หวานเล่ห์เสน่หา (เปลี่ยนชื่อเรื่องจากมนต์รักไผทค่ะ)
เรื่องราวของวิศวกรสาวกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเกาะ เส้นทางของทั้งคู่ไม่น่าจะมาพบกันได้ แต่กามเทพก็แผลงศรให้คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย ต้องมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไม่ตั้งใจ เรื่องราวทุกอย่างจบลงเพียงแค่คืนนั้น...หากเมื่อคู่กันแล้วต่อให้ห่างไกลกันสักเพียงไหน เมื่อถึงเวลาคนสองคนก็ต้องโคจรกลับมาพบกันอยู่ดี และการพบกันในครั้งนี้จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ไปช่วยกันลุ้นค่ะ
Tags: เกาะ

ตอน: มนต์รักไผท บทที่ 2

บทที่ 2

หลายวันมาแล้วที่ไผทเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดงานการไม่เป็นอันทำ โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทำไมสมองถึงไพล่ไปนึกถึงสองแม่ลูกสติไม่ดีคู่นั้น จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้ยังไง ก็คนเป็นลูกเอาแต่เรียกเขาว่าแม่ แล้วกลับไปเรียกคนเป็นแม่จริงๆ ว่าพ่อ ส่วนคนเป็นแม่แค่หันมาสบตากับเขา เธอก็หันหลังเดินหนีไป ปล่อยให้ลูกไขว่คว้าเรียกหาแม่ (ซึ่งก็หมายถึงตัวเขา) โดยไม่คิดจะรักษามารยาทสักนิด แต่จะว่าไปสองแม่ลูกคู่นี้ก็หน้าตาคุ้นๆ อยู่โดยเฉพาะเจ้าลูกปลิงตัวจ้อยนั่น เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

“หน้ายับแล้วครับพี่ไทย” เสียงทุ้มห้าวกลั้วหัวเราะทักทายคนหน้ายุ่ง

“ออกจากถ้ำได้แล้วหรือเจ้าศิลป์

“งานเรียบร้อยแล้วนี่ครับ อีกอย่างผมก็คิดถึงลูกคิดถึงเมียจะแย่แล้ว ยังไงอ้อมกอดของน้องนกก็สู้อ้อมกอดของเมียไม่ได้หรอกครับพี่ไทย” ไผทส่ายหน้าอย่างขำๆ ทั้งที่ใจก็คิด หากน้องสะใภ้ของเขามาได้ยินว่าน้องชายไปแอบกอดน้องนก มีหวังบ้านแตก

“แล้วน้องนกของแก ให้ผลตอบแทนดีหรือเปล่าล่ะ” ไผทถามต่อไป

“ก็พอสมควรครับ แล้วผมก็สั่งปิดถ้ำไปเรียบร้อยแล้วนะครับ ตามคำสั่งของท่านหัวหน้าเผ่า” มหาสมุทรหัวเราะปิดท้าย

ท่านหัวหน้าเผ่าได้แต่ส่ายหน้าระอากับความขี้เล่นของคนหน้าโหด มหาสมุทรเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา แต่มีสีผิวที่เข้มกว่าเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานกลางแจ้งอย่างที่เจ้าตัวชอบ และตอนนี้ใบหน้าก็ปกคลุมได้ด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้โกนมาหลายวัน ทายาทรุ่นที่เจ็ดของเกาะเสมือนจันทร์มี 3 คน คือตัวเขา มหาสมุทร และทิฆัมพร ซึ่งเกาะแห่งนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหลานสกุลหยางลิ่วเจริญวงศ์ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว

ในอดีตเกาะเสมือนจันทร์เป็นเพียงเกาะร้าง ห่างจากชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่งเรือสำเภาที่เดินทางมาจากเมืองจีนจำต้องหลบพายุที่ด้านหนึ่งของเกาะแห่งนี้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาเกาะเสมือนจันทร์อย่างแท้จริง เมื่อบรรพบุรุษของเขาที่มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ตัดสินใจดำรงชีพที่เกาะแห่งนี้ เกาะร้างจึงไม่ร้างอีกต่อไป เกาะที่ด้านหนึ่งมีหาดทรายขาวไปเป็นแนวโค้งยาว เหมาะแก่การพักผ่อน ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผาสูงเป็นด่านหน้าปะทะแรงลม เป็นตัวช่วยให้กำลังลมของพายุเบาบางลง เรียกว่าธรรมชาติสร้างสรรค์ป้อมปราการเอาไว้อย่างดี และเหตุที่ได้ชื่อว่าเกาะเสมือนจันทร์ ก็เพราะถ้ามองจากมุมสูง เกาะแห่งนี้มีลักษณะเหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั่นเอง

