เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทนำ


นำเนื่องหาของเรื่องนี้มาให้นักอ่านชิมกันก่อนนะคะ
เพื่อต้องการจะเช็คเรตติ้งด้วยว่าจะได้รับความสนใจแค่ไหน
เพราะว่าเรื่องคานน้อย คอยรักกำลังจะปิดฉากลงแล้ว
และเรื่องนี้ก็จะเป็นภาคต่อในแบบต่อเนื่องในด้านของตัวละครค่ะ...

มาหาคำตอบของชื่อเรื่องไปพร้อมๆกันค่ะว่า...

"เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์"ในแง่ของนิยามความรักนั้นจะได้คำตอบเป็นอย่างไร...




::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



บทนำ

เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์


“แต่งงานกับฉันมั้ย…”หญิงสาวที่นั่งอยู่ในร้านอาหารที่เธอมีหน้าที่
เป็นผู้ช่วยกุ๊กถึงกับตกใจแทบตกจากเก้าอี้ที่เพิ่งนั่งลงได้เพียงไม่กี่วินาที
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากชายผู้ที่เธอไม่เคยคาดคิด
ว่าเขาจะพูดประโยคนี้กับเธอ

เขาหายไปจากชีวิตของเธอเป็นเวลาสิบห้าปีเก้าเดือนสิบห้าวัน…
แต่ก็ไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะหายไปจากหัวใจเธอ ไม่เคยเลยแม้แต่วันเดียว…

เธอรู้ว่าอายุของเธอเดินทางมาจนเกือบจะถึงเลขสี่แล้ว
การได้ยินประโยคดังกล่าวนี้คงจะไม่สร้างความแปลกใจ
หรือตกใจถึงขีดสุดกับตัวเธอ

หากว่านี่มิใช่ประโยคแรกในชีวิตโสดของเธอที่เธอได้ยินมา

ซ้ำยังเป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอหลังจากที่ไม่เคยพูดกันเลย
มาเป็นเวลาสิบห้าปีเก้าเดือนสิบห้าวัน…



เจ้าของร้านบอกเธอแค่เพียงว่า มีลูกค้าต้องการพบ เธอจึงเดินมาที่โต๊ะ
ก่อนที่หัวใจนิ่งๆสงบๆมานานของเธอจะเต้นระบำ
เมื่อเจอเข้ากับแววตาของลูกค้าคนดังกล่าว
ยามเมื่อเขาเงยหน้ามาจากเมนูอาหารในมือทีี่ถืออยู่แล้วยิ้มให้เธอ
พร้อมกับผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขา

แล้วเขาก็พูดประโยคนั้นกับเธอ…


นี่ไม่ใช่ว่าเธอหูฝาดไปใช่ไหม…




เขาไม่ใช่คนหล่อ แต่เธอก็รักเขา…
เขาไม่ใช่คนดี แต่เธอก็รักเขา…
เขาไม่ใช่คนเด่น แต่เธอก็รักเขา…
เขาไม่ใช่คนเก่ง แต่เธอก็รักเขา…

และเขาก็ไม่เคยรักเธอ ไม่เคยมีใจให้เธอเลย ไม่เคยจีบเธอ
แต่เธอก็รักเขา…รักมาเป็นเวลานานถึงยี่สิบกว่าปี…
รักมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ รักทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบสิบหกปี

ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากรักใครนอกจากเขา เคยบอกกับใจตัวเองแล้วว่า
ให้ปล่อยเขาไปเสียเถิด แล้วหัดรักคนอื่นๆดูบ้าง…
แต่ก็รักใครไม่เป็น หรืออาจจะเป็นเพราะไม่มีใครผ่านมาให้รักเลยก็เป็นได้

…เพราะ…



เธอไม่ใช่คนสวย…ผู้ชายไหนๆก็เลยไม่หันมามอง…
เธอไม่ใช่คนดีเด่นอะไร…ผู้ชายไหนๆก็เลยไม่สนใจ…
เธอไม่ใช่คนเก่ง…ผู้ชายไหนๆก็เลยไม่ใส่ใจ…
เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆทั่วไป…ก็เลยไม่เข้าตาใครๆ…


แล้วเพราะอะไร ผู้ชายตรงหน้าเธอจึงมาหาเธอ
พร้อมกับเอ่ยประโยคดังกล่าวกับเธอในวันนี้…

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2556



“ว่าไง…บิลกีส…เฮบา ราชินีแห่งเมืองสะบะ…”

หญิงสาวหลุดจากภวังค์แห่งความคิดก่อนจะเงยหน้้าขึ้นมองคนถาม
เขายังจำชื่อเธอได้ด้วยหรือ…และเขากำลังยิ้มให้เธอ…
ยิ้มที่เธอไม่เคยได้เลยจากเขา…แถมแววตาของเขาก็ดูจะหยอกเย้าเธอ
อยู่ในทียามเมื่อพูดคำว่า 'ราชินีแห่งเมืองสะบะ'

เพราะชื่อที่พ่อตั้งให้กับเธอ เป็นชื่อของราชินีคนเก่งในประวัติศาสตร์
ผู้ซึ่งเป็นภรรยาของกษัตริย์สุไลมานผู้ยิ่งใหญ่…


พ่อกับแม่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่วันที่เธอเรียนจบมัธยมปลาย…
ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่เหลือใครเลย แม้แต่ญาติสนิทแลมิตรสหาย…

ชีวิตเธอค่อนข้างรันทดเหมือนในนิยายหลายๆเล่มที่อ่าน
แต่เธอก็ไม่อาจเป็นนางเอกในนิยายเหล่านั้นได้เลยสักเรื่องเดียว
เพราะเธอไม่สวยพอที่จะเป็นนางเอกในนิยายเหล่านั้น
ที่สุดท้าย พระเอกก็เข้ามาช่วยเหลือประคับประคองชีวิตนางเอก
เพราะตกหลุมรักนางเอกตั้งแต่แรกเจอ
ด้วยความสวยและน่ารักนั่นเองที่ทำให้พระเอกไม่อาจหันเหสายตาไปทางอื่นได้…

และทุกครั้งที่อ่านนิยายเหล่านั้นจบ
เธอก็มักจะพบว่าตัวเองในกระจกมิได้เป็นดังเช่นนางเอกในนิยายเลย

ชีวิตรันทดของนางเอกก็มักจะถูกทดแทนด้วยใบหน้าท่ีสวยตรึงใจ…
ผิดกับเธอ ที่นอกจากชีวิตไม่สวยงามแล้ว ใบหน้าของเธอก็ยังคง
มิได้สวยพอที่จะตรึงใจชายใดได้เลย แม้แต่คนที่อยู่ตรงหน้า…

เธอค่อนข้างแน่ใจว่า…ประโยคที่เขาเชื้อเชิญเธอในวันนี้
มิได้เกิดจากความรักของเขาดลใจให้เขาพูดเป็นแน่…


แม้เธอจะเป็นสาวช่างฝัน แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะอยู่กับ 'ความจริง'เสมอ
แม้ความจริงมันจะขมขื่นและทำให้เธอต้องเสียน้ำตามานักต่อนักแล้วก็ตามที…


หลายคนที่เข้ามาหาเธอ มักจะมองหาบางอย่างจากเธอเสมอ…
และเมื่อได้ในสิ่งที่เขาต้องการ พวกเขาก็จะจากไปอย่างเงียบๆ
แม้แต่เพียงเสียงกระซิบบอกลาก็ไม่เคยมี…

เธอจึงเลิกคาดหวังให้ใครมารัก
และหากรู้ว่าคนที่ก้าวเข้ามาปรารถนาสิ่งใดจากเธอ
ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง เธอก็พร้อมยินดีที่จะให้…



วันนี้…เธอก็เพียงต้องการอยากรู้เช่นกันว่า

ผู้ชายตรงหน้าปรารถนาสิ่งใดจากเธอ…


“เพราะอะไรคะ…”เธอไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะดีใจหรือเสียใจ
จนออกนอกหน้ากับสิ่งต่างๆที่เข้ามาหาเธอ
แม้จะตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินจากคนตรงหน้า
แต่เธอก็อายุมากพอที่จะควบคุมอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นได้ดีแล้ว…

“เพราะเธอรักฉัน…”

บิลกีสกะพริบตาถี่ๆเพื่อทบทวนในสิ่งที่ได้ยิน
เขาบอกกับเธอว่า…เพราะเธอรักเขา…มิใช่เพราะเขารักเธอใช่มั้ย

และเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด เธอจึงต้องถามย้ำอีกครั้ง…

“เพราะฉัน…รัก…คุณ?”

คนตรงหน้ายิ้มตรงมุมปากเมื่อเห็นคิ้วเข้มๆโค้งสวยข้างขวาของคนถามยกสูงขึ้น

“ใช่…เธอได้ยินไม่ผิดหรอก…”
หนุ่มใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าปกติราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“หรือว่าฉันเข้าใจเธอผิดไป…”ราชินีแห่งเมืองสะบะถึงกับนิ่ง
พร้อมกับก้มหน้ามองพื้นโต๊ะ เห็นรายละเอียดของลวดลายต่างๆบนพื้นไม้นั้นได้ดี
แต่เธอกลับไม่อาจเห็นรายละเอียดของหัวใจคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว…



และความเงียบก็เข้าปกคลุมพื้นที่…จนคนถูกถามต้องทำลายมัน…
ด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมา…เธอเป็นคนตรงเช่นนี้เสมอ…
จนบางครั้งก็กลายเป็นคนอ่อนหวาน (หวานน้อย)…

“คุณกำลังจะบอกว่า…คุณต้องการความรักจากฉันอย่างนั้นหรือคะ…”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับอธิบายแบบกระชับว่า

“ฉันต้องการแต่งงานกับผู้หญิงที่รักฉัน และฉันก็พบว่ามีเพียงเธอเท่านั้น…
ฉันถึึงเดินเข้ามาที่นี่เพื่อชวนเธอแต่งงานด้วย…”

คนฟังถึงกับเงยหน้าขึ้นมองคนพูดในทันทีทันใด…

เขาบอกว่ามีเพียงเธอที่รักเขาเท่านั้นอย่างนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไรที่คนตรงหน้าจะไร้ซึ่งคนรัก...

