เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 1 ความเคยชิน



บัลกิสตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม
ดวงตาที่เพิ่งรับแสงอรุณแรกกะพริบถี่ในขณะที่พยายามใช้ความคิด
เพียงพริบตา สายตาคู่นั้นพลันหันไปยังพื้นที่ข้างกาย
ซึ่งไม่ปรากฏร่างของคนที่เธอคิดว่าควรจะเห็นเขานอนอยู่ตรงนั้น

ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นพร้อมกับหันไปรอบๆห้องก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใด
หญิงสาวแอบถอนใจแล้วเดินไปยังประตูห้อง
สำรวจพื้นที่รอบนอกก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดอีกเช่นกัน

เธอจึงเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องคนป่วย มือบางค่อยๆบิดประตูห้อง
เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังเป็นการรบกวนคนป่วย
แล้วภาพของชายที่เธอแอบคิดว่าจะเจอเขาในห้องก็ไม่ปรากฏดังที่คาดหวังไว้
เธอเห็นเพียงภาพของชายชราที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง

บัลกีสไม่ลังเลที่จะเปิดประตูอีกบานที่จะนำเธอไปสู่ห้องแห่งความหวังสุดท้าย
ครั้นเมื่อเปิดเข้าไปก็พบเจอเพียงน้องสาวของเขาที่ยังนอนกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น
มันเป็นภาพที่น่าเอ็นดู

หญิงสาวผู้นี้ดูช่างไร้เดียงสาแม้กระทั่งยามนอนหลับ

บัลกีสจึงเดินไปหยิบรีโมทแอร์เพื่อปิดมันก่อนจะเปิดหน้าต่างห้องแต่มิได้เปิดม่านออก
นั่นเพราะต้องการให้น้องสาวของเจ้าของสถานที่แห่งนี้ได้รับอากาศภายนอกในยามเช้า
และให้แสงได้ผ่านเข้ามาในห้องนี้เพื่อให้อากาศถ่ายเท
แต่ก็ไม่ส่องแสงรบกวนคนที่กำลังหลับสบายอยู่…

หลังจากนั้นบัลกีสก็ตัดสินใจเดินกลับไปยังห้องนอนของตน
เดินไปจัดการกับธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ก่อนจะพบกระดาษแผ่นน้อย
ที่วางอยู่บนโต๊ะแป้งกับข้อความสั้นๆว่า…


‘ฝากพ่อกับน้องสาวด้วยนะบัลกีส…อีกสองวันเจอกัน…’

บัลกีสอ่านข้อความนั้นก่อนจะเลื่อนสายตาจับตรงอักษรบรรทัดสุดท้าย

ที่เขียนไว้ว่า

‘ขุนพล’

เสียงผ่อนลมหายใจดังขึ้นก่อนจะทรุดกายลงบนเก้าอี้
มองใบหน้าตัวเองที่ยังเปียกชุ่มไปด้วยละอองน้ำผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า
พร้อมกับตั้งคำถามมากมาย คำถามที่เธอเองก็ไม่รู้คำตอบ…
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาคำตอบนั้นให้ตัวเองได้อย่างไร…
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีเวลามานั่งทบทวนคำถามต่างๆในหัวนัก
เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังอยู่นอกห้อง…

หัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวต้องพาร่างเดินออกไปยังภายนอกเพื่อให้แน่ใจว่า
นั่นคือเสียงของอะไร และก็ได้พบกับ
เจ้าของเสียงที่ถามเธอด้วยแววตาไร้เดียงสาว่า

“พี่ไนค์อยู่ไหนคะ…”บัลกีสยิ้มให้กับดวงหน้าใสซื่อนั้นแล้วเดินเข้าไปหา
พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูว่า

“ออกไปทำงานค่ะ…”

“เป็นอย่างนี้ตลอดเลย…แล้วไอซ์ก็ต้องรอพี่ไนค์กลับมา…
ว่าแต่ครั้งนี้ไอซ์ต้องรอกี่วันคะ…”

บัลกีสกุมมือนุ่มนิ่มราวกับจะปลอบแล้วตอบคำถามนั้นอย่างตรงไปตรงมา
เพราะจากคำพูดเมื่อครู่นั้นทำให้เธอเข้าใจได้ว่า
คนตรงหน้าเธอนั้นเคยชินกับการหายตัวไปของพี่ชายในลักษณะนี้แล้วนั่นเอง

“สองวันค่ะ…”เมื่อได้รับคำตอบคนถามก็เปิดรอยยิ้มกว้าง…

“แค่สองวันเองเหรอคะ…”
คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นรอยยิ้มราวกับดีใจของหญิงสาวตรงหน้า
แต่เพราะไม่อยากเซ้าซี้เด็กเพิ่งตื่นนัก จึงตัดบทว่า

“ค่ะ…แค่สองวัน…”บัลกีสพูดไปในขณะที่ใจของเธอไม่ได้คิดเช่นนั้น

สำหรับเธอแล้ว มันไม่ใช่แค่สองวัน แต่เป็นตั้งสองวัน…เพราะนั่นเท่ากับเขา
ได้ปล่อยให้เธอติดอยู่ที่นี่กับบุคคลที่เธอเพิ่งได้เจอไม่ถึง 24 ชั่วโมง
ซ้ำยังไม่รู้เลยว่าจะหาวิธีรับมือกับบุคคลดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง
ในระหว่างสองวันที่เขาไม่อยู่

…ทำไมเขาถึงทำกับเธอได้ลงคอแบบนี้นะ…ทั้งๆที่ดูเหมือนเขาใจดี
หรือว่าเธอมองเขาในแง่ดีเกินไป

…เพราะความรักแน่ๆ ใช่…ต้องเป็นเพราะความรัก
ถึงทำให้เธอพยายามมองเขาในแง่ดี ในแง่ที่สวยงามเช่นนี้…

และดูเหมือนมันจะโน้มนำให้เธอพยายามหาข้อแก้ตัวให้เขาได้ตลอด…
แม่้ในยามนี้…เธอก็พยายามเหลือเกินที่จะหาข้อแก้ตัวเพื่อที่จะไม่คิดกับเขาในแง่ร้าย

ใช่…มันต้องมีสักข้อสิที่ทำให้เขามีเหตุผลมากพอที่จะทิ้งให้่เธอต้องตกอยู่
ในสถานการณ์เช่นนี้ถึงสองวัน…

และเขาคงมีเหตุผลมากพอที่จะไม่บอกอะไรกับเธอมากไปกว่าข้อความสั้นๆนั่น
ข้้อความที่ไม่ได้บอกเลยว่าเขากำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนและกับใคร

…เขายังไม่มีเบอร์โทรของเธอ พอๆกับที่เธอก็ยังไม่ทันได้ขอเบอร์โทรของเขา
แล้วเราจะติดต่อกันได้อย่างไร…

บิลกีสเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองได้แต่งงานไปกับบุคคลที่เธอเองก็ยังไม่รู้จักเขาดีพอ
หรืออาจจะแทบไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำไป

เพราะนอกจากชื่อและนามสกุลของเขาแล้ว
เธอเชื่อว่าเรื่องอื่นๆที่เธอได้รับรู้เกี่ยวกับเขาผ่านเปลือกของเขาที่ได้สัมผัสบ้าง
ไม่ได้สัมผัสบ้างในช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งจะว่าไปแล้วในตอนนั้น
เธอกับเขาก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ

กับช่วงหลังๆที่เธอรับรู้ข้อมูลของเขาที่ถูกรายงานผ่านทางสื่อต่างๆ
มันอาจจะไม่ใช่ความจริงและอาจจะไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขาเลยก็ได้…

และเธอก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า…การตัดสินใจแต่งงานกับเขาคือความคิดที่ถูกต้อง

และเหมือนว่าเธอจะตกอยู่กับความคิดของตัวเองนานเกินไป เพราะมือที่เธอกุมอยู่
ในขณะนี้เริ่มกระตุกพร้อมกับเอียงศีรษะมองหน้าเธอด้วยแววตาใสซื่ออย่างไม่เข้าใจ

“พี่สะใภ้ไม่สบายรึเปล่าคะ…ทำไมหน้าซืดจัง…”บิลกีสมองใบหน้าคนถาม
ก่อนจะพยายามยิ้มออกมาให้เป็นธรรมชาติที่สุด
แล้วจึงจูงมือสาวสวยตรงหน้าไปยังห้องนอน

“น้องไอซ์ล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะคะ แล้วในระหว่างนั้นพี่จะเข้าครัว
ทำอาหารเช้้าอร่อยๆให้กิน โอเคมั้ยคะ…”

“โอเคค่ะ”คนฟังตอบเสียงใสพร้อมพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินไปยังห้องน้ำ
แต่ก็ยังไม่วายหันมาถามคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าวิตกกังวลว่า

“พี่สะใภ้แน่ใจนะคะว่าสบายดี…”

“พี่สบายดีค่ะ…”หญิงสาวยกกำปั้นชูขึ้นเพื่อยืนยันอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเดี๋ยวไอซ์จะตามไปช่วยอีกแรงนะคะ…”

“ค่ะ…”บิลกีสระบายยิ้มออกมาที่อย่างน้อย สาวสวยตรงหน้าก็มีนิสัยน่ารัก
ไม่ได้เอาแต่ใจจนทำให้เธอต้องปวดหัวกว่าที่คาดคิดเอาไว้…

“พี่ไนค์บอกว่า…หากตื่นมาไม่เจอพี่ไนค์ ไอซ์ต้องเป็นเด็กดี
ไม่ทำให้พี่สะใภ้ต้องเหนื่อย มีอะไรที่พอช่วยได้ต้องอาสาช่วยโดยไม่เกี่ยงงอน…”




เสียงใสๆพูดไปก็นั่งปอกกระเทียมไปในขณะที่บิลกีสกำลังปรุงข้าวต้มปลาอยู่หน้าเตา

“ต้องปอกกี่กลีบคะถึงจะพอ…”เ
สียงใสถามพร้อมกับนับจำนวนกระเทียมที่ปอกแล้วในจานไปด้วย…

“ห้ากลีบก็พอแล้วค่ะ…”

“งั้นเหลืออีกกลีบเดียวก็จะเสร็จแล้ว…”เสียงนั้นดูเหมือนจะใส่ความตั้งใจเข้าไปด้วย
ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรๆเกี่ยวกับขุนพลไปเรื่อยเปื่อยต้องหันกลับมามอง
แล้วอดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้า…

อย่างน้อย…นี่ก็ยังเป็นสิ่งดีๆ เป็นแง่ดีๆกับการดูแลเด็กกับคนป่วยที่ชราแล้ว
ในสถานที่แห่งนี้ที่ไม่ได้กว้างมากนักแต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยมากพอต่อความจำเป็น

แม้ความรักของเธอจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการหรือไม่…แต่เมื่อได้รักใครแล้ว
เธอก็พร้อมที่จะทำเพื่อคนที่รักได้อยู่แล้วล่ะ…จะเสียใจไปทำไม
ในเมื่อเธอไม่ได้สูญเสียสิ่งใดไปเลย…แม้แต่ความรักในหัวใจ…

