จำแลงแปลงรัก
โยษิตา สูญเสียพ่อกับแม่ไป โลกอันสวยงามของเธอก็ทลายตามไปด้วย เธอเริ่มเข้าสู่วังวนอันดำมืด และเป้าหมายของเธอก็คือเขา...บุคคลที่เธอได้รับหน้าที่ให้ตามติด

วิกรานต์ ชายหนุ่มแท้ มีใบหน้าหล่อยามเป็นชาย แต่ยามเป็นสาวก็หลอกตาใครต่อใครได้มาก ชีวิตของเขาสำมะเลไปวันๆ แต่ความสามารถของเขานั้นกลับเป็นที่ต้องการของใครมากมาย...

คนสองคนต้องมาใช้ชีวิตด้วยกัน เขาใช้เธอเป็นตัวหลอก เขี่ยสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ และเธอมีเขาเป็นเป้าหมาย คนแบบเขาเหมาะที่จะส่งไปสอดแนม ล้วงข้อมูลมาให้เธอ
Tags: ดราม่า แอ็กชั่น สืบสวน โรแมนติก สายลับ

ตอน: บทที่ 5 : ข้อตกลงใหม่

เสร็จจากทำสปาเท้า โยษิตาก็พบว่ามันไม่ได้เลวร้าย ความหม่นหมองในใจเธอถูกขจัดไปบ้าง แม้ว่าเหมือนตะกอนกวนขุ่นทุกครั้งที่เผลอนึกถึงความห่างเหินของสิรธีร์

ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพี่ชายที่น่ารักของเธอ มีรอยยิ้มอยู่เสมอ กระทั่งตอนหลายปีก่อนที่เขาเสียพ่อซึ่งเป็นถึงผู้การไป เธอรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของสิรธีร์เลือนหายตามไปจากโลกใบนี้

ถ้าหากเขาได้นิสัยของวิกรานต์มาสักนิด รอยยิ้มของพี่เจคงกลับมา

“คนเราก็แปลกนะ” วิกรานต์เดินเกี่ยวแขนของโยษิตาล็อกไว้ข้างตัวแน่น หลายครั้งที่เขาเผลอปล่อยหญิงสาวให้เดินคนเดียว โยษิตาก็มักจะเดินเหม่อ และตามไม่ทัน บางครั้งก็ไม่ฟังคำของเขา ร้ายที่สุดก็คง...ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน

ถ้าเขาจำไม่ผิด ภารกิจของเธอคือการทำให้เขายอมเซ็นงาน และทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจของเขาเท่านั้น

ทำไมเธอถึงได้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่กำลังพยายามทำให้เจ้าหล่อนสนใจ

“ขนาดคนอย่างคุณยังว่าคนอื่นแปลก โลกนี้ก็คงเป็นสิ่งหายากค่ะ”

ท่าทีตอบแบบไม่สนโลก เดินก็แทบไม่มองทางของโยษิตา อาศัยว่ามีเขานำทางไม่ต่างจากสุนัขสักตัวยิ่งทำให้วิกรานต์ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ

“ฉันไม่มีประโยชน์อะไรกับเธอเลยหรือไงฮะ” วิกรานต์ความอดทนต่ำในทุกๆ เรื่องกล่าวอย่างเหลืออด หยุดเดิน เพื่อที่จะรั้งร่างของโยษิตาให้หันมาเผชิญหน้ากัน

ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครเมินเขา หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่พูดจาอย่างที่เขาฟังแล้วรู้สึกว่าไร้ความสำคัญ

“มีค่ะ...ลายเซ็นคุณมีประโยชน์กับฉัน” โยษิตาตอบอย่างตรงไปตรงมา

“วันไหนที่เธอสนใจฉันมากกว่าลายเซ็นงี่เง่านั่นค่อยกลับมา ฉันไม่อยากเดินอยู่กับท่อนไม้ อย่าคิดว่าไม่สนแล้วฉันจะง้อ” วิกรานต์ปล่อยร่างบางออก มือยกขึ้นกำขึ้นระงับความพลุ่งพล่านในใจ “รีบไปให้พ้นๆ หน้าฉัน”

“คุณทำเหมือนสนใจฉันเลยนะคะ”

“อะไรนะ!”