เธอนึกว่า มีเพียงเธอเสียอีกที่ตกที่นั่งลำบากไร้คนรักเช่นนี้…


แล้วอยู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็จู่โจมเธอ…
ไม่ควรเลยที่เธอจะรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา…

แต่จากข่าวคราวต่่างๆเกี่ยวกับเขาที่เธอได้รับรู้ผ่านสื่อต่างๆ
ก็มากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้นได้มิใช่หรือ…

“ฉันรู้ว่าเธอเองก็ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคนที่เธอรัก
ส่วนฉันเองนั้นต้องการจะแต่งงานกับคนที่รักฉัน…
ถ้าเราแต่งงานกัน เราสองคนก็จะได้ในสิ่งที่เราต้องการมิใช่หรือ…”

บิลกีสเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมา…
และเธอก็ไม่เคยรังเกียจผู้ชายตรงหน้าเลย
แม้เมื่อก่อนเขาจะไกลเกินเอื้อม หรือแม้วันนี้ชีวิตเขาจะอับปางจนล้มละลาย
เธอก็ไม่เคยรังเกียจเขาได้เลยแม้แต่น้อย…อีกทั้งยังรักและห่วงใยเสมอมา…

แม้ที่ผ่านมากายเธอและเขาจะห่างกันขนาดไหน
แต่เขาก็อยู่ใกล้ชิดหัวใจเธอตลอดไม่เคยเปลี่ยน…

“คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า…ฉันรักคุณ…”

“สายตาเธอมันฟ้องมาตลอด…และฉันก็รู้มาตลอดว่า
ใครคอยพับนกกระเรียนสีขาวใส่ซองจดหมาย
ส่งมาให้ฉันตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา…”

“คุณจะมั่นใจอย่างนั้นได้ยังไง…”

“ฉันมั่นใจว่าไม่มีใครทำให้ฉันแบบนั้นได้อย่างเธอ…
เพราะตอนเรียน เธอก็เป็นคนเดียวที่แอบช่วยฉันทำรายงานส่งอาจารย์
ฉันเรียนจบได้เพราะมีเธอช่วย โดยที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้เลย
ว่าทำไมเธอถึงไม่จบพร้อมฉัน…”

ถูกของเขาทั้งหมด เธอแอบช่วยเขาทำรายงานส่งอาจารย์แทบทุกฉบับ
โดยนำรายงานไปสอดเอาไว้ในเป้เดินทางของเขา

เธอรู้ว่าเขาเกลียดการทำรายงานและชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ…
เธอรู้แม้กระทั่งว่าเขาลงทะเบียนเรียนวิชาอะไรบ้าง…
และที่เธอเรียนไม่จบ เพราะมีบางเทอมและบางปีที่เธอต้องพักการเรียน
เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม…

และต้องหยุดเพื่อทำงานหาเงินค่าเทอม…เธอใช้เวลาเรียนถึงเจ็ดปี…
วันที่รับปริญญาก็ไม่มีดอกไม้จากใครเลย
เพราะเธอไม่ได้เข้ารับปริญญาบัตร
ใครจะหาว่าเธอไม่มีปัญญาเข้ารับปริญญาบัตรก็ได้
เนื่องจากเหตุผลของมันก็คือ ตอนนั้น เธอไม่มี แม้แต่เงินจะกินข้าว

แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเช่าชุดครุย

กว่าจะทำโปรเจคจบได้ เธอหมดเงินไปเยอะมากจนไม่เหลือติดตัว
แต่เพราะต้องเรียนให้จบให้ได้ เนื่องจากเธอไม่อยากสูญเสียค่าเทอม
ที่กว่าจะทำงานหามาได้ไม่ได้อีกแล้ว


เธอไม่เคยหยิบยืมเงินใครได้เลย ไม่มีใครกล้าให้เธอยืมเงิน
เธอเข้าใจดี เพราะว่าเธอมันไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน
ว่าจะสามารถคืนเงินให้คนที่เราไปหยิบยืมได้

และเธอก็ไม่คิดจะหยิบยืมเงินใครอีกเลย แม้ต้องกัดฟัน กัดก้อนเกลือกิน
เธอก็ต้องทำ…

และแม้จะไม่มีปัญญาได้เข้ารับปริญญาบัตร
แต่เธอก็มีใบปริญญาที่เป็นสมบัติชิ้นเดียว สมบัติที่เธอภาคภูมิใจเสมอมา


แม้ใบปริญญาดังกล่าวจะไม่ได้ช่วยให้เธอมีงานดีๆสบายๆทำในวันนี้ก็ตาม…
แต่คุณค่าของมันเกิดจากความพากเพียรเพื่อให้ได้มาในวันวานมากกว่า…

และกำลังใจที่เธอได้รับมาตลอดระยะเวลาที่ต้องฝ่าฟันทุกๆอุปสรรคที่ขวางทางนั้น
ไม่ใช่ผู้ชายตรงหน้า ไม่ใช่คนอื่นใดเลย…

เธอได้รับกำลังใจจากผู้เป็นที่รักของเธอมาเสมอ…

‘พระเจ้า’ คือกำลังใจ…

แม้มนุษย์บนโลกจะเมินเฉยต่อเธอ แต่พระองค์ไม่เคยเมินเฉยต่อเธอเลย…
และยังมีเด็กๆเหล่านั้นที่เป็นแรงผลักดันในชีวิตของเธอ
ว่าเธอจะยอมแพ้หรือท้อแท้ไม่ได้…

“ว่าไง…เธอจะยอมรับฉันเป็นเจ้าบ่าวของเธอรึเปล่า…”
ประโยคนั้นราวกับจะขอร้องอ้อนวอน

แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ๆวันนี้เขาก็เดินเข้ามา
ทั้งๆที่วันวานเธอเคยมองเขาว่าใจร้ายที่เดินหายไปจากชีวิตของเธอ
โดยไม่มีคำว่าขอบคุณหรือแม้แต่คำร่ำลาก็ไม่มี…

แต่เมื่อกาลเวลาผันผาน เธอก็พอจะเข้าใจได้ว่า…
เมื่อเขาไม่เคยรักเรา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
เขาไม่ผิดเลยที่จะหายไปจากเราโดยไม่หันหลังกลับมามองแม้แต่นิด…

เพราะชีวิตเขามีอะไรให้ต้องนึกให้ต้องทำอีกมากมาย
และมันย่อมต้องมีความหมายมากกว่าผู้หญิงธรรมดาๆอย่างเธออยู่แล้ว


เธอแน่ใจที่สุดว่า เธอไม่เคยอยู่ในสายตาเขา…


“ฉันรู้ว่าฉันทำให้เธอตกใจ และฉันไม่ได้คิดจะบังคับเธอ…
เพราะตอนนี้ ฉันไม่ได้ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติเหมือนแต่ก่อน
ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง นามสกุลฉันป่นปี้
ไม่ได้เป็นทีี่น่าปรารถนาที่ใครคนไหนอยากจะเข้ามาร่วมวงตระกูล
หรืออยากใช้นามสกุลนี้ด้วยกันกับฉันอีกแล้ว…”

น้ำเสียงของเขาเหมือนจะเกรงใจเธออยู่ไม่น้อย

…ทำไมเขาต้องเกรงใจเธอ…



“ค่ะ…ฉันจะแต่งงานกับคุณ”

นั่นคือคำตอบสั้นๆของเธอ ที่ทำให้แววตาของเขาดูเปลี่ยนไปเลย

เขาดีใจหรือที่เธอยอมแต่งงานกับเขา…

บิลกีสกระตุกคิ้วนิดนึงเมื่อมองเห็นแววตาที่เปล่งประกายของคนตรงหน้า…


“เธอต้องการงานแต่งงานแบบไหนบอกมาได้เลยนะ…
ฉันยินดีทำตามที่เธอต้องการ…”

บิลกีสส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า


“แล้วแต่คุณเถอะค่ะ…”








และเพราะคำว่าแล้วแต่คุณในวันนั้น ทำให้ฉันต้องมาหยุดยืนอยู่
หน้าที่ว่าการอำเภอบางรักในวันนี้ ก่อนจะเข้าไปเซ็นเอกสาร
ที่ทางอำเภอให้เซ็นยอมรับพร้อมกับรับมาเก็บไว้…
บิลกีสก้มมองกระดาษในมือที่วางอยู่บนตักระหว่างนั่งรถไปศูนย์กลาง
อิสลามแห่งประเทศไทยกับผู้ที่ได้กลายเป็นสามีตามกฎหมายของเธอ
ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อทำให้เธอและเขากลายเป็นคู่สามีภรรยา
ตามบทบัญญัติแห่งอิสลาม และถูกอนุมัติด้วยพระเจ้า…

ระหว่างนั่งอยู่ในรถ เขาหันมาหาเธอก่อนจะจอดรถไว้ข้างทาง
หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เขาหยิบแหวนวงนึงขึ้นมาสวมมันให้กับเธอ
พร้อมกับพูดกับเธอว่า


“ฉัันขอโทษนะที่มันเป็นแค่แหวนเงินธรรมดาๆ
แต่ฉันสัญญาว่าเมื่อไหร่ที่ฉันมีเงินมากกว่านี้
ฉันจะซื้ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้กับเธอ…”

บิลกีสก้มมองแหวนเงินในนิ้วนางข้างซ้าย
สำหรับเธอแล้ว เธอชอบแร่เงินมากกว่าแร่ชนิดอื่นๆ
เพราะครั้งนึงพ่อกับแม่เคยซื้อสร้อยข้อมือที่ทำจากแร่เงินให้กับเธอ
มันสวยและแวววาวจนพ่อบอกว่า เธอถูกกับแร่ชนิดนี้
เพราะใส่เงินแล้วตัวของแร่เงินดูแวววาวสวยจับตา…

แต่ช่วงที่เธอไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว
เธอก็ได้นำมันไปขายเพื่อนำเงินอันเล็กน้อยมาซื้อข้าวกิน…

จนบัดนี้แล้วก็ไม่เคยได้ซื้อหามาสวมใส่อีกเลย…

เพราะเครื่องประดับต่างๆ แม้จะถูกสักแค่ไหน
แต่สำหรับคนเงินเดือนน้อยอย่างเธอ จึงจำต้องตัดใจไม่ซื้อเสียทุกที
เพราะมีสิ่งอื่นที่เธอต้องทำมากกว่าการหาซื้อเครื่องประดับมาตกแต่ง


แหวนเงินที่เขาสวมให้กับเธอ มันทำให้เธออดนึกไปถึงพ่อกับแม่ไม่ได้

“แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ…ชีวิตฉันไม่มีเครื่องประดับมานานแล้ว
นอกจากพ่อกับแม่แล้ว นี่ก็เป็นเครื่องประดับชิ้นแรกที่มีคนมอบให้ฉัน…”

