ใต้ร่มดอกรัก
ปฏิบัติการตามล่าหา "ผู้ชายในฝัน"
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ๕ ก่อการ...รุก

ใต้ร่มดอกรัก

ก่อการ...รุก


ไอยเรศนั่งถอนหายใจเป็นครั้งที่สามภายในหนึ่งชั่วโมง หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าคางเบือนหน้าจากคู่สนทนาไปสนใจโลกภายนอกกระจกใสของร้าน ทว่าแม้สายตาจะจับจ้องทิวทัศน์ข้างนอก หูหล่อนก็ยังคงได้ยินเสียง

“เร็ว ๆ นี้จะมีพิธีเช็ดเท้าให้ท่านด้วยนะครับ ผมตื่นเต้นมากเลยเพราะเคยได้ยินมาว่าผ้าที่ใช้เช็ดเท้าท่านแล้วถ้านำไปขึ้นหิ้งบูชาจะให้โชคลาภมากมาย ผมตั้งใจเลือกผ้านำเข้าจากต่างประเทศเลยนะครับ” ประโยคบอกเล่าดังมาจากชายหนุ่มร่างท้วม ผิวขาวจัดกอปรกับดวงตายิบหยีภายใต้แว่นตากรอบทองค่อนข้างหนา พอให้เดาได้ว่าน่าจะมีเชื้อสายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ไอยเรศยิ้มพร้อมพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ยอมหันไปมองคู่สนทนา หล่อนรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท...แต่หล่อนก็ไม่อาจฝืนฟังเรื่องที่ชายหนุ่มเริ่มเล่านับตั้งแต่นั่งลงได้...คิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งอย่างหนักอก

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่หล่อน ‘เผลอ’ กระโจนเข้าหาชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น แม้จะเพียรอธิบายเหตุผลซึ่งหาหลักฐานอ้างอิงยากแสนยากแล้ว มีเพียงผู้เป็นแม่และน้องสาวที่เอนเอียงเหมือนจะเชื่อ ส่วนผู้เป็นพ่อและพี่ชายต่างก็ส่ายหน้ามุมปากตก ปฏิกิริยานั้นเองส่งผลให้หล่อนต้องออกมาระเหเร่ร่อนนอกสวนกล้วยไม้บ่อยขึ้น นั่นเพราะคุณฉันท์ซึ่งเคยเข้าข้างหล่อนอยู่เนือง ๆ ยามถูกผู้เป็นแม่ขอร้องกึ่งบังคับให้มาทำความรู้จักกับหนุ่ม ๆ ผู้ถูกไหว้วานให้มาดึงหล่อนลงจากคาน ครั้งนี้เป็นคุณฉันท์เองที่เอ่ยปากบอกภรรยาให้แนะนำหนุ่มโสดให้ลูกสาวและคุณอุไรก็รับปฏิบัติด้วยความเต็มใจ

วันนี้ก็เช่นกัน ไอยเรศถูกผู้เป็นแม่ไหว้วานให้มารับของซึ่งฝากให้ลูกชายของเพื่อนเอามาให้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการหาข้ออ้างให้หล่อนได้เห็นหน้าค่าตา ได้พูดคุยทำความรู้จักกันก่อน แม้ไม่ชอบใจแต่หล่อนก็ไม่เคยขัดใจ และทุกครั้งมักจะจบลงด้วยการบอกศาลาทั้งสองฝ่ายแต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้ละความพยายาม

‘ลูกชายเพื่อนแม่ ไปเจอกันที่วัด เขาชอบทำบุญเคยบวชเรียนสองพรรษาแน่ะ ดูท่าทางนิ่ง ๆ เย็น ๆ น่าจะเข้ากับอายได้นะลูก’ คำบรรยายสรรพคุณจากผู้เป็นแม่ทำให้ไอยเรศมุมปากตกตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า

‘อายไม่ชอบคน ‘ทำมะ’ อายชอบคน ‘ทำ’ เฉย ๆ’ หญิงสาวย้อนและได้รับรางวัลเป็นการมองค้อนจากคุณอุไร และชายหนุ่มที่หล่อนมาพบเจอก็ไม่ผิดจากคำโฆษณาของผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย เริ่มจากชื่อ “ทองธรรม” ฟังดูเป็นไทยขัดแย้งกับเชื้อสายบนใบหน้า ไฝเม็ดใหญ่ดำเด่นสะดุดตาตรงมุมปากทำให้ไอยเรศอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มน่าจะชอบเจรจา และหล่อนก็เดาไม่ผิดเสียด้วย

