลายสีครีมอ่อนสวยงามในมือของปรินทร์อย่างสนใจ
“กำลังจะกลับเหมือนกัน” ปรินทร์บอกพลางเดินไปเรื่อยๆตามทางธรรมชาติสู่บ้านหลังใหญ่บนเนิน สอง
ข้างทางมีต้นไม้สีสันต่างๆปลูกอยู่เรียงรายแซมด้วยไม้ดอกสีเหลือง สีชมพู สีแดง กลีบดอกไม้สีต่างๆร่วงลงสู่พื้น
ช่วยแต่งแต้มสีสันบนพื้นดินพื้นหญ้าดูแล้วงดงามยิ่ง ทว่าสำหรับชาวผาตะวันกลับชินกับภาพธรรมชาติอันงดงาม
เหล่านี้จนรู้สึกเฉยๆ
เดือนประดับเดินตามปรินทร์มาได้สักพักก็เอามือกอดอกทำท่าหนาวสั่นทว่าร่างสูงที่เดินเคียงข้างกลับ
ทำเหมือนไม่รับรู้ ดวงตางดงามจ้องมองผ้าคลุมไล่ไหมทอลายผืนสวยในมือของเจ้านายใหญ่แห่งผาตะวันแล้วมีแวว
ผิดหวังและรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก็เธอหวังจะให้เขาใช้มันคลุมใหล่ให้เธอกันหนาวบ้างแต่เปล่าเลยร่างสูงใหญ่ดูดี
กลับทอดสายตาไปตามทางข้างหน้าโดยไม่สนใจแถมก้าวยาวขึ้นอีกจนเธอต้องเดินกึ่งวิ่งถึงจะตามร่างสูงทันจนอด
หงุดหงิดในใจไม่ได้
‘นายสตรองจะรีบไปตามควายที่ไหนนะ เดือนเป็นผู้หญิงนะ จะอ่อนโยนสักนิดก็ไม่ได้ เสียแรงชื่นชม’
ไม่ว่าเดือนประดับจะบ่นว่าหงุดหงิดกับปรินทร์อย่างไรเธอก็ต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อก้าวให้ทันร่างสูงที่
ก้าวยาวขึ้นสักพักร่างบางเย้ายวนก็สะดุดแล้วร้องออกมา
“โอ๊ย..ซี๊ด”
ร่างสูงใหญ่หยุดและหันมามอง คิ้วหนาเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดกับมือบาง
จับข้อเท้าบอบบาง ไม่ต้องบอกก็รู้หญิงสาวล้มข้อเท้าเพลง ปรินทร์จึงขยับตัวเข้าไปใกล้ย่อตัวลงพลางถามว่า “ลุก
ไหวไหมเดือน”
เดือนประดับพยักหน้าเบาๆแล้วพยายามยันตัวขึ้นแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือร่างบางเย้ายวนเซล้มไปกอดร่างสูง
ใหญ่แข็งแกร่งแล้วซบหน้าลงกับอกแกร่งเพื่อยึดเป็นหลัก
“อุ๊ย ขอโทษค่ะนายสตรอง” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจใบหน้าเนียนแดงรื่อด้วยความอายและฝืนขยับ
ตัวออกห่างร่างแกร่งด้วยความรู้สึกเสียดาย
“ไม่เป็นไร เดินไหวไหม” เสียงถามอาจราบเรียบทว่าเดือนประดับกลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยในคำถามนั้น
จนอดหลงลำพองใจไม่ได้ ‘ผู้ชายต่อให้เย็นชา แข็งกร้าวก้าว ดุดันแค่ไหน ถ้าเจอเดือนประดับ ไม่มีใครรอดพ้นมารยา
แห่งสตรีเพศไปได้หรอก เห็นทีต้องเล่นบทนางเอกต่อ’
“ไหวค่ะนายสตรอง” เดือนประดับฝืนแสดงความเข้มแข็งและลุกขึ้นยืนโดยมีมือใหญ่ช่วยประคอง จากนั้น
ก็ขยับเท้าทำท่าเดินแต่กลับเปล่งเสียงเจ็บปวดออกมา
“ซี๊ด”
“เจ็บก็อย่าฝืน นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะให้คนมาช่วย” ร่างสูงช่วยประคองหญิงสาวให้นั่งลงพิงต้นไม้
ข้างทางแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน
“รอดตัวไปได้อีกสินะ นายสตรอง ใจคอจะไม่ยอมใกล้ชิดสาวๆเลยหรือไง บ้าๆๆ” เดือนประดับบ่นหน้าหงิก
แล้วเดินตามไปห่างๆ เธอไม่รอหรอก ไว้ถึงบ้านก่อนจะเกล้งเดินกะเผลก เข้าบ้านเรียกร้องความเห็นใจและชื่นชม
เธอรู้ นายใหญ่แห่งผาตะวันนั้นชอบคนใจเด็ดเข้มแข็ง
============
ลษิดาหลังจัดเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวเข้าที่เข้าทางแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมาเดินเล่นบริเวณหน้า
ห้องพักที่เธอเห็นเป็นเนินหญ้าเขียวขจีงดงามแซมด้วยดอกไม้ป้าสีเหลือง สีแดง สีชมพู โอบล้อมด้วยขุนเขาอันงด
งาม หญิงสาวเดินสูดดมอากาศอันบริสุทธิ์กับชื่นชมธรรมชาติอันงดงามของดวงตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมภูเขา
พลางเดินไปเรื่อยๆตามเนินหญ้าไปเรื่อยๆแล้วหยุดพักนั่งบนหินก้อนใหญ่มองไปข้างหน้าจึงเห็นบ้านคนอยู่หลาย
หลังจะเรียกว่าหมู่บ้านย่อมๆก็ได้แต่อยู่ต่ำจากบ้านที่เธออยู่ไกลพอควร ครั้นหันมามองรอบๆกายก็เห็นทางเดิน
ธรรมชาติสองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่พื้นปกคลุมด้วยกลีบดอกไม้ทอดยาวไปไกลจึงลุกเดินไปตามทางด้วยความ
อยากรู้ เส้นทางนี้จะพาไปที่ได แต่พอเดินมาได้สักพักก็หยุดแล้วหันหลังกลับเพราะเริ่มจะมืดค่ำอีกอย่างเส้นทาง