“อยากให้ฉันสนใจ ก็เพราะว่าคุณสนใจฉัน...ใช่ไหม”

การวิเคราะห์ของโยษิตาทำให้ใบหน้าคนฟังร้อนผ่าว วิกรานต์อารมณ์พุ่งขึ้นสูง หายใจแรง โยษิตาถอยห่างออกไปอีกสองก้าว ระแวงอาการอันไม่ปกติของเขา

“เธอพูดอะไรนะ...ฉันสนใจเธอ” กัดฟันพูดอย่างยากลำบาก ทุกคำของวิกรานต์ไม่ต่างจากคำอันแสลงหูของตัวเอง “อย่างเธอขี้ตาฉันยังไม่แลเลย”

โยษิตาพนักหน้ารับยินดี รอยยิ้มน้อยๆ แต่ก็เพียงพอให้คนมองขมับเต้นตุบๆ “ดีใจนะคะที่คิดได้แบบนั้น”

เครื่องมือสื่อสารของโยษิตาดังเป็นเพลงเบาๆ เธอหยิบขึ้นมาดูแทบจะทันที ในใจหวนกระหวัดทุกครั้งว่าคนที่โทรมาจะเป็นสิรธีร์ เขาไม่รู้หรอกว่ามีใครคนหนึ่งรอคอยให้เขาหันมามอง หรือถามไถ่นานแค่ไหน ถึงแม้เมื่อสองชั่วโมงก่อน เธอจะได้รับคำพูดจาไม่ดีจากเขา

เธอไม่โกรธเลย

การที่หน้าเบื่อโลก ติดจะเฉย มียิ้มบ้าง แต่เป็นยิ้มประหยัด ฉีกยิ้มกว้างอย่างกับฉายหนังผีปากฉีกไปถึงหูทำให้คนโกรธหน้าแดง เพิ่มอาการควันออกหูมาอีกอย่าง

“ค่ะพี่เจ”

แล้วมีหรือที่คนอย่างวิกรานต์ อยากรู้อะไรแล้วจะไม่ได้รู้


บ้านสีขาวสะอาดขนาดกลาง บนเนื้อที่ครึ่งไร่ มีสนามหญ้าเล็กๆ และไม้ประดับ ไม้ต้นยืนตระหง่านริมรั้วบ้าน ใต้เงาร่มของต้นมะม่วง เก้าอี้ และโต๊ะเหล็กสีฝุ่น บนที่นั่งเก้าอี้สองตัวรับน้ำหนักสองคนไว้ ข้าวต้มปลาร้อนๆ เพิ่งถูกลำเลียงมาตั้งไว้ก่อนหน้าไม่กี่นาที ด้วยฝีมือของโยษิตา

“จูนอยู่ได้ใช่ไหม”

หญิงสาวไล่มองสายตาตามที่สิรธีร์มอง เห็นเขาหยุดสายตาไว้ตรงทางเข้าบ้าน ในใจของโยษิตาก็ยิ่งรู้สึกบีบรัดแน่น คล้ายหายใจไม่ออก แต่ต้องอดกลั้น และเลือกไม่แสดงออกมา

สำหรับเธอ ความอ่อนแอไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแกร่งเพิ่มขึ้นเลย มันยิ่งทำให้เธอยืนอยู่ด้วยขาสองข้างของเธอเองลำบากมากขึ้น

“มันเป็นสิ่งที่จูนต้องทำให้ได้นี่คะ”

“พี่เชื่อว่าจูนทำได้ จูนเก่งเสมอ”

บางครั้งเธอก็อยากให้เขาบอกว่าพี่จะช่วย หรือจะยื่นมือมาให้ การที่เขาเชื่อว่าเธอเก่ง มันยิ่งทำให้เธอรู้สึก...โดดเดี่ยว