เขาไม่ได้พรากสิ่งใดไปจากเธอเลย…นอกจากจะหามาเพิ่มให้…

เธอไม่เคยมีหรือรู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’ มานานแล้ว…
เขาจะว่าอะไรหรือไม่เธอไม่รู้หากเธอจะขอทึกทักไปว่า นี่คือ ‘ครอบครัวของฉัน’

และเธอจะพยายามดูแลรักษาครอบครัวของเธอด้วยความรักที่มี…


“เสร็จแล้วค่ะ…”บิลกีสกล่าวเมื่อวางสำรับเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว…

“น่าทานจังเลยค่ะ…พี่สะใภ้เก่งจังเลย…”เสียงใสเอ่ยชมไม่ขาดปาก
ยิ่งเมื่อได้ลงมือทานข้าวต้มก็ยิ่งชื่นชมคนทำยกใหญ่ แถมยังออกปากว่า

“ไอซ์ไม่เคยกินข้าวต้มที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ…แม่ไม่เคยมีเวลาทำให้ไอซ์กิน
ส่วนแม่บ้านก็ทำได้ไม่อร่อยแบบนี้…ไอซ์อยากรู้ว่า…พี่สะใภ้ชื่ออะไรคะ…
แล้วไอซ์จะขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยได้มั้ยคะ…”บิลกีสฟังไปก็ยิ้มไป
ก่อนจะแนะนำตัวเองอีกครั้งว่า

“พี่ชื่อบิลกีสค่ะ…”

“บิล…กีส…เรียกยากจังเลยค่ะ…ไอซ์ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย…”
บิลกีสยิ้มในขณะที่มือก็ค่อยๆรวบช้อนเมื่อข้าวต้มในชามหมดเกลี้ยง

“มันเป็นชื่อของราชินีคนนึงในประวัติศาสตร์ค่ะ…”

“โอ้โห…ชื่อของราชินีเลยเหรอคะ…น่าตื่นเต้นจัง…ว่าแต่พี่เอ่อ…
งั้นไอซ์ของเรียกพี่สะใภ้ว่าพี่กีสได้มั้ยคะ…”บิลกีสพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วว่าแต่ไอซ์จะขอเป็นลูกศิษย์พี่กีสได้มั้ยคะ…
คือ…ไอซ์ไม่รู้ว่าทำไมพี่ไนค์ถึงไม่ยอมให้ไอซ์ไปโรงเรียน
พี่ไนค์บอกไอซ์แค่ว่า ไอซ์ตัวโตและก็สวยเกินไป…

ซึ่งคงจะจริงค่ะ…เพราะว่าไอซ์ตัวโตและก็ดูไม่เหมือนเด็กเลย…
แต่ไอซ์ก็อยากเรียนหนังสือนะคะ…
ตอนที่พี่มีนามาอยู่ด้วย ตอนนั้นพี่มีนาสอนไอซ์วาดภาพ
สอนไอซ์เต้นรำและก็สอนโยคะให้ด้วยล่ะค่ะ…

แต่พี่มีนาไม่เคยเข้าครัวทำกับข้าวให้ไอซ์กินเหมือนพี่กีส…
เรากินข้าวผัดใส่กล่องด้วยกัน บางทีพี่มีนาก็หิ้วอาหารที่ซื้อมาแกะใส่จาน
แล้วเราก็กินด้วยกัน…มันก็อร่อยดี แต่ว่าอร่อยสู้ฝีมือของพี่กีสไม่ได้…
พี่กีสช่วยสอนไอซ์ให้ทำกับข้าวอร่อยๆแบบนี้ให้หน่อยนะคะ
ไอซ์อยากทำให้พี่ไนค์ทาน…พี่ไนค์ต้องมีความสุขและต้องยิ้มกว้างๆแน่ๆค่ะ…”

คนฟังถึงกับอึ้งกับถ้อยคำที่คนตรงหน้ากล่าวออกมา มันเป็นบทสนทนาที่ยาวที่สุด
ที่เธอได้ฟังจากหญิงสาวผู้นี้ และดูเหมือนคนตรงหน้าจะมีความตั้งใจสูง
สูงจนเธอมิอาจปฏิเสธได้…

“ได้สิคะ…แล้วพี่จะสอนให้นะคะ…”

“เย้…ในที่สุด ไอซ์ก็จะได้หัดทำกับข้้าวอร่อยๆให้พี่ไนค์ทานแล้ว…”

ดุจมณีวิ่งเข้ามากอดบิลกีสแน่นด้วยท่าทางดีอกดีใจทำเอาคนโดนกอดอดรู้สึกดี
และมีความสุขไปด้วยไม่ได้…แต่เธอไม่ลืมว่าวันนี้เธอยังมีภาระต้องป้อนอาหาร
ให้กับคนป่วยด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนคนป่วยทั่วๆไป
เพราะเธอต้องให้อาหารคนป่วยทางสาย…และต้องทำความสะอาดร่างกายคนป่วย
ดูแลคนป่วยอย่างที่ลูกชายของคนป่วยได้สอนเธอเอาไว้เมื่อคืน…

คิดมาถึงตรงนี้…บิลกีสก็แอบลอบถอนใจยาว…วันนี้ยังเหลืออีกยาวไกล…
เธอจะมามัวท้อไปทำไม…ต้องลุกขึ้นทำมันให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถสิ

อย่าลืมสิว่า…เธอมาอยู่ที่นี่ทำไม…

“งั้นเดี๋ยวเรามาเริ่มต้นบทเรียนด้วยการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร
กับล้างจานกันก่อนเลยดีมั้ยคะ…แล้วมื้อเที่ยงนี้…เราจะลุยด้วยกัน…โอเคมั้ย…”
บิลกีสหันไปขอเสียงจากลูกศิษย์หมาดๆด้วยรอยยิ้มกว้าง

…ใช่แล้ว…เธอต้องยิ้มกว้างๆเข้าไว้…




แล้วการพยาบาลคนป่วยก็เสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
หากจะมีก็คงจะเป็นปัญหาที่เกิดจากแววตาที่ไม่ค่อยชอบใจพยาบาลคนใหม่
ที่ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรนัก…

บิลกีสพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่จ้องตาคนป่วย…
เธอไม่แน่ใจเลยว่า…หากตอนนี้คนป่วยสามารถขยับมือได้
เขาจะไม่ใช้มันเพื่อหักคอเธอ…

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องไม่ชอบใจเธอ
ทั้งๆที่เราก็เพิ่งจะได้รู้จักกันแท้ๆ หรือเป็นเพราะว่า
คนป่วยไม่พอใจที่ได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้…ใช่แล้ว…ต้องเกิดจากเหตุผลนี้แน่ๆเลย…

แต่ไม่เป็นไร…เธอจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

…สักวัน…คนตรงหน้าอาจจะใจอ่อนลงได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ
…คิดซะว่า…เราลาออกจากการเป็นผู้ช่วยกุ๊กในร้านอาหาร
มาเป็นพยาบาลดูแลเด็กและคนชราก็แล้วกัน หน้าที่มันคงดูไม่แตกต่างกันมากนักหรอก
หากมองในแง่ของงานบริการ…

ซึ่งการให้บริการลูกค้ามากหน้าหลายตาและหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
มันยากกว่าการให้บริการเด็กและคนชราที่ป่วยเป็นอัมพาตแค่สองคนเป็นไหนๆ
ทำไมเธอจะรับมือไม่ไหวเล่าบิลกีส…เธอต้องเชื่อ ต้องศรัทธาในตัวเองบ้าง…
ว่าไม่มีอะไรที่เธอจะรับมือมันไม่ไหว…ชีวิตที่ผ่านมาก็การันตีได้แล้วมิใช่หรือว่า
เธอรับมือกับปัญหามากมายที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไร…



เมื่อเสร็จภารกิจจากคนป่วยแล้ว บิลกีสก็เริ่มลงมือทำความสะอาดคอนโดในทุกซอกทุกมุม
หลังจากที่ปล่อยให้หญิงสาวอีกคนนั่งดูการ์ตูนและฝึกโยคะในห้อง…

กว่าจะเก็บกวาดทุกอย่างในคอนโดให้เข้าที่ได้ ก็ใช้เวลาไปจนเข็มสั้นของนาฬิกา
ชี้อยู่ที่เลข11 ส่วนเข็มยาวชี้อยู่ตรงเลข 12 ซึ่งมันจวนจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว

บิลกีสจึงเดินไปยังห้องของดุจมณีแล้วชักชวนลูกศิษย์ให้ออกมาเริ่มการฝึกภาคสนาม
ในการก้าวไปสู่บันไดขั้นแรกของการเป็นผบ.ทบ (ผู้บัญชาการที่บ้าน)


การเรียนรู้เป็นไปอย่างไม่ค่อยราบเรียบนัก เนื่องจากลูกศิษย์ดูจะหยิบจับอะไร
ไม่ค่อยเป็นนัก เพราะแค่ก่อนหน้านี้ที่บิลกีสให้ลูกศิษย์ปอกกระเทียมก็ใช้เวลา
ไปเกือบสามสิบนาที จนเธอต้องสอนหลักสูตรเร่งรัดในการปอกกระเทียบให้

เพียงไม่นานลูกศิษย์ของเธอก็เริ่มเจียวกระเทียมเป็น แล้วก็สามารถรู้กรรมวิธี
ในการหั่นผักกาด หั่นเนื้อสัตว์ ปอกกุ้งเป็น ก่อนจะเรียนรู้วิธีทำแกงจืดได้ในที่สุด

แล้วในที่สุด มื้อเที่ยงที่ควรจะเสร็จภายในไม่กี่นาทีก็ต้องใช้เวลานานร่วมสองชั่วโมง
ซึ่งเป็นเวลาที่ทำลายสถิติการทำกับข้าวของบิลกีสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพราะนอกจากจะใช้เวลาไปอย่างมากมายแล้ว ผลลัพธ์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็มีเพียง
ข้าวสวยกับแกงจืดเพียงแค่นี้เอง…เพราะลูกศิษย์ของเธอบ่นว่าหิวจนทนไม่ไหวแล้ว

บทเรียนของมื้อเที่ยงจึงต้องจบลงที่แกงจืด
และพอบิลกีสจะขอเวลาเพื่อเจียวไข่มาเสริมทัพ
ทว่าดุจมณีกลับส่ายหน้าพร้อมกับบอกด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรงว่า

“แค่นี้ก็พอแล้วค่ะพี่กีส…ไอซ์กินแค่นี้ได้ค่ะ…”
แล้วทั้งสองก็ลงมือทานมื้อเที่ยงด้วยกัน และก็เป็นอีกมื้อที่ดุจมณีกินจนเกลี้ยงหม้อ
พร้อมกับตบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า…

“ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อเราสองคนร่วมมือกัน มันจะเป็นแกงจืดที่อร่อยที่สุด
ที่ไอซ์เคยกินมาได้ขนาดนี้…ถ้าพี่ไนค์รู้คงดีใจ…งั้นไอซ์โทรไปโม้ให้พี่ไนค์ฟังดีกว่า…
ว่าไอซ์ทำแกงจืดเป็นแล้ว…แถมอร่อยด้วย…”คนพูดยิ้มหวาน
ด้วยแววตาสุกใสทำเอาคนฟังพลอยชื่นใจไปด้วยไม่ได้…