นี้ค่อนข้างเปลี่ยวและอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆจนรู้สึกหนาวได้พลันเสียงเรียกอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“น้องฟาง เพิ่งมาอยู่วันแรกก็เที่ยวเดินซุกซนไปทั่ว ไม่ไหว น่าตีนักเด็กดื้อ”
ร่างบางอรชรหันกลับมาหาตามเสียงดุแล้วทำหน้าง้ำพลางทำเป็นไม่สนใจทำท่าจะเดินกลับหากไม่ถูก
คว้าตัวมากอดไว้ก่อน
“จะเดินหนีพี่ไปไหนน้องฟาง”
“เปล่าไม่ได้หนี แค่เดินกลับห้องเฉยๆ”
“ตอบได้ดีต้องให้รางวัล” ว่าจบลษิดาก็ต้องเสียแก้มให้กับคนอยากมอบรางวัลทั้งที่ไม่ได้ขอเพราะรางวัล
นี้เธอเสียเปรียบชัดๆ และภาพนั้นก็บังเอิญทำให้หญิงสาวอีกคนที่เดินตามปรินทร์มาเห็นเข้าอย่างจังและมีใบหน้า
บึ้งตึงทันที
‘ยายหน้าจืดแกมีอะไรดี มาวันแรกใครๆก็หลงมัน ไม่เว้นแม้แต่นายสตรอง แกกับฉันเห็นทีจะอยู่ร่วมโลกกัน
ไม่ได้’ แม้จะไม่พอใจมากแค่ไหนแต่เดือนประดับก็เลือกที่จะหลบและเฝ้าดูทั้งสองต่อ
“แก้มน้องฟางไม่ใช่ของพี่สตรองนะ จะทำอะไรให้เกรงใจเจ้าของบ้าง” ปรินทร์ได้ยินแล้วอยากปล่อยก๊าก
ให้กับการต่อว่าต่อขานของคนแก้มหอมนุ่มนิ่มจนเขาอดใจไม่ไหว
“สรุปว่า หวงแก้มนั่นเอง เข้าใจแล้ว พอใจไหมครับน้องฟาง” เขาแกล้งยั่วพลางมองดวงหน้าสวยใสน่ารัก
ยับย่นด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีคนร้ายกาจช่างยั่ว
“หยุดก่อน น้องฟาง” เสียงเข้มสั่งห้าม
ร่างบางอรชรหยุดกึกแล้วหันหน้ามาหาดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงด้วยแววกังขาแต่ไม่ถาม ต่อเมื่อ
ร่างสูงขยับมาใกล้แล้วเอาผ้าคลุมไหล่ผ้าไหมทอลายแสนสวยคลุมไหล่ให้อย่างอ่อนโยน
“หลังพระอาทิตย์ตกดิน อากาศจะหนาวเย็นมาก ทีหลังอย่าออกจากบ้านโดยไม่ใส่เสื้อกันหนาวเข้าใจ
ไหม” ลษิดาพยักหน้าแทนคำตอบทว่าใจกลับเถียงแทน
‘ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าอากาศที่นี่จะพิศดารอย่างนี้ ถ้ารู้จะขอแวะซื้อเสื้อกันหนาวก่อนมาถึง’ แล้วเดินต่อโดย
ไม่สนใจเจ้าของผ้าคลุมไหล่เนียนลื่นผืนบางทว่ากันหนาวได้อย่างประหลาด
ปรินทร์รู้ได้เลย ‘น้องฟางเกิดอาการงอนและประท้วงพี่สตรองทางอ้อม’ แต่เขาไม่สนใจจับมือเรียวเล็ก
นุ่มนิ่มเดินเคียงข้างคนแสนงอนไปด้วยกันจนถึงบ้านโดยไม่เห็นสายตาชิงชังริษยาของเดือนประดับที่เดินตามหลัง
มาห่างๆ เธออยู่ที่นี่มานานยังไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากปรินทร์เท่ากับลษิดาซึ่งเพิ่งมาอยู่
‘นายสตรองกับเดือนทำเป็นไม่สนใจ แต่กับนังนี่กลับดูแลอย่างดี แล้วนายสตรองจะต้องเสียใจที่ทำร้าย
จิตใจเดือน ใครคิดแย่งของรักของหวงของเดือนมันต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม’
-----------------------------------------
ช้าหน่อยนะคะไม่ค่อยว่าง ถ้ารักกันจริงก็อย่าทิ้งกัน แล้วจะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุดแต่ถ้าไม่มีใครตามก็จะหยุด
เขียนแล้วค่ะ เหนื่อย กว่าจะได้มาแต่ละตอน
“วางดอกไม้ก่อนหนูเดือน ป้าอยากแนะนำหลานสาวให้รู้จัก ชื่อลษิดา ชื่อเล่นว่า ฟาง หนูฟางจ๊ะนี่เดือน
ประดับทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในบ้านเป็นแม่บ้านใหญ่ของบ้าน ขาดหนูเดือนไปคนหนึ่งก็เหมือนบ้านขาด
เสาตั้งอยู่ไม่ได้” พีรชาแนะนำสาวสวยให้รู้จักแต่คำชมนั้นดูเหมือนหยอกเล่นมากกว่า
“ยินดีที่รู้จักค่ะคุณเดือนประดับ” ลษิดาทักทายด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“ยินดีเช่นกันค่ะ เรียกเดือนเฉยๆก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเต็มยศ เดือนขอเรียกว่าคุณฟางก็แล้วกันนะคะ” เดือนประ
ดับเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเพียงแค่แรกพบเธอก็พูดจาเป็นกันเองกับลษิดา
“คุณเดือนอย่าเกรงใจฟางเลยค่ะ มีอะไรให้ฟางช่วยก็บอกได้ค่ะ” ลษิดารู้สึกดีที่เดือนประดับดูเป็นกันเอง
กับเธอนั่นเพราะเธอไม่เห็นแววตาของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้บอกว่าอยากเป็นกันเองกับเธอเลย
“แหมใครจะกล้าคะ คุณฟางเป็นถึงหลานสาวป้านาย เดือนเป็นเพียงลูกจ้างที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจเดือน
หรอกค่ะ มีอะไรให้เดือนรับใช้ก็บอกได้เลย” เดือนประดับรู้ถึงฐานะตัวเองดีจึงรีบออกตัว อย่างน้อยก็ทำให้พีรชา