เรียกได้ว่าตั้งแต่เริ่มนั่ง หลังจากแนะนำตัวแล้วเขาก็พูดไม่หยุด เรื่องเล่าล้วนแต่เกี่ยวกับการเดินทางแสวงบุญเพิ่มบารมี แรก ๆ ไอยเรศก็อือออตอบรับบ้างเป็นระยะ แต่เมื่อชายหนุ่มเริ่มเยอะจนเล่าเลอะไปเรื่อยหล่อนก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หวังเป็นอย่างยิ่งให้อีกฝ่ายรู้ตัวแต่ก็เปล่าดาย นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้วยังพูดต่อเป็นน้ำไหลไฟดับ จนหญิงสาต้องหาทางแก้ปัญหาอาการเบื่อด้วยการเปลี่ยนทัศนียภาพไปเป็นทางอื่นซึ่งไม่ใช่ใบหน้าของคนชอบทำบุญ

การเฝ้ามองผู้คนสัญจรข้างนอกชวนเพลิดเพลินและพาให้ความคิดเริ่มโบยบิน แผ่นหลังของคนเดินผ่านไปชวนให้คิดถึงแผ่นหลังเลือนรางของคนในความฝัน และถูกซ้อนทับด้วยภาพของตัวเป็น ๆ ดิ้นได้ของชายหนุ่มคนนั้น พลันหัวใจก็ไหวระรัว หล่อนอยากรู้เหลือเกินว่าความเป็นไปได้ระหว่างคนในความฝันกับคนในความจริงสามารถเกิดขึ้นได้ไหม...ความจริงที่รอการพิสูจน์ข้อนี้คงไม่ประสบผล ตราบใดที่หล่อนยังคงเวียนวนอยู่ที่นี่และทำได้ดีที่สุดแค่ฝันถึง ชื่อรีสอร์ทสงบสุขผุดวาบเข้ามาในมโนนึก พร้อมกับสาเหตุการมาเยือนของชายหนุ่มคนนั้น มันช่างประจวบเหมาะแก่การค้นหา ยิ่งมีเหตุการณ์ประหลาดตอนหล่อนขอพรจากพระพรหมเอราวัณด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งมั่นใจว่าคำ “ตามนั้น” ของผู้ชายประหลาดสูทขาวต้องหมายถึงเรื่องนี้เป็นแน่...ทว่า คำคัดค้านจากประมุขของบ้านก็ทำให้หล่อนหนักใจในปฏิบัติการตามล่าหาความจริงนี้เหลือเกิน หญิงสาวคิดพลางถอนหายใจหนักหน่วง

“เรื่องเล่าของผมน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือครับ ?!” คำถามเสียงเข้มขุ่นพร้อมการเคาะโต๊ะเบา ๆ เรียกภวังค์คิดของไอยเรศให้หวนกลับมาสู่ปัจจุบัน หญิงสาวเบือนหน้ากลับยกคิ้วสูงคล้ายส่งคำถาม “ผมเรียกคุณอายตั้งหลายครั้ง คุณก็เอาแต่เหม่อ” เขาว่าพลางขยับแว่นสายตาเขม็งมอง ไอยเรศถอนหายใจอีกครั้ง อมยิ้มนิด ๆ เมื่อเอ่ยตอบ

“ค่ะ...น่าเบื่อมาก” หญิงสาวลากคำลงท้ายยาวเลื้อย มองสีหน้าชายหนุ่มซึ่งเปลี่ยนจากไม่พอใจเป็นแปลกใจอย่างรวดเร็วกับคำตอบตรง ๆ นั้น “คือ...ฉันมันประเภทคนบาปค่ะ ฟังเรื่องธรรมะทีไรรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขนลุกบอกไม่ถูก” ไอยเรศอธิบายประกอบคนฟังสีหน้าดีขึ้น ขยับเนื้อขยับตัวก่อนเอ่ยต่อ

“ผมเองก็เคยเป็นครับ แต่พอได้รู้จักการปฏิบัติธรรม และได้พบกับท่านแล้วชีวิตดีขึ้นมากเลย คุณไอยเรศไปพบท่านหน่อยดีไหมครับ ? ลูกศิษย์ท่านเยอะมากแต่ถ้าเป็นผมนัดให้รับรองได้คิวเร็วแน่นอน” เขาบอกอย่างมั่นใจ ท่าทีกระตือรือร้นนั้นไอยเรศมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า หญิงสาวผุดลุกขึ้นหยิบธนบัตรวางบนโต๊ะขณะที่ชายหนุ่มได้แต่เงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ

