จำแลงแปลงรัก
โยษิตา สูญเสียพ่อกับแม่ไป โลกอันสวยงามของเธอก็ทลายตามไปด้วย เธอเริ่มเข้าสู่วังวนอันดำมืด และเป้าหมายของเธอก็คือเขา...บุคคลที่เธอได้รับหน้าที่ให้ตามติด

วิกรานต์ ชายหนุ่มแท้ มีใบหน้าหล่อยามเป็นชาย แต่ยามเป็นสาวก็หลอกตาใครต่อใครได้มาก ชีวิตของเขาสำมะเลไปวันๆ แต่ความสามารถของเขานั้นกลับเป็นที่ต้องการของใครมากมาย...

คนสองคนต้องมาใช้ชีวิตด้วยกัน เขาใช้เธอเป็นตัวหลอก เขี่ยสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ และเธอมีเขาเป็นเป้าหมาย คนแบบเขาเหมาะที่จะส่งไปสอดแนม ล้วงข้อมูลมาให้เธอ
Tags: ดราม่า แอ็กชั่น สืบสวน โรแมนติก สายลับ

ตอน: บทที่ 4 : นอกสายตา

“เหมือนดวงอาทิตย์ดวงที่สองยังไม่รู้ตัว พระอาทิตย์สวมวิก มีปาก เดินได้”

“ถือว่าคอนเซปต์ฉันผ่าน”

โยษิตาเหลียวมองคนที่กำลังยิ้มหน้ายกขึ้น มือเท้าเอวสองข้าง และเริ่มหัวเราะ ในสายตาของเธอยามนี้ วิกรานต์บ้าจนกู่ไม่กลับแล้วล่ะ

ตามสบายพ่อท่านเถิด...

เสียงถอนหายใจคล้ายปลงตกมันคงดังพอให้คนได้ยินหยุดทำตาเอาเรื่อง เอียงศีรษะทำหน้าครุ่นคิด หรี่ตาลงนิดๆ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึๆ ให้คนมองต้องเตรียมใจรอรับผลแต่เนิ่นๆ

สำหรับเธอแล้ว...วิกรานต์ไม่ใช่ผู้ชายปกติ

ถ้าหากไม่มีเรื่องผู้หญิง เธอคงคิดว่าเขาเป็นประเภทเบี่ยงเบน โยษิตาสะบัดศีรษะไล่ความคิดของตัวเองที่ไม่วายแวบมาแอบวิจารณ์พ่อดวงอาทิตย์ตรงหน้าร่ำไป ทั้งที่นิสัยช่างวิจารณ์ หรือแอบนินทาคนในใจไม่ใช่วิสัยของเธอ

รถรูปทรงแปลกตา ไม่รู้ว่าคือมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ เพราะมีขนาดสามล้อ หากเป็นสามล้อตามที่เคยเห็นก็คงไม่แปลกนัก ประเภทขับเคลื่อนด้วยแรงถีบ มีกระโจม แต่นี่ราคาของมันคงไม่ใช่ถูกๆ ทำด้วยไฟเบอร์กลาสสีเงิน มีท่อยาวอยู่ด้านหลังสองข้าง เธอคิดว่าตัวเองคงไม่ได้นั่งให้ใครมอง หากว่าคนที่เธอต้องล่าลายเซ็นมาให้ได้จะไม่มุ่งตรงไป

“ทีเร็กซ์หนึ่งสี่อาร์อาร์ สั่งตรงจากแคนาดา เป็นไงมองตาค้างเชียว อาการเดียวกับพวกสาวๆ ที่ฉันเจอมา” ท้ายประโยคติดเย้ยหยันหลังจากโอ่ความหรูหราของมอเตอร์ไซค์มีหลังคาปิดของตัวเอง

“ก็แค่เศษเหล็ก”

“เศษเหล็ก”

โยษิตาทำหน้าเฉยกับการเค้นเสียงลอดไรฟันจากวิกรานต์ เธอเห็นหูของเขาเริ่มเปลี่ยนสี เขาทำมันได้เร็วกว่าจิ้งจกเกาะข้างฝาผนังเพื่อเปลี่ยนสีเสียอีก

“ตาเธออยู่ตาตุ่มหรือไง เจ้าแมวเหมียวเป็นลูกรักของฉันเลยนะ”