เห็นว่าเธอเจียมเนื้อเจียมตัว
“เอาล่ะ เลิกเกรงใจกันไปมาได้แล้ว หนูเดือนช่วยไปสั่งแม่ครัวว่าเมื้อค่ำขอเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่
ป้าอยากต้อนรับหนูฟางหน่อย อย่าลืมทำเผื่อของคุณสตรองด้วย คืนนี้คงกลับมาทานข้าวเย็นที่นี่ ไม่ไปทานกับ
พวกที่รีสอร์ทแน่” พีรชาสั่งอย่างมั่นใจ
“คุณป้านายแน่ใจนะคะว่านายสตรองจะกลับมาทานข้าวเย็นที่นี่” เดือนประดับไม่ค่อยมั่นใจ ปกติเวลา
ปรินทร์จากผาตะวันไปนานๆ กลับมาเขาจะไปตรวจดูความเรียบร้อยของผาตะวันตามจุดต่างๆและสะสางงาน
ที่ค้างอยู่ ไม่กลับมาทานข้าวบ้านแต่ทานกับคนสนิทที่รีสอร์ทจนกว่าจะเคลียร์งานเสร็จ หรือไม่ก็ไปล้อมวงทานกับ
คนงานที่ดูแลความเรียบร้อยของรีสอร์ท กว่าจะกลับมาพักที่บ้านก็หลายวันอยู่
“ทำตามที่บอกก็พอ ฉันจะพาหนูฟางไปพัก ไปจ๊ะหนูฟางไปที่ห้องหนูกัน” พีรชาไม่อยากพูดอะไรมาก
เพราะลษิดามาอยู่ด้วย บุตรชายต้องกลับมาบ้านแน่ไม่ปล่อยให้ลษิดาแคว้งแน่ เวลานี้คนที่หญิงสาวไว้ใจและ
คุ้นเคยมากที่สุดก็คือบุตรชายของตนซึ่งไม่เคยลืมน้องฟาง
พีรชาจูงมือลษิดาเดินผ่านห้องนั่งเล่นเข้าไปด้านในปล่อยให้แม่บ้านใหญ่ของบ้านที่สาวที่สุดสวยที่
สุดทอดมองตามด้วยสายตาขุ่นข้อง
‘ฮึ มีหลานสาวหน้าจืดมาอยู่ด้วยหน่อยก็ลืมหนูเดือนคนโปรดเลยนะป้านาย คิดหรือนังหน้าจืดนั่นจะอยู่
นี่ได้นาน ถ้าคนอย่างเดือนประดับไม่ต้องการให้อยู่ก็อย่าหวังจะได้อยู่เลย’
============
“เป็นไงจ๊ะห้องหนู ชอบมั้ย พี่สตรองของหนูเป็นคนบอกน้าให้ช่วยจัดห้องวิวสวยที่สุดให้หนู น้าเห็นว่า
ห้องนี้เหมาะที่สุด เปิดผ้าม่านออกไป จะเห็นวิวธรรมชาติโดยรอบ” พีรชาบอกหลังพาลษิดาเข้ามายังห้องนอน
ที่จัดให้หญิงสาว ซึ่งตกแต่งได้งดงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากธรรมชาติ เช่นเตียงไม้สีน้ำตาลเข้มปูฟูกสีขาวรับ
กับมุ้งสีขาวบางใส ถัดไปเป็นประตูกระจกบานใหญ่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง มีผ้าม่านทำจากผ้าฝ้ายทอมือลาย
สวยสองชั้น ชั้นในเป็นผ้าสีขาวบางใสกั้นแสงแดดจากภายนอกส่วนชั้นนอกเป็นผ้าฝ้ายสีน้ำตาลลายสวยรูดติดไว้
หัวมุมประตูทั้งสองข้าง ระเบียงห้องมีกระถางดอกไม้หลากสีวางเรียงรายอยู่เชิงบันไดสองสามขั้นทอดลงไปยังเนิน
หญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้ป่าหลากสีท่ามกลางป่าเขาอันงดงาม
“สวยจัง” ลษิดาเผลออุทานออกมาเมื่อเห็นความงามของธรรมชาติอันงดงามผ่านม่านสีขาวบางใส ขนาด
ยังไม่เลิกม่านออกภาพธรรมชาติด้านนอกยังงดงามชวนหลงใหลถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆจะสวยเพียงใด
“น้าดีใจที่หนูชอบห้องนี้ ระหว่างรอพี่สมรเอากระเป๋ามาส่ง น้ามีอะไรอยากให้หนู เป็นจดหมายแม่ดาของ
หนูส่งมาให้น้า ลูกชายน้าถึงไปรับหนูมาอยู่ด้วย” พีรชายื่นจดหมายของชาดาให้หญิงสาว ลษิดารับมาแล้วรีบเปิด
อ่านทันที
‘ชา หลังเธอได้รับจดหมายฉบับนี้ ฉันเคงไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วก็ได้ ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันพักหลังมานี้
อาการป่วยของฉันทำไมถึงทรุดหนัก คงเป็นเพราะฉันทำกรรมไว้มากถึงได้อายุสั้น ฉันไม่อยากค้นหาความจริง
เรื่องอาการป่วยของฉัน ฉันพยายามฝืนไม่ให้น้องฟางรู้ว่าฉันป่วยหนัก ให้น้องฟางเห็นว่าอาการป่วยของฉันดีวันดี
คืน เวลาฉันเหลือไม่มาก ฉันมีห่วงอย่างเดียวคือน้องฟาง ถ้าฉันเป็นอะไรไปคงไม่มีใครคุ้มครองน้องฟางได้
ครั้นจะฝากฝังให้ตานุดูแลคงไม่ได้ ลูกชายฉันไม่ได้รักใคร่ผูกพันน้องสาวคนนี้เท่าไรนักและสนใจแต่งาน
ฉันคงนอนตายตาไม่หลับแน่ถ้าลูกสาวคนเดียวของฉันยังไม่มีคนช่วยดูแลคุ้มครองและคงไม่มีใครดูแลได้ดี
เท่าลูกชายของเธอ ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปสิบกว่าปี สตรองยังรักและเอ็นดูน้องฟางเหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าไม่ฉัน
ก็หวังพึ่งเธอให้ช่วยพาตัวน้องฟางมาอยู่ด้วย ถือเสียว่าฉันยกลูกสาวให้เธอช่วยดูแลแทนจนกว่าจะมีคนที่ดีพร้อม
และรักน้องฟางด้วยใจจริงมารับช่วงต่อ แต่ฉันมั่นใจสตรองจะดูแลน้องฟางได้ดีกว่าใครๆ เวลาของฉันเหลือไม่