แม้วันนี้คนตรงหน้าจะทำให้เธอหมดเรี่ยวหมดแรงไปไม่น้อย
แต่อย่างน้อยผลสรุปก็แสนจะคุ้มค่า

“เดี๋ยวเราไปช่วยกันล้างจานดีกว่าค่ะ…”หญิงสาวอาสา

“ไม่เป็นไรค่ะ…มื้อนี้พี่ล้างเองได้ เห็นน้องไอซ์เหนื่อยๆ ไปพักก่อนดีกว่าค่ะ…”
คนฟังยิ้มดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลยส่ายศีรษะ
พร้อมกับแย่งจานชามในมือของบิลกีสมาไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปวางไว้
ตรงที่ล้างจานพร้อมกับกล่าวว่า

“ไม่ได้หรอกค่ะ…กินด้วยกันก็ต้องช่วยกันล้าง…พี่ไนค์บอกว่า
ถ้าอยากเป็นเด็กดีของพี่ไนค์ไอซ์ก็ต้องช่วยพี่กีสให้ไม่เหนื่อย…
ถ้าเราช่วยกัน คนนึงก็จะไม่เหนื่อยอยู่คนเดียว…เราจะเหนื่อยเท่าๆกันค่ะ…

ดังนั้น…พี่กีสเก็บกวาดบนโต๊ะ เดี๋ยวไอซ์ล้างจานเอง…ไม่กี่ใบสบายหายห่วงค่ะ”

ร่างงามเดินผ่านหน้าบิลกีสไปด้วยรอยยิ้มเริงร่า ทำเอาคนฟังถึงกับเป็นปลื้ม
ปลื้มทั้งคนสั่ง ปลื้มทั้งคนรับคำสั่งอย่างซื่อสัตย์จริงใจ…

…อย่างน้อย…ตอนนี้เธอก็หาข้อแก้ตัวถึงสองข้อให้กับเขาได้จนสำเร็จแล้ว…
เขาจะรักเธอหรือไม่เธอไม่สำคัญหรอก เพราะสิ่งที่เขาฝากกับน้องสาวของเขาไว้
มันทำให้เธอรักเขามากขึ้นกว่าเดิม

…เธออาจจะเป็นผู้หญิงหน้าโง่ก็ได้ที่รักคนๆนึง
เพราะด้วยกับการที่เขาทำดีเล็กๆน้อยๆกับเธอ…โดยการกระทำดังกล่าวของเขานั้น
เขาไม่ได้ทำเพราะเหตุเกิดมาจากความรักในตัวเธอ แต่ทำเพราะมันคือความดี…


เขาคงไม่รู้และคงไม่จำว่าเหตุใด ทำไมเธอถึงรักเขา…
และเธอก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พูดมันออกไป…

เหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องจดจำผู้ชายคนนี้มาตลอดจนถึงบัดนี้นั้น…
มันอาจเกิดจากความมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆของเขาที่มีให้กับเธอ…

สำหรับเขามันอาจไม่ยิ่งใหญ่พอให้เขาได้จดจำ แต่สำหรับเธอ
เหตุการณ์ครั้งนั้นมันยิ่งใหญ่เสมอมา…และยังคงตราประทับอยู่ในหัวใจเธอ…


ตอนนั้น เธอเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่
ในสถานที่ใหม่ ตอนนั้นมีรุ่นพี่คนนึงในมหาวิทยาลัยแกล้งเธอด้วยการให้เธอ
ออกมาร้องเพลงและก็เต้นหน้าห้องประชุมที่มีรุ่นน้องร่วมคณะเป็นร้อย
เธออายและไม่กล้า แต่เพราะโดนข่มขู่สารพัดจากบรรดารุ่นพี่
เลยทำให้เธอร้องไห้แทนการร้องเพลง สร้างเสียงหัวเราะให้กับหลายๆคนในที่นั้น

แล้วเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้พร้อมกับประกาศบอกไปว่า

เธอร้องเพลงไม่เป็น!!!

ตอนแรกเธอไม่ได้บอกไปว่าทำไมถึงร้องเพลงไม่เป็น
เนื่องจากชีวิตเธอไม่เคยร้องเพลง มีก็เพียงแต่ท่องคัมภีร์แทนการร้องเพลงมาตลอด
พ่อกับแม่สอนเธอมาเช่นนั้น และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อกับแม่
บอกให้เธอทำเป็นกิจวัตรก่อนที่ท่านทั้งสองจะลาจากโลกลาจากเธอไป

เธอถึงไม่เคยขับร้องบทเพลงใดนอกจากจะท่องจำคัมภีร์อัลกุรอ่านมาตลอด
แทนการร้องเพลง…

“แล้วน้องพอจะทำอะไรแทนการร้องไห้ได้บ้าง ไหนบอกพวกพี่มาซิ
ให้ร้องก็ร้องเพลงไม่ได้ ให้เต้นก็บอกว่าเต้นไม่เป็น
นี่น้องจบมาจากไหนเนี่ย หรือว่าจบมาจากโรงเรียนของเผ่าซาไก…
ที่นั่นเขาไม่ได้สอนน้องให้เต้นระบำบ้างเลยเหรอ…น้องลำหับคนสวย…”

นั่นคือหนึ่งเสียงจากรุ่นพี่คนนึงซึ่งคงมองเธอว่าไม่ต่างจากไปจากพวกเงาะซาไก

และแน่นอนว่าเมื่อสิ้นเสียงนั้น ก็จะมีเสียงหัวเราะตามติดมา

ก็แน่ล่ะสิ เธอน่ะทั้งตัวดำและก็หัวหยิกด้วย ใครๆก็ล้อว่าเธอน่ะเป็นเงาะซาไก
จนพากันเรียกเธอว่า…… 'ลำหับ'

และเมื่อถูกรุกเร้าถึงความสามารถมากขึ้น เธอก็เลยต้องบอกความจริงไปว่า
เธอท่องคัมภีร์ได้…ขอท่องคัมภีร์แทนได้ไหม…

หลายเสียงเงียบกริบและเธอก็เลยต้องท่องคัมภีร์ในโองการที่ได้ขึ้นชื่อว่า
เป็นแม่ของคัมภีร์อัลกุรอ่าน

ขณะที่ท่องไป เธอก็อดน้ำตาไหลไปด้วยไม่ได้
ตอนนั้นเธอไม่ได้ร้องไห้เพราะความอายที่มีต่อผู้คน
แต่เป็นการร้องไห้ที่เกิดจากความละอายต่อพระเจ้าผู้สูงส่ง…เธออายพระเจ้า
ที่ก่อนหน้านี้เธออายและเกรงกลัวผู้อื่น หวาดกลัวต่อคำข่มขู่ของรุ่นพี่
จนร้องไห้ออกมาให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะอย่างน่าสมเพทเอาได้…

และด้วยกับความนัยที่ซ่อนลึกอยู่ในโองการดังกล่าว
ยิ่งท่องออกมาน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว…

และในขณะที่เธอท่องอยู่นั้น ณ ห้องประชุมแห่งนั้นกลับมีแต่เพียงเสียงเงียบกริบ…
เว้นแค่เพียงเสียงเดียวที่แทรกเข้ามาเมื่อเธอท่องมาจนถึงบทสุดท้ายของโองการดังกล่าว…

เขากล่าวคำสั้นๆทว่าเสียงดังทั่วห้องประชุมที่มีคนนับร้อย
มารวมตัวกันด้วยคำรับที่ถูกกล่าวออกมาพร้อมๆกับเธอว่า…

“อามีน (ขออัลลอฮฺทรงรับในสิ่งที่ข้าพเจ้าขอเถิด)...”

เสียงนั้นเป็นเสียงของนักศึกษาชายคนนึงในรุ่นเดียวกันกับเธอ
เขายืนอยู่ท่ามกลางบรรดานักศึกษาที่กำลังนั่งอยู่
เขามองมาที่เธอและปรบมือให้กับเธอก่อนจะมีเสียงปรบมือของนักศึกษาคนอื่นๆ
ทั้งห้องประชุมดังตามติดกันมา…

พลิกสถานการณ์จากเสียงหัวเราะขำขันจากบรรดานักศึกษาก่อนหน้านี้
ให้กลายเป็นเสียงปรบมือลั่นห้องประชุมจนทำให้หญิงสาวรู้สึกดีอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน…

แล้วเขาคนนั้น นักศึกษาผู้ชายคนนั้นก็ได้นั่งลงที่เดิมของเขาเมื่อเสียงปรบมือจบลง…

จากนั้นรุ่นพี่จึงยอมลดละเลิกแกล้งเธอและปล่อยให้เธอกลับไปยังที่นั่งของเธอดังเดิม

ตอนนั้นใจของเธอกลับบันทึกภาพนักศึกษาคนนั้นเอาไว้จนวันนี้
ภาพนั้นไม่เคยจางหายไปจากหัวใจของเธอได้เลย…

และเธอก็ได้รู้ในภายหลังว่าเขานับถือศาสนาอิสลามเหมือนกันกับเธอ
แต่เราเรียนกันคนละสาขา มีบ้างในบางรายวิชาที่เราลงเรียนเหมือนกัน
แต่เธอก็ไม่เคยได้พูดคุยกับเขานักหรอก เธอไม่กล้าและอาย

เขามิได้แค่เป็นประธานคณะที่ใครๆต่างเกรงกลัว แต่เขาเป็นมากกว่านั้น
เมื่อยิ่งรู้ว่าเขาเป็นใคร และเป็นคนยังไงยิ่งทำให้เธอไม่กล้าเข้าใกล้เขา
เกินระยะที่ถูกขีดเอาไว้ในใจ…

เขาคือลูกชายคนดัง คือลูกชายของผู้ทรงอิทธิพล
พ่อของเขาเป็นคนที่ใครๆก็ไม่กล้าต่อกร
ส่วนแม่ของเขาก็เป็นน้องสาวของมหาเศรษฐีที่ใครๆในภาคใต้ต่างรู้จักกันดี

…เขามีทั้งอำนาจและบารมีของพ่อแม่และญาติสนิทมิตรสหายล้อมรอบ
จนเธอไม่สามารถเข้าใกล้รัศมีดังกล่าวเกินระยะที่ถูกจำกัดสิทธิ์เอาไว้
และไม่อาจฝ่ากำแพงเหล่านั้นเข้าไปพบปะเขาหรือร่วมสังคมกับเขาได้…

ทีี่ทำได้ก็คือนั่งอยู่อีกฟากฝั่งของกำแพงนั้น
และเก็บงำหัวใจพร้อมกับความรู้สึกที่มีทั้งหมดเอาไว้อย่างแน่นหนา
แล้วสัมผัสความเย็นชาของเขาอยู่หลังกำแพงนั้น…

ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการเฝ้าติดตามเขาผ่านกำแพงหนานั้น

ไม่เคยท้อแท้กับการแอบช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆให้กับเขา…