สวยน่ะไม่เถียง...แต่เดี๋ยว เมื่อครู่หูเธอฝาดหรือเปล่า “แมวเหมียว”

“อึ้ง ทึ่งอีกแล้ว ทำไม แมวเหมียวน้อยๆ ของฉันปราดเปรียวใช่ไหม”

ผู้ชายคนนี้อาศัยอยู่คนละโลกกับเธอหรือเปล่า ทำไมรู้สึกว่าโลกของวิกรานต์ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ


เธอรู้สึกเป็นตัวตลกมากกว่านึกเท่ห์ทำหน้าภูมิใจ รถประหลาดที่มีเพียงคันเดียวบนท้องถนนที่เขาอวดว่าราคาเป็นล้าน ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้นั่งมอเตอร์ไซค์สามล้อราคาเหยียบล้านนี้เลย ให้เธอนั่งสามล้อถีบยังจะทำใจได้ง่ายกว่า

เจ้า ‘แมวเหมียว’ เคลื่อนเข้าจอดในลานจอดรถของชั้นใต้ดิน ในที่จอดของรถยนต์ ไม่ต้องรอให้เขามาเปิดประตูอากาศเธอก็รีบแจ้นมายืนอยู่ข้างรถ อยากจะทำตัวกลืนหายไปกับฝูงชนในห้างสรรพสินค้าโดยเร็ว เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอมากับเขา

ผู้ชายปิดหน้าเหลือแค่ตามองกราดตั้งแต่ผมของเธอจรดถึงรองเท้าคัทชูสีเรียบ ส่งเสียงหึในคอทีหนึ่ง และทำในสิ่งที่เธอนึกเกลียด...ใครใช้ให้เขาเอาแขนมาเกี่ยวรัดแขนของเธอไว้แน่น ซ้ำยังชักจูงให้เดินตามไปอีก

“ไม่ต้องกลัวฉันหนีหรอกค่ะ”

“ไม่ได้กลัวว่าจะหนี แต่กลัวว่าจะทำตัวเดินห่างจากฉันไปสักสิบก้าว ทำให้ฉันเหมือนมาคนเดียวสิไม่ว่า”

ฉลาดเกินคน...

โยษิตาทำใจ เธอรู้ว่าสายตาใครต่อใครต้องมองเธอแย่ ประหลาด หรือลามไปถึงสถาบันการศึกษา แต่ว่า กับเขา หญิงสาวถือโอกาสมองเขากลับ นึกพลางจำใจเดินต่อไป ไม่ให้คนฉลาดจอมมั่นรู้ความคิดของเธอ

คนอื่นอาจคิดว่าเธอเดินอยู่กับ...เพื่อนสาว สักคนก็ได้

“ดูสิแก นั่นใช่คุณกลางหรือเปล่า ไอดอลฉันเลย”

บางทีเธออาจจะคิดผิด เรื่องเดินกับเพื่อนสาว...สายตาหลายคู่มองมายังผู้ชายดวงตะวันแผดแสงอันโดดเด่นข้างกายเธอด้วยสายตาสุดแสนจะประทับใจ และเผื่อแผ่รังสีของความอิจฉามาให้เธอได้ร้อนบ้าง โชคดีที่เธอมีเกราะป้องกันส่วนตัว สายตาคนอื่นเธอไม่เคยใส่ใจ

“ฉันชอบความมั่นของเขา”

“วันนี้เขาคงไม่อยากให้คนจำได้แน่เลยปิดหน้าตาซะ”

“ถ้าไม่อยากให้จำได้เขาคงไม่จัดเต็มแบบนี้หรอก มันเป็นแฟชั่นหรอกย่ะ”

จริงๆ เธอก็ไม่ได้อยากทำตัวเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นแอบฟังชาวบ้านชาวช่องพูดนักหรอก หากว่าเสียงนั้นจะไม่ได้ดังขนาดคนละแวกนี้ได้ยินกันครบ โยษิตาอดใจอยากรู้อาการคนถูกชื่นชมหรือวิจารณ์ก็มิอาจทราบใจคนพูด พบว่าดวงตาเขานิ่งจัด และกำลังจับจ้องเธอราวกับมีลูกไฟย่อมๆ อยู่ในนั้น เธอจะเบนหลบตอนนี้ก็ไม่ทัน