คนฟังระบายยิ้มออกมาก่อนจะสตาร์ทรถเพื่อนำเธอและเขา
ไปยังสถานที่ทำพิธีกรรม…


พิธีถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เธอมีผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของผู้ปกครอง
ซึ่งปกติต้องเป็นพ่อ หรือไม่ก็ปู่ หรือไม่ก็พี่ชาย หรือน้องชาย
แต่เพราะเธอไม่มีบุคคลเหล่านั้นแล้วในชีวิต กรรมการจึงต้องแต่งตั้งตัวแทนขึ้น

เธอไม่ได้ชวนเพื่อนๆมาร่วมพิธี
เพราะเพื่อนที่สนิทที่สุดอยู่อีกฟากนึงของโลก
ส่วนคนอื่นๆก็ไม่ค่อยจะมีใครอยากใส่ใจเธออยู่แล้ว…

ส่วนเขาเองก็มีเพื่อนสนิทคนนึงมานั่งอยู่ข้างๆ และมีพยานอีกสิบคนในพิธี
มีผู้นำทำพิธี

เขาอยู่ในชุดโตปตัวยาวสีขาว ส่วนเธอก็อยู่ในชุดราตรีธรรมดาสีขาว
มีมุสลิมะฮฺที่เป็นภรรยาของผู้นำพิธีนั่งอยู่ข้างๆ
จับมือเพื่อส่งกำลังใจให้เธอตลอดด้วยแววตาใจดี…



ผู้นำในการทำพิธีถามถึงมะฮัร (ของกำนัลที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวใน
พิธีแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม) ที่ฝ่ายชายนำมาเป็นของกำนัลให้กับฝ่ายหญิง

บิลกีสจึงตอบตัวแทนของเธอที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองไปว่า…


“ฉันตกลงแต่งงานกับเขาด้วยแหวนเงินวงนี้…และด้วยกับศาสนาของเขา…”

แล้วทางตัวแทนที่ถูกแต่งตั้งขึ้นแทนบิดาของเธอนั้นได้กล่าวเสนอแก่เจ้าบ่าวว่า...

"ข้าพเจ้าแต่งงานท่านกับนางสาวบิลกีส เฮบา บุตรสาวของนายอามีน เฮบา
กับนางสุมัยยะ เฮบาด้วยมะฮัรฺที่ตกลงกันไว้..."

ฝ่ายเจ้าบ่าวจึงตอบรับคำเสนอด้วยการกล่าวว่า

"ข้าพเจ้ารับนิกาฮฺ(แต่งงาน)กับนางสาวบิลกีส เฮบาด้วยมะฮัรฺที่ตกลงกันไว้..."

การกล่าวคำเสนอและคำตอบรับนี้คือการโอนกรรมสิทธิ์จากการดูแลผู้หญิง
จากบิดาไปให้สามีของผู้หญิงนั่นเอง ซึ่งในกรณีของบีลกีสนั้น
บิดาของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องมีตัวแทนของบิดา
ที่ทางคณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นเพื่อให้พิธีสมรสระหว่างเขากับเธอเป็นไปตามกฎข้อบัญญัติ
แห่งศาสนาอิสลาม


แล้วต่อมานั้น...ผู้นำพิธีกล่าวกับเธอและในพิธีหลังจากจบคำกล่าวของเจ้าบ่าว
ที่ตอบรับเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ท่านกล่าวในพิธีว่า

"มะฮัรฺที่ดีน้ันคือมะฮัรฺที่ฝ่ายชายจัดหามาได้โดยสะดวก..."

แล้วผู้นำพิธีก็กล่าวต่อเป็นการกล่าวตักเตือนและให้โอวาทแก่คู่บ่าวสาวว่า

"อัลลออ์ได้ทรงตรัสถึงความสัมพันธ์รักนี้ไว้ในอัลกุรอานว่า

"และบางส่วนจากสัญลักษณ์ของพระองค์
คือการที่พระองค์ได้ทรงบันดาลคู่ครองแก่พวกเจ้ามาจากตัวของพวกเจ้าเอง
ทั้งนี้เพื่อพวกเจ้าจะได้สงบอยู่กับนาง
และพระองค์ทรงบันดาลความรักและความเมตตาให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้า
(ฉันท์สามีภรรยา) แท้จริงในนั้นย่อมเป็นนานาสัญลักษณ์สำหรับกลุ่มชนทีตรึกตรอง " 

ท่านผู้นำหยุดเพียงนิดและกล่าวต่อเมื่อมองไปยังเจ้าบ่าวพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม

"และท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
สตรีที่ดีที่สุดในหมู่ของพวกเจ้านั้น คือผู้ที่มีความรักและความห่วงใย"

แล้วผู้ให้โอวาทก็ได้หันไปยังเจ้าสาว

"และท่านศาสนทูตของเราได้ถูกถามเกี่ยวกับบรรดาสตรีที่ประเสริฐที่สุด
ท่านกล่าวว่า...คือสตรีที่ภักดีเมื่อเขาสามีของนางได้สั่งใช้
เธอมีความปิติยินดีเมื่อเขาได้มอง และเธอจะคอยดูแลรักษาเขา
เกี่ยวกับตัวของเธอและทรัพย์สินของเขา..."

หลังจากนั้นก็มีเสียงกระซิบจากภรรยาของผู้นำพิธีด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี
แก่บิลกีสที่นั่งอยู่ข้างๆว่า

"สตรีที่แสดงความรักและความห่วงใยของนางต่อสามีนั้น
คือบะรอกัต(ศิริมงคล)สำหรับสามีของนางนะคะ
เมื่อใดที่เรารักต่อผู้หนึ่งผู้ใด จงทำให้เขารู้เถิดว่า เรารักเขา
และจงอยู่กันด้วยความอดทนและการให้อภัย
ป้าขอให้ชีวิตคู่ของหนูกับสามีของหนูมีความศิริมงคลและมีความผาสุขนะคะ..." 
บิลกีสน้ำตาซึม ก่อนจะโอบกอดหญิงสูงวัยผู้นี้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน
แม้จะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีที่ท่านมอบให้เธอ
แน่นอนว่า เธออยากให้แม่ของเธอนั่งอยู่ข้างๆเธอในวันนี้
อยากให้ผู้ทำหน้าที่ตัวแทนของเธอในวันนี้เป็นบิดาของเธอ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว ทั้งสองที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของบิดามารดาให้แก่เธอในวันนี้
ท่านได้ทำหน้าที่นั้นได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลย...

"ขอบคุณค่ะ..."หญิงสูงวัยลูบหลังหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกล่าวแก่เธอว่า

"หากหนูมีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตคู่ ปรึกษาป้าได้ตลอดนะคะ
ตาไนค์รู้จักลุงกับป้าดี ป้าเป็นญาติทางฝั่งแม่ของตาไนค์ที่ยังเหลืออยู่ค่ะ...
แวะมาหาลุงกับป้าได้ตลอด..."

บิลกีสมองใบหน้าผ่องใสและแววตาเป็นประกาย
ฉายแววแห่งความสุขนั้นด้วยความปีติยินดี...
ก่อนจะกล่าวขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจ

"ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณที่ทำให้หนูอบอุ่นใจ...ขอบคุณมากๆนะคะ"

ขุนพลหันมามองภาพดังกล่าวก่อนจะหันไปทางตัวแทนของเจ้าสาว
อย่างคุณลงของเขาแล้วยิ้มที่มุมปากเพียงนิด...


และเพียงไม่นานพิธีกรรมก็เสร็จสิ้นลง…มีการเลี้ยงอาหารเล็กๆน้อยๆ
ให้กับแขกที่มาร่วมงานไม่ถึงยี่สิบคนในห้องเลี้ยงของศูนย์กลางฯ




เมื่องานเลี้ยงเลิกรา เขาก็ได้พาเธอนั่งรถมายังคอนโดของเขา
โดยที่ท้ายรถของเขามีกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอที่ถูกนำมาวางไว้
ตั้งแต่ตอนเช้าที่เขาไปรับเธอ และเธอก็ได้บอกลาที่พักซึ่งเธอ
ใช้พักอาศัยมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เจ้าของที่พักค่อนข้างตกใจที่อยู่ๆเธอก็มาขอออกแบบกะทันหัน
แต่พอเธอบอกว่า จะย้ายไปอยู่กับว่าที่สามี เขาก็ยิ่งตกใจ
ถามใหญ่ว่าเป็นใครที่ไหน แล้วแต่งงานเมื่อไหร่

พอบอกว่าจะแต่งงานในวันรุ่งขึ้น เจ้าของบ้านก็ร้องดีใจ
พร้อมกับร่วมแสดงความยินดีไปกับเธอด้วย…



แม้จะใจหายที่ต้องจากที่ที่เคยพักอาศัยมานานตั้งแต่สมัยเรียน
จวบจนได้งานทำก็ยังคงพักอยู่ที่เดิม โดยไม่รู้เลยว่าสถานที่ใหม่
ที่จะย้ายไปอยู่เป็นอย่างไร แต่เมื่อมองไปยังเขา เธอก็ต้องบอกกับตัวเอง
อย่างไร เธอก็ได้อยู่กับคนที่เธอรัก…กับคนที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตแล้ว...


และตอนนี้ เธอไม่ได้มีสถานะโสดอีกต่อไปแล้ว…
แล้วเธอก็เลือกที่จะเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อให้เหลือเพียงคำเดียว
พร้อมยินยอมให้เขาตัดนามสกุลของพ่อที่เธอใช้มาเกือบสี่สิบปี
โดยเปลี่ยนเป็นนามสกุลของสามีของเธอแทน…
นามสกุลที่เขาบอกว่า คงไม่มีผู้หญิงคนใดอยากจะใช้ด้วยกันกับเขาแล้ว…
ทั้งๆที่โดยทางศาสนาแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่เธอจะต้องเปลี่ยนชื่อหรืออะไรที่มีมา
แต่เดิมหลังจากได้แต่งงาน ทว่า เธอเต็มใจที่จะใช้นามสกุลของเขาเอง...