เขาทำให้เธอกลายเป็นคนอ่อนแอ เป็นผู้หญิงที่รอคอยพี่ชายคนหนึ่งให้เขาสนใจ

“ว่าแต่พี่เจได้เบาะแสเพิ่มหรือยังคะ” โยษิตาทำใจว่าข้ามต้มของเธอคงไม่ได้รับการใส่ใจจากอีกฝ่าย หากว่ามือของเขายังเลือกกุมไว้นิ่งๆ บนโต๊ะแบบนี้ เธอเองก็ควรจะเริ่มธุระของสิรธีร์เสียที

“ยังหรอก นอกจากเรื่องของพันมือ”

“พันมือเหรอคะ”

สิรธีร์ทำเสียงให้เบาลง หูสองข้างแทนหูในการสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติเคลื่อนไหวหรือไม่ “ว่ากันว่าพันมือขายข้อมูลลับของเราไป เราจำเป็นต้องจับตัวพันมือให้ได้”

“ไม่ใช่ว่าเป็นแผนใส่ร้ายหรอกนะคะ”

“ทำไมจูนคิดอย่างนั้น” สิรธีร์ถามเสียงดุ หน้าเครียด เขาไม่เคยเห็นแววตารั้น และไม่ปักใจขนาดนี้มาก่อน

“ก็เพราะว่าจูนเชื่อพ่อกับแม่มากกว่าคำพูดคาดการณ์ของคนอื่น”

“คนที่ฆ่าพ่อแม่จูนอาจเป็นพันมือ”

โยษิตาเม้มปาก กัดริมฝีปากไว้แน่น ดวงตามีน้ำคลอ เธอรู้สึกเหมือนว่าความไว้วางใจของเธอโดนทำลาย ในเวลานี้เธอไม่สามารถเชื่อสิ่งใดได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะลมปากของคำคน บางทีอาจถึงเวลาที่เธอจะใส่ใจเรื่องพวกนี้อย่างจริงจัง...ด้วยตัวของเธอเอง

“ไม่มีหลักฐานอะไรจูนจะไม่เชื่อหรอกนะคะ”

“จูนดื้อขึ้นนะ ทำไมไม่เชื่อพี่เหมือนแต่ก่อน” สิรธีร์ตั้งข้อสังเกต แต่มันยิ่งทำให้คนที่คอยตามเขามาเสมอรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น

“การที่จูนคิดอะไรได้เอง หมายความว่าจูนดื้อ ก็แล้วแต่พี่เจจะคิดเถอะค่ะ”

“พี่จะคอยดูเรื่องสมัครสอบตำรวจให้ จูนไปสมัครซะ”

“ถ้าไม่ จูนจะกลายเป็นอะไรที่เหนือกว่าคำว่าดื้อไหมคะ” โยษิตายิ้มมุมปาก ดวงตาเศร้า แต่ไปไม่ถึงใจคนมอง การกระทำของเธอในวันนี้เป็นเพียงเด็กดื้อ

“พี่พยายามช่วยเหลือจูนทุกอย่าง แต่จูนคงไม่ได้อยากให้พี่ช่วยจริงๆ ใช่ไหม”

“จูนว่าเราอย่าพูดอะไรที่ทำให้มีแต่ทะเลาะกันเลยดีกว่านะคะ” โยษิตาบอกอย่างใจเย็น คนสุดท้ายที่เธอนึกอยากทะเลาะด้วยในชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ก็คือสิรธีร์ เขาเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากวันที่เสียพ่อไป

“พี่ไม่ได้อยากทะเลาะ” สิรธีร์ไม่ทันพูดจบ เสียงวอพกพาของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง รับคำ บอกลาเธอสั้นๆ ก่อนผละจากไป

โยษิตายิ้มฝืนกับตัวเอง หลายครั้งที่ความรักของเธอมันดูเหนื่อยล้า และนับวันมันก็ยิ่งคล้ายว่ามือของเธอจะคว้าสิรธีร์ไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอไม่เคยบอกรักเขา และเขาก็ไม่เคยบอกรักเธอ ความสัมพันธ์ที่มีมาแต่เด็ก การดูแลของเขาในเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ ทำให้เธอรู้สึกว่ายังเหลือเขา จวบจนกระทั่งพ่อของเขาได้จากไป

วันนี้เริ่มทำให้เธอรู้ว่าพี่เจของเธอ ตัวตนเก่านั้นได้สาบสูญจนเธอไปค้นหาให้เจอเป็นสิ่งทำได้ยาก...

หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้าผ่านแมกไม้สีเขียวยามเย็น ลมอ่อนโบกพัดผมของเธอปลิวไสว เธอรู้สึกว่างเปล่า

หมับ ฝ่ามือใหญ่ ผิวเนียนปิดสนิทลงบนหน้าของเธอ กลิ่นหอมของครีมลอยอวลติดปลายจมูก โยษิตาตั้งใจจะดิ้นรน และยกมือตั้งท่าเตรียมทุ่มคนกระทำการอุกอาจ หากว่าเธอไม่ได้ยินเสียงทุ้ม และลมหายใจดังขึ้นข้างหูเสียก่อน

“มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งตลอดเวลาหรอกนะ ในยามที่อ่อนแอ เธอก็แค่ต้องการใครสักคนปลอบเธอไว้ จริงไหม”

โยษิตารู้สึกว่าการมีใครสักคนกำลังตั้งใจปลอบเธอ ถึงจะเป็นวิธีการอันแปลกตาอย่างเช่นเอาฝ่ามือมาโปะหน้าเธอไว้ แต่เขามีความสามารถจริงๆ ที่ทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมา โดยที่เธอไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ หากว่าของเหลวอุ่นๆ จากมือเขาไม่กระทบแก้มของเธอ

“เด็กขี้แย เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องมาปลอบใครแบบนี้” วิกรานต์ใช้ปลายนิ้วไล่เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของโยษิตา ในชีวิตนี้เขามั่นใจว่าไม่เคยทำขนาดนี้ให้ใครมาก่อน บีบจมูกรั้นๆ ส่งท้ายโยกไปมา “ร้องพอหรือยัง”

“นี่คุณ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ”

“เธอน่ะไม่ใช่เพื่อนเล่น แต่เป็นของเล่นฉันต่างหาก” วิกรานต์โยกศีรษะคนที่ถูกพูดถึงไปมา อารมณ์หมั่นไส้ “ร้องไห้เพราะผู้ชาย ตายละหญิงไทย”

คนถูกว่าถลึงตามอง เก็บอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป มือยกปัดคนหวังดี แต่วาจาเราะร้ายออกไปจากศีรษะ ปากเม้มไว้แน่น ยิ่งเห็นท่าทางโคลงศีรษะ ทำตาโต ยิ้มกวน เธออยากเอานิ้วจิ้มลูกกะตาคู่นี้จริงๆ

“คุณมาได้ยังไง”

“ก็ตามมาสิ”

คนอุกอาจฟังคนอื่นสนทนา ซ้ำยังบุกมาบ้านเขาเดินไปนั่งหน้าสลอนหน้าข้าวต้มที่ยังอุ่นๆ อยู่ สูดกลิ่นหอมฟุดฟิด ปลายจมูกเกือบชิดข้าวในชาม

“กำลังหิวๆ ขอกินได้ไหม ปกติฉันไม่ใช่พวกทานของเหลือของใครหรอก”

“ของเหลือ...ของเหลือที่ยังไม่ได้แตะสักช้อนน่ะเหรอคะ”

วิกรานต์โบกมือไปมาในอากาศ ทำสีหน้าเอือมกับการต้องมานั่งอธิบายให้ผู้หญิงช่างซัก “ก็มันเหลือมาจากคนที่ไม่แตะไง โยโย่ แค่นี้ก็คิดไม่ได้เหรอ”

“นั่นไม่ใช่ชื่อฉัน”

“ไม่ใช่ชื่อฉันเหมือนกัน แต่มันจะเป็นชื่อเล่นของเธอไง” วิกรานต์ตักข้าวต้มใส่ปาก ส่งเสียงอื้มในคอ “กินสิ อย่าเอาแต่มอง เดี๋ยวจะเสียของหมด”

“คุณนี่มันชอบวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นนักหรือไง”