“เพราะเธอ...หน้าหล่อๆ ของฉันถึงอวดสาวไม่ได้”

โยษิตาเลิกคิ้วมอง ยิ้มมุมปาก กระซิบตอบกลับไป ไม่มีความเกรงกลัวสักนิด “อยากโดนแบบเดิมอีกครั้งก็ไม่ว่ากันนะคะ”

“เธอนี่มัน...” เล่นเกมจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดวิกรานต์ก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน มุ่งหน้าเดินไปเตะป้าบใส่ถังขยะอลูมิเนียมเสียงดัง

โยษิตาส่ายศีรษะแกมขำ เรื่องเธอคิดห้ามเขาทำพฤติกรรมอันแปลกประหลาดพวกนี้เธอว่าคงเหนื่อยพอๆ กับอ้อนวอนพระอาทิตย์ให้ขึ้นทางทิศตะวันตก และตกในทิศตะวันออกนั่นล่ะ

ผู้ชายคนนี้ปล่อยให้เป็นสีสันของโลกสีเทานี้บ้างก็ดีเหมือนกัน

“โยษิตา” เสียงเรียกชื่อของเธอไม่เบานัก วิกรานต์กวักมือเรียกเธอไหวๆ หญิงสาวเดินเอื่อยไปหาเขา เว้นช่องว่างไว้อย่างจงใจ

“มีอะไรคะ”

“มานี่”

“ไม่ค่ะ” ตอบอย่างมั่นใจ

“เธอต้องรับผิดชอบฉันนะ”

“ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่จังเลยนะคะ”

“ลายเซ็นจะเอาไหม” วิกรานต์ยื่นไม้ตายสุดท้าย อารมณ์เหลืออด เท่านั้นก็ได้รับอาการค้อนตาขวางส่งมา และเพียงแค่โยษิตาอยู่ในระยะเอื้อมถึง เขาก็คว้าหญิงสาวไว้แทนราว กระซิบให้ได้ยินกันสองคนแบบไม่รักษาสภาพ

“เจ็บชะมัด”

แล้วใครใช้ให้เตะถังขยะ...โชคดีที่โยษิตายั้งปากให้เหลือเพียงแค่ความคิด ไม่อย่างนั้นผู้ชายอารมณ์แปรปรวนคงได้ลงกับถังขยะมาใช้เธออำพรางการเดินกะเผลกอีกแน่

จะว่าไปรูปลักษณ์เจ้าอารมณ์ หลายครั้งที่คนประเภทนี้เวลาโกรธจะทำร้ายอีกฝ่ายโดนไม่สนเพศ แต่เขากลับเลือกไปลงกับสิ่งของแทน

นี่ล่ะมั้ง จุดอ่อนของวิกรานต์ จุดอ่อนที่ทำให้เธอรู้สึกสนุกกับการแกล้งเขาได้ไม่มีเบื่อ

“จูน”

โยษิตาตัวแข็งทื่อ ร่างกายไม่ยอมเดินต่อตามที่วิกรานต์ตั้งใจจะลากพาไป ผู้ชายนอกเครื่องแบบ สวมเสื้อโปโลลายขวางขวาง ถึงการแต่งตัวจะสบายผิดหูผิดตา แต่ท่าทีเคร่งขรึม และน้ำเสียงคล้ายตำหนิในทีทำให้โยษิตารู้สึกว่าการสัมผัสกับฝ่ามือของวิกรานต์คล้ายต้องของร้อน

เธอไม่อยากทำให้สิรธีร์ผิดหวัง หรือแม้แต่คิดไปในทางไม่ดีระหว่างเธอกับวิกรานต์ เธอกับเขาไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น

“พี่เจมาทำอะไรที่นี่คะ”

“พี่มาเดินเล่น จูนล่ะ” สิรธีร์มองใบหน้าแข็งกระด้างของผู้ชายตัวสูงข้างกายโยษิตาแทนการพูดจำเพาะ “พี่นึกว่าจูนจะยุ่งฝึกงาน”

“ไม่แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ”

โยษิตาไม่ทำตามที่วิกรานต์ขอ เธอไม่สนใจว่าเธอมากับใคร แต่เธอสนใจคนที่เพิ่งเจอ “พี่เจเองก็คงจะยุ่งนะคะ จูนไม่เจอพี่เจตั้งนาน” ความน้อยใจเต็มเปี่ยมในน้ำเสียง