มาก หลังเธอได้อ่านจดหมายแล้วช่วยไปรับน้องฟางมาอยู่ด้วยก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป สุดท้ายนี้ฉันขอฝาก
ลูกสาวที่น่าสงสารคนนี้ไว้ในมือเธอกับสตรองด้วย สุดท้ายนี้ฉันขอฝากจดหมายอีกฉบับให้น้องฟางที’
ลษิดาอ่านจบก็น้ำตาซึมด้วยความคิดถึงมารดาพลางมองใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเมตตาของพีรชาก่อนที่
จดหมายอีกฉบับซึ่งจ่าหน้าถึงเธอจะถูกยื่นให้ หญิงสาวรีบเปิดอ่านโดยไม่รอช้า
‘น้องฟางลูกรักของแม่ ขณะที่หนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้ น้าชากับพี่สตรองของหนูคงไปรับหนูมาแล้ว
และแม่คงนอนตายตาหลับเสียที เพราะลูกของแม่ได้อยู่กับคนดีและพร้อมจะปกป้องดูแลลูกสาวที่น่ารักของแม่
น้องฟางจงเชื่อฟังน้าชากับพี่สตรองนะลูก อย่าดื้อกับพี่สตรองของหนูเหมือนตอนเด็กๆแต่จงเชื่อฟัง ไว้ใจให้เหมือน
ไว้ใจในความรักของแม่ที่มีต่อน้องฟางแล้วลูกของแม่จะมีแต่คนรัก สุดท้ายนี้ไม่ว่าแม่จะไปอยู่ที่ไหนจิตวิญญาณ
ของแม่ยังคอยเฝ้าดูแลน้องฟางเสมอ น้องฟางไม่ใช่ใครอื่นแต่น้องฟางคือสิ่งมีค่าสูงสุดเป็นของขวัญจากฟ้าของ
แม่เสมอ จำไว้นะลูก จงอย่าอ่อนแอนยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิต หากเราสู้ โชคชะตาก็ไม่อาจทำร้ายเราได้ รักและ
ห่วงน้องฟางที่สุด...จากแม่’
อ่านจบหยดน้ำใสๆจากดวงตากลมโตคู่สวยก็ตกลงสู่กระดาษจดหมายในมือ ลษิดาซึ้งในความรักของ
มารดาที่เลี้ยงดูมาแม้ไม่ได้คลอดเธอมาแต่ความรักความผูกพันนั้นมากยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งเธอไม่รู้ด้วย
ซ้ำว่าเป็นใคร แม้สิ้นลมหายใจไปแล้วชาดายังรักและเฝ้าปกป้องบุตรสาวบุญธรรมซึ่งรักยิ่งกว่าบุตรในอุทร
และความรักของชาดาก็ทำให้ลษิดาโหยหายิ่งนักจนอดสะอื้นไห้ไม่ได้ เวลานี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็ยินดี
ถ้ามันจะช่วยให้มารดาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
พีรชาเห็นอาการสะอื้นไห้อย่างหนักของหญิงสาวจึงนั่งลงข้างร่างบางอรชรแล้วกอดไว้แนบอก มือบาง
ลูบผมยาวสลวยไปมาทว่าไม่เอ่ยอะไรสักคำ การปลอบประโลมที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่คำพูดแต่เป็นการกระทำมากกว่า
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเสียงสะอื้นไห้ก็หยุดพร้อมๆกับการขยับกายออกห่างของลษิดา หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
คล้ายเด็ก ไม่กลัวว่าจะไม่งามในสายตาคนอื่นแล้วยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าพลางสารภาพตรงๆว่า
“ฟางขอบคุณน้าค่ะที่เมตตา ฟางขอโทษที่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะคิดถึงแม่ต่อหน้าคุณน้าค่ะ”
“น้าเข้าใจ ไม่มีใครที่ไม่เสียใจกับการจากไปของคนที่เรารักมากที่สุด ต่อให้แม่ของหนูไม่ขอร้องให้ช่วย
ถ้าน้าหรือพี่สตรองของหนูรู้ คงไม่นิ่งเฉยแน่แต่จะรีบไปรับหนูมาอยู่ด้วยทันที” ตั้งแต่ย่างกายเข้ามาสู่ผาตะวัน
พีรชามักย้ำคำว่า ‘พี่สตรองของหนู’ กับลษิดาเสมอยามเอ่ยถึงบุตรชายต้องการจะสื่อความหมายบางอย่างให้
หญิงสาวได้รู้
“คุณน้ากรุณาฟางเหลือเกินค่ะ ฟางไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” ดวงตากลมโตงดงามทอดมองผู้สูงวัยกว่า
ด้วยแววซาบซึ้งในความเมตตาที่มีต่อเธอและไม่สะดุดใจกับคำว่า ‘พี่สตรองของหนู’ ที่พีรชาบอก
“เป็นสิ่งที่น้ากับลูกสมควรทำ น้าทำเพื่อตอบแทนบุญคุณเพื่อนรักที่คอยช่วยเหลือน้ายามเดือดร้อน เพื่อนกัน
ต้องช่วยเหลือกันยามเดือดร้อน อีกอย่างหนูเป็นสิ่งล้ำค่าที่ชาดารักมากที่สุด น้าจึงต้องปกป้องรักษา แต่สำหรับพี่
สตรองของหนูน้าเชื่อว่าเขาไม่มีวันทิ้งน้องฟางไปไหน”
“เพราะอะไรคะ” ลษิดาอยากรู้คำตอบแต่ยังไม่ทันที่พีรชาจะตอบเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นดังนั้นคำตอบ
ที่หญิงสาวจะได้รับจึงเป็น “สงสัยพี่สมรคงเอากระเป๋ามาให้แล้ว” แล้วประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างท้วมของสมร
และกระเป๋าของลษิดาวางอยู่ข้างกาย
“กระเป๋าหนูฟางมาแล้วค่ะ” สมรบอก ทั้งลษิดากับพีรชาต่างเดินไปที่ประตู