…เธอเชื่อมาตลอดว่า…ต่อให้โลกนี้เหลือแค่เธอกับเขา
เขาก็คงไม่มีวันมีเธออยู่ในสายตา

และนั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอมุ่งหวังอย่างแท้จริง
เพราะสิ่งที่เธอปรารถนาและมีความสุขเสมอที่ได้ทำ นั่นคือ การรักเขา
ห่วงใยเขา ช่วยเหลือเขาเมื่อสามารถทำได้…

ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเขาแม้โอกาสที่ผ่านเข้ามามันจะมีน้อยนิด
แต่เธอก็พยายามฉกฉวยโอกาสในการช่วยเหลือเขามาได้โดยตลอด

เขาอาจจะรับรู้หรือไม่รู้ ซึ่งเธอไม่ได้ให้ความสำคัญ
กับการรับรู้นั้นจากเขาเลย…ไม่เลย…

สิ่งที่เธอพร่ำขอต่อพระเจ้ามาตลอดนั่นคือ…ขอให้พระองค์ปกป้องคุ้มครองเขา
ให้เขารอดปลอดภัยด้วยดี…

เพราะสำหรับเธอแล้ว แค่เพียงยังมีเขาให้ได้รัก…แค่ได้รักเขาก็พอแล้ว…
เธออาจจะทำตัวเป็นเงาเฝ้าติดตามตัวเขา
เงาที่เขาไม่เคยใส่ใจที่จะมองมา แต่อย่างน้อยการได้เป็นเงาติดตามเขา
มันก็ทำให้เธออุ่นใจว่า เขายังรอดปลอดภัยดี…




เหตุการณ์ในวันนั้นอาจไม่สำคัญสำหรับใครๆ
หรือไม่ได้อยู่ในความทรงจำของใครในวันนั้นเลยก็ตาม

แต่จากเหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อวันแรกแห่งการรับน้องผ่านไป
เขาคนนั้นได้ทำให้เธอมั่นใจเกี่ยวกับศรัทธามั่นใจในศาสนาที่ตัวเธอเองยึดมั่นปฏิบัติอยู่…
จนทำให้เธอกล้าที่จะแตกต่าง
กล้าที่จะยืนหยัดบนศาสนาอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาผู้คน…

หลังจากวันนั้นเธอเริ่มปฏิวัติตัวเองด้วยการเริ่มแต่งกายแบบอิสลาม
ปฏิบัติตามกฎบัญญัติในอิสลามอย่างเคร่งครัดมากขึ้น
พยายามศึกษาอิสลามอย่างตั้งอกตั้งใจมากขึ้น
ส่งผลให้เธอสามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งบนศาสนาอิสลามได้อย่างไม่สั่นไหว
เข้าใจในอิสลาม ศาสนาที่เธอคิดมาเสมอว่าพ่อกับแม่พยายามยัดเยียดให้

แต่เมื่อได้ทำการศึกษา เธอจึงมั่นใจว่า เธอไม่ได้ศรัทธาเพราะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม แต่เธอศรัทธาในอิสลามด้วยกับหัวใจ
ที่ยอมจำนนแล้วต่อพระเจ้าองค์เดียว…

นับแต่นั้นจวบจนวันนี้ ไม่มีกฏข้อบังคับในศาสนาอิสลามข้อใดเลย
ที่เธอจะปฏิเสธมันได้ลง…เพราะเธอเชื่อและยอมจำนนจนหมดหัวใจแล้วต่อพระเจ้า…

พระองค์คือที่สุดของเธอ…หาใช่สิ่งอื่นใด…


ต้องขอบคุณนักศึกษาชายคนนั้นท่ีทำให้เธอกล้ายืนหยัดมาจนทุกวันนี้
นักศึกษาชายคนนั้น ผู้ที่เมื่อวานนี้ได้กลายเป็นสามีของเธอ…
คนที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่กันกับเขา…
คนที่เธอเคยเป็นเงามาตลอด
วันนี้…เวลานี้…เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเขาแล้ว…

แม้ทุกอย่างท่ีเขาเคยมีก่อนหน้านี้จะมลายหายไปจนหมดสิ้น…
แต่สิ่งเหล่านั้นหาใช่สิ่งที่เธอคาดหวังและต้องการจะได้จากเขาเลย…

เพราะสิ่งที่เธอต้องการจากเขาอย่างแท้จริง…นั่นคือ…การได้ดูแลและช่วยเหลือเขา
ผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้เขามีความสุข…

แล้วเหนือสิ่งอื่นใด เธอต้องการสร้างครอบครัวอิสลาม สร้างประชาชาติที่ดี
และมีคุณธรรมด้วยกันกับเขา…


“ขอให้คุณรู้เอาไว้นะคะคุณไนค์…ว่าต่อให้คุณจะไม่รักฉันเลยก็ตาม…
แต่ฉันก็พร้อมจะเป็นภรรยาของคุณ พร้อมจะมีบุตรให้คุณหากคุณต้องการ…
และพร้อมที่จะอยู่เลี้ยงดูเป็นแม่ให้เขาไปตลอดเท่าที่จะสามารถทำได้…
แม้ถึงตอนนั้น คุณจะยังไม่รักฉัน…ฉันก็มั่นใจหัวใจของฉันว่ามันจะมั่นคงกับคุณแบบนี้…
และมันจะเป็นแบบนี้…ไม่เปลี่ยนแปลง…”

บิลกีสบอกกับตัวเองพร้อมกับมองใบหน้าของตัวเองบนกระจก

…เธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้สวยหากเทียบกับคนอื่นๆอีกหลายๆคน…
แต่เธอก็พอใจกับใบหน้านี้…พอใจกับการสร้างของพระเจ้า
และเธอจะไม่ตัดแปลงมัน…แต่จะขัดมันให้สะอาดอยู่ตลอด…จะดูแลรักษามันอย่างดี
เท่าที่จะมีความสามารถที่จะทำได้…แล้วก็จะปกป้องมันตามที่พระเจ้าบัญชาใช้…

หญิงสาวหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่เธอเก็บได้
ตอนเข้าไปทำความสะอาดห้องทำงานของเจ้าของคอนโด
มันร่วงมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา

ผู้หญิงแสนสวยที่อยู่ในรูปถ่ายนั้นเธอจำได้ดีและรู้จักดีด้วย
และเธอก็เชื่อว่าใครๆก็ย่อมต้องรู้จักผู้หญิงที่สวยหยาดฟ้ามาดินในรูปถ่ายใบนี้ได้ดี

เพราะเธอคนนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักศึกษาแพทย์ แถมยังได้รับตำแหน่งดาวคณะ
ที่ทั้งสวย เก่ง ฉลาดเฉลียว เป็นสาวมั่น โดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย
เป็นหญิงสาวที่กุมหัวใจของชายหนุ่มและเหล่าบรรดานักศึกษาชายท้ังรุ่นพี่รุ่นน้อง
ในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะหัวใจของรุ่นพี่ที่ชื่อ 'ขุนพล'

เธอคนนั้นที่ทุกวันนี้ได้แต่งงานและมีลูกไปแล้ว
เธอคนนั้นที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
นับวันก็ยิ่งสวย ยิ่งเก่งกาจ ยิ่งฉลาด เหมือนดาวทีี่นับวันก็ยิ่งส่องแสงสวยงาม
จับตาจับใจคนมอง…

เธอคนนั้นที่ทุกวันนี้ก็ยังคงกุมหัวใจของสามีหมาดๆของเธออยู่

ใช่แล้วบิลกีส…เธอคนนั้นในรูปถ่ายก็คือ ปองขวัญ ณรันยา จิตแพทย์สาวท่ีเป็นคนดัง
น่าจับตาในวงการแพทย์และวงการธุรกิจการท่องเที่ยวขนาดยักษ์ในปัจจุบัน…

รูปถ่ายของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีแค่ใบเดียวในหนังสือเล่มนั้นของเขา
แต่มันมีทุกๆมุมห้องของห้องทำงานของเขา

ซึ่งแต่ละภาพ ดูก็รู้ว่าคนถ่ายพยายามจัดหามุมต่างๆ
หลากหลายอารมณ์ความรู้สึกของนางแบบ
โดยทีี่คนที่ถูกถ่ายอาจจะไม่เคยรู้ตัวว่าโดนแอบถ่ายเลยด้วยซ้ำ…

มันมีตั้งแต่ภาพถ่ายตั้งแต่สมัยเรียนจนปัจจุบัน เขาเก็บรายละเอียดต่างๆของหญิงสาว
อดีตดาวคณะแพทย์ศาสตร์มาตลอดและอย่างสม่ำเสมอด้วย…

บิลกีสไม่รู้ว่าเธอควรจะเสียใจดีหรือไม่ที่ไม่ปรากฏว่ามีภาพถ่ายของเธอ
ในการครอบครองของเขาแม้แต่ภาพเดียว…

ในห้องทำงานของเขามีแต่ภาพถ่ายของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปหมด…
หันไปทางไหนก็เจอ จากเพดาน ฝาผนัง ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางสิ่งของ…
ทุกที่มีภาพถ่ายของเธอคนนั้น…


ตอนนี้ บิลกีสพร้อมจะสารภาพว่า…เธอไม่ได้อิจฉาหญิงสาวแสนสวยผู้นี้
ในเรื่องรูปลักษณ์และความฉลาดหรืออะไรก็ตามที่เป็นหญิงสาวผู้นี้
ได้้รับมาจากพระเจ้าเลย…มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้เธออิจฉาหญิงสาวผู้นี้

นั่นก็คือ ความรักของเขาที่มีให้ผู้หญิงคนนี้คนเดียวอย่างมั่นคงมาโดยตลอด…

นี่อาจจะเป็นความอยากเดียวที่แอบซ่อนตัวมาโดยตลอดของเธอ
ที่ต้องการจากเขา ซึ่งมันก็ไม่เคยได้มา
และอาจจะไม่มีวันได้รับจากเขา…

…เพิ่งรู้ว่า…เธอหลอกตัวเองว่าไม่ต้องการอะไรจากเขาเลยอยู่ได้ตั้งนาน…
เมื่อวันนี้ความอิจฉาได้บังเกิดขึ้นในหัวใจ…แล้วเธอจะกำจัดความอิจฉา
ที่จับอยู่ในหัวใจของเธอในตอนนี้ได้อย่างไร…เธอควรจะกำจัดมันด้วยวิธีไหนดี…
เพื่อที่ไฟแห่งความอิจฉานี้จะไม่ลุกลามเผาหัวใจเธอให้มอดไหม้…
เธอต้องหาวิธีมาดับไฟนี้ให้ได้…มันต้องมีสักวิธีสิที่จะสามารถดับไฟนี้ลงได้…

“ก๊อกๆ…”เสียงเกาะประตูดังขึ้น บิลกีสแน่ใจได้ทันทีว่าเสียงและจังหวะการเคาะ
แบบนั้นเป็นของใคร…

“พี่กำลังจะออกไปแล้วค่ะ…”พูดจบหญิงสาวก็เก็บรูปถ่ายใบนั้นเอาไว้ใต้หมอน
ซ่อนมันเอาไว้เพื่อบอกกับตัวเองว่า เธอสู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลย…
ก่อนจะรีบเดินออกไปเปิดประตูห้อง…