“พี่ยุ่งๆ”

“มากินข้าวด้วยกันสิครับ ดูท่าใครแถวนี้จะอยากรั้งคุณไว้เต็มแก่” วิกรานต์ยื่นมือมาอีกครั้ง มือเกี่ยวข้อพับแขนของโยษิตาไว้แน่น “จริงไหมโยโย่”

โยโย่...โยษิตาอดทนที่จะไม่หันไปด่าผู้คิดค้นชื่อเล่นใหม่ของเธอโดยไร้การปรึกษา “พี่เจยุ่งๆ คงไม่ว่างใช่ไหมคะ” เธอยินดีกันสิรธีร์ออกจากวงโคจรของผู้ชายประหลาด แค่เธอเพียงคนเดียวก็เหนื่อยมากพอแล้ว

“พี่ขอไปทำงานต่อนะ ไว้พี่จะรีบไปหา”

สิรธีร์จากไปด้วยความเฉยเมย โยษิตามองความเย็นชาของอีกฝ่ายด้วยความคุ้นชิน ถึงเขาจะไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา แต่เพียงแค่ได้พูดจา และพบหน้า โยษิตาก็รู้สึกว่าเวลาว่างเปล่าที่ผ่านมาได้รับการเติมเต็ม

ขาดก็แต่เธอไม่ได้พบเขาเพียงสองคน แต่มีผู้ร่วมรู้ด้วยอีกหนึ่ง

“ชอบคนแบบนี้เหรอ เหมือนคนประเภทเดียวกัน ตามทฤษฎีขั้วเหมือนกัน เจอกัน จะดีดห่าง เหมือนคู่ขนาน” วิกรานต์เปิดปากวิจารณ์ สังเกตสีหน้าอันเรียบเฉยของโยษิตา แม้จะไม่โวยวาย หรือเรียกร้องจากผู้ชายคนนั้น แต่แววตาสงบนิ่งแฝงรอยเศร้าจางๆ

“มันเรื่องของฉันค่ะ”

“ในสามวันนี้ เรื่องของเธอทุกเรื่องจะเป็นเรื่องของฉัน ส่วนเรื่องของฉัน ก็ยังเป็นเรื่องของฉัน อยากได้ลายเซ็นฉัน ก็ต้องทำตามความต้องการของฉัน เข้าใจไหม”

“ต้องการอะไรเป็นพิเศษอีกไหมคะ ฉันจะได้จำไว้ให้ครบ” น้ำเสียงระดับเดียว แต่ติดขัดตรงที่ใจความขนาดคนฟังยังรับรู้ได้ว่าถูกกระแนะกระแหนเข้าแล้ว

วิกรานต์ดวงตายิ้มสว่างไสว ถูกใจในใจความนั้น ย้ำชัดให้รู้กันไป

“ฉันต้องเป็นที่หนึ่ง เธอจะมาสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉันไม่ได้ ในสามวันทำได้ไหม”

โยษิตาเม้มปาก จ้องคนบงการชีวิตเธอในสามวันนี้ด้วยสายตาเชือดเฉือน เธออยากรู้นักว่าเขาจะมาเอาอะไรนักหนากับคนอย่างเธอ รุ่นพี่คนอื่นในบริษัทพบเจอเหตุการณ์อย่างมากก็แค่วันเดียว โดนผู้ชายอย่างเขาปั่นหัวกันหมุน ไม่ก็โดนกดดันจนเครียด แต่นี่ เขากลับผูกเธอติดกับเขาถึงสามวัน...แก้แค้นที่เธอฝากรอยมือให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจหรือไง

“ทำได้ไหม” ถูกเขาเค้นเสียงถาม

แต่นาทีนี้มีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของเธอแทน ภาพคนสองสามคนที่กำลังไล่กวดผู้ชายสะพายเป้อยู่อีกฟากหนึ่งของห้าง และหนึ่งในนั้นคือบุคคลที่เธอเพิ่งทักเขาไปไม่กี่นาทีก่อน

จากทิศทางการวิ่ง ผู้ชายสะพายเป้คนนั้นต้องมาบรรจบกับเธอ โยษิตาไม่ทันตอบรับข้อเสนอของวิกรานต์ เธอก็รีบสะบัดแขนออกจากอุ้งมือเขา เดินอย่างใจเย็นขึ้นหน้าไป ไม่สนว่าได้ทิ้งใครให้อ้าปากค้างเบื้องหลัง