ผ่านไปได้สามชั่วอายุคน เกาะแห่งนี้ก็ได้รับการสำรวจสำมะโนครัว จากชาวเกาะที่ไม่มีสัญชาติ ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ ทุกชีวิตบนเกาะก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นคนไทย มีสิทธิ์เท่าเทียมประชาชนทุกคน และเหนือสิ่งอื่นใดเกาะแห่งนี้ทายาทผู้ครองเกาะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการพัฒนา โดยไม่ขึ้นตรงกับทางราชการหรือเรียกง่ายๆ ว่าทุกพื้นที่บนเกาะเสมือนจันทร์เป็นที่ดินส่วนตัว ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างรายได้ให้อย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นถ้ำรังนก หรือพื้นที่หน้าหาดที่ปัจจุบันที่เป็นที่ตั้งของรีสอร์ตรองรับนักท่องเที่ยว หน่วยงานราชการไม่มีเอี่ยวในสัมปทานเหล่านี้ นอกจากภาษีที่เรียกเก็บตามที่กฎหมายกำหนด

และนั่นเป็นที่มาว่าทำไมมหาสมุทรถึงต้องไปนอนกอดน้องนกแทนเมีย เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตจากนกนางแอ่นที่มีมูลค่ามหาศาล และกฎของที่นี่คือจะจัดเก็บรังนกเพียงครั้งแรกของการสร้างรังเท่านั้น ซึ่งนอกจากได้รังนกคุณภาพดีแล้ว ยังเป็นการไม่ทำร้ายเจ้านกตัวน้อยให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อในการสร้างรังใหม่อีกหลายรอบ และเมื่อเสร็จภารกิจ ถ้ำรังนกจะถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด ไม่ให้มนุษย์ผู้โลภมากคนใดเข้าไปรบกวนเจ้านกน้อยทั้งหลาย จนกระทั่งพ้นช่วงสร้างครอบครัว และลูกนกตัวน้อยๆ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว คนของน้องชายก็จะเข้าไปจัดการกับรังนกที่ถูกใช้ประโยชน์ในการขยายพันธุ์แล้วออกจากผนังถ้ำ เพราะนกนางแอ่นค่อนข้างหวงที่ เมื่อถึงช่วงผสมพันธุ์อีกครั้ง มันก็จะสร้างรังตรงจุดเดิม หากไม่จัดการรื้อบ้านหลังเก่าให้กับมัน มันก็จะสร้างบ้านใหม่ทับบ้านเดิม

“แล้วกลับไปหาลูกหาเมียหรือยังล่ะ” ไผทถามน้องชายที่นั่งไขว่ห้างอย่างอารมณ์ดี

“นัดกันที่นี่ครับ กะว่าจะพาน้องเพลงขึ้นฝั่ง ไปหาตากับยายหน่อยครับ” ไผทพยักหน้ารับ น้องสะใภ้ของเขาเป็นลูกสาวเจ้าของร้านจำหน่ายของดีเมืองกระบี่ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของน้องชายด้วย การติดต่อทำการค้าระหว่างกันก็ทำให้ได้พบรักในที่สุด และในเวลานี้ก็มีพยานรักวัยสามขวบครึ่งมาเป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่แล้วหนึ่งดวง

“ลุงไทยขา” เสียงเล็กเจื้อยแจ้วออดอ้อนดังมาจากหน้าประตูกระจกที่ถูกเลื่อนออกด้วยมือป้อม

“ขาคนสวย มาให้ลุงไทยหอมหน่อยสิคะ” ไผทขานรับเสียงหวาน พร้อมกับเบี่ยงตัวไปรับเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังโผเข้ามากอด

“น้องเพลงขา มาถึงก็วิ่งหาลุงไทยเลย ไม่คิดถึงคุณพ่อขาบ้างหรือคะ” มหาสมุทรถามลูกสาวยิ้มๆ