ตอนนี้…นางสาวบิลกีส เฮบา ได้กลายเป็น นางบิลกิส ทวีวรวรรณ
ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…


เธอไม่ได้เสียดายที่ต้องเลิกใช้นามสกุลของพ่อ และไม่คิดจะเสียใจ
ที่ต้องใช้นามสกุลของเขาต่อท้ายชื่อหลังจากนี้…ไม่เลย




เขาพาเธอมาที่คอนโดของเขา คอนโดของเขานั้นดูกว้างขวาง
มีสามห้องนอนสองห้องน้ำ มีห้องครัวที่ทันสมัย และมีห้องรับแขก
ที่แทบไม่มีอะไรเลย นอกจากโทรทัศน์กับเครื่องเล่นดีวีดี...
และชุดรับแขก…


“นี่ห้องของเธอกับฉัน…”

เขาพาเธอมายังห้องดังกล่าวที่เขาบอกว่ามันคือห้องของเธอกับเขา
ภายในห้องนั้นดูกว้างขวางอีกเช่นกัน
มีเตียงนอนขนาดใหญ่และมีเครื่องเรือนอื่นๆที่จำเป็นวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ผ้าม่านสีน้ำตาลช่างเข้ากับผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลออกทองยิ่งนัก…

ดูเขาจะมีรสนิยมในการเลือกใช้ของอยู่ไม่น้อยเลย

“ส่วนห้องน้ำอยู่ทางนั้น…”

เขาชี้ไปยังห้องน้ำ...ก่อนจะนำกระเป๋าเดินทางของเธอมาวางไว้บนเตียงแล้วเปิดออก

“เดี๋ยวฉันช่วยจัด”ไม่พูดเปล่า เขากำลังจะทำอย่างที่พูด
ทว่าบิลกีสทักท้วงไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันทำเอง…เชิญคุณตามสบายเลยนะคะ…”

หนุ่มใหญ่พยักหน้าก่อนจะทุ่มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆกระเป๋าของหญิงสาว
บิลกีสแอบอมยิ้มให้กับท่าทางนั้นของเขา


เธอรู้ว่าเขาคงเหนื่อย สังเกตจากสีหน้าที่ดูอิดโรยนั่นได้

“เสียใจมั้ย?”

อยู่ๆคนที่นอนปิดตาก็พูดออกมา
เท้าที่กำลังจะนำเสื้อผ้าไปแขวนไว้ในตู้จึงหยุดชะงักนิดนึง

“กับอะไรคะ…”พูดพลางก็นำเสื้อผ้าไปไว้ในตู้

คนที่นอนปิดตาอยู่เอามือก่ายหน้าผากขณะกล่าวว่า

“กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ…”
บิลกีสหันมาทางคนท่ีกำลังนอนตะแคงเอามือเท้าศีรษะหันมาทางเธอ
แววตาคู่นั้นของเขาทำเอาเธอแทบพูดอะไรไม่ออก…
ก่อนจะสะกดความรู้สึกแล้วยิ้มตอบเขาไปว่า

“ไม่เสียใจค่ะ…ไม่เลย…”

คนฟังจึงผุดลุกก่อนจะเดินมาหาหญิงสาวที่กำลังพยายามจัดเสื้อผ้าในตู้
ให้เข้าที่เข้าทางอยู่

ทว่า…อยู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูห้อง

ชายหนุ่มจึงเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ประตูห้องแทนแล้วเปิดมันออก
เห็นหญิงสาวหน้าตาดี รูปร่างได้สัดส่วนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเขา
ในมือมีกระเป๋าเดินทาง…

เธอยิ้มให้เขาพร้อมยื่นของในมือให้

“กุญแจห้องค่ะ…”
หนุ่มใหญ่รับกุญแจดังกล่าวพร้อมกับยิ้มให้หญิงสาวขณะกล่าวว่า

“ขอบคุณนะครับสำหรับทุกอย่าง…”

“เช่นกันค่ะ…”หญิงสาวกล่าวขณะสายตาพยายามมองไปยังอีกคน
ที่อยู่ในห้องกับหนุ่มใหญ่ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของคอนโด

“เธอคือ…”

“ใช่ครับ…”

“ยินดีด้วยนะคะ…หากมีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกกันได้นะคะ…มีนายินดีค่ะ…”

“งั้นให้ผมไปส่งนะครับ…”หญิงสาวส่่ายหน้า

“อย่าเลยค่ะ…มีนากลับแท็กซี่ได้ อีกอย่างสีหน้าคุณไนค์ดูเหนื่อยๆ
มีนาไม่อยากรบกวน…”

“ไม่รบกวนหรอก ไปครับ…”หนุ่มใหญ่เชื้อเชิญ

“ไม่ดีแน่ๆค่ะ เดี๋ยวคุณไอซ์ตื่นมาไม่เจอแล้วจะแย่นะคะ…”

“โอเคครับโอเค งั้นเดี๋ยวขอเดินไปส่งข้างล่างก็แล้วกันนะครับ…”

ชายหนุ่มยังคงเป็นห่วงในสวัสดิภาพของอีกฝ่าย
และไม่ลืมหันมาทางข้างหลังเพื่อบอกกล่าวกับอีกคนในห้อง

“เดี๋ยวฉันออกไปส่งคุณมีนาด้านล่างก่อนนะ…”

โดยไม่รอคำอนุญาต เขาก็เดินออกไปทันทีพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น


บิลกีสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปลบๆในหัวใจ…
พร้อมกับความเคลือบแคลงใจในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้น

เพราะเมื่อเธอแบกกระเป๋าเข้ามาที่นี่
ผู้หญิงคนนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางออกไป โดยมีเขาเดินออกไปส่ง
ด้วยน้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงเป็นใย…


…เธอคนนั้น เป็นใครกัน และมีความสำคัญอย่างไรกับเขากันแน่…


บิลกีสจัดเสื้อผ้าไปก็ครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ ก่อนจะตกใจสะดุ้งสุดตัว
เมื่ออยู่ๆก็มีมือของใครเข้ามาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้

“อุ้ย…”หญิงสาวอุทานก่อนจะโล่งใจเมื่อพบว่าเป็นเจ้าของคอนโด
เขาเดินเงียบจนเธอไม่ได้ยินเสียงของเขา
หรือเป็นเพราะเธอใจลอยจนไม่ได้รับรู้สิ่งใดกันแน่นะ…


“ฉันมีคนสองคนที่จะแนะนำให้เธอรู้จัก…เพราะเธอต้องอยู่ท่ีนี่
กับเขาสองคนในเวลาที่ฉันไม่อยู่…ส่วนงานที่เธอทำอยู่
ฉันได้ส่งใบลาออกให้เธอเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องออกไปตากหน้าทำงานข้างนอกอีก…
เพราะถึงตอนนี้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวย ไม่เหลือสมบัติอะไรแล้วก็ตาม
แต่ฉันก็อยากจะบอกกับเธอว่าฉันยังเหลือความสามารถ
ที่กล้าประกันว่าฉันจะใช้มันเพื่อการเลี้ยงดูครอบครัวฉันให้ได้”

บิลกีสตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับการส่งใบลาออกโดยไม่บอกกล่าวเธอก่อนล่วงหน้า
และยิ่งตกใจเมื่อได้เจอกับบุคคลทั้งสองที่เขาเอ่ยถึง


“นี่คือพ่อแท้ๆของฉัน…เธอคงรู้จักท่านดีผ่านสื่อต่างๆก่อนหน้านี้”

บิลกีสมองชายชราที่นอนนิ่งๆบนเตียงในห้องข้างๆห้องของเธอกับเขา


เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า นายจอมพล ทวีวรวรรณผู้ทรงอิทธิพล
ที่ใครๆต่างต้องการทราบถึงข่าวคราวหลังจากศาลมีคำตัดสิน
ให้จำคุกตลอดชีวิตเพราะคดีค้าอาวุธสงครามและลักลอบค้ายาเสพติดระดับชาติ
แต่เพราะได้รับสารภาพ จากโทษประหารจึงเหลือเป็น
จำคุกตลอดชีวิตนั้นกำลังตกอยู่ในสภาพของบุคคลที่ไร้ความสามารถไปแล้ว…


นอกจากดวงตาที่ยังคงกะพริบสื่อความหมาย ก็ไม่มีส่วนใดเลยที่จะขยับได้

…นี่เขานอนเป็นผักมาเป็นเวลาเกือบปีแล้วหรือนี่…

บิลกีสอดหดหู่ใจไม่ได้กับภาพที่ได้เห็น…


“พ่อครับ…ผมพาลูกสะใภ้ของพ่อมาทำความรู้จักครับ…
หวังว่าพ่อจะพอใจเธอเหมือนที่ผมพอใจ…”

หนุ่มใหญ่กุมมือบิดาแล้วบีบมัน
สิ่งที่เขาได้รับคือแววตาเฉยชาของผู้เป็นบิดา

บิลกีสใจเสียนิดนึง แต่ก็พยายามยิ้มออกมาก่อนจะแนะนำตัวเองกับบุคคล
ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรับรู้เรื่องราวต่างๆได้แค่ไหน

“หนูชื่อบิลกีสค่ะ…”ปฏิกิริยาจากคนป่วยคือหลับตานิ่ง
ทำเอาผู้เป็นลูกสะใภ้ถึงกับไปไม่ถูก ขุนพลหันมายิ้มปลอบใจ
แล้วพาเธอไปอีกห้องนึง



แล้วยิ่งให้ตกใจเมื่อเขาเปิดประตูที่เป็นเสมือนกำแพงบางๆ
ที่กั้นระหว่างห้องของบิดาของเขาเข้าไปยังอีกห้องนึง
ซึ่งมีหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับเจ้าหญิงกำลังนอนหลับ
อยู่บนเตียงที่มีผ้าปูสีชมพู ห้องทั้งห้องก็ถูกตกแต่งด้วยสีชมพู
แม้แต่ตุ๊กตาในห้องก็ยังเป็นสีชมพู…

“เธอคงรู้จักหญิงสาวผู้นี้ผ่านสื่อต่างๆได้ดีใช่มั้ย…
เธอผู้นี้คือเจ้าหญิงของฉัน…”

บิลกีสมองเจ้าหญิงนิทราของเขาแล้วเหลือบตาขึ้นมองเขา
เห็นแววตาของเขาจ้องมองหญิงสาวผู้นี้
เป็นแววตาที่แฝงไปด้วยความรักและเอ็นดู…

เธอจำได้ว่า…หญิงสาวผู้นี้คือ ดุจมณี ทวีวรวรรณ ลูกพี่ลูกน้องของเขา

แล้วอยู่ๆดวงตาที่กำลังพริ้มหลับอยู่ก็ลืมขึ้น ก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้คนข้างกายเธอ
แล้วคิ้วโค้งสวยก็ค่อยๆขมวดปมเมื่อมองมายังเธอ

“ใครกันคะ…”แววตาใสซื่อบริสุทธิ์นั้นทำเอาบิลกีสถึงกับกระตุกคิ้ว

“เมียพี่เอง…”หนุ่มใหญ่ตอบโดยมิได้หันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆที่สะดุ้งกับคำที่เขา
ใช้เรียกขานเธอ...