หลายคนที่เดินขวางทางโดนผู้ชายผอมที่วิ่งหนีตำรวจผลักกระเด็น บางคนกระโดดหลบ และจับกลุ่มวิจารณ์กันสนุกปาก ส่วนอีกกลุ่ม ไทยมุงเข้าสิง

อีกไม่ถึงร้อยเมตร โยษิตากะระยะผ่านสายตา เธอเดินหลบไปด้านขวาให้ระยะห่างระหว่างเธอกับคนวิ่งในระยะสวนกันห่างไม่ถึงช่วงตัว

“จูนหลบไปมันมีอาวุธ” เธอได้ยินเสียงของสิรธีร์ดังเตือนมา แต่ร่างกายเธอออกไปสกัดตัวคนร้ายก่อนแล้ว

โยษิตาใช้ความสามารถที่ถูกฝึกมาแต่เด็กจากพ่อและแม่ในการต่อสู้ ช่วงที่กำลังเลยไป เธอปล่อยให้คนร้ายวิ่งผ่านเธอไปเกือบช่วงตัว ก่อนพลิกตัวกลับมาล็อกต้นคอคนร้ายด้วยแขนข้างหนึ่ง และแขนอีกข้างจับข้อมือคนร้ายที่มีอาวุธเป็นมีดพกกระแทกด้วยเข่าของเธอแรงๆ ใส่ไปสองทีจนหลุด ใช้เท้าเตะข้อพับขาของคนร้ายจนนั่งคุกเข่ากับพื้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึงนาที ทันทีที่สิรธีร์มาถึง โยษิตาก็จัดการเรียบร้อย เธอส่งคนร้ายให้สิรธีร์จัดการต่อ เธอคาดว่าจะได้พบกับคำชื่นชมจากปากของผู้ชายคนนี้

“รู้ไหมว่ามันอันตราย เกิดจูนทำพลาด จูนเจ็บตัว พวกพี่จะเสียงานแค่ไหน”

“แล้วคิดไหมว่าที่พูดไป ทำให้คนฟังเสียใจแค่ไหน” วิกรานต์เดินล้วงกระเป๋าเข้ามา “ซุปเปอร์ฮีโร่ของฉันถูกว่าแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลยนะ”

“พอเถอะค่ะ หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว” โยษิตาบรรยายความรู้สึกคล้ายร่วงจากที่สูงในตอนนี้ไม่ถูก เหมือนกับเด็กทำความดีหวังได้รับคำชื่นชมได้ แต่สิ่งที่ได้ก็คือการต่อว่าต่อขาน

สิรธีร์ก็แค่เป็นห่วง กลัวเธอไม่ปลอดภัย โยษิตาพยายามคิดเพื่อให้ตัวเองพอใจ

“ครั้งหน้าจูนจะระวังให้มากกว่านี้นะคะ”

โยษิตาอยู่รอจนกระทั่งสิรธีร์พาคนร้ายกลับไป เธอแทบไม่ได้สนทนาอะไรกับเขาอีก แม้แต่สายตาอีกฝ่ายก็มองผ่านเลยไป เห็นเพียงแค่งานในหน้าที่ของตัวเอง

“ไปสปาเท้ากันเถอะ” วิกรานต์กอดอก ไม่สนว่าสายตาของไทยมุงจะเปลี่ยนเป้าหมายมาสนใจเขาแทน

“ฉันไม่อยากไป”

“คิดว่าเธอเสนอความคิดเห็นได้เหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม สีหน้ายียวน เดินเกี่ยวแขนร่างเพรียวสุดแข็งแกร่งให้ตามกันไป

ผู้หญิงที่ล้มผู้ชายมีอาวุธ ดาหน้าไปโดยไม่กลัวเกรงแบบนี้ ยิ่งทำให้เขานึกทึ่ง

ดีจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ยังมีอะไรให้เขาแปลกใจเรื่อยๆ เป็นของแปลกใหม่ที่เขาอยากค้นหา วิกรานต์ยิ้มเต็มแก้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้รับความสนใจจากโยษิตาเลยสักนิด เพราะจิตใจของหญิงสาวคิดถึงเพียงแต่สิรธีร์