“พี่กีสคะ…ไอซ์อยากกินไอติมอ่ะ…”เสียงออดอ้อนนั้นทำให้คนทีี่ยืนคาประตูอยู่
ถึงกับไปไม่ถูก เพราะจะให้เธอออกไปซื้อไอศกรีมมาให้หญิงสาวตรงหน้าก็คงจะยาก เ

เนื่องจากตอนนี้ในคอนโดแห่งนี้มีด้วยกันเพียงสามคน
หากเธอออกไปข้างนอกเพียงนิด แล้วอีกสองคนในคอนโดจะเป็นอย่างไร
อะไรจะเกิดขึ้นบ้างระหว่างนั้น มันเกินจินตนาการที่เธอจะคาดการณ์ไปได้
เธอถึงได้ติดแหงกกับหญิงสาวผู้นี้พร้อมกับคนป่วยในห้องมาสองวันเต็มๆ

เธอเข้้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้าย่อมต้องการอะไรบ้าง แต่เธอจะทำอย่างไรได้
ในเมื่อมันไม่มีทาง…

“แต่พี่ไม่รู้ว่าจะไปเอาไอติมมาให้น้องไอซ์ได้ยังไงน่ะสิคะ…”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวไอซ์เฝ้าห้องกับเฝ้าคุณลุงให้เองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง
ตอนพี่มีนาอยู่ พี่มีนาก็ทำแบบนี้ประจำ…”หญิงสาวส่งสายตาเว้าวอน
ทำเอาคนดูแลถึงกับลอบถอนใจ ใจนึงก็อยากจะออกไปหาอะไร
ให้หญิงสาวผู้นี้ได้กินเล่นบ้าง แต่อีกใจก็เป็นห่วงกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ในระหว่างที่เธอไม่อยู่…

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไอซ์อยู่ได้ และเคยอยู่มาได้ตลอด
พี่กีสเชื่อสิคะ…ไอซ์น่ะโตแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆหรอก…
และไอซ์ก็สัญญาว่าจะดูแลคุณลุงอย่างดีไม่ให้คลาดสายตาเลยค่ะ
จะอยู่นิ่งๆไม่ซนเลย…”ได้ฟังเช่นนั้นก็ทำเอาบิลกีสถึงกับใจอ่อน
เพราะตอนนี้ในตู้เย็นของเธอก็ไม่มีอะไรแล้วเหมือนกัน…
ออกไปที่ซุบเปอร์ใกล้ๆแค่นี้คงไม่กี่นาทีหรอก…

“งั้นเดี๋ยวพี่จะพยายามทำเวลา จะรีบไปรีบกลับนะคะ…
น้องไอซ์ต้องสัญญากับพี่ว่าจะอยู่ในห้องกับคุณลุง มีอะไรก็โทรหาพี่ตามเบอร์นี้นะคะ…”

พูดพลางก็จดเบอร์โทรศัพท์ตัวโตๆไว้บนกระดาษ
แล้วแปะกระดาษแผ่นนั้นไว้บนโต๊ะข้างๆโทรศัพท์ห้อง…

“อย่าลืมนะคะ…แล้วพี่จะรีบไปรีบกลับ…”บิลกีสเข้าไปในห้องคนป่วยอีกครั้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าคนป่วยโอเคทุกอย่าง แล้วพูดกับคนป่วยเพื่อเป็นการขออนุญาต
แม้จะรู้ว่าบอกไปเขาก็ไม่สามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้

แต่ที่บอกนั้น ก็เพียงเพื่อให้ท่านได้รับรู้ว่าเธอกำลังจะไปไหนเท่านั้นเอง…

“หนูออกไปหาซื้อของที่ซุปเปอร์ใกล้ๆนี้นะคะ แล้วจะรีบกลับมาค่ะ…”



และเหมือนความซวยจะมาเยือน เนื่องจากระหว่างที่บิลกีสกำลังจะเดินข้ามถนน
ไปยังอีกฟากนึงซึ่งเป็นซุปเปอร์ ด้วยความเร่งรีบทำให้เธอไม่ทันได้ระมัดระวัง
จึงโดนรดเฉี่ยวจนหกล้ม โชคดีเสื้อผ้าของเธอปกป้องเธอทำให้เนื้อหนังมิได้ถลอก

แต่โชคร้ายก็คือ ขาเธอพลิก จนรู้สึกเจ็บเมื่อลุกขึ้น
ส่วนรถคันที่เฉี่ยวเธอไปก็รีบแผ่นหายไปทันทีตั้งแต่เธอล้มลงแล้ว…
คนที่เดินผ่านไปมาเลยเข้ามาประคองเธอ…

“เป็นยังไงบ้างคะ…เจ็บตรงไหนรึเปล่า ให้พาไปหาหมอมั้ยคะ”เสียงนั้น
ดังมาจากหญิงสาวคนนึงที่เข้ามาพยุงเธอให้มานั่งตรงที่นั่งริมถนน

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ…”บิลกีสกล่าวขอบคุณ
แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ขอปลีกตัวไป บิลกีสถอนใจยาวด้วยความโล่งอก
อดโทษตัวเองที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ได้ พร้อมกับพยายามนึกว่าจะต้องทำอย่างไรดี

ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะเดินไปยังซุปเปอร์อีกฟากได้อย่างไร
เพราะเพียงแค่ขยับเท้า มันก็เจ็บจี๊ดๆ มองไปยังด้านบนของคอนโดก็ยิ่งหนักใจ

บิลกีสพยายามใช้มือกลึงข้อเท้าของตัวเองเพื่อมันจะได้คลายออก
ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อลองขยับเท้าดู แม้จะยังเจ็บอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างน้อยเท้ามันก็สามารถขยับเดินได้แล้ว หญิงสาวไม่ลดละที่จะเดินข้ามฟาก
ไปยังซุปเปอร์ คราวนี้เธอพยายามมองรถจนแน่ใจจึงข้ามไป…

กว่าจะลากสังขารณ์กลับมายังห้องพักที่คอนโดได้สำเร็จ
ทำเอาเธอเสียเวลาไปไม่น้อยเลย เพราะจากที่ตั้งใจจะกลับมาให้ทันก่อนตะวันตกดิน
แต่ตอนนี้ตะวันได้หายลับไปยังขอบฟ้านานแล้ว…

ซ้ำเธอยังรับรู้ได้ว่าข้อเท้าของเธอเริ่มกลับมามีปัญหาอีกรอบ
หญิงสาวพยายามประคองตัวเองให้เดินไปยังในห้องอย่างสุดความสามารถ
และเหมือนประตูห้องจะถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติก่อนจะเธอจะไขมันออกด้วยซ้ำไป…

บิลกีสตกใจเพราะคิดว่าเจ้าของคอนโดจะกลับมาแล้ว

ทว่ามิใช่…เพราะหญิงสาวหน้าตาใสซื่อ
กำลังรีบวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ

“พี่กีสไปนานมาก ไอซ์กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีไม่ร้าย”พูดพลางก็สำรวจ
สภาพของเธอไปด้วยก่อนจะรีบพาเธอเข้าไปยังด้านใน

“พี่ไม่เป็นไรค่ะ แค่มีเรื่องนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว…
นี่ค่ะไอติมของน้องไอซ์…”คนฟังยิ้มกว้างทันทีที่เห็นสิ่งที่พี่สะใภ้กำลังชูอยู่
ในมือแล้วรีบคว้าไปถือไว้พร้อมกับช่วยถือของในมือให้บิลกีส

“พี่กีสซื้อของมาเยอะแยะเลย นี่เราจะทำอะไรกินกันอีกใช่มั้ยคะ…”
บิลกีสพยักหน้าพร้อมกับพยายามประคองตัวเองอย่างสุดความสามารถ
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นเป็นวิตกกังวล แล้วเดินไปยังห้องคนป่วย
สำรวจคนป่วยให้แน่ใจว่าท่านยังโอเคอยู่ แต่เห็นอีกฝ่ายกำลังหลับอยู่ เธอจึงจากไป

ปลีกตัวออกไปละหมาด เสร็จแล้วเริ่มลงมือประกอบอาหารมื้อค่ำอย่างง่าย
ด้วยการผัดผักรวมมิตรกับทอดปลาโดยมีลูกศิษย์คอยอยู่รับความรู้ไปด้วย

กว่าอาหารค่ำจะแล้วเสร็จก็จวนเกือบจะเข้าสู่เวลาสองทุ่ม
สองสาวนั่งกินข้าวด้วยกันเช่นทุกๆมื้อ เมื่อเสร็จจากมื้อค่ำ
บิลกีสก็เริ่มให้อาหารทางสายกับคนป่วย เช็ดตัวทำความสะอาดให้
และพยายามทำกายภาพบำบัดให้เท่าที่กำลังของเธอจะสามารถทำได้
ตามที่เขาเคยสอนให้เธอทำ…

หญิงสาวมองไปยังนาฬิกาห้องแล้วก็มองไปยังประตูห้องที่ไร้แม้แต่เงาของอีกคน
ที่บอกว่าจะกลับวันนี้ เขาไม่รู้หรือว่าวันนี้ที่เขาบอกไว้
มันกำลังจะหมดลงแล้ว

“ไปนอนกันเถอะค่ะน้องไอซ์…”

บิลกีสหันไปทางหญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ตรงเตียงนอนของคนป่วย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอก็พยายามบอกให้กลับไปนอนอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ คอยช่วยเธอพยาบาลคุณลุง
และคอยชะเง้อคอคอยพี่ชาย

“พี่ไนค์ยังไม่เห็นโผล่มาเลย…ไอซ์อยากรอพี่ไนค์ค่ะ…”

“แต่มันดึกมากแล้วนะคะ น้องไอซ์ไปนอนเถอะค่ะ…เดี๋ยวถ้าพี่ไนค์กลับมา
พี่จะไปปลุกนะคะ…”

“จริงนะคะ พี่กีสต้องปลุกไอซ์นะคะ เพราะไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าไอซ์ตื่่นมา
อาจไม่เจอพี่ไนค์อีก พี่ไนค์ชอบหายไปนานๆประจำ…”

“ค่ะ…พี่สัญญาว่าจะปลุก…ไปนอนเถอะนะคะ…”บิลกีสวางมือลงบนมือเรียวสวย
ดุจมณีพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอน

“ฝันดีนะคะ…”

“เช่นกันค่ะพี่กีส…ฝันดีนะคะคุณลุง…”


เมื่อลับร่างของหญิงสาวไปแล้ว บิลกีสก็หันไปทางคนป่วยที่ตอนนี้ยังไม่ยอมหลับ
เธอไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้คนป่วยไม่ยอมหลับ

“หลับพักผ่อนเถอะนะคะ…เดี๋ยวคุณไนค์ก็คงกลับมา…”

บิลกีสคิดว่านั่นอาจเป็นสาเหตุให้คนป่วยไม่ยอมหลับ ทว่าเมื่อพูดจบ
กลับพบแววตาขุ่นเขียวส่งมาให้เธอแทน…

“ถ้าท่านยังไม่นอน หนูก็จะอยู่เป็นเพื่อนค่ะ…”บิลกีสพูดและก็ทำอย่างที่พูด
ด้วยการนั่งเป็นเพื่อนคนป่วย และไม่ลืมอาการปวดข้อเท้าของตัวเอง

จะลืมได้อย่างไร ในเมื่อมันยิ่งเจ็บยิ่งปวดขึ้นเรื่อยๆ จนยาแก้ปวดที่เพิ่งกินไป
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ไม่ค่อยจะนำพา ยิ่งตอนละหมาดนั้น ท่านั่งในละหมาด
ทำให้เธอรู้สึกปวดข้อเท้ายิ่งนัก แต่ก็พยายามทำจนเสร็จ...