“คิดถึงสิคะ แต่วันนี้น้องเพลงต้องไปนอนบ้านคุณตากับคุณยาย ก็จะไม่เจอหน้าลุงไทยตั้งสองวัน น้องเพลงก็ต้องคิดถึงลุงไทยมากกว่าสิคะ” คีตศิลป์ยกนิ้วบอกจำนวนวันให้บิดาทราบ ไผทจึงหอมแก้มซ้ายขวาเพิ่มขึ้นข้างละหนึ่งทีเป็นรางวัล

และเมื่อได้มองหน้าหลานสาวเต็มๆ ตา ความกระจ่างก็เกิดขึ้นในใจ ภาพของเด็กที่ตัวเล็กกว่าหลานสาวซ้อนทับกับใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน ชายหนุ่มหันไปมองหน้าน้องชายอย่างสงสัย หากก็เป็นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย

“มีอะไรหรือครับพี่ไทย” มหาสมุทรถามอย่างสงสัย ก็จู่ๆ พี่ชายก็มองหน้าเขาเหมือนมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น

“คุณแม่อยู่ที่ไหนคะน้องเพลง” ไผทไม่ตอบคำถามน้องชาย แต่เลือกที่จะตั้งคำถามกับเด็กตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตัก

“คุณแม่คุยกับน้าสาวค่ะ”

“น้องเพลงช่วยไปบอกคุณแม่ให้รอคุณพ่อสักครู่นะคะ บอกว่าลุงไทยมีธุระสำคัญคุยกับคุณพ่อ เสร็จแล้วลุงไทยจะปล่อยตัวคุณพ่อให้พาน้องเพลงไปหาคุณตาคุณยาย หนูทำได้ไหมคะ” เขาไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัวหรือเปล่า อีกทั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยคนที่เขาเจอมันเป็นผลจากการกระทำของน้องชายด้วยหรือไม่

“ได้ค่ะ คุณพ่อขาน้องเพลงออกไปรอคุณพ่อข้างนอกนะคะ”

“ครับ แล้วคุณพ่อจะตามออกไปให้เร็วที่สุดเลย”

“ค่ะ”

“มีอะไรหรือครับพี่ไทย ทำไมมองหน้าผมแบบนั้น” เมื่อบานประตูถูกเลื่อนจนปิดสนิท มหาสมุทรก็ป้อนคำถามพี่ชายทันที

“นายแน่ใจนะว่านายมีลูกสาวแค่คนเดียว”

“เฮ้ย! ไหงพี่พูดแบบนี้ล่ะครับ จู่ๆ จะมาสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวผม” มหาสมุทรอุทานเสียงดังลั่น

“ก็พี่ไปเจอเด็กคนหนึ่งหน้าตาพิมพ์เดียวกับน้องเพลงเลย อายุอาจจะน้อยกว่าหน่อยเท่านั้นเอง” ไผทยังจ้องมองน้องชายอย่างจับผิด

“เอาผมไปสาบานกับวิญญาณเหล่ากง เหล่าม่า อากง อาม่า ที่ไหนก็ได้ ผมรักเพียงคนเดียว ไม่เคยนอกลู่นอกทาง พี่อย่ามาใส่ร้ายผมแบบนี้นะ ถ้าเพียงได้ยินเข้า บ้านแตกกันพอดี” มหาสมุทรโวยพี่ชายอีกรอบ

“แน่ใจนะว่านายไม่ได้เผลอไปทำผู้หญิงที่ไหนท้อง”

“จะบ้าเหรอพี่ วันๆ ผมอยู่กับนกกับปลา ติดเกาะตลอด แล้วจะเอาเวลาไหนไปทำผู้หญิงท้อง ผมว่าถ้าพี่กล่าวหาว่าผมทำนกนางแอ่นหรือไม่กุ้งหอยปูปลาในทะเลท้อง ยังมีความเป็นไปได้มากกว่าอีก ว่าแต่ผมอาจจะเป็นพี่ก็ได้ที่ไปทำใครท้อง หน้าผมกับหน้าพี่มันก็พิมพ์เดียวกันนั่นแหละ” คำแก้ตัวของน้องชายทำให้คนเป็นพี่ถึงกับอึ้ง เขาน่ะหรือจะไปทำใครท้อง เขาไม่ใช่พวกชอบเสเพลหรือฟันผู้หญิงเป็นว่าเล่น...ความคิดของไผทสะดุดลงอีกครั้ง เริ่มไม่แน่ใจในตัวเอง เมื่อเหตุการณ์บางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง

“ไม่ใช่นายก็ดีแล้ว พี่แค่ถามเพื่อความแน่ใจ ไม่อยากเห็นพ่อตานายจับนายโยนทะเล โทษฐานนอกใจลูกสาวเขา”

“ว่าแต่เด็กคนที่พี่พูดถึงหน้าตาเหมือนน้องเพลงมากหรือครับ” มหาสมุทรถามอีกครั้ง

“เหมือนมาก ตอนแรกพี่ก็ยังติดใจอยู่ว่าเคยเห็นหน้าเด็กคนนี้ที่ไหน มาถึงบางอ้อก็ตอนเห็นหน้าน้องเพลงชัดๆ เมื่อกี้นี้แหละ”

“แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ เดี๋ยวนี้คนหน้าเหมือนกันมีให้เห็นเยอะแยะ ยิ่งเด็กๆ ด้วย พอโตขึ้นเค้าหน้าก็เปลี่ยนไปจนไม่อย่างเชื่อว่าตอนเด็กๆ หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ” คนเป็นน้องพูดอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ผิดกับคนเป็นพี่ที่คิ้วเริ่มขมวดกันอีกแล้ว

“อย่าบอกนะว่าพี่ไทยไม่เชื่อผม” มหาสมุทรมองพี่ชายอย่างไม่แน่ใจ

“เปล่า แค่สงสัยอะไรบางอย่างนะ ไม่มีอะไรแล้วจะพาเพียงกับเพลงขึ้นฝั่งก็ไปเถอะศิลป์”

“พี่ไทยอยากได้อะไรที่ฝั่งหรือเปล่าครับ”

“ไม่มี เชิญนายตามสบายก็แล้วกัน”

“งั้นผมไปก่อนนะครับ” มหาสมุทรลาเจ้าของห้องด้วยการทำความเคารพอย่างที่บุพการีสั่งสอนเอาไว้ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากไปเพราะพายุที่โหมกระหน่ำจนเรืออับปางลง

“เดินทางปลอดภัย” คำอวยพรสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยที่คนเป็นพี่มีให้น้องเสมอ


ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอกลม(ย้วย)บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผ่านการใช้งานมานานกับกางเกงเลสีน้ำเงิน กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงใหญ่ สองมือยกขึ้นรองท้ายทอยของตน คำพูดของน้องชายเวียนกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาก็ตั้งสมาธิและนึกคิดไตร่ตรองความเป็นไปได้ของผลที่เกิดจากเหตุการณ์ในคืนนั้น

เขาจำได้ว่า หลังจากที่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายร้องเพลงของนักร้องสุดหล่อ โดม ปกรณ์ ลัม พร้อมถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จนเขาต้องคว้าปลายเสื้อกล้ามเอาไว้ก่อนที่มันจะหลุดจากร่างกายจากความพยายามของเจ้าของเป็นครั้งที่สอง ทั้งขู่ทั้งบังคับสารพัด จึงจะหยุดความบ้าของเธอลงได้ จากนั้นใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดผุดพรายจนสองแขนชื้น สลับกับความสนุกสุดเหวี่ยงด้วยการโยกย้ายส่ายสะโพกบนเบาะนั่งไปตลอดทาง เหมือนจะคุยกันรู้เรื่องแต่กลับไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องเพลง เดี๋ยวโอดครวญ เดี๋ยวจะแก้ผ้า จนเขาปวดเศียรเวียนเกล้า และเริ่มหนักใจ ด้วยไม่รู้ว่าเธอโดนยาเข้าไปกี่ขนาน ร่างกายของเธอจะรับยาพวกนั้นไหวหรือไม่ และเขาไม่รู้จะพาเธอไปไหน ในที่สุดจุดหมายปลายทางก็คือ คอนโด ที่เขาซื้อห้องพักเอาไว้ยามต้องมาทำธุระในเมืองหลวง