ท่าทางของหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนั้นดูงงๆ หนุ่มใหญ่หัวเราะออกมา
กับสีหน้าสงสัยเหมือนเด็กนั่นจนอดไม่ได้ที่จะโยกหัวทุยๆนั่นด้วยความเอ็นดู

“พี่ไนค์แต่งงานตอนไหน ทำไมไอซ์ไม่เห็นรู้เลย…”

หนุ่มใหญ่หัวเราะในลำคอแล้วนั่งลงข้างๆอธิบายเจ้าของคำถามว่า

“ก็ตอนที่เจ้าหญิงของพี่กำลังนิทราอยู่น่ะสิ พี่ไม่อยากปลุกเธอ…”

“แล้วไหนล่ะคะแหวนแต่่งงาน เค้กแต่งงานล่ะคะ…มีรึเปล่า…
ไอซ์อยากกินเค้กแต่งงานของพี่ไนค์”

น้ำเสียงและท่าทางเหมือนเด็กของคนตรงหน้า
ทำให้บิลกีสพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวผู้สวยสง่าคนนี้…
คนที่เป็นที่หมายปองของหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อย
ไปไหนก็เป็นข่าวให้คนอื่นคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา…

ขุนพลจึงจับมือของบิลกีสให้น้องสาวดูแหวนในนิ้วนางข้างซ้ายของหญิงสาว
เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าสวยนั่น

“แล้วเค้กล่ะคะ…”ขุนพลหันหน้ามาปรึกษาหญิงสาวข้างกายทันที

“เอ่อ…พอดีว่าเค้กแต่งงานของพี่อยู่ในตู้เย็นจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้นะครับ…”
ชายหนุ่มเตรียมจะลุกออกไปเอาเค้ก ซึ่งบิลกีสแน่ใจ
ว่าในตู้เย็นของเขาไม่มีสิ่งดังกล่าวอยู่อย่างแน่นอน…

“ไม่เป็นไรค่ะ…เดี๋ยวฉันไปเอามาให้เอง คุณอยู่ในนี้กับน้องไอซ์เถอะค่ะ…”
หญิงสาวอาสาเพื่อจะไปนำเค้กมาให้คนในห้อง
เพราะเข้าใจว่าสำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงตรงหน้าเป็นบุคคลสำคัญ
ที่เขาคงไม่อยากทำร้ายความรู้สึก…หรืออยากจะขัดใจอีกฝ่าย

“ขอตัวก่อนนะคะ…”บิลกีสขอตัว ทว่าข้อมือของเธอกลับถูกรั้งเอาไว้

“อย่าไปเลย…ฉันจัดการเองได้…”หญิงสาวระบายยิ้ม

“น้องสาวของคุณต้องการคุณ…ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เองนะคะ…”
ขุนพลพยักหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้

“งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปเอาเค้กมาให้นะคะ…”

บิลกีสกล่าวกับหญิงสาวที่กำลังอ้อนขออยากกินเค้กแต่งงานของพี่ชายขึ้นมา


ดุจมณีชะเง้อคอมองประตูห้องแล้วประตูห้องอีกก็ไม่เห็นเงาของคน
ที่บอกว่าจะไปเอาเค้กแต่งงานมาให้เธอเสียที จึงหันไปทางพี่ชาย
ที่กำลังเดินไปมาอยู่ในห้องด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

“ทำไมเมียพี่ไนค์ไปนานจังคะ…”ขุนพลก็รู้สึกเช่นนั้น
บิลกีสไปนานเกือบชั่วโมงแล้ว เขาไม่น่าปล่อยให้เธอไปเลยจริงๆ
ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ครั้นจะออกไปตามก็ทำไม่ได้
เพราะไม่มีใครอยู่กับผู้ป่วยสองคนที่ต้องการผู้ดูแลไม่ให้ห่างกาย

“งั้นเดี๋ยวไอซ์ขอไปดูในตู้เย็นเองดีกว่า…”

ไม่พูดเปล่า หญิงสาวเตรียมลุก ทว่าคนเป็นพี่คว้าข้อมือไว้แล้วชวนให้
มาดูการ์ตูนเรื่องใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาให้เมื่อวาน และน้องสาวยังไม่ได้ดู

“แต่ไอซ์อยากกินเค้กนี่คะ…”หญิงสาวเริ่มงอแง
ทำเอาคนเป็นพี่เริ่มอยากจะเอามือกุมขมับ

ดุจมณีกลายเป็นเด็กห้าขวบในร่างของผู้ใหญ่ต้ังแต่วันที่พ่อของตัวเอง
คว้าปืนขึ้นเหนี่ยวไกหมายจะพรากชีวิตพ่อของเขากับแม่ของเธอ
หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่า พ่อของเขานั้นลักลอบเป็นชู้กับเมียของตัวเอง

ซ้ำลูกสาวและลูกชายที่ตนเชื่อมาตลอดว่าเป็นลูกแท้ๆกลับเป็นเพียงแค่หลาน

เพราะแท้จริงแล้วดุจมณีกับขุนศึกพี่ชายของเธอเป็นลูกแท้ๆของพ่อของเขา
และเป็นพี่น้องคนละแม่กันกับเขา…

ทำให้ดุจมณีไม่อาจยอมรับสิ่งดังกล่าวได้ พร้อมกับการต้องมอง
ภาพสยดสยองที่พ่อของเขากับแม่ของเธอโดนพ่อที่เธอเคารพรักมาตลอด
ลั่นไกปืนสังหารก่อนจะจบลงด้วยการเป่่าหัวกระโหลกของตัวเองตายตกไปตามกัน

เพียงแต่พอของเขากลับเป็นคนเดียวที่ไม่ตายไปด้วยในครั้งนั้น
และมีสภาพดังที่เห็น…

ดุจมณีเสียขวัญและช็อกจนเสียสติ ฟื้นกลับมาอีกทีก็เป็นเช่นนี้

ส่วนน้องชายของเขาก็หนีออกนอกประเทศ
เพราะทนรับฟังกระแสต่างๆในเมืองไทยไม่ไหว

แม้พ่อของเขาจะแบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว
และน้องชายของเขารอดพ้นจากเงื้อมมือของกฎหมายไปได้

ทว่าน้องชายของเขากลับยังไม่ยอมกลับเนื้อกลับตัว
และยังไม่ยอมรับพ่อของตัวเองว่าเป็นพ่อ

เขาเพียงต้องการให้น้องชายกลับมาหาพ่อของตัวเอง
เพราะรู้ว่าสิ่งที่พ่อของเขารอมาตลอดก็คือลูกชายคนนี้ของท่าน
เขาก็แค่อยากเห็นพ่อของเขามีความสุขและสมหวัง…
อยากให้น้องชายเข้าใจและยอมรับพ่อของตัวเอง…

อย่างน้อยก็อยากให้น้องชายกลับมาเยี่ยมท่าน มาหาท่านบ้าง
แม้สักครั้งนึงก็ตาม…


“งั้นระหว่างรอเค้ก พี่ว่าเรามาดูการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยกันดีมั้ย…
เรื่องสุสานหิงห้อยที่เธอชอบก็ได้…”

คนฟังถึงกับยิ้มทันทีที่ได้ยินชื่อการ์ตูนดังกล่าว ก่อนจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยทันที
เมื่อพี่ชายกำลังจะเปิดการ์ตูนเรื่องดังกล่าวให้ดู…

“ไอซ์ชอบเรื่องนี้ มันทำให้ไอซ์รักพี่ไนค์มากขึ้นๆๆๆๆ…
เพราะพี่ไนค์เป็นอัศวินของไอซ์…และเราจะไม่ทิ้งกัน…”

ขุนพลมองใบหน้าน้องสาวนิ่ง ก่อนจะระบายยิ้มออกมา

ในความทรงจำของน้องสาวของเขาคงมีภาพของเขาที่เป็นอัศวินขี้ม้าขาว
มาช่วยเหลือเหมือนเมื่อตอนเด็กๆเป็นแน่…

แต่ก็ดี…เขาก็อยากให้น้องสาวของเขาจดจำเฉพาะภาพเหล่านั้น
ไม่อยากให้ต้องมานั่งรับรู้อะไรที่ชวนให้ปวดหัวและหดหู่ใจ
ดังเช่นที่เขาเคยเผชิญมาและกำลังเผชิญหน้าอยู่…

“พี่จะไม่ทิ้งเธอ…พี่สัญญา…”ขุนพลกล่าวขณะลูบหัวน้องสาว
ก่อนจะหันไปทางประตูห้องที่ตอนนี้เปิดออกพร้อมกับ
หญิงสาวที่ในมือมีเค้กผลไม้น่าทาน…

“ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปซะนาน เพราะพี่เห็นว่าในตู้เย็นไม่มีน้ำผลไม้
พี่ก็เลยออกไปซื้อน้ำผลไม้ซะนานเลย…”

เสียงหอบเหนื่อยกับใบหน้าแต้มยิ้มนั้นทำให้คนรอถึงกับประทับใจในน้ำใจของเธอ

“นี่ค่ะ เค้กแต่งงานที่น้องไอซ์อยากกิน…และนี่ก็น้ำแอปเปิ้ล…”

บิลกีสวางเค้กและน้ำผลไม้ลงบนโต๊ะ ดุุจมณีกระวีกระวาด
เข้ามาดูเค้กด้วยสีหน้าและรอยยิ้มดีใจ

“น่ากินจังเลยค่ะ…งั้นไอซ์กินเลยนะคะ…”ไม่พูดเปล่า
หญิงสาวหยิบส้อมขึ้นมาแล้วตักเค้กเข้าปากทันทีโดยยังไม่ทันได้รับอนุญาตจากใคร
เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนมองได้ไม่น้อย

“เลอะแก้มหมด ดูสิ”ขุนพลหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดครีม
ที่มุมปากกับที่แก้มให้กับดุจมณีอย่างอ่อนโยน
ทำให้บิลกีสที่มองภาพนั้นอยู่ถึงกับประทับใจในกิริยานั้นของเขา…

“ก็มันอร่อยจริงๆนี่คะ…ไอซ์ไม่ได้กินเค้กอร่อยๆแบบนี้มานานแล้ว”