“ขอบคุณค่ะป้าสมร”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ “
“พี่สมรเราไปกันเถอะ ปล่อยให้หนูฟางพักก่อน” พีรชาบอกสมรแล้วหันมาพูดกับลษิดาต่อ “หนูฟางพัก
เถอะ ไว้ถึงเวลาอาหารเย็นน้าจะให้คนมาตาม” จากนั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวได้พัก
===========
ด้านปรินทร์นั้นหลังแยกจากลษิดาก็รีบรุดมายังบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่หลังกำแพงดินสูงตะหง่านราวป้อม
ปราการด้านบนปักด้วยใบมีดอันแหลมคมทว่าผู้ที่จะเห็นกำแพงดินนี้ได้คงยากเพราะถูกปิดบังด้วยดงไม้สูงใหญ่
และอยู่ลึกเข้าไปในป่าภายในอาณาเขตของผาตะวัน
“ฟาล ว่าไงมันยอมสารภาพไหมว่าเป็นพวกไหน” ปรินทร์ถามเสียงเย็นจนน่ากลัวนัยน์ตาคมจ้องมอง
ผู้ช่วยคนสนิทเยือกเย็นนักผิดกับยามอยู่ต่อหน้าลษิดากับมารดาและคนที่บ้านโดยสิ้นเชิง
“มันปากแข็งครับ” ผู้ช่วยคนสนิทตอบเสียงเรียบพลางจ้องใบหน้าคมเข้มราวรูปสลักที่นิ่งสนิทไร้ความรู้สึก
ก่อนหันมาสั่งเสียงเรียบก่อนจากไป
“ถ้ามันปากแข็งนักก็สอนให้มันรู้จักนรกของบ้านอเวจีขุมต่อไป”
ฟาลมองร่างสูงใหญ่ที่จากไปแล้วหันไปสั่งลูกน้องต่อ “ให้พวกมันทำงานหนักเป็นสองเท่า ให้อาหารแค่วัน
ละเมื้อ น้ำวันละแก้ว นอนวันละสองชั่วโมง ยกเว้นเว้นเวลาพักทานข้าวและนอนให้ทำงานไม่หยุดสักอาทิตย์หนึ่ง
ต่อให้ป่วยก็ต้องทำงาน ตายก็ส่งไปให้พระท่านทำพิธีทางศาสนาให้ ถ้าสารภาพก็พาไปให้หลวงพ่อท่านอบรมให้
เป็นคนดีต่อไป แต่ถ้าใครขัดขืนคิดหนีให้จับไปเข้าด่านนรก ให้มันอยู่กับความหวาดกลัวอดอยากหิวโหยทุกข์ทร
มานจนกว่าจะยอมสารภาพแล้วส่งไปให้หลวงพ่อท่านสั่งสอนต่อเพื่อให้สำนึกกลับตัวเป็นคนดี ค่อยให้มันเลือกว่า
จะอยู่ต่อหรือไป”
ทุกคนพอได้ยินคำสั่งต่างก็หนาวแทนเชลยทั้งหลาย ที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนที่ถูกส่งกลับไปหาเจ้านาย
ของตัวเองตามคำสั่งนายใหญ่แห่งผาตะวันเพื่อเป็นการเตือนเจ้านายของพวกมันว่าอย่าได้ส่งคนมาแทรกซึมปั่น
ป่วนผาตะวันอีก
คนในผาตะวันยกเว้นปรินทร์กับฟาลและลูกน้องต่างคิดว่าดินแดนแห่งนี้งดงามสวยดังเมืองในฝันของทุก
คนหากได้รู้ว่ายังมีบ้านอเวจีที่มีไว้ลงโทษผู้ทำผิดฉกรรจ์และศัตรูผู้ไร้สำนึกคงมองไม่เห็นความงามของดินแดนแห่ง
นี้ ผู้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านอเวจีจะได้รับการทรมานราวตกนรกและหากสำนึกผิดก็จะถูกส่งไปอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่ง
ธรรมเพื่อให้ธรรมะกล่อมเกลาจิตใจให้เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจได้ก่อนถูกทดสอบความดีจากจิตอย่างแท้จริงและได้รับ
อนุญาตให้กลับออกไปใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปแต่ก็มีบางคนตัดสินใจสละทางโลกยอมถวายชีวิตให้พระศาสนา
โดยที่ผู้คนในผาตะวันต่างไม่มีใครรู้ว่า พระคุณเจ้าที่ดูท่าทางสงบสำรวมที่ตนใส่บาตรทุกวันนั้นบางองค์เคยเป็น
นักฆ่า นักเลงหัวไม้ บอดี้การ์ดเจ้าพ่อมาเฟียมาก่อน
============
หลังออกจากบ้านอเวจีปรินทร์ก็แวะเข้าไปตรวจงานที่รีสอร์ตรับฟังรายงานจากผู้จัดการรีสอร์ต
“คุณสตรองครับ เราน่าจะขยายจำนวนห้องพักให้มากขึ้นและรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ตอนนี้คิวจอง
เลยไปถึงกลางปีหน้าแล้ว” ผู้จัดการรีสอร์ตเสนอความเห็น
“ผมขอเหตุผลด้วยคุณวิวัฒน์” ปรินทร์จ้องมองหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแปด หน้าตาสะอาดสะอ้านสวมกางเกง
ผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้มเสื้อสีครีมคอกลมผ่าหน้านิ่งจนผู้จัดการหนุ่มใหญ่เกิดอาการลังเลไม่แน่ใจในสิ่งที่เสนอต่อ
นายใหญ่แห่งผาตะวันซึ่งยากจะหยั่งความคิดได้
“พื้นที่ว่างบริเวณรีสอร์ตยังเหลืออยู่มากควรนำมาพัฒนาเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านของเรา อีกอย่างเป็นการ
ช่วยแพร่ความคิดเกี่ยวกับวิถีธรรมชาติตามอุดมการณ์ของคุณสตรองไปในตัวด้วย ถ้านักท่องเที่ยวได้ซึมซับวิถี
ธรรมชาติอันงดงามของชาวผาตะวันแล้วไปบอกต่ออาจช่วยให้โลกมีอากาศบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นอีก”