“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงฉันจะไม่ใช่คนธรรมะแต่ฉันก็พอหาทางปล่อยวางของฉันเองได้ ขอให้คุณมีความสุขกับการซับน้ำล้างเท้าเอาผ้าไปบูชานะคะ อ้อ อย่าลืมถามท่านของคุณก่อนนะว่ามีเชื้อโรคเชื้อราที่เท้าหรือเปล่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าคุณกราบไหว้บูชาเชื้อราไปเสียได้...ลาล่ะค่ะ” พูดจบไอยเรศก็เดินออกจากร้านชนิดไม่ยอมหันกลับไปมองว่าชายหนุ่มจะอยู่ในกริยาเช่นใด หญิงสาวได้แต่สูดลมหายใจกับบรรยากาศซึ่งเริ่มผ่อนคลาย สายตามุ่งมั่งส่งตรงไปยังทางเดินข้างหน้าไม่วอกแวก...เห็นที หล่อนต้องบุกยึดดินแดนอิสรภาพคืนในเร็ววันเสียแล้ว !!


สวนกล้วยไม้ไอยเรศบริเวณโรงเรือนที่หนึ่งวันนี้ คนงานอุ่นหนาฝาคั่งเป็นพิเศษเพราะเป็นวันลงต้นอ่อนหลังจากปล่อยโรงเรือนว่างมาร่วมเดือน คนงานสาละวนวางกระถางลงบนรางโดยมีไอยเรศเป็นผู้นำทีมทำเป็นตัวอย่างให้ดูพร้อมกับสอนไปด้วย ขณะเดียวกันคนงานที่สงสัยในวิธีการก็เอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมและไอยเรศก็ตอบทุกคำถามอย่างไม่หวงวิชาหรือเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ความที่ทำงานร่วมกันมานานจึงทำให้พอรู้จักนิสัยใจคอของนายจ้าง คนงานหลายคนจึงกล้าพูดจาเล่นหัวได้ แต่ก็ให้ความเกรงใจอยู่ในที หลายคนที่พอเก็บหอมรอมริบมีทุนพอผนวกกับได้ความรู้จากสวนไอยเรศก็ลาออกไปเลี้ยงกล้วยไม้ส่งตลาด แม้คุณภาพไม่ดีเท่าสวนไอยเรศแต่หากลูกค้าต้องการกล้วยไม้และสวนไอยเรศมีไม่พอก็มักจะแนะนำให้ใช้บริการของสวนอดีตคนงาน การติดต่อสัมพันธ์แบบมิตรจิตมิตรใจทำให้มิตรภาพระหว่างสวนกล้วยไม้ดีขึ้นเป็นลำดับและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากดูแลคนงานได้สักพัก เห็นว่าสามารถวางใจให้ทำต่อได้ไอยเรศก็วางมือปล่อยให้หัวหน้าคนงานคุมต่ออีกที หญิงสาวเดินตรงไปยังห้องแล็บซึ่งต่อเติมเพิ่มจากตัวบ้านเพื่อสะดวกในการทำงานของผู้เป็นพ่อ ถอดหมวกและเสื้อคลุมวางไว้เรียบร้อยก็เคาะประตูกระจกใสพอเป็นพิธี คนอยู่ในห้องเพียงเบือนหน้ามามองแวบเดียวก่อนก้มลงไปง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะต่อ

“พ่อ วันนี้อายลงต้นใหม่ที่โรงหนึ่ง” ไอยเรศเอ่ยพร้อมลากเก้าอี้มานั่งใกล้ผู้เป็นพ่อ

“รู้แล้ว เห็นโหวกเหวกโวยวายตั้งแต่เช้า” คุณฉันท์ตอบโดยไม่มองหน้า “แล้วนี่กินข้าวกินปลาหรือยังล่ะเราน่ะ เห็นง่วนอยู่โรงหนึ่งตั้งแต่ไก่ตื่น” ถามต่ออย่างห่วงใย