อาจเป็นได้ว่ายาคงจะหมดฤทธิ์ไปแล้ว

บิลกีสยกข้อเท้าขึ้นมาสำรวจดู ก็พบว่ามันบวมและเริ่มขยับไม่ค่อยได้
เธอจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนบนโซฟาในห้องคนป่วย แม้จะหิวน้ำแค่ไหน
แต่เธอก็ไม่มีหนทางที่จะเดินไปยังกาน้ำบนโต๊ะข้างเตียงคนป่วย
ที่อยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าวได้เลย เพราะแค่ก้าวเดียว เธอก็ไม่สามารถทำได้ในเวลานี้


คืนนั้นทั้งคืนบิลกีสนอนกอดตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ
อยากได้ผ้าห่มสักผืน แต่ก็ไม่สามารถขยับร่างเพื่อเดินไปเอาผ้าห่มได้
หญิงสาวรู้แน่แก่ใจว่าตัวเองกำลังไข้ขึ้น จึงพยายามเรียกสติของตัวเองเอาไว้

ตอนนี้ร่างกายของเธอได้รับการทรมานจนสุดแสนจะบรรยาย
อยากได้ใครสักคนมาช่วย แต่เมื่อลืมตามองไปรอบตัวกลับไม่เจอใคร
อยากจะเปล่งเสียงให้ใครนำผ้าห่มมาให้ แต่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนี้
ก็ไม่อาจให้การช่วยเหลือเธอได้เลย…

และเหมือนคนป่วยเองก็ยังไม่หลับ
เลยรับรู้อาการกระสับกระส่ายของหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา…

สุดท้าย บิลกีสก็ตัดสินใจ ด้วยการพยายามกัดฟัน อดทนอดกลั้น
เพื่อจะยันกายให้ลุกขึ้น แม้จะรู้สึกถึงความหนักอึ้งของศีรษะ
แม้จะรู้สึกหนาวสั่นแค่ไหน ทว่าตอนนี้เธอต้องพึ่งพาตัวเอง

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ชีวิตลำพังของเธอสอนเธอมาอย่างดี

หญิงสาวพาร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น
แม้จะไม่สามารถเดินได้ด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่ข้อเท้า
ทว่าเธอก็สามารถคลานออกไปยังนอกห้อง แล้วพาตัวเองไปยังตู้เย็น
คว้าขวดน้ำเย็นมาวางไว้บนพื้นแล้วตะเกียกตะกายเอื้อมกะลังมัง
นำขวดน้ำเย็นวางไว้ในกะลังมัง แล้วค่อยๆคลานไปยังห้องนอนของตัวเอง
พร้อมๆกับลากกะละมังดังกล่าวไปด้วย พยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวด
และความหนาวเอาไว้

หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูแล้วถอดเสื้อตัวเองออก
รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ…ก่อนจะพยายามใช้มือที่กำลังสั่นสะท้าน
บิดน้ำเย็นให้พอหมาดๆแล้วพยายามเช็ดตัว เริ่มจากศีรษะ ใบหน้า ลำคอ
แล้วค่อยๆเช็ดตามเนื้อตัว พยายามเช็ดทวนรูขุมขน

แม้จะยากเย็นแค่ไหนแต่เธอก็เคยทำเช่นนี้เป็นประจำ
ด้วยเพราะเธอใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด
ยามป่วยไข้ก็จะพยาบาลตัวเองเช่นนี้

เมื่อเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้น ความหนาวที่ค่อยๆลดลง ทำให้หญิงสาววางผ้าเช็ดตัวลง
สวมเสื้อให้เรียบร้อยแล้วรีบเปิดลิ้นชักหยิบยาแก้ไข้ แล้วรีบกลืนลงไป
ก่อนจะตามด้วยน้ำเย็นในขวดที่ตอนนี้มิได้เย็นเฉียบแล้ว

จากนั้นจึงหันไปบิดผ้าเช็ดตัวให้พอหมาดๆอีกครั้ง พาดมันไว้บนบ่า
ต่อจากนั้นก็เหลือเพียงแค่การพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปอยู่บนเตียงนอน
ภายใต้ผ้าห่มหนาให้ได้

อึดใจเดียวเท่านั้น บิลกีสก็สามารถพาร่างกายของตัวเองขึ้นไปนอนใต้ผ้าห่มได้สำเร็จ
ก่อนจะวางผ้าเช็ดตัวที่พาดบ่าอยู่อังไว้บนหน้าผาก แล้วพยายามข่มตาให้หลับ

เมื่อยาออกฤทธิ์ หญิงสาวก็หลับลงได้สำเร็จ
โดยไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เธอเฝ้าคอยมาตลอดสองวันเลย…

เขาไม่ได้กลับมาตามที่ได้บอกเอาไว้ในข้อความนั้น

…เขาต้องมีเหตุผลที่ไม่สามารถกลับมาได้
เธอแน่ใจว่าเขาย่อมต้องมีเหตุผลหรือมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา…
เขาจึงกลับมาตามที่บอกเอาไว้ได้

…แม้เขาจะไม่ได้รักเธอ แต่เธอดูออกว่าเขารักและเป็นห่วงพ่อกับน้องสาวของเขามาก
และมันย่อมต้องมีเหตุผลอย่างมากที่ทำให้เขาไม่อาจกลับมาในวันนี้ได้



บิลกีสรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงนกร้อง แสงอ่อนๆในยามเช้าทำให้
รู้สึกโล่งโปร่ง หญิงสาวขยับกาย แต่ก็ต้องร้องออกมาเมื่อรู้สึกปวดจี๊ดตรงข้อเท้า

บิลกีสลอบถอนใจ นี่ก็อีกปัญหาที่เธอไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับมันดี
เพราะมันคือสาเหตุหลักที่ทำให้เธอไข้ขึ้นเมื่อคืนนี้…เธออยากจะไปหาหมอ
เพื่อจะได้รับยามากิน แต่จะถ่อสังขารณ์ไปได้อย่างไรในเมื่อแค่ขยับก็ยังปวด
จะโทรไปหาคนที่หายหน้าไปให้กลับมาพาเธอไปหาหมอก็เกรงใจ…

คิดไปคิดมาก็ต้องเอามือกุมขมับ ฝ่ามือนั้นยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากหน้าผาก
แต่ไม่มากเท่ากับเมื่อคืน…

บิลกีสตัดสินใจได้แล้วว่าจะรอเขาอีกวัน
หากเขายังไม่โผล่มา เธอคงจะต้องให้น้องสาวของเขาโทรตาม…

คิดได้เช่นนั้น…บิลกีสก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อลุกขึ้น
เธอเลือกใช้เก้าอี้ในห้องแทนไม้เท้าค้ำยัน
แล้วใช้มันเพื่อนำพาเธอไปยังห้องครัวโดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน…

ยังอดเสียใจไม่ได้ที่เธอนอนจนไม่ได้ตื่นขึ้นมาละหมาดตอนเช้าตรู่


บิลกีสต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะถ่อสังขารณ์มายังห้องครัวได้สำเร็จ
ก่อนจะเริ่มลงมือล้างมือตรงอ่างล้างจานแล้วค่อยๆลงมือทำข้าวต้ม
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนป่วยอย่างเธอ และอีกคนที่อาจจะยังนอนหลับอยู่ในห้อง…

แม้จะดูกระท่อนกระแท่นกับการเข้าครัวในเช้าวันนี้

ทว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้…
เธอเคยชินกับการปรนนิบัติตัวเอง แม้ในยามเจ็บป่วยเช่นนี้มาตลอดทั้งชีวิต…

เมื่อได้ตรวจสภาพตัวเองในรอบนี้แล้ว
บิลกีสก็ได้คำตอบว่า การเจ็บป่วยรอบนี้ไม่ได้หนักหนากว่าครั้งก่อนหน้านัก

เมื่อเทียบกับครั้งที่เธอท้องเสียเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นเธอทั้งลงทั้งราก
เพราะอาหารเป็นพิษ นอนหมดเรี่ยวหมดแรง จนถึงกับคลานเข้าห้องน้ำ
เธอก็เคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายเพียงลำพังที่แสนหนักหน่วงมาไดแล้ว…

จึงทำให้เธอประเมิณผลด้วยตัวเองว่า…ไม่จำเป็นต้องโทรไปกวนเขา
ที่คงจะยังยุ่งวุ่นวายกับงานก็ได้…เพราะเธอยังสามารถรับปัญหาเหล่านี้ไหว
รู้ว่าตัวเองยังเอาอยู่…


เมื่อข้าวต้มพร้อมเสริฟ บิลกีสจึงพยายามถ่อสังขารณ์
ให้เก้าอี้นำพาร่างของเธอไปยังห้องของน้องสาวเจ้าของคอนโด
เห็นเจ้าของห้องยังคงนอนหลับสบายอยู่ เธอจึงเดินไปยังอีกห้องนึง
ก่อนจะมาหยุดมองคนป่วยที่ลืมตาตื่น ดวงตาของท่านมองมาที่เธอ
คราวนี้มันดูแปลกกว่าครั้งไหนๆ ไม่มีแววตาดุดันหรือแฝงความไม่พอใจ
อยู่ในดวงตาคู่นั้นเลย…

บิลกีสจึงยิ้มให้คนป่วย และเป็นอีกครั้งที่ทำให้หญิงสาวถึงกับเบิกตาโต
เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นก็คือ คนป่วยกำลังยิ้มมาให้เธอ

แม้จะดูไม่ค่อยเหมือนรอยยิ้ม เพราะริมฝีปากขยับเพียงนิด แต่มุมปากที่ยกขึ้น
ทำให้เธอแน่ใจว่าคนป่วยกำลังส่งยิ้มให้เธอ…

บิลกีสจึงค้ำยันเก้าอี้ตัวนั้นเพื่อเข้าไปใกล้คนป่วย
คว้ามือของท่านขึ้นมากุมไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า…

“ขอบคุณค่ะ…”บิลกีสเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยการใช้เก้าอี้ค้ำยัน
แล้วนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำในอ่าง บิดพอหมาดๆ
แล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดใบหน้าของคนป่วยให้แลดูสดชื่น

“เอาไว้เที่ยงๆแล้วหนูจะเช็ดตัวให้นะคะ จะได้สบายเนื้อสบายตัว…”

หญิงสาวกล่าวขณะวางผ้าเช็ดหน้าลงในกะลังมัง…
ก่อนจะรู้สึกถึงนิ้วที่กระดิกได้ของคนป่วยที่พยายามกระดิกนิ้วบนมือของเธอ