“เหตุผลน่าฟังแต่ยังไม่ถึงเวลา ชาวผาตะวันยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะต้านพิษร้ายจากโลกแห่งเทคโน
โลยี่และคนโลภบางคนจากสังคมภายนอกได้ เอาเป็นว่าผมเห็นด้วยแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ผมอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้คน
ที่นี่ก่อน” สิ่งที่ปรินทร์กลัวคือความโลภของมนุษย์จากสังคมภายนอกที่ต้องเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อให้ได้มาซึ่ง
ลาภ ยศ ชื่อเสียงโดยไม่สนว่าต้องทำลายอะไรไปบ้าง ที่แห่งนี้เปรียบเหมือนดินแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
อันเจริญด้วยเทคโนโลยีแต่จิตใจคนกลับไม่เจริญตาม
ทุกคนที่นี่มีชีวิตอยู่อย่างสงบเรียบง่ายกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่ต้องการสิ่งใด
เพิ่มอีกคงยากจะมีภูมิคุ้มกันภัยจากผู้คนจากโลกภายนอกที่โตมากับเทคโนโลยีและการเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีเพราะในบริเวณรีสอร์ตที่นักท่องเที่ยวพักอยู่กับบ้านของเขามีโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตติดตั้ง
และไม่ห้ามถ้าชาวจะบ้านจะขอใช้ด้วยเพราะการจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้คนที่นี่ก็ต้องให้ผู้คนเรียนรู้ด้วยว่า
โลกภายนอกเขาพัฒนาอะไรไปแล้วบ้าง อีกอย่างตลอดเวลาก็มีพวกโลภอยากได้สิ่งล้ำค่าของผาตะวันไปครอง
โดยส่งคนเข้ามาแทรกซึมอยู่เรื่อยๆเพื่อปลุกปั่นยุยงคนที่นี่เป็นประจำ บางคนก็ถูกคนของเขาจับได้บางคนก็ยัง
จับไม่ได้ หากรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พวกโลภส่งคนเข้ามาทำลายผาตะวันมากขึ้น
และปล้นเอาดินแดนอันงดงามนี้ไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าจะทำลายธรรมชาติ
ทำลายจิตใจอันบริสุทธิ์ของผู้คนที่นี่แต่ประการใด ดังนั้นเขาจึงต้องทอดเวลาในการขยายกิจการรีสอร์ตออกไปอีก
“ถ้างั้นผมไม่กวนคุณสตรองแล้วครับ” ไม่จำเป็นต้องพูดจากให้มากความลองนายใหญ่แห่งผาตะวันตัด
สินใจแล้วอย่าได้พยายามขอให้เปลี่ยนใจแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก โอกาสเพิ่มรายได้เห็นๆกลับไม่เอา ไม่รู้ว่า
โง่หรือฉลาดกันแน่
=============
เดือนประดับแม่บ้านใหญ่ของบ้านมาที่รีสอร์ตตั้งใจมาหานายใหญ่แห่งผาตะวันแต่กลับพบกับฟาลระหว่าง
ทาง ใบหน้าเหี้ยมดุของฟาลอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสาวสวยตรงหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“สวัสดีค่ะพี่ฟาล นายสตรองยังอยู่ที่รีสอร์ตหรือไปที่อื่น” สาวสวยถามหาปรินทร์เลยทำให้แววตาสีสนิมเหล็ก
ของหนุ่มใหญ่วัยกลางคนมีแววหมองลงเล็กน้อยก่อนแปรเปลี่ยนเป็นดุเหมือนเดิม
“อยู่” ฟาลตอบเสียงห้วน ตามนิสัย
“งั้นเดือนขอไปพบก่อน คุณป้านายให้มาตามค่ะ” เดือนประดับอ้างไม่ค่อยชอบหน้าดุดันของฟาลเท่าไรนัก
“ตามใจ” ฟาลทำท่าจะเดินเลยไปแต่เหมือนนึกอะไรได้จึงหันมาบอกว่า “อยู่ที่นี่มานาน น่าจะรู้ว่าเย็นๆ
อากาศหนาวและควรใส่เสื้อผ้าแบบไหน” แล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจ
“ไอ้ยักษ์โหด เย็นชา ตาไร้แววถึงมองไม่เห็นความงามของผู้หญิง มิน่าเล่าสาวๆถึงพากันวิ่งหนี ฉันอุตส่าห์
พูดดีด้วยยังมาว่าอีก” เดือนประดับก่นด่าไล่หลังร่างหนาสูงใหญ่ของฟาลด้วยใบหน้าหงิกงอและต่อมาก็รีบยิ้ม
หวานเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินมา
“นายฟาล มาพอดีเลย เดือนกำลังจะไปตาม คุณป้านายให้มาตามไปทานข้าวเย็นค่ะ” เดือนประดับบอก
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผ้าคลุมไหล่ทำจากผ้าไหมทอลายสีครีมอ่อนสวยงามในมือของปรินทร์อย่างสนใจ
“กำลังจะกลับเหมือนกัน” ปรินทร์บอกพลางเดินไปเรื่อยๆตามทางธรรมชาติสู่บ้านหลังใหญ่บนเนิน สอง
ข้างทางมีต้นไม้สีสันต่างๆปลูกอยู่เรียงรายแซมด้วยไม้ดอกสีเหลือง สีชมพู สีแดง กลีบดอกไม้สีต่างๆร่วงลงสู่พื้น
ช่วยแต่งแต้มสีสันบนพื้นดินพื้นหญ้าดูแล้วงดงามยิ่ง ทว่าสำหรับชาวผาตะวันกลับชินกับภาพธรรมชาติอันงดงาม
เหล่านี้จนรู้สึกเฉยๆ
เดือนประดับเดินตามปรินทร์มาได้สักพักก็เอามือกอดอกทำท่าหนาวสั่นทว่าร่างสูงที่เดินเคียงข้างกลับ