ขุนพลถึงกับชะงักมือที่กำลังจะหยิบน้ำผลไม้ขึ้นให้น้องสาวดื่มเมื่อได้ยินประโยคนั้น…
และอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่ได้ใส่ใจน้องสาวเท่าที่ควร…
เพราะวันๆเขาเอาแต่ยุ่งกับเรื่องของงานและปัญหาที่ประดังเข้ามาไม่เว้นในแต่ละวัน

“กินด้วยกันมั้ยคะพี่สะใภ้…”
ดุจมณีเชื้อเชิญอีกคนที่นั่งมองเธออยู่บิลกีสยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ…พี่กำลังไดเอตอยู่ค่ะ…”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มาค่ะ มากินด้วยกัน…”ดุจมณียังชวนไม่เลิก

“อย่างเธอคงไม่ต้องลดความอ้วนแล้วล่ะ…เพราะเท่าที่เห็นก็แห้ง
จนจะไม่มีเนื้อหนังอยู่แล้ว…”ขุนพลแอบบ่นอีกคนที่บอกน้องสาวของเขา
ว่ากำลังลดน้ำหนักอยู่เลยไม่อยากกินเค้ก…

บิลกีสถึงกับก้มมองสภาพตัวเอง ใครว่าเธอผอม จริงๆแล้วเธอไม่ได้ผอมนะ…
ก็มีเนื้อหนังมังสาอยู่…เพียงแต่เพราะเธอแต่งกายปกปิดไว้
เลยยากที่ใครจะคาดเดาได้ด้วยสายตา…

“ไม่ได้หรอกค่ะ…อายุไม่น้อยแล้ว ระบบเผาผลาญไม่ค่อยดี…
อีกอย่าง ฉันไม่ชอบกินเค้กค่ะ…”หญิงสาวยอมรับออกไปว่าเธอไม่ชอบกินเค้ก…



แล้ววันนั้นเธอก็ได้นั่งดูการ์ตูนกับดุจมณีก่อนจะขอตัวไปทำอาหารค่ำ
ทิ้งให้พี่น้องเขาทำกิจกรรมด้วยกันในห้อง…



“ทำอะไรกินเหรอ…กลิ่นคุ้นๆแถมยังหอมโชยไปถึงในห้องแหน่ะ…”

ขุนพลเดินมาหาบิลกีสในห้องครัวโดยมีน้องสาวติดตามมาด้วย

“ใช่ค่ะ…ห้อมหอม…ทำให้ไอซ์หิวข้าวเลย…”เสียงใสๆหน้าซื่อๆ
ของคนที่กำลังยืนกอดตุ๊กตาและก้มหน้ามามองอาหารที่กำลังปรุงอยู่ในหม้อ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำเอาแม่ครัวถึงกับระบายยิ้มออกมา…
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูว่า

“มีต้มยำกุ้ง ทอดมันปลากราย และก็ผัดผักรวมมิตรค่ะ…”

“นี่ที่หายไปนานๆเพราะแอบไปซื้อของคาวพวกนี้มาทำอาหารด้วยใช่มั้ยเนี่ย…”
หนุ่มใหญ่กระซิบข้างๆหูหญิงสาว ทำเอามือที่กำลัง
ผัดผักอยู่เกิดหมดเรี่ยวแรงจนเกือบทำตะหลิวในมือตก…

“ก็…เอ่อ…ก็ในตู้เย็นมันไม่มีอะไรแล้วนี่คะ…”หญิงสาวที่ไม่เคย
ได้ใกล้ชิดชายใดขนาดนี้มาก่อนเริ่มพูดติดๆขัดๆ

“มา…เดี๋ยวฉันช่วย…”ขุนพลหยิบจานมารองรับอาหารจากตะหลิวของหญิงสาว
“พี่ไนค์น่ารักจังเลยค่ะ ช่วยพี่สะใภ้ด้วย…”

บิลกีสรู้สึกแปลกๆในหัวใจกับคำว่า พี่สะใภ้ของหญิงสาวเวลาเรียกเธอ
จนเกือบทำอาหารหก ดีที่ขุนพลเอาจานมารองเอาไว้ได้ทัน…

“ผัวเมียกันก็ต้องช่วยกันสิครับคนสวย…”ขุนพลหันไปยิ้มให้น้องสาว

“เร็ว…ช่วยพี่จัดโต๊ะด้วย…เอาให้สวยๆเลยนะคนเก่งของพี่…”

ดุจมณีได้ยินเช่นนั้นจึงรีบนำตุ๊กตาไปวางไว้ในห้องรับแขก
และรีบกลับมาช่วยจัดโต๊ะอาหารอย่างกระวีกระวาด…



บิลกิสอดยอมรับไม่ได้ว่า อาหารมื้อแรกที่เธอได้รับประทานร่วมกับครอบครัวใหม่นั้น
สร้างความประทับใจให้กับเธออยู่ไม่น้อยเลย

เพราะเธอต้องนั่งกินข้าวคนเดียวเป็นส่วนใหญ่
แม้ไม่อยากกินข้าวคนเดียว แต่เธอก็ต้องกิน เพราะเธอไม่มีครอบครัว
เพื่อนฝูงก็น้อยเหลือเกิน ไม่มีใครอยากคบหากับผู้หญิงที่ไร้อนาคต
อันสดใสเช่นเธอหรอก…

และการได้ร่วมรับประทานอาหารกับชายผู้ที่แอบรักมาตลอดอย่างยาวนานเช่นนี้
โดยมีเขาคอยช่วยตักอาหารให้ เป็นการกระทำครั้งแรกในชีวิตลูกผู้หญิง
ที่เธอได้รับการเอาใจใส่จากผู้ชาย

…เขามักเป็นสิ่งแรกในชีวิตเธอ…

แต่เธอก็รู้ว่าที่เขาทำไปนั้น เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ
มันมิได้เกิดจากความพิสวาสในตัวเธอแต่อย่างใด…

สายตา กิริยาของเขานั้นมันฟ้องได้ชัดเจนอยู่ในตัวของมัน…
แล้วเธอหวังอะไรเล่าบิลกิส…



และที่ทำให้เธอยิ่งประทับใจในตัวเขามากยิ่งขึ้นเลยก็คือ…
การป้อนอาหารทางสายยางให้กับพ่อของเขา…
เธอเพิ่งได้เรียนรู้วิธีทำนั้นจากเขา…เขาบอกว่ากว่าเขาจะจัดการเรื่องการป้อนอาหาร
ให้กับพ่อของเขาได้นั้น ใช้เวลาฝึกนานมาก ซึ่งปกติการสอดสายยาง
หรือสายอาหารนั้นต้องกระทำโดยพยาบาล แต่เขาก็จำต้องฝึกไว้ยามที่พยาบาลไม่อยู่…

เธอเพิ่งรู้ว่าเขาไปหัดเรียนด้านบริบาลมาด้วยจนจบหลักสูตร
เขาทำเพื่อพ่อของเขาขนาดนี้เลยเชียวหรือ…


ช่างเป็นสูตรผู้ชายในฝันที่เธอเคยฝันหามาตลอด…
เขาแตกต่างจากเมื่อก่อน…แตกต่างราวกับเป็นคนละคน…

เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนดีแบบนี้ และไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยปราณีใคร
เป็นนักเลงหัวไม้…ชอบหาเรื่องคนอื่นให้ต้องเดือดร้อน…

แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เขากลับเนื้อกลับตัว
อพยพจากความชั่วหันมาสู่ความดีงาม
หากไม่ใช่ความพินาศ และการลดลงของอำนาจ

…เธอน่าจะต้องขอบคุณความพินาศนั้นใช่มั้ยที่ทำให้เธอได้เห็นเขาในแบบฉบับนี้

…ใครว่าคนชั่วไม่อาจกลับใจได้...นี่แหล่ะตัวอย่างล่ะ…




“ต่อไปเธอต้องช่วยฉันป้อนอาหารให้พ่อนะ…เวลาที่ฉันไม่อยู่หรือติดธุระต้องออกพื้นที่…”

บิลกีสพยักหน้าเข้าใจและรู้งาน
เธอกระวีกระวาดช่วยนั่นจับนี่เขาตลอด…

“คืนนี้…ฉันต้องไปตราด…ต้องไปดูโลเกชั่นถ่ายทำน่ะ…”

คนฟังขมวดคิ้วเป็นปม

“ทำไมต้องไปดูตอนกลางคืนล่ะคะ…”คนฟังจึงตอบหน้านิ่ง
ในขณะที่สายตาจับอยู่ที่บิดาและน้องสาวที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตา
อยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียงคนป่วย

“เพราะต้องถ่ายทำตอนกลางคืน…”สั้นๆแต่ได้ใจความ

บิลกีสเลยมิได้เซ้าซี้ถามต่อ เพราะเห็นเขากำลังวุ่นวายอยู่กับ
การจัดการกับผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งเช็ดตัวคนป่วยเสร็จ…


“ไม่พักสักหน่อยก่อนหรือคะ…”สุดท้ายบิลกีสก็อดไม่ได้
ที่จะต้องถามเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง…เพราะวันนี้ทั้งวัน
เธอรู้ว่าเขาต้องยุ่งวุ่นวายกับหลายๆเรื่อง

“พักไม่ได้หรอก…เพราะใกล้ต้องส่งงานแล้ว…ตอนนี้ฉันไม่ได้
มีอำนาจต่อรองอะไรมากมายนักหรอก…แค่เขาจ้างบริษัทเล็กๆของฉัน
ก็นับว่าโชคดีแล้ว…ฉันยังไม่อยากให้งานเสีย…มันจะพาลเสียไปหมด…
แล้วลูกค้าจะไม่ไว้ใจเราให้ทำงานให้อีกในอนาคต…”

บิลกีสพยักหน้าอย่างไม่อาจช่วยอะไรเขาได้เลย…เธออยากช่วยเขาจัง

“ช่วยอะไรฉันอย่างได้มั้ย…”
บิิลกีสตาโตด้วยความดีใจเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของเขา…

“ตอนที่ฉันไม่อยู่ ช่วยดูแลพ่อกับน้องสาวให้ฉันได้มั้ย…”
บิลกีสหันไปทางคนป่วยที่ลืมตาจ้องมองเธอนิ่งทันที…

…เธอน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่คนป่วยดูจะมีปัญหากับเธอนะ…

“พ่อฉันเขาไม่มีอิทธิพลพอที่จะทำอะไรใครได้อีกแล้วล่ะ…
นอกจากด้วยกับสายตา…”

ขุนพลแอบยั่วบิดานิดๆเป็นการวอร์มอัพ
อย่างน้อยก็ได้เห็นแววตาขุ่นๆที่จ้องมาทางเขาเป็นการตัดพ้อบ้าง
มิใช่ไร้ความรู้สึกอย่างปกติ…