“ไม่ใช่กับทุกคนหรอกน่า กับคนที่ไม่สนใจฉัน ฉันยิ่งอยากรู้ อยากค้นหาว่าทำไมเสน่ห์แสนเฉิดฉายของฉัน ทำไมถึงได้ไม่ไปส่องแสงทะลุตา”

และท่าประจำ ที่คนพูดจะเชิดคอขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายปัดหน้าม้าพองๆ ของตัวเองไปทีหนึ่ง และตาด้านข้างขวาขยิบมาให้อีกทีหนึ่ง ตรงข้ามกับคนมอง โยษิตาปั้นหน้ายิ้ม หลงละเมอรูปลักษณ์เขาไม่ได้

แค่มองเธอก็รู้สึกผะอืดผะอมกับความเยอะของเขา

“ที่บ้านคุณคงไม่เคยขาดอะไร” ข้าวต้มในส่วนของเธอก็ยอมยกให้เขาไปทานต่อโดยไม่คัดค้าน แค่เห็นท่าทานแบบตายอดตายอยาก เธอก็รู้สึกอิ่มขึ้นมา

ใครจะไปคิดว่าคนแบบนี้จะมีมุมไม่รักษาหน้าด้วย

“ทำไมล่ะ ชีวิตฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกนะ พ่อไปทาง แม่ไปทาง พี่สาวไปทาง คนโน้นตั้งความหวัง คนนี้ก็อีกทาง ชีวิตแบบนั้นทำให้ฉันอยากฉีก”

โยษิตาเท้าคางมองคนฉีก ด้วยสายตาที่ตั้งใจมากขึ้น ถึงท่าทีการพูดจะไม่ได้ใส่หัวใจ หรือแสดงกิริยาเศร้าโศก แต่น่าแปลก หัวใจของเธอกลับสัมผัสความเหงา โดดเดี่ยว หรือแม้แต่ความจริงจากใจความนั้น ทุกอย่างที่วิกรานต์ว่ามา เขาไม่ได้หลอกเธอ

“ชีวิตแบบคุณดูไม่เครียดดีนะคะ”

เอ่อะ...เสียงเรอดังสนั่นไม่เกรงใจทำเอาโยษิตาหลุดหัวเราะ หญิงสาวเทน้ำให้เขาดื่ม ไม่ได้นึกว่าการกระทำนั้นออกจะเสียมารยาทมากก็ตามที

“มีอะไรเปรี้ยวๆ หวานๆ อีกไหม” แขกไม่ได้รับเชิญเท้าแขนและยกร่างขึ้นมา ลูบพุงราบๆ ของตัวเอง พูดกับลมฟ้าอากาศต่อจนจบ “ถ้าเธอดูแลฉันดี ฉันมั่นใจว่าเธอจะได้ประโยชน์จากฉันมากกว่า โดยเฉพาะเรื่อง” วิกรานต์สอดส่ายสายตาไปมา สีหน้ามีเลศนัยขณะป้องปากกระซิบ “พันมือ”


โยษิตามองสถานที่ฝึกงานที่ทิ้งความหนักใจให้เธอหนักมหาศาล เพราะว่างาน ส่วนหนึ่งที่ทำให้เวลาในการใช้ชีวิตของเธอต้องทุ่มเทให้ กระทั่งเรื่องของพ่อแม่เธอไม่มีเวลาไปตามสืบ ตามหาความจริง

วันนี้บุคคลที่เธอคาดว่าเขาจะช่วยเหลือได้...อย่างพี่เจ เธอรู้สึกว่าหมดหวัง

ร่างบางถอนหายใจ สะกดความรู้สึกยามเช้านี้ไว้ด้วยการเตือนตัวเองให้ตั้งใจทำงาน เมื่อวานนี้ใครที่เหมือนจะเป็นความหวังของเธอ

พอได้ทานขนมนมเนย ผลไม้จนหมดบ้าน เขาก็แกล้งลืม ซ้ำยังถือแฟ้มงานเอกสารที่เธอต้องให้เขาเซ็นยึดกลับไป