กว่าจะลากแม่สาวเปรี้ยวซ่าชั่วคราวขึ้นไปบนห้องพัก โดยไม่เป็นที่สนอกสนใจของผู้คนก็เล่นเอาเหนื่อย ทั้งประคอง ทั้งขู่แกมบังคับ ด้วยวิธีที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนก็คือ ถ้าไม่ทำตามจะไม่ให้กอด ไม่ให้จูบ และจะโยนเธอไว้ข้างถังขยะ คนกลัวถูกทิ้งจึงสิ้นฤทธิ์ แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ร่างบอบบางที่นอนแผ่หลาบนเตียงใหญ่ เริ่มทรมานจากฤทธิ์ยามากขึ้น ความทุรนทุรายเริ่มมีให้เห็น จนเขาอดสงสารไม่ได้ จึงรีบใช้น้ำเย็นเข้าช่วย เริ่มจากเช็ดตัวบรรเทาความร้อนระอุให้เธอ แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ เมื่อเธอพยายามจะคลุกวงในเขาให้ได้ ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ ไผทก็ตัดสินใจอุ้มหญิงสาวไปแช่น้ำเย็นในอ่างอาบน้ำ หวังจะช่วยบรรเทา แต่เสียงกรีดร้องอย่างกับโดนผีเข้าก็ทำให้เขาปวดหัวตึบ นอกจากเธอจะไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแล้ว ร่างบอบบางก็เริ่มหนาวสั่น อันเกิดจากสายน้ำเย็นและฤทธิ์ยาเริ่มต่อต้าน เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ต้องการ อาการไขว้คว้าหาความอบอุ่นจากเขาเริ่มต้นอีกครั้ง จนในที่สุดทุกอย่างก็จบลงบนเตียง ทั้งๆ ที่เขาพยายามสกัดกั้นอารมณ์ดิบของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่เธอกลับไม่ให้ความร่วมมือ ปลุกเร้าอารมณ์เขามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตบะแตก เมื่อเครื่องเดินเต็มสูบก็ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งมันได้อีก และเพราะฤทธิ์ยาทำให้เธอมีความต้องการทางเพศมากกว่าปกติ ครั้งแรกอาจจะทำไปเพราะความจำเป็น แต่ครั้งต่อๆ มา เขาต้องยอมรับว่า เขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเธอด้วยวิธีนี้ คืนนั้นเราจึงผ่านสมรภูมิพิศวาสด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนหมดแรงสลบคาอกกันเลยทีเดียว

ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีเวลาให้คิดและตรึกตรอง ซึ่งเวลานั้นเขาก็ตอบไม่ได้ว่า หากเธอถามหาความรับผิดชอบ เขาจะยินดีรับเมียเก็บตกได้หรือไม่ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจทุกอย่างโดยไม่ต้องถามความเห็นของเขาเลย เขารู้สึกตัวในเวลาย่ำค่ำของวันรุ่งขึ้น ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่พบใครนอกจากตัวเองนอนเปลือยกายท้าลมจากเครื่องปรับอากาศ รอบๆ กายหลงเหลือเพียงเศษซากที่เกิดขึ้นหลังสงครามสงบ สิ่งหนึ่งย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขาคือสามีคนแรกของเธอก็ยังคงไว้ให้เห็นบนผ้าปูที่นอน ความมึนงงและสับสนดุจตัวเองเป็นหญิงสาวที่ถูกคร่าพรหมจารีแล้วหาคนรับผิดชอบไม่ได้ ทำให้เขาเดินตัวลอยๆ เข้าห้องน้ำ สมองเบลอๆ คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรก่อน สุดท้ายก็ทิ้งตัวเองลงบนเตียงหลับไปอีกหน แล้วทุกอย่างก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา จนกระทั่งถึงวันนี้ หากคำนวณตามระยะเวลา มีความเป็นไปได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เด็กคนนั้นเป็นลูกของเขา แล้วเขาจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างไร จะตามตัวสองคนแม่ลูกคู่นั้นได้ที่ไหน และเขาควรออกตามหาทั้งสองคนหรือไม่


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการทำงานของใครบางคน มือที่เปื้อนคราบน้ำมันยื่นไปหยิบผ้าเช็ดมือที่มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ มาเช็ดมือทั้งสองข้างอย่างลวกๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน ยกหูโทรศัพท์ก่อนที่ปลายสายจะรอไม่ไหววางหูไปเสียก่อน

“บ้านสารพัดซ่อมค่ะ”

“เลข ฉันเอง”

“ใครวะ” แม้จะจำเสียงเพื่อนรักได้ แต่คณิตาก็แกล้งที่จะกวนอารมณ์คนปลายสาย

“อ้าวไอ้นี่ เดี๋ยวก็โยนข่าวดีทิ้งน้ำไปซะเลยนี่” เสียงคนปลายสายก็กวนกลับมาไม่แพ้กัน

“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งน้อยใจสิจ๊ะ ว่าแต่มีข่าวดีอะไรเหรอน๊อต”