“มีอะไรเหรอคะ…ท่านต้องการจะบอกอะไรหนู…”

บิลกีสหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม…
ทว่า สิ่งที่เธอได้รับเป็นคำตอบคือแววตาเศร้าหมองและกังวลใจของคนป่วย

“หนูสบายดีค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ…จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหนู
เพราะหนูเคยชินกับอะไรแบบนี้มาตลอดค่ะ…
แล้วเดี๋ยวพอคุณไนค์กลับมา หนูก็จะลองไปหาหมอ ให้หมอช่วยดูข้อเท้าให้”

และเหมือนบิลกีสจะได้เห็นแววตาสงสัยใคร่รู้
เธอจึงค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ค้ำยันของเธอ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอให้คนป่วยฟัง

“เมื่อวานหนูโดนรถเฉี่ยวตอนจะข้ามถนนไปซื้อของที่ซุปเปอร์ ก็เลยหกล้ม
สงสัยข้อเท้าจะแปลง…เลยทำให้หนูกลับห้องช้า…
และมันคงจะอักเสบน่ะค่ะ ก็เลยยังปวดไม่หายสักที…
แต่แค่นี้ไกลหัวใจเยอะค่ะ…หนูน่ะอึด ท่านไม่ต้องห่วงนะคะ…
หนูไม่ได้โทรบอกคุณไนค์หรอกค่ะ…เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
หนูรับมือไหวอยู่แล้วค่ะ…”

บิลกีสอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ทำให้เธอได้เห็นใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้นของคนป่วย…

“งั้นเดี๋ยวหนูไปปลุกคุณไอซ์ให้ตื่นมากินข้าวเช้าก่อนนะคะ…
แล้วหลังจากนั้น ก็ถึงคิวท่านที่ต้องรับอาหารด้วย…อาหารของท่าน
หนูปั่นให้เสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ…”

แล้วบิลกีสก็ทำตามแผนการดังกล่าว ก่อนจะบอกกับหญิงสาวอีกคนว่า

“วันนี้พี่ไม่ค่อยสบาย พี่คงต้องขอน้องไอซ์นอนพักสักสองชั่วโมงก่อนนะคะ
น้องไอซ์ช่วยเฝ้าคุณลุงแทนพี่ได้มั้ยคะ…”บิลกีสกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เพราะเธอรู้สึกล้า อยากนอนหลับเหลือกำลัง

“ได้ค่ะพี่กีส ว่าแต่พี่กีสเป็นอะไรคะ…ไอซ์เห็นพี่กีสใช้เก้าอี้ค้ำยันตลอดเลย”

“พี่ปวดเท้าค่ะ…”คนฟังก้มลงมองไปที่เท้าพร้อมกับคุกเข่าสำรวจดู

“ไปหาหมอมั้ยคะ…”บิลกีสส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้หนักหนาอะไร นอนหลับพักผ่อน
ไม่พยายามขยับเท้า แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายแล้วค่ะ…”

บิลกีสพูดไปอย่างนั้น ทั้งๆที่เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่ามันจะหายจริงๆหรือเปล่า
แต่ ณ ตอนนี้ เธอไม่อาจไปหาหมอได้ แล้วการจะให้หมอมาหาเธอที่นี่มันก็ดูจะเกินไป
เพราะแค่ข้อเท้าแปลงมันดูจะเข้าทีนักหากจะไม้หมอมาหาคนป่วยถึงที่

คิดแล้ว วิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุด นั่นคือการนอนหลับพักผ่อนหลังจากได้รับยา
แม้จะเป็นแค่ยาแก้ปวด ลดไข้ แต่มันก็ช่วยทุเลาอาการของเธอได้ไม่น้อย

“งั้นเดี๋ยวไอซ์ประคองพาพี่กีสไปนอนนะคะ…”

“พี่ขอนอนที่โซฟาห้องคุณลุงของน้องไอซ์นะคะ…”

“จะดีเหรอคะ…มันไม่สบายเลยนะคะ…”

“ดีสิคะ…พี่ขอแค่ผ้าห่มให้พี่ห่มด้วยก็พอ…”ดุจมณีจึงทำตามที่อีกฝ่ายบอก
โดยไม่ขัดข้องหรือขัดแย้งแต่อย่างใด

บิลกีสจึงนอนห่มผ้าผืนหนาอยู่ตรงโซฟาในห้องคนป่วย
โดยมีดุจมณีคอยดูแลอยู่ห่างๆพยายามช่วยทุกอย่างเท่าที่จะทำได้…





อีกฟากฝั่งหนึ่งนั้นกำลังยุ่งวุ่นวายกับงานที่ยังไม่อาจสะสางให้เสร็จได้
พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้งานเสร็จตามกำหนด ทำเอาขุนพลและลูกน้อง
อีกหลายชีวิตไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองคืนเต็มๆ…

“ว่าไง พร้อมหรือยัง พรุ่งนี้เราต้องนำงานส่งลูกค้าแล้วนะ…”

“โอเคแล้วครับพี่ไนค์ เหลือแค่เก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย…”
เสียงของลูกน้องคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

“พี่ไนค์คะ พี่ธีร์เป็นอะไรไม่รู้ค่ะ อยู่ๆก็ล้มหมดสติอยู่ในห้องน้ำ”

เสียงนั้นดังมาจากหญิงสาว เพื่อนสนิทของธีร์ ทำเอาขุนพลต้องรีบลุกขึ้น
จากหน้าขอคอมพิวเตอร์แล้วถลาไปยังห้องน้ำ ก่อนจะช่วยกันแบกร่าง
ที่หมดสติของลูกน้องนำส่งโรงพยาบาล…

หนุ่มใหญ่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการกระวนกระวาย
และอดโทษตัวเองไม่ได้ เขารู้ว่าคนป่วยที่เพิ่งนำส่งห้องฉุกเฉินไปหมาดๆนั้น
บุกงานหนักกับเขามาตลอดสองวันเต็มๆ เขาใช้งานลูกน้องหนักเกินไป

“คุณหมอออกมาแล้วค่ะพี่ไนค์”เสียงหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ขุนพลจึงรีบถลาเข้าไปหาคุณหมอทันที

“คนป่วยเป็นไงบ้างครับ…”

“ตอนนี้คนป่วยไม่เป็นไรมากแล้วครับ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ก็หายแล้วครับ…เพราะดูจากประวัติแล้ว คนป่วยมีอาการปวดศีรษะไมเกรน
ซึ่งหากเครียดจัดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการก็จะกำเริบได้…
ยังไงคืนนี้หมอขอดูอาการให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรแทรกซ้อนนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ…”ขุนพลกล่าวขอบคุณคุณหมอเจ้าของไข้
และอดหันไปทางลูกน้องอีกสองคนด้วยแววตาหม่นๆไม่ได้…

เมื่อลับร่างหมอ เขาก็เปรยกับลูกน้องว่า

“พี่เป็นเจ้านายที่โหดไปใช่มั้ย…”ลูกน้องทั้งสองคนหันมามองคนถาม
แล้วส่ายหน้าพร้อมกัน

“เปล่าเลยครับ พวกผมไม่ได้คิดว่าพี่ใจร้ายหรือโหดกับลูกน้อง
เพราะผมเข้าใจว่างานมันมีเส้นแดง และเราต้องร่วมกันรับผิดชอบ
ให้มันสำเร็จผ่านพ้นไปด้วยดีและสมบูรณ์ที่สุดตามกรอบเวลาที่กำหนด…”

ลูกน้องซึ่งเป็นผู้ชายกล่าวด้วยออกมาจากใจ มิได้มีเจตนาจะเอาใจเจ้านาย
เพราะคนตรงหน้านอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว
ในอดีต ขุนพลยังเป็นรุ่นพี่ที่เขาเคารพรักด้วย
ตอนที่เขาตกงานไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไปที่ไหนก็ถูกปฏิเสธ

แต่เมื่อเขานึกถึงรุ่นพี่คนนี้และโทรหา เขาก็ได้รับมอบหมายงานให้ทำทันที…
และรุ่นพี่คนนี้ของเขาก็ไม่เคยเอาเปรียบเขา นับได้ว่าเป็นคนใจคอกว้างขวางก็ว่าได้…

ฐานเงินเดือนที่เขาได้รับมันก็ค่อนข้างสูงอยู่ไม่น้อยหากเทียบกับขนาดของบริษัท
แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ภาระหน้าที่ก็มีมากตามมาด้วย เนื่องจากบริษัทที่เขาทำอยู่
มีพนักงานแค่ไม่กี่คน ดังนั้น เราทุกคนจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือกันและกัน…
มากกว่าจะมาคิดถึงเรื่องตำแหน่ง…จึงทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังนึงของเขา

“จริงอย่างที่พี่กล้าพูดค่ะ…จี้รู้ว่าพี่ไนค์ไม่ใช่คนโหด เพียงแต่ต้องการงานที่เป๊ะ
ตรงตามสเปคที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด เลยต้องเนี้ยบทุกขั้นตอน…
พวกเราเข้าใจและไม่คิดเล็กคิดน้อยค่ะ…ตอนสมัยเรียนมหาลัย
พี่ไนค์โหดกว่่านี้ตั้งหลายเท่า แต่พวกเราก็ยังเคารพรัก…เพราะพี่ไนค์เป็นคนมีน้ำใจ
ใจนักเลงไงล่ะคะ…”ขุนพลถึงกับระบายยิ้ม
ที่เขาเพิ่งนึกได้ตอนนี้เองว่าได้ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ออกมา
ก่อนจะตบบ่าลูกน้องทั้งสองแล้วกล่าวว่า

“ฟังดูทะแม่งๆอยู่นะ…แต่สรุปคือ พี่โหดอยู่ดีใช่มั้ยฮึ…”

แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากลูกน้องทั้งสองคน

“เราเข้าไปดูเจ้าธีร์กันเถอะ…พี่เองก็เพิ่งรู้ว่ามันโดนไมเกรนกินหัวนี่แหล่ะ…”
ขุนพลชวนทั้งสองคนเข้าไปเยี่ยมคนป่วย…



เมื่อเสร็จจากเยี่ยมคนป่วย เขาก็รีบหยิบมือถือขึ้นมากดหาน้องสาวทันที
ที่มาหยุดนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่

“ไอซ์พูดค่ะ…”

“ว่าไงเจ้าหญิงของพี่…”

“พี่ไนค์…”เสียงร้องเริงร่าจากปลายสายทำให้ขุนพลถึงกับระบายยิ้มออกมา

“ไอซ์สบายดีค่ะ แต่คิดถึงพี่ไนค์มากๆเลย…”เสียงใสตอบกลับมาแล้วก็รีบพูดต่อ
โดยไม่ยอมเว้นช่องว่างให้พี่ชายได้พูด

“พี่กีสบอกว่าพี่ไนค์จะกลับมาเมื่อวาน แต่นี่มันจะค่ำอีกวันแล้วนะคะ
พี่ไนค์จะกลับมาหาไอซ์วันนี้รึเปล่าคะ…”เสียงนั้นเริ่มงอแง
ทำเอาคนเป็นพี่เริ่มมีสีหน้าหนักใจ เพราะว่างานที่ทำยังค้างคาอยู่
อีกทั้งลูกน้องก็ต้องมาล้มป่วยเพราะเขาเป็นต้นเหตุอีก…