“เรียบร้อยแล้วค่ะ อุ๊ยกไปถวายถึงปากเลย นี่ถ้าเคี้ยวกลืนแทนได้อุ๊คงทำไปแล้ว” หญิงสาวพูดติดตลก ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากว่าที่ดอกเตอร์หนุ่มก็อดหันไปแขวะไม่ได้ “ต๊าย หัวเราะกับเขาก็เป็นด้วยหรือคุณน้องเขย นึกว่ายิ้มเป็นอย่างเดียวเสียอีก” คนถูกแขวะเพียงยิ้มรับ เห็นว่าการก่อกวนไม่ได้ผลไอยเรศก็หันมาชวนคุณฉันท์คุยต่อ

“พี่มะตูมเจ๋งดีนะพ่อ เดือนก่อนอายสอนเรื่องพาเด็กออกจากขวด ไม่ได้ให้แตะเลยนะแค่ทำให้ดู เมื่อวานให้ลองทำเอง เด็กคลอดครบองค์ประกอบเลย ต่อไปถ้าอายไม่อยู่ก็หายห่วงเรื่องทำคลอดแล้วล่ะ” หญิงสาวเอ่ยถึงคนงานซึ่งถูกคัดเลือกให้เป็นคนนำต้นอ่อนออกจากขวดเพาะซึ่งต้องใช้ความชำนาญและความระมัดระวังเป็นพิเศษ

“ก็ดีแล้วนี่” คุณฉันท์เออออรับ

“คนงานใหม่สี่ห้าคนที่รับเพิ่มเมื่อต้นเดือน ตอนนี้ก็เริ่มตัดดอกได้สวยแล้วก็คัดแยกวางเรียงได้ถูกวิธีหายห่วงแล้วด้วย” ไอยเรศว่าต่อ “ถ้าอายไม่อยู่นานหน่อยก็ไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว...หมดห่วง” หลังจบประโยคคุณฉันท์ชะงักปากกาในมือก่อนค่อย ๆ เบือนหน้ามายังลูกสาวซึ่งส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว

“ต้องการอะไร ?” คุณฉันท์เอ่ยถามอย่างรู้ดีว่าเกริ่นนำยาวแบบนี้ ยังไม่ถึงสิ่งที่ลูกสาวต้องการบอก ยิ่งหรี่ตามองเห็นรอยยิ้มกว้างขวางจนตาหยิบหยีผิดปกติของลูกสาวแล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

“เปล่านะพ่อ อายไม่ได้ต้องการอะไร” หญิงสาวปฏิเสธพลางส่ายหน้าแรง ๆ ทว่าประกายตาพร่างพราวเจือแววเจ้าเล่ห์นั้นก็ยากจะทำให้ผู้เป็นพ่อเข้าใจคำ ‘เปล่า’ ไปอีกทาง

“เอาตรง ๆ อย่าอ้อมค้อม” คุณฉันท์บอกเสียงยานคาง ท่าทีของลูกสาวเปลี่ยนเป็นรื่นเริงทันที

“คืออายพูดเผื่อไว้น่ะพ่อ เผื่อว่าอายต้องไปอยู่ที่อื่นนาน ๆ ก็ไม่ต้องห่วงว่างานจะไม่เดินอายฝึกคนให้ถูกกับงานไว้หลายคนวางใจได้” คำอธิบายนั้นแจ่มชัดราวกับว่าได้รับใบอนุญาตให้ไปทำงานนอกสถานที่ได้แล้ว

“ทำไมต้องเผื่อ...ในเมื่อพ่อไม่ให้ไป” คุณฉันท์บอกเรียบ ๆ

“แต่อายรับปากพี่พระเอกไปแล้วนะพ่อ พี่แกทำหนังสือเชิญมาแล้วด้วย” ไอยเรศโวยวาย

“ก็ให้ไปสอนเด็กสองอาทิตย์ ถ้าซ้อม ถ้าสอนจริงจังเวลาแค่นั้นก็ถมถืดไป เสร็จจากสอนก็กลับมาทำงานต่อ อนุมัติแค่นั้น” ผู้เป็นพ่อพูดต่อ

“โธ่ พ่อ...ไหน ๆ ก็ได้ไปถึงที่แล้ว อายขอไปสร้างชื่อให้สวนไอยเรศหน่อยสิ อายไม่ทำให้เสียชื่อพ่อหรอกน่า” หญิงสาวครวญ ขยับเก้าอี้ไปนั่งใกล้มือวางแหมะบนท่อนแขนผู้เป็นพ่อซึ่งยังคงนั่งนิ่งแสร้งมองเลยผ่านไม่ยอมสบตากับลูกสาว