“ได้ค่ะ…”

“แล้วเดี๋ยวฉันจะสอนขั้นพื้นฐานสำหรับการดูแลคนป่วยให้นะ
ว่าจะต้องทำอะไรอีกบ้างหลังจากนี้…”

แล้วปฏิบัติการดูแลคนป่วยก็เริ่มขึ้น จนจบกระบวนการ
ทำเอาลูกศิษย์ถึงกับเกือบหมดแรง
เพราะกว่าจะจัดการกับคนป่วยเสร็จแล้วหันไปจัดการกับเจ้าหญิงตัวน้อยของสามีหมาดๆ
จนหลับไปได้ก็ล่อซะหมดนิทานไปหลายเรื่อง

…ไม่คิดเลยว่า หญิงสาวแสนสวยขนาดนั้น
จะหลับได้ก็ต้องพึ่งพานิทานเหมือนสมัยเด็กๆอีก…

แต่พอนึกดูอีกที…เธอว่า…มันก็น่ารักดีนะ…

“เธออยู่ที่นี่โดยไม่มีฉันได้ใช่มั้ย…”ขุนพลกระซิบถามบิลกีส
หลังจากปิดประตูห้องน้องสาวลงแล้วเดินเคียงกันมากับบิลกีส
เพื่อไปยังโซฟากลางห้องรับแขก บิลกีสหน้าแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ก่อนจะหลบตามองพื้น พร้อมกับพยักหน้านิดๆ

“แน่ใจนะ…”เสียงนั้นถามย้ำ

“แน่ใจค่ะ…”คำตอบเบาหวิวนั้นไม่ได้ทำให้ขุนพลมั่นใจได้เลย
เขาจึงจับบ่าทั้งสองของหญิงสาว ทำให้คนที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา
จนเห็นแววกังวลอยู่ในดวงตาคู่นั้นชัดเจนขึ้น

“ดูเหมือนฉันจะไม่ยุติธรรมกับเธอเลย…เธอว่ามั้ย”บิลกีสส่ายหน้า

“ทั้งๆที่ฉันอาศัยความรักของเธอเพื่อเอาเปรียบเธอแบบนี้น่ะเหรอ…”
บิลกีสส่ายหน้าอีก…แววตาของเธอสื่อเช่นท่าทาง…

เธอไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย…เธอรักและพร้อมจะช่วยเหลือเขา…

“ฉันอาจจะพูดหรืออธิบายอ้อมๆไม่เก่ง…แต่ฉันรู้ว่า
เมื่อก่อนเวลาที่ฉันติดตามข่าวคราวของคุณอยู่ไกลๆ
ฉันทำอะไรหรือช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย…
ฉันเคยแอบหวังมาตลอดว่าหากฉันสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้าง
ฉันจะกระโดดเข้าไปช่วยคุณโดยไม่หวังอะไรเลย
นอกจากช่วยคุณ…แค่นั้น…”คนพูดหยุดนิดนึงก่อนจะพูดต่อ
อย่างตัดสินใจแล้วว่าเธอต้องพูดมันออกไปบ้าง…

“แต่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ที่ฉันทำได้ก็คือ
ได้แต่ห่วงอยู่ห่างๆ เพราะฉันใกล้คุณที่สุดได้แค่นั้น…

แต่วันนี้โอกาสนั้นมาเยือนฉันแล้ว…ฉันก็ยินดีและก็เต็มใจค่ะที่จะช่วยเหลือคุณ…
ขอแค่ให้คุณบอกฉัน…บอกมาเถอะค่ะ…ว่าจะให้ฉันช่วยอะไร…
คุณไม่ต้องเกรงใจ และก็ไม่จำเป็นต้องรักฉันก็ได้…จริงๆนะคะ…”

บิลกีสแสดงความจริงใจออกไปทั้งด้วยคำพูด แววตาและสีหน้า
ทำเอาคนฟังถึงกับดึงเธอเข้ามาสวมกอดในทันที…

เขากอดเธออยู่อย่างนั้นนานจนคนที่กำลังถูกกอดถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา

…เพราะอ้อมกอดนี้จากเขาที่เธอรอคอยมาตลอด…
อยากรู้ว่ามันจะให้ความรู้สึกเช่นไรหนอ…

ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอจะได้กอดเขา กอดโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ…
เพราะนี่มันคือ อ้อมกอดจากผู้เป็นสามีของเธออย่างถูกต้อง
โดยนิตินัยและโดยพิธีกรรมทางศาสนา…

“ขอบใจนะ…ขอบใจจริงๆ…”เสียงน้ันกระซิบข้างๆหูของหญิงสาว
ในขณะที่เขายังคงกอดเธอเอาไว้เช่นนั้นราวกับเธอคือไม้หลัก
ที่เขาเอาไว้ยึดอย่างไรอย่างนั้น

…แต่เธอก็ภูมิใจนะที่อย่างน้อยก็สามารถเป็นอะไรสักอย่างให้เขาได้บ้าง…
ไม่ได้ไร้ตัวตนอย่างแต่ก่อนแล้ว…

บิลกีสจึงยกฝ่ามือทั้งสองของเธอทาบลงบนแผ่นหลังของเขา

...บางครั้งเธอก็อยากรู้เหลือเกินว่า
เสียงหัวใจที่กำลังเต้นของเขาที่เธอได้รับรู้ตอนนี้
มันกำลังเต้นด้วยชื่อของเธอบ้างหรือเปล่า…


แต่ไม่ ไม่ เธอจะหวังอะไรเช่นนั้นในเวลานี้ได้เล่า…
เขาก็แค่ต้องการที่พักพิงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง…
เธอรู้…เขาเหนื่อย…เขาอ่อนล้าแค่ไหน…
และเธอก็รู้ว่า…เขาต้องอดทนกับอะไรบ้าง…

รู้เช่นนี้แล้ว…เธอก็แทบไม่อยากเรียกร้องอะไรจากเขาแล้วล่ะ…

“ยังไงก็ต้องพักผ่อนบ้างนะคะ สักงีบก็ยังดี…”บิลกีสกล่าว
เมื่อเขาผละออกมาแล้วส่งยิ้มให้เธอขณะที่มือของเขากำลังจับมือทั้งสองของเธอเอาไว้

…เธอว่าเวลาเขายิ้มแล้วดูดีที่สุดเลย…

เพียงแค่เขาจะยิ้มแย้มให้มากกว่านี้สักหน่อย
เขาก็จะดูดีไม่แพ้นายขุนศึกอะไรนั่นเลย

…แน่นอน…ใบหน้าเขาไม่ได้หล่อเหลาจนใครเห็นก็ต้องหลงใหล…
แต่ไม่ว่ายามใดเธอก็รักเขา รักตรงไหนนั้นก็สุดจะรู้ได้…

แต่ที่แน่ๆนั้นคือ เธอไม่ได้รักเขาตรงที่ความหล่อหรือความไม่หล่อ

“เธอนี่ยังไง…ชอบชวนฉันให้นอนจริงๆ…เดี๋ยวเถอะ…”

ตอนนี้เขาไม่ได้แค่ยิ้มที่ปาก แต่ตาของเขาก็กำลังยิ้มให้เธอด้วย
จนบิลกีสถึงกับหลุดปากถามเขาไปว่า

“ยิ้มคุณราคาแพงมั้ยคะ…”คนถามถึงกับเลิกคิ้วสูง
ก่อนจะตีหน้าตายแล้วถามกลับว่า

“ถามทำไม…”บิลกีสเหมือนจะนึกได้ว่าไม่ควรถามออกไปตั้งแต่ต้น
แต่เมื่อถึงตรงนี้แล้วจะให้ถอยหลังได้ยังไงอีก…

“ก็…เอ่อ…ฉันจะได้รู้ว่า…ฉันควรจะใช้อะไรเพ่ือซื้อมัน…เวลาที่ฉันต้องการเห็น…”

บิลกีสตอบอย่างเปิดเผย…ทำเอาคนถูกถามถึงกับอมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยินมา…
ก่อนจะยกคิ้วสูงขณะถามทั้งๆที่มุมปากนั้นยกสูงเหมือนจะยิ้ม…

“เธออยากรู้จริงๆเหรอ…”บิลกีสพยักหน้า

“ค่ะ”

“งั้นหลับตาสิ…”หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะทำตามอย่างว่างาย
เมื่อเขาเอานิ้วทาบลงบนเปลือกตาเธอให้ปิดลง…

“ต้องทำแบบนี้…”แล้วเขาก็แตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเธอเบาๆ
แล้วจุมพิตมันหนึ่งครั้งก่อนจะพูดว่า

“ลืมตาสิ…”แม้เขาจะไม่สั่งให้ลืมตา ทว่าคนที่ถูกปล้นจูบแรกไป
ก็ต้องเบิกตาอย่างอัตโนมัติอยู่ดี…แล้วก็กำลังเห็นเขายิ้มให้เธออยู่

ใบหน้าหญิงสาวหน้าแดงรีบเรื่อหลบหน้าหันหลังให้เขาทันที…
พร้อมทั้งยกมือทั้งสองปิดปากแน่น…หัวใจยังเต้นตูมตามหาจังหวะไม่เจอ

สักพักมือของเขาก็สอดเข้าทางด้านหลังแล้วรัดเอวของเธอเอาไว้
ก่อนจะวางคางของเขาเกยบนบ่าของเธอ…แล้วหอมแก้มนั้นฟอดนึง
พร้อมกับคำชมเบาๆ…

“ยังหอมอยู่เลย…”บิลกีสยกมือที่พยายามไม่ให้สั่นตามจังหวะหัวใจ
เพื่อแยกมือของเขาออกจากเอวของเธอ แต่เขาไม่ยอม…

เขากำลังทำให้เธอรู้สึกวาบหวิว…

“ยะ…ย่ะ…อย่า…ค่ะ…”เสียงสั่นร้องห้ามเมื่อเขาหันไปหอมแก้มอีกข้างนึงของเธอ
ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาโดยที่ลากอีกร่างนึง
ให้ล้มตามมาทับอยู่บนร่างของเขาด้วย…

บิลกีสดิ้นแต่เขากอดรัดเอาไว้แล้วยิ้มหยอก…

“ก็เธอบอกเองว่าฉันควรนอนพักสักงีบ…ไม่ใช่เหรอ”
เขาพูดพร้อมกับพลิกร่างของบิลกีสให้นอนลงข้างๆเขา…
มือยังกอดรัดเธอเอาไว้แน่น และเนื่องจากโซฟาดังกล่าว
มีพื้นที่กว้างพอจะให้ทั้งสองนอนกอดกันในสภาพแบบแออัด
ทำเอาคนโดนกอดถึงกับหายใจติดขัด เพราะโดนเขากอดเสียแน่น…