.............................................................
หายไปสองสัปดาห์เต็มๆ ไม่รู้ว่าลืมคุณกลางไปหรือยังค่ะ ตอนนี้ก็ยังรีไรท์สวีทเทสไม่เสร็จ เพิ่งเสร็จไปประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ เรื่องนั้นต้องเปลี่ยนบทแรกๆ ใหม่หมด แต่อีกสักพักน่าจะเสร็จ แล้วก็คงลงเรื่องนี้ต่อ ส่วนสวีทสุดท้ายคงค่อยกลับมาแตะต่อได้ (หมักดองต่อไป) ปีใหม่แล้ว เลยอยากมาอัพวันแรกของปีแบบเอาฤกษ์เอาชัยค่ะ อยู่บ้านเลิฟมาเกือบสี่เดือน รู้สึกว่าอยู่มานาน เพราะอัพเรื่องเกือบทุกวัน หายไปสองอาทิตย์เลยใจหายต้องรีบกลับมา ฮา (เว่อร์ได้อีก)

ปีใหม่ขอให้เพื่อนพ้องน้องพี่นักอ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข โชคดี แข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ ทำอะไรก็มีแต่เฮงๆ ส่วนปวราคนนี้จะยึดมั่นในการปั่นงานต่อไป และลุ้นว่าจะสำเร็จวันไหน ^^ อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ คนเขียนจะอยู่ไมได้ ถ้าขาดคนอ่าน ทุกคนน่ารักจริงๆ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ปีที่ผ่านมามีความสุขจริงๆ

คุณ konhin พาพระเอกแรงๆ กลับมาฝากค่ะ แรงแต่แอบน่ารักนะ ;)

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ผิวเนียนขึ้นหรือยังคะ พอกหน้าแล้วต้องสปาเท้าต่อ ฮ่าๆๆ หวังว่ายังไม่ลืมเรื่องนะคะ สองอาทิตย์ที่หายไป ช่วงนี้มีเวลากลับมาปั่นต่อได้แล้วค่ะ

คุณ ปรางขวัญ มั่นใจอย่าได้แคร์เป็นสโลแกนนายกลางได้เลยค่ะ เขียนรถที่กลางขับบทนี้ก็คิดว่ามั่นมาก ฮา

คุณ mhengjhy เรื่องนี้นางเอกเก่งค่ะ ไม่รู้ว่านางเอกต้องปกป้องพระเอกแทนไหม ฮา

คุณ Sukhumviit66 เธอพร้อมซัดใส่กลางได้เสมอค่ะ แต่กลางคงไม่กล้าเอาคืน

คุณ อัศวินนภา มาหัวเราะกันต่อ จะว่าไปเขียนไปเขียนมา กลางชักกลายเป็นตัวตลก เขาก็แค่มั่นนะคะ ฮ่าๆๆๆ


ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า หายไปสองอาทิตย์ลืมเลือนกันไปหรือยัง จะกลับมาให้บ่อยค่ะ หายไปก็คิดถึงบ้านเลิฟที่สุดเลย ถามว่ารีไรท์งานเก่าเสร็จหรือยัง ตอบเลยว่าไม่ ฮ่าๆๆ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2557, 23:36:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2557, 23:36:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1217





<< บทที่ 3 : เจ้าคิดเจ้าแค้น   บทที่ 5 : ข้อตกลงใหม่ >>
mhengjhy 2 ม.ค. 2557, 00:14:31 น.
บางทีก็เริ่มคิดว่าคุณกลางต้องไม่เต็ม 55555


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ม.ค. 2557, 00:26:21 น.
อูยยย ถึงว่า ช่วงนี้รู้สึกเล็บขบ ลืมไปสปาเท้านิเอง!!! 5555
นายแสงตะวัน นายมั่นนนนนไปนะยะ


konhin 2 ม.ค. 2557, 01:05:37 น.
ฮาามากๆ เห็นด้วยว่าคุณกลางไม่เต็ม


Sukhumvit66 2 ม.ค. 2557, 12:08:45 น.
แอบขำตอนที่กวักมือเรียก นู๋โย
ที่แท้เจ็บเท้านี้เอง กร๊ากกกกก......


ผักหวาน 2 ม.ค. 2557, 21:30:39 น.
สงสารหนูจูนจังเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account