“แกยังอยากได้งานประจำอยู่หรือเปล่า” กรีฑาถามเพื่อนเพื่อความแน่ใจ

“อยากสิ แกก็รู้ว่าตอนนี้ฉันต้องการความมั่นคงในชีวิตให้กับน้องนาฏ”

ตั้งแต่รู้ตัวว่าท้อง เธอก็จัดการบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่ให้สมดุลมากที่สุด เงินเก็บที่ได้จากการทำงานและร้องเพลง รวมถึงทองหยองที่มีอยู่น้อยนิด หมดไปในช่วงที่เธอทำงานไม่ได้ จนกระทั่งลูกสาวเธออายุได้สามเดือนนั่นแหละ เธอจึงเริ่มรับงานซ่อมโน่นซ่อมนี่ แต่ก็ยังไม่สามารถไปทำงานประจำอย่างคนอื่นได้

“แต่แกอาจจะต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง หากเลือกที่จะทำงานที่นี่” แม้ว่าเพื่อนจะยังไม่ได้ไปยื่นใบสมัคร แต่คุณสมบัติที่คณิตามีอยู่ก็เรียกว่าครบถ้วน จะมีข้อด้อยก็ตรงเป็นผู้หญิงกับมีลูกแล้วนี่ล่ะ

“ถ้ามันน่ากลัวนัก ฉันไม่เอาก็ได้” คณิตาบอกกลั้วเสียงหัวเราะไม่จริงจังนัก

“ไอ้บ้านี่ ฉันคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่เนี่ยที่โทรหาแก คนมันจริงจังนะเว้ย เดี๋ยวทหารเรือก็ตบบ้องหูวิศวกรเครื่องกลมือฉมังซะเลย”

“อย่าตอกย้ำได้ไหม ฉันมันก็แค่อดีตวิศวกรเท่านั้น” คณิตายิ้มเมื่อนึกถึงอดีต

สมัยที่เธอยังเป็นบัณฑิตรุ่นใหม่ไฟแรง เพศอาจจะเป็นอุปสรรคในการสมัครงาน แต่บรรดาวุฒิบัตรต่างๆ ที่เธอได้รับสมัยเป็นนักศึกษาก็เป็นใบเบิกทางให้เธอได้งานที่ดี และจากความพยายามเรียนรู้และฝึกฝน รวมถึงความสามารถที่มีอยู่ในตัว ก็ทำให้เธอกลายเป็นฟันเฟืองที่สำคัญตัวหนึ่งของบริษัท ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วย หากโชคชะตาไม่เล่นตลกให้ชีวิตของเธอดิ่งลงเหวอย่างกู่ไม่กลับ แต่ถ้าเธอมีโอกาสเลือกอีกครั้ง เธอก็เลือกเส้นทางนี้เช่นเดิม เพราะมันทำให้ชีวิตไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เธอมีคนที่เข้ามาแชร์ความรู้สึก มีคนที่ทำให้เธอรู้ว่า ชีวิตมีคุณค่าแค่ไหน คนคนนั้นไม่ใช่ใคร ลูกสาวตัวน้อยของเธอนั่นเอง

“ก็ถ้าแกสนใจงานที่ฉันบอก แกก็จะกลับมาเป็นแม่วิศวกรหญิงมือดีเหมือนในอดีตแล้วไง”

“แกพูดเหมือนแกฝากงานให้ฉันได้แล้วอย่างนั่นแหละ” คณิตากระเซ้าเพื่อนเล่นอีกครั้ง ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนเกลียดการเล่นเส้นเล่นสายมากที่สุด

“ฉันมั่นใจในฝีมือของแก ตกลงสนใจหรือเปล่า”

“ฉันต้องแลกกับอะไรบ้างล่ะ” คณิตาถาม

“ย้ายที่อยู่ ย้ายภาค ติดเกาะ จากที่ต้องขับรถอาจจะต้องเปลี่ยนมาขับเรือแทน แต่ค่าตอบแทนดี อนาคตรุ่ง”

“แกหมายถึงที่ไหน”

“เกาะเสมือนจันทร์”



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ม.ค. 2557, 09:43:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2557, 09:43:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1758





<< บทที่ 1   มนต์รักไผท บทที่ 3 >>
ไม้เอก 4 ม.ค. 2557, 13:11:13 น.
ว้าววว จะกลับมาเจอกันอีกครั้งแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account