“ฉัน…หายใจไม่ออก…”

“ก็ไม่ต้องหายใจ…หรือจะให้ฉันช่วย…เลือกเอา…”คำพูดนั้น
ชิดใบหน้าของเธอเหลือเกิน…ทำเอาคนที่โดนอัดเข้าผนังโซฟา
หมดหนทางไป หลับตาปี๋…แล้วเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากเขา
หญิงสาวลืมตาก็พบตาคมวาวที่จ้องเธออยู่…

“งั้นฉันจะขอหลับแบบนี้สักงีบ…เธอคงไม่ขัดข้อง…”

พูดจบเขาก็หลับตาลง…แล้วเสียงของเขาก็เงียบตาม
ต่อจากนั้นเพียงไม่นาน เสียงหายใจของเขาก็ค่อยๆสม่ำเสมอ

บิลกีสไม่กล้าแม้แต่จะขยับกายเพียงนิด เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการ
รบกวนการหลับพักผ่อนของเขา เธอจึงยอมให้เขากอดอยู่ทั้งๆแบบนั้น
ก่อนจะค่อยๆหลับไปพร้อมๆกัน…

“ตึ้ง!”เสียงตึ้งทำเอาหญิงสาวที่พริ้มหลับไปได้สักพักถึงกับสะดุ้งตกใจ
ตื่นจากความฝันอันแสนหวานก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่ามีอะไรบางอย่างนุ่มๆ
และสามารถขยับได้รองรับเธออยู่ด้านล่าง หญิงสาวลืมตาก็พบว่า
ชายหนุ่มผู้เป็นสามีของเธอกำลังลืมตาด้วยสีหน้างัวเงีย
ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่าตัวเขานั้นกลิ้งตกจากโซฟา
มายังพื้นด้านล่าง ซ้ำยังลากอีกคนให้กลิ้งตกลงมาด้วย

“โชคดีนะที่เธอได้เป็นฝ่ายเกทับฉัน ถ้าฉันเกทับเธอล่ะก็…เธอคงแบนแน่ๆ…”
น้ำเสียงหยอกๆนั้นทำเอาหญิงสาวที่เพิ่งตกใจได้สติตื่นแบบเต็มๆตา
ก่อนจะรีบดีดตัว ทว่าลำแขนทั้งสองของเขาไวกว่าก็เลยคว้าเธอเอามากอดไว้ได้อีกครั้ง…

“ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย…ขออีกนิดนะ…”เสียงนั้นเหมือนจะต่อรอง
แต่หญิงสาวไม่ยอม จะให้ลงมานอนบนพื้นพรมแบบนี้เนี่ยน่ะนะ คงไม่ไหวมั้ง…

หญิงสาวจึงส่ายหน้า เพราะในห้องที่มีเบาะนุ่มๆก็มี
ทำไมเขาถึงได้ไม่ยอมลุกไปนะ มันก็ไม่ได้ไกลจากตรงนี้สักนิดเลย

“ก็ฉันขี้เกียจลุกนี่…แค่สักงีบ นะแม่ราชินีของฉัน…”

เขาชอบเรียกเธอแบบนี้จริงๆ ทำไมนะ…

ซ้ำยังหาเรื่องกอดเธอเอาไว้ข้างๆกายเสียแน่นไม่ยอมปล่อยอีก…
เธอไม่ใช่ผ้าห่มที่มีเอาไว้คลายหนาวหรอกนะ…

แต่ช่างเถอะ…ในเมื่อเธอก็มีศักดิ์เป็นภรรยาของเขาแล้ว
ซ้ำยังรักเขาด้วย…แล้วจะปฏิเสธเพื่อ…

ใช่…เพื่ออะไร…

“รักฉันนานๆ ห่วงใยฉันไปตลอดกาลได้มั้ย…
ฉันสัญญาว่าวันนึง…ฉันจะรักเธอ…”

เขาพูดแล้วเขาก็หลับตาลงไม่มีการอธิบายใดๆต่อจากนั้นอีก

…สร้างความฉงนสงสัยให้กับคนฟัง
เพราะเขาบอกว่า

…เขาสัญญาว่า…วันนึง…เขาจะรักเธอ…

ซึ่งแน่นอนว่า…ไม่ใช่วันนี้…แต่เป็นวันนึง…ใช่…วันนึง…

เธอควรจะหวังได้มั้ยนะว่าวันนึงที่ว่านั้นจะมาถึงจริงๆ…

แต่ช่างเถอะ…ตอนนี้แค่มีเขาอยู่ข้างๆก็ดีเกินพอแล้ว…



บิลกีสมองใบหน้าชายผู้ซึ่งเป็นรักหนึ่งรักเดียวและรักอันแสนยาวนานของเธอนิ่งนาน
ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วไล่นิ้วปัดเส้นผมของเขาเบาๆด้วยแววตารักใคร่…
ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆว่า…

“ฉันจะรอวันนึงวันนั้นที่คุณว่านะคะ…”

แล้วค่อยๆปิดตาลงเข้าสู่นิทราตามหลังเขาไปติดๆ…




...โปรดติดตามตอนต่อไป...


เป็นบทนำที่ยาวถึง 19 หน้า หวังว่านักอ่านจะไม่ตาลายไปซะก่อนนะคะ
เรื่องนี้นำมาให้อ่านแบบชิมเท่านั้นนะคะ เพราะตอนต่อไปยังไม่ได้เขียนเลย
มีเท่าไหร่เอามาเสริฟจนหมด ไม่มีกั๊กเลยนะจ๊ะ...
หวังแค่อยากนำมาเช็คเรตติ้งดูว่านักอ่านให้ความสนใจแค่ไหน...


ซึ่งสำหรับทุกเรื่องที่ "เต่าโย" แต่งขึ้นนั้น...
เต่าโยยอมรับว่า ตัวเองเดินเรื่องช้า กว่าจะได้สักก้าวแสนจะเชื่องช้า เฮะๆ
เลยเรียกแทนตัวเองว่า "เต่า" ^^

และรู้ดีว่านักอ่านที่ติดตามอ่านผลงานของ "เต่าโย"ย่อมรับรู้ในความเชื่องช้าอันนี้ได้ดี
อย่างสุดซึ้ง...เฮะๆ...


เสร็จจากตรงนี้ก็จะจรลีไปหาหมอดานีสต่อค่ะ...ส่วนหมอรัง...ใกล้แล้วค่ะใกล้แล้ว
ตอนนี้โยยังคิดหาประโยคสวยๆให้หมอรังบอกรักเมียตัวเองอีกครั้งไม่ได้เลย...ฮ่าๆๆๆ


ปล.ดูจากตอนที่เอาเรื่องนี้มาโปรยแล้ว นักอ่านสงสัยกับคำตอบของชื่อเรื่อง
ซึ่งแน่นอนค่ะ...คำตอบของชื่อเรื่องนั้นอยู่ในเรื่องนี้หมดแล้ว...
บางคนรู้คำตอบของชื่อเรื่องแล้ว แต่อาจจะไม่รู้ว่า ทำไมเต่าโย
ต้องให้เรื่องนี้มีชื่อว่าอย่างนี้ก็ได้นะคะ...คณิตเป็นวิชาทักษะ...
โยสังเกตเห็นมาว่า...
คนที่เก่งในการแก้ไขโจทย์คณิต ส่วนใหญ่แล้วจะแก้ไขโจทย์ปัญหาในชีวิตได้เก่งไม่แพ้กัน...
ไม่อยากบอกเลยว่า คณิตเป็นวิชาพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของเราโดยที่บางครั้ง
เราไม่ทันได้สังเกตหรือไม่รู้ตัว...


...รักษาสุขภาพนะคะ...


สุขสันต์ปีใหม่กันทุกคนนะคะ

"yoraya"








yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2557, 11:56:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2557, 11:56:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 2550





<< คำโปรย   บทที่ 1 ความเคยชิน >>
แว่นใส 3 ม.ค. 2557, 12:52:26 น.
เนื้อเรื่องน่าติดตามว่าคู่นี้จะทำไงต่อไป จะอยู่ด้วยกันตลอดหรือต้องจากกันไปอีกครั้งนะ


saralun 3 ม.ค. 2557, 13:41:01 น.
เป็นกำลังใจให้ค่า...รอตอนต่อไปอยู่นะค้า ^^


supayalak 3 ม.ค. 2557, 13:50:19 น.
ตรึงงงง บอกได้คำเดียวว่ามึนตึบ มันต้องรักมากเลยนะถึงจะทำได้ขนาดนี้ ดูๆ พระเอกจะเห็นแก่ตัวมากไปไหมอ่ะ ไม่ชอบนะที่จะเอาความรักของใครคนนึงมาเป็นเครื่องต่อรอง


ล่องลอย 3 ม.ค. 2557, 17:59:09 น.
เรียกน้ำตามากค่ะ เรื่องของคุณโยแต่ละเรื่องบีบหัวใจจังค่ะ


ตุ๊งแช่ 3 ม.ค. 2557, 21:08:47 น.
กำลังสงสัย ระหว่างบิลกีส กับน้ำค้าง ใครรันทดกว่ากัน

แอบเปรียบเทียบแต่ยังมีหลายจุดให้ฉงน รอติดตามค่ะ

เอาหมอรังก่อน มะได้รึ


คิมหันตุ์ 4 ม.ค. 2557, 00:49:27 น.
โอ่ะแม่เจ้า เป็นบทนำที่ยาวม๊ากกกกกกกกกก แต่ก็ชอบนะฮะ

อ่านไปคิดถึงหมอดานีสกับน้ำค้างไปด้วยจริงๆ


sai 4 ม.ค. 2557, 07:54:35 น.
รันทดอีกแล้วววว แต่ก็อ่านค่ะ ยาวได้ใจเลย



Pat 5 ม.ค. 2557, 11:15:55 น.
ยาวมากกกกกกกก. ดราม่าอีกล่ะเรื่องนี้ สงสารไปเสียทุกตัวละครเลยคุณโย


บัวขาว 5 ม.ค. 2557, 14:23:27 น.
แค่เริ่มต้นก็บีบคั้นหัวใจแระ ..


พัชรี 6 ก.ย. 2557, 04:53:57 น.
ชอบนะเรื่องนี้
รออ่านนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account