ทำเหมือนไม่รับรู้ ดวงตางดงามจ้องมองผ้าคลุมไล่ไหมทอลายผืนสวยในมือของเจ้านายใหญ่แห่งผาตะวันแล้วมีแวว
ผิดหวังและรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก็เธอหวังจะให้เขาใช้มันคลุมใหล่ให้เธอกันหนาวบ้างแต่เปล่าเลยร่างสูงใหญ่ดูดี
กลับทอดสายตาไปตามทางข้างหน้าโดยไม่สนใจแถมก้าวยาวขึ้นอีกจนเธอต้องเดินกึ่งวิ่งถึงจะตามร่างสูงทันจนอด
หงุดหงิดในใจไม่ได้
‘นายสตรองจะรีบไปตามควายที่ไหนนะ เดือนเป็นผู้หญิงนะ จะอ่อนโยนสักนิดก็ไม่ได้ เสียแรงชื่นชม’
ไม่ว่าเดือนประดับจะบ่นว่าหงุดหงิดกับปรินทร์อย่างไรเธอก็ต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อก้าวให้ทันร่างสูงที่
ก้าวยาวขึ้นสักพักร่างบางเย้ายวนก็สะดุดแล้วร้องออกมา
“โอ๊ย..ซี๊ด”
ร่างสูงใหญ่หยุดและหันมามอง คิ้วหนาเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดกับมือบาง
จับข้อเท้าบอบบาง ไม่ต้องบอกก็รู้หญิงสาวล้มข้อเท้าเพลง ปรินทร์จึงขยับตัวเข้าไปใกล้ย่อตัวลงพลางถามว่า “ลุก
ไหวไหมเดือน”
เดือนประดับพยักหน้าเบาๆแล้วพยายามยันตัวขึ้นแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือร่างบางเย้ายวนเซล้มไปกอดร่างสูง
ใหญ่แข็งแกร่งแล้วซบหน้าลงกับอกแกร่งเพื่อยึดเป็นหลัก
“อุ๊ย ขอโทษค่ะนายสตรอง” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจใบหน้าเนียนแดงรื่อด้วยความอายและฝืนขยับ
ตัวออกห่างร่างแกร่งด้วยความรู้สึกเสียดาย
“ไม่เป็นไร เดินไหวไหม” เสียงถามอาจราบเรียบทว่าเดือนประดับกลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยในคำถามนั้น
จนอดหลงลำพองใจไม่ได้ ‘ผู้ชายต่อให้เย็นชา แข็งกร้าวก้าว ดุดันแค่ไหน ถ้าเจอเดือนประดับ ไม่มีใครรอดพ้นมารยา
แห่งสตรีเพศไปได้หรอก เห็นทีต้องเล่นบทนางเอกต่อ’
“ไหวค่ะนายสตรอง” เดือนประดับฝืนแสดงความเข้มแข็งและลุกขึ้นยืนโดยมีมือใหญ่ช่วยประคอง จากนั้น
ก็ขยับเท้าทำท่าเดินแต่กลับเปล่งเสียงเจ็บปวดออกมา
“ซี๊ด”
“เจ็บก็อย่าฝืน นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะให้คนมาช่วย” ร่างสูงช่วยประคองหญิงสาวให้นั่งลงพิงต้นไม้
ข้างทางแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน
“รอดตัวไปได้อีกสินะ นายสตรอง ใจคอจะไม่ยอมใกล้ชิดสาวๆเลยหรือไง บ้าๆๆ” เดือนประดับบ่นหน้าหงิก
แล้วเดินตามไปห่างๆ เธอไม่รอหรอก ไว้ถึงบ้านก่อนจะเกล้งเดินกะเผลก เข้าบ้านเรียกร้องความเห็นใจและชื่นชม
เธอรู้ นายใหญ่แห่งผาตะวันนั้นชอบคนใจเด็ดเข้มแข็ง
============
ลษิดาหลังจัดเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวเข้าที่เข้าทางแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมาเดินเล่นบริเวณหน้า
ห้องพักที่เธอเห็นเป็นเนินหญ้าเขียวขจีงดงามแซมด้วยดอกไม้ป้าสีเหลือง สีแดง สีชมพู โอบล้อมด้วยขุนเขาอันงด
งาม หญิงสาวเดินสูดดมอากาศอันบริสุทธิ์กับชื่นชมธรรมชาติอันงดงามของดวงตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมภูเขา
พลางเดินไปเรื่อยๆตามเนินหญ้าไปเรื่อยๆแล้วหยุดพักนั่งบนหินก้อนใหญ่มองไปข้างหน้าจึงเห็นบ้านคนอยู่หลาย
หลังจะเรียกว่าหมู่บ้านย่อมๆก็ได้แต่อยู่ต่ำจากบ้านที่เธออยู่ไกลพอควร ครั้นหันมามองรอบๆกายก็เห็นทางเดิน
ธรรมชาติสองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่พื้นปกคลุมด้วยกลีบดอกไม้ทอดยาวไปไกลจึงลุกเดินไปตามทางด้วยความ
อยากรู้ เส้นทางนี้จะพาไปที่ได แต่พอเดินมาได้สักพักก็หยุดแล้วหันหลังกลับเพราะเริ่มจะมืดค่ำอีกอย่างเส้นทาง
นี้ค่อนข้างเปลี่ยวและอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆจนรู้สึกหนาวได้พลันเสียงเรียกอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“น้องฟาง เพิ่งมาอยู่วันแรกก็เที่ยวเดินซุกซนไปทั่ว ไม่ไหว น่าตีนักเด็กดื้อ”
ร่างบางอรชรหันกลับมาหาตามเสียงดุแล้วทำหน้าง้ำพลางทำเป็นไม่สนใจทำท่าจะเดินกลับหากไม่ถูก
คว้าตัวมากอดไว้ก่อน
“จะเดินหนีพี่ไปไหนน้องฟาง”
“เปล่าไม่ได้หนี แค่เดินกลับห้องเฉยๆ”
“ตอบได้ดีต้องให้รางวัล” ว่าจบลษิดาก็ต้องเสียแก้มให้กับคนอยากมอบรางวัลทั้งที่ไม่ได้ขอเพราะรางวัล