ผู้ชายคนนั้นก็เอาใจยาก เหมือนสายลม อารมณ์แปรปรวน บางครั้งก็เข้าใจไม่ไหว แต่ว่าบางที โยษิตายกมือแตะหน้าผาก ครั้งหนึ่งเคยมีฝ่ามือวางทาบลงปิดหน้าเธอไว้นั้นแทนการซับน้ำตา

วิธีการของเขาก็แปลก...คงมีแต่เขาที่คิดอะไรแบบนี้ได้

เพียงแค่นึก ริมฝีปากของโยษิตาก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม เขาทำให้เธอรู้สึกว่าในโลกใบนี้นอกจากตัวเอง เธอก็ยังมนุษย์ประหลาดอย่างเขายืนอยู่ข้างๆ ต่อให้เขาเป็นมนุษย์ช่างโกหก ที่บังอาจเอาเรื่องพันมือมาแอบอ้างกับเธอก็ตาม

วันนี้ออฟฟิศดูเงียบเชียบผิดปกติ...โยษิตากวาดสายตา พบว่าไฟในสำนักงานปิดเงียบ เธอก้าวเข้ามาในประตูได้อีกไม่กี่ก้าว แสงประหลาดบางอย่างก็พุ่งเข้าจู่โจมเธอ ประตูใหญ่ปิด ตัดขาดจากแสงสว่างด้านนอก

ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง

เสียงจุดเปปเปอร์ชูท สายรุ้งร่วงกราวใส่ผมของเธอ เสียงปรบมือดังเซ็งแซ่ พร้อมคำยินดี โยษิตายังไม่ทันได้ทำความเข้าใจอะไรได้ แสงประหลาดที่เธอเข้าใจในทีแรกก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ แสงไฟสว่างนวลทั่วห้องโถงนี้อีกครั้ง

ผู้ชายสวมฮูทสีเรืองเมทัลลิคสีโทนเนื้อ กางเกงยีนส์ และรองเท้าสะท้อนแสงสีน้ำเงิน ขลิบแดง วันนี้เขาคงมาแนวเมทัลสะท้อนแสง ถึงว่าในความมืดเขาถึงได้ดูสว่างนัก ศีรษะทรงผมก็ออกจะแปลก ด้านข้างจัดเรียบแนบหัว แต่ตรงกลางเธอนึกว่ามีรังนกไปตั้ง

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“ฉันยอมเซ็นแล้วนะ”

“คะ” โยษิตาตาโตประหลาดใจ แต่รอยยิ้มยินดีของรุ่นพี่ที่เหลือทำให้เธอหลงเชื่อ เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยอมในที่สุด ทั้งที่เมื่อวานนี้เขายังไม่มีทีท่าจะให้ผลออกมาง่ายๆ เพียงแค่ผ่านไปหนึ่งวัน

จากนี้เธอคงไม่ต้องไปพบเจอเขาอีกแล้ว...เขาจะไปประหลาดใส่ใครก็ช่าง

“ขอบคุณนะคะ อย่างนั้นฉันก็ทำงานได้ปกติสักที”

“ก็ใช่นะ แต่ว่าไม่ทั้งหมด วันไหนฉันอยากเจอเธอ เธอก็ต้องมาหาห้ามมีข้อแม้ เพราะฉันต่อรองไว้ก่อนจะเซ็นสัญญา สัญญาที่ฉันเซ็นจะมีอายุสองปี”

คนที่กลายมาเป็นหนึ่งในข้อสัญญาอ้าปากค้าง หาเสียงมาปฏิเสธไม่ไหว เธอเองก็ไม่มีวันให้เรื่องของเธอกระทบกับงาน หรือลากไปถึงเรื่องเรียนอย่างแน่นอน เธอเกลียดรอยยิ้มมุมปาก ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขาชะมัด

หากไม่มีประโยคที่กระซิบข้างหูต่อท้าย เธอเชื่อว่าอารมณ์ของเธออาจไม่รื่นเริงตลอดวัน