และเหมือนเขาจะลืมผู้หญิงคนนึงที่เขารับเข้ามาในชีวิตไปสนิท
เพิ่งจะมานึกได้อีกทีก็เมื่อได้ยินชื่อจากปากของน้องสาว…

“พี่ยังไม่แน่ใจว่าจะเคลียร์งานเสร็จรึเปล่าน่ะสิครับ…
ว่าแต่เราอยู่กับพี่กีสได้รึเปล่าครับ…แล้วพี่กีสเป็นไงบ้างครับ…”

“พี่กีสก็…เอ่อ…เอ่อ…”น้ำเสียงนั้นฟังดูอ้ำๆอึ้งๆ เพราะเธอได้สัญญากับบิลกีสเอาไว้
ว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่บิลกีสไม่สบาย…

“พี่กีสบอกว่าให้ไอซ์บอกพี่ไนค์ว่าสบายดีค่ะ…”คนฟังขมวดคิ้วเหมือนจะหัวเราะ
กับคำตอบอ้ำๆอึ้งๆของน้องสาว

“แล้วที่ไอซ์เห็นน่ะ…พี่กีสเขาสบายดีรึเปล่าล่ะครับ…”
เสียงนั้นเหมือนจะหยอกเย้าน้องสาวเสียมากกว่าจะถาม
เพราะต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก

“ก็…เอ่อ…เท่าที่ไอซ์เห็น พี่กีสยังทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน
แล้วก็ดูแลคุณลุงเหมือนที่พี่มีนาเคยทำได้อยู่ค่ะ…
แต่ดูดีๆก็เหมือนว่าจะไม่สบาย ไอซ์ก็เลยอาสาเฝ้าคุณลุงให้
แล้วปล่อยให้พี่กีสไปนอนพัก แต่พี่กีสก็ยังขอไปนอนพักที่โซฟาในห้องคุณลุงอยู่ดี…

พี่กีสเป็นคนดื้อค่ะพี่ไนค์…แต่ไอซ์ไม่ได้เถียงพี่กีสนะคะ
เพราะไอซ์เป็นเด็กดี…ก็เลยไม่ได้ขัดใจหรือขัดคำสั่งพี่กีสเลย…”

ขุนพลยิ้มให้กับสำนวนการพูดของน้องสาว แต่ก็เริ่มไม่สบายใจ
กับสิ่งที่ได้ฟังจากปากน้องสาวนัก เขารู้ดีว่าน้องสาวจะไม่โกหกเขา

“แล้วตอนนี้พี่กีสทำอะไรอยู่ครับ…”

“ตอนนี้พี่กีสกำลังหลับอยู่ค่ะ…ไอซ์กะจะปลุกแล้ว
เพราะว่าไอซ์หิวข้าว แต่ไอซ์เกรงใจ ไอซ์ก็เลยเข้าครัวเอง
แต่เหลือเชื่อค่ะพี่ไนค์…พี่กีสทอดไข่เจียวกับแกงจืดเอาไว้ให้แล้ว…
ไอซ์ก็เลยกินมื้อเที่ยงคนเดียวกับกับข้าวที่พี่กีสทำไว้
แล้วนี่ก็ใกล้มื้อค่ำแล้ว พี่ไนค์ว่าไอซ์ควรจะปลุกพี่กีสดีมั้ยคะ”

คนปลายสายขมวดคิ้วแล้วถามข้อมูลจากน้องสาวเพิ่มเติมว่า

“แล้วพี่กีสเขาหลับไปนานแล้วยังครับ”

“ไอซ์เห็นพี่กีสกินข้าวเช้าแค่ไม่กี่คำเอง แล้วก็กินยาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ
แล้วก็ขอไปนอนหลับ หลับตั้งแต่สิบเอ็ดโมง ไอซ์นะอยากปลุกให้มากินข้าวเที่ยงด้วยกัน
แต่เห็นพี่กีสกำลังหลับสบาย ไอซ์เลยไม่กล้าปลุก…แต่เดี๋ยวนะคะ
ไอซ์ได้ยินเสียงดังในห้อง…สงสัยพี่กีสจะตื่นแล้วค่ะ…”

“งั้นพี่ขอคุยกับพี่กีสได้มั้ยครับ…”

“งั้นรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวไอซ์จะเข้าไปบอกพี่กีสให้…”ดุจมณีวางโทรศัพท์ห้อง
แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของจอมพล ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นบิลกีสกำลังลุกขึ้นพอดี

“พี่กีสคะ…พี่ไนค์โทรมาค่ะ อยากคุยกับพี่กีส…”บิลกีสขมวดคิ้วนิดเดียว
แล้วก็พยักหน้ารับพร้อมกับพยายามขยับเท้าเพื่อจะลุกขึ้น

ความเจ็บแล่นเป็นริ้วๆขึ้นมาเมื่อเท้าที่เจ็บสัมผัสกับพื้นห้อง หญิงสาวพยายาม
ข่มความเจ็บด้วยการกัดฟันแล้วยันกายจนทรงตัวได้ในที่สุด
ก่อนจะคว้าเก้าอี้ตัวเดิมในห้องมาค้ำยันเพื่อเดินไปยังโทรศัพท์ที่วาง
อยู่บนโต๊ะห้องรับแขกด้านนอก ดุจมณีเห็นสภาพดังกล่าวก็รีบเข้าไปช่วยพยุง

“พี่กีสเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ ทำไมถึงเดินอย่างนี้ล่ะคะ…
ไอซ์เห็นเป็นแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว…”
ดุจมณีถามด้วยแววตาใสซื่อเหมือนเด็ก

“พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดเท้านิดหน่อยเอง…เดี๋ยวเดียวก็หายแล้วค่ะ…”
พูดจบพอดีก็เดินมาถึงที่วางโทรศัพท์ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
แล้วกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีค่ะ…”

“ไอซ์บอกว่าเธอดูเหมือนไม่ค่อยสบาย…”

“แค่ปวดเท้านิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ…”

“ปวดเท้าเหรอ…เธอไปทำอะไร ทำไมถึงได้ปวดเท้า…”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…คุณไนค์ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ…ทำงานให้สบายใจเถอะ
ฉันดูแลทางนี้ได้…”บิลกีสพยายามเบี่ยงเบนประเด็น เนื่องจากไม่อยากตอบคำถาม
เรื่องที่เธอออกไปข้างนอกจนโดนรถเฉี่ยว…

“แต่เสียงเธอแหบ…เป็นไข้ด้วยรึเปล่า…”

“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้วค่ะ…”หญิงสาวไม่อยากปด
เพราะถึงโกหกไปเขาก็จับได้อยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกเขา

แต่เนื่องจากไม่อยากให้เขากังวล จึงต้องพูดให้เขาหายข้องใจ

“แน่ใจนะว่าไหว…”บิลกีสยิ้มออกมากับน้ำเสียงที่ฟังดูห่วงใยในสวัสดิภาพของเธอ

“แน่ใจค่ะ…งั้นขอตัวไปให้อาหารกับคุณพ่อคุณก่อนนะคะ ฉันหลับจนลืมไปเลย
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ…”

“ฮื้อ…งั้นไปเถอะ…”

“ค่ะ…”บิลกีสกำลังจะวางหูโทรศัพท์ ทว่า…

“เดี๋ยว…”

“ว่าไงคะ…”

“ขอบใจมากนะที่ช่วยดูแลทุกคนแทนฉัน…”

“ไม่เป็นไรค่ะ…คุณก็เหมือนกันนะคะ ดูแลสุขภาพด้วย…
แล้วก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างนะคะ…”

“ไม่ดีกว่า…จะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ แล้วค่อยกลับไปนอนกอดเธอทีเดียวเลยก็แล้วกัน…
พรุ่งนี้ส่งงานให้ลูกค้าเสร็จแล้ว ฉันจะรีบกลับนะ…”

บิลกีสระบายยิ้ม และยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นแม้จะวางหูโทรศัพท์ไปนานแล้วก็ตาม




ทางด้านขุนพลเมื่อวางสายจากบิลกีสแล้ว หนุ่มใหญ่ก็ทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้อีกครั้ง
ตรงหน้ามีงานที่ยังต้องเคลียร์ให้เสร็จ และคงต้องใช้เวลาที่เหลือของวันนี้ทั้งหมด
ในการจะเคลียร์งานเหล่านี้ให้ลุล่วงได้
ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่สามารถส่งงานให้กับลูกค้าได้ทัน…

ทว่า อีกใจก็อยากกลับไปดูให้แน่ใจว่าคนทางบ้านจะไม่เป็นไรจริงๆ…
แต่เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็ต้องเลือกที่จะเคลียร์งานให้เสร็จ เนื่องจากงานนี้
เขากับลูกน้องช่วยกันฝ่าฟันมาตลอดหลายเดือน จะให้มันล้มไม่เป็รท่าเพราะส่งงาน
ให้ลูกค้าไม่ทันเห็นทีจะยอมไม่ได้ เพราะความล้มเหลวนี้มิใช่เพียงแค่เขา
แต่งานนี้เป็นความหวังของลูกน้องที่ร่วมงานของเขาด้วย…ทุกคนต้องการเห็นมัน
สำเร็จออกสู่สายตาผู้คน…





....โปรดติดตามตอนต่อไป......


เรื่องนี้หายเงียบไปเลย...เป็นแนวดราม่าค่ะ...
สลับกับการเขียนแนวหวานๆอย่างเรื่องอีกเรื่องนึง...

เพราะบางช่วง อารมณ์หวานๆของคนเขียนแทบไม่มี
เลยผลัดมาเขียนดราม่่าสลับๆกันไปค่ะ...


เห็นว่านักอ่านรอติดตามอยู่ด้วย เลยไม่อยากทิ้งร้างดองจนเค็ม
เหมือนเรื่อง "คานน้อย คอยรัก" เฮะๆ...

แต่อาจจะมานานๆครั้งนะคะ...ซึ่งก็จะมาแบบยาวๆ...
ใครถนัดอ่านแนวดราม่าๆ แบบนางเอกอึดและสู้ชีวิตล่ะก็...
คงถูกใจไม่มากก็น้อยค่ะ..

เรื่องนี้อาจจะทำให้นักอ่านเปลืองทิชชูนิดนึง...ขออภัยด้วยน้าาาาาา...

ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามเรื่องนี้และส่งกำลังใจมาให้ด้วยค่ะ...


"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2557, 19:09:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2557, 19:09:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2344





<< บทนำ   บทที่ 3 ฉันไม่ใช่ >>
แว่นใส 17 ก.ย. 2557, 21:07:15 น.
ต้องเลือกทางที่เร่งด่วนก่อนเนอะ


ตุ๊งแช่ 18 ก.ย. 2557, 14:42:31 น.
ปลาทองอ่ะ คนอ่าน คืดจำเนื้อเรื่องไม่ได้ 555 ตอนรื้อกลับไปอ่านตอนก่อนหน้า บิลกีส นี่ใครหว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account