นี้เธอเสียเปรียบชัดๆ และภาพนั้นก็บังเอิญทำให้หญิงสาวอีกคนที่เดินตามปรินทร์มาเห็นเข้าอย่างจังและมีใบหน้า
บึ้งตึงทันที
‘ยายหน้าจืดแกมีอะไรดี มาวันแรกใครๆก็หลงมัน ไม่เว้นแม้แต่นายสตรอง แกกับฉันเห็นทีจะอยู่ร่วมโลกกัน
ไม่ได้’ แม้จะไม่พอใจมากแค่ไหนแต่เดือนประดับก็เลือกที่จะหลบและเฝ้าดูทั้งสองต่อ
“แก้มน้องฟางไม่ใช่ของพี่สตรองนะ จะทำอะไรให้เกรงใจเจ้าของบ้าง” ปรินทร์ได้ยินแล้วอยากปล่อยก๊าก
ให้กับการต่อว่าต่อขานของคนแก้มหอมนุ่มนิ่มจนเขาอดใจไม่ไหว
“สรุปว่า หวงแก้มนั่นเอง เข้าใจแล้ว พอใจไหมครับน้องฟาง” เขาแกล้งยั่วพลางมองดวงหน้าสวยใสน่ารัก
ยับย่นด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีคนร้ายกาจช่างยั่ว
“หยุดก่อน น้องฟาง” เสียงเข้มสั่งห้าม
ร่างบางอรชรหยุดกึกแล้วหันหน้ามาหาดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงด้วยแววกังขาแต่ไม่ถาม ต่อเมื่อ
ร่างสูงขยับมาใกล้แล้วเอาผ้าคลุมไหล่ผ้าไหมทอลายแสนสวยคลุมไหล่ให้อย่างอ่อนโยน
“หลังพระอาทิตย์ตกดิน อากาศจะหนาวเย็นมาก ทีหลังอย่าออกจากบ้านโดยไม่ใส่เสื้อกันหนาวเข้าใจ
ไหม” ลษิดาพยักหน้าแทนคำตอบทว่าใจกลับเถียงแทน
‘ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าอากาศที่นี่จะพิศดารอย่างนี้ ถ้ารู้จะขอแวะซื้อเสื้อกันหนาวก่อนมาถึง’ แล้วเดินต่อโดย
ไม่สนใจเจ้าของผ้าคลุมไหล่เนียนลื่นผืนบางทว่ากันหนาวได้อย่างประหลาด
ปรินทร์รู้ได้เลย ‘น้องฟางเกิดอาการงอนและประท้วงพี่สตรองทางอ้อม’ แต่เขาไม่สนใจจับมือเรียวเล็ก
นุ่มนิ่มเดินเคียงข้างคนแสนงอนไปด้วยกันจนถึงบ้านโดยไม่เห็นสายตาชิงชังริษยาของเดือนประดับที่เดินตามหลัง
มาห่างๆ เธออยู่ที่นี่มานานยังไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากปรินทร์เท่ากับลษิดาซึ่งเพิ่งมาอยู่
‘นายสตรองกับเดือนทำเป็นไม่สนใจ แต่กับนังนี่กลับดูแลอย่างดี แล้วนายสตรองจะต้องเสียใจที่ทำร้าย
จิตใจเดือน ใครคิดแย่งของรักของหวงของเดือนมันต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม’
-----------------------------------------
ช้าหน่อยนะคะไม่ค่อยว่าง ถ้ารักกันจริงก็อย่าทิ้งกัน แล้วจะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุดแต่ถ้าไม่มีใครตามก็จะหยุด
เขียนแล้วค่ะ เหนื่อย กว่าจะได้มาแต่ละตอน
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2557, 21:10:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2557, 21:10:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1649
<< ตอนที่ 5 | ตอนที่ 7 >> |
ใบบัวน่ารัก 28 ม.ค. 2557, 22:51:52 น.
ถ้าแล้วหรือยังว่าเค้าจะเอาเดือนเป็นเมียหรือเปล่า
คิดเองเออเอง เรียกว่าหน้าด้าน นิ
ถ้าแล้วหรือยังว่าเค้าจะเอาเดือนเป็นเมียหรือเปล่า
คิดเองเออเอง เรียกว่าหน้าด้าน นิ
konhin 29 ม.ค. 2557, 11:45:20 น.
เฮ้อ พวกชอบคิดว่าความใกล้ชิดทำให้มีสิทธ์เป็นเจ้าของเนี่ย ไม่ไหว
เฮ้อ พวกชอบคิดว่าความใกล้ชิดทำให้มีสิทธ์เป็นเจ้าของเนี่ย ไม่ไหว
ผักหวาน 29 ม.ค. 2557, 12:36:02 น.
นายฟาล กลับมาพอดี.... นายสตรอง กลับมาพอดี
/////////
ขนาดว่ายัยหนูเดือนสวยที่สุดแล้วนะ แต่ใจพี่สตรองเค้ามั่นคงกับหนูฟางมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย อย่าอิจฉาคนอื่นเลยหนูเดือน พี่ฟาลยังอยู่ อิอิ
นายฟาล กลับมาพอดี.... นายสตรอง กลับมาพอดี
/////////
ขนาดว่ายัยหนูเดือนสวยที่สุดแล้วนะ แต่ใจพี่สตรองเค้ามั่นคงกับหนูฟางมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย อย่าอิจฉาคนอื่นเลยหนูเดือน พี่ฟาลยังอยู่ อิอิ
Pat 30 ม.ค. 2557, 19:40:08 น.
ยังตามอยู่นะค๊า
ยังตามอยู่นะค๊า
goldensun 1 ก.พ. 2557, 10:50:27 น.
สตรองนิ่งมาก มีหลายมุมแยกตามคนที่เจออีกต่างหาก ฉลาดและเด็ดขาด ปกป้องน้องฟางได้แน่
แต่ยังไม่รู้ทันเดือนนี่สิ สงสารฟาลด้วย ไปแอบชอบเดือน หวังว่าคงไม่ถูกหลอกใช้
สตรองนิ่งมาก มีหลายมุมแยกตามคนที่เจออีกต่างหาก ฉลาดและเด็ดขาด ปกป้องน้องฟางได้แน่
แต่ยังไม่รู้ทันเดือนนี่สิ สงสารฟาลด้วย ไปแอบชอบเดือน หวังว่าคงไม่ถูกหลอกใช้