“เรื่องของพันมือ...ฉันพอรู้ว่าใครรู้ แต่ก็อยู่ที่ตัวเธอนะ ถ้าทำให้ฉันพอใจไม่ได้ ก็จบ ส่วนเรื่องที่เหนือกว่านั้น อย่ากลัวไปเลย ฉันไม่แตะต้องคนอื่นเกินจำเป็น โดยเฉพาะแบบนั้น หากไม่เต็มใจฉันไม่ยุ่งหรอก”

วิกรานต์กลับไปยืนล้วงกระเป๋า อวดรอยยิ้มอันหล่อเหลา หรือสวยคนมองก็ให้คำตอบได้ไม่ถูก สำหรับเธอ เขาเป็นบุคคลที่มีใบหน้าอันน่าอิจฉา งดงาม และหล่อเหลาในคนๆ เดียว ไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมอิจฉา แต่ถ้าได้รู้จักนิสัยเขาแบบจริงจัง เธอว่าเสียงหายใจเข้าลึกๆ ของเหล่ารุ่นพี่ที่กำลังยืนตาถลนมองเธอกับวิกรานต์สลับไปมาเหมือนเจอของแปลกนี่สิ

ภาระ งานช้าง ยังคงเป็นบ่วงรัดคอเธอไม่ไปไหน ที่สำคัญ บ่วงนี้ดูจะสร้างระยะเวลาไว้นานเกินจำเป็น

อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าเธอจะฝึกงานจนจบ

แต่ยังมีหน้ามาพูดเรื่องอย่างว่ากับเธอ...ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ลืมหรอก ต่อให้เขาแต่งหญิงแล้วกลายเป็นนางงามจักรวาล เธอก็ไม่ลืมเด็ดขาดว่าเขาเป็นผู้ชาย...เป็นตัวร้าย ตัวแสบเสียด้วย


.....................................................
คุณ mhengjhy กลางเป็นมนุษย์ที่รู้สึกว่าไม่เชิงไม่เต็ม แต่เข้าขั้นประหลาดหายากยังไงก็ไม่รู้ค่ะ บางทีก็หลุดโลก ที่จริงมันอาจเป็นบุคลิกที่กลางไว้ใช้ปกป้องตัวเองก็ได้นะคะ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นี่ลดความมั่นลง เพื่อแอบเพิ่มความหวาน แต่ยังไม่ค่อยหวาน ฮา เพิ่งไม่กี่ตอน

คุณ konhin ไม่เต็ม แต่น่ารักน้า ฮา บุคลิกแปลกๆ เข้าใจยาก ตรงๆ ตลกไม่รู้ตัว

คุณ Sukhumvit66 นานๆ ไปพี่กลางชักจะติดโยโย่มากขึ้นทุกที ออกแนวไม่ถามความสมัครใจ เน้นมีไว้ข้างกาย ฮิ้ววว

คุณ ผักหวาน จูนน่าสงสาร แต่ความแกร่งเกินร้อย ยกเว้นเวลาอยู่กับพี่เจ ฮรือออ ทำไมไม่แกร่งให้ตลอดรอดฝั่งเนอะ


ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านนะคะ พาผู้ชายเมทัลมาทักทาย ฮา



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2557, 01:15:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2557, 01:15:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1289





<< บทที่ 4 : นอกสายตา   บทที่ 6 : พันมือ >>
konhin 5 ม.ค. 2557, 02:14:47 น.
โอ๊ะ สงสัยพันมือคงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล


mhengjhy 5 ม.ค. 2557, 09:07:23 น.
555555 โอเคค่ะ


Sukhumvit66 5 ม.ค. 2557, 11:05:06 น.
พี่กลาง น่ารักที่สุด ฮิ้ววว~~~


ผักหวาน 5 ม.ค. 2557, 21:03:40 น.
หนูจูนจะแกร่งขึhน เพราะเจอคนโลกป่วนอย่างคุณกลางนี่ล่ะค่ะ 5555


นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ม.ค. 2557, 21:55:59 น.
โอยยย ฉากนี้หวานค่าาา
เอามือปิดหน้า น้ำตาไหล รับรู้กันได้เพียงสองคน
โอ้ยยยย ถึงจะเรอเสียงดัง กินเปลืองยังไง ก็น่ารักนะเคอะ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account