“พ่อไม่ได้กลัวเสียชื่อ”

“งั้นก็ให้อายไปสิ” ไอยเรศรีบรุก

“พ่อไม่ให้ไป” คุณฉันท์ตอบทันควัน

“ทำไมล่ะพ่อ...อายไม่ได้จะไปฆ่าใครสักหน่อย”

“แต่กิริยาน่าขายหน้าของอายวันนั้นยังติดตาพ่ออยู่เลยนะ...แล้วอย่างนี้ถ้าพ่อยอมให้อายไปทำเรือนกล้วยไม้ที่นั่นจะมั่นใจได้ยังไงว่าอายจะไม่ไปเผลอจับเนื้อจับตัวคุณการัณย์แบบนั้นอีก” คุณฉันท์ให้เหตุผล ลูกสาวได้แต่ทำหน้าเมื่อยเหนื่อยอ่อนถอนใจ

“พ่อ...อายอธิบายให้ฟังแล้วไงว่าอายไม่ได้ตั้งใจ อายไม่รู้สึกตัวจริง ๆ ตอนที่เกิดเหตุนั่นน่ะ” ไอยเรศบอกเนือย ๆ

“เหตุผลมันฟังไม่ขึ้นเลยนะอาย อีกอย่างพ่อก็รู้สึกแปลก ๆ ...อืม อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้อายไป...” ท้ายประโยคคล้ายพูดกับตัวเอง

“เอาจริง ๆ นะพ่อ...พ่อกำลังเกิดอาการหวงลูกสาวใช่มะ ?” ลูกสาวถามอย่างตีรวนพลางหรี่ตามองอย่างหาเรื่อง คุณฉันท์ชะงักก่อนตอบกลับด้วยกิริยาเดียวกัน

“พ่อนี่นะ...หวงลูกสาว ? ถ้าหวงจะปล่อยอุ๊ให้ภูมิเหรอ ?” คราวนี้คนเป็นลูกสาวเป็นฝ่ายชะงักก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ

“พ่อ...อายภูมิใจวิชากล้วยไม้ที่พ่อสอนอายด้วยประสบการณ์ตรงมากเลยนะ บอกตรง ๆ อายอยากอวดฝีมือตัวเอง อยู่ที่สวนเราถึงอายจะได้ลงมือแต่อายก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกมือมาโดยตลอด พอมีโอกาสดีให้อายได้ใช้วิทยายุทธแบบนี้ พ่อก็จะไม่ยอมให้อายทำหน่อยเหรอ ? ส่วนเรื่องคุณการัณย์นั่นถ้าเกิดอายกับเขาเป็นคู่กันยังไงมันก็คงไม่แคล้วกันหรอก...ถ้าพ่อว่าที่อายทำวันนั้นมันน่าขายหน้า แล้วที่อายต้องออกไปพบปะพูดคุยกับผู้ชายที่แม้แต่พ่อเองก็ยังไม่เคยรู้จักเรียกว่าอะไรล่ะ...พ่อไม่เชื่อมั่นในตัวอายขนาดนั้นเลยเหรอคะ ?” คำถามเรียบเรื่อยลงท้ายหนักแน่นส่งผ่านมาในทุกถ้อยคำ ไม่เพียงแต่คุณฉันท์ซึ่งนั่งฟังนิ่งเงียบ ภูมิใจเองก็พลอยหยุดงานที่ทำมองมายังหญิงสาวอย่างเข้าใจ

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” คุณฉันท์เอ่ยในที่สุด ถอนหายใจหนัก ๆ มองสีหน้ารอคอยความหวังของลูกสาว “พ่อจะไปปรึกษากับแม่อีกที ได้เรื่องยังไงพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” แม้จะพูดเหมือนตัดบท แต่ก็เรียกรอยยิ้มคืนใบหน้านั้นได้ ไอยเรศผุดลุกไปสวมกอดผู้เป็นพ่ออย่างขอบคุณ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องแล็บไม่วายทิ้งทวน

“อายจะรอคำอนุญาตอย่างเป็นทางการด้วยใจจดจ่อเลยนะพ่อ !”



ลมอุ่นพัดโชยชายพากลิ่นและบรรยากาศแสนคุ้นเคยให้รีบลืมตามอง ท้องทุ่งโล่งกว้างสีเขียวสวยทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ความนุ่มละมุนของยอดหญ้าซึ่งสัมผัสเท่าเปลือยเปล่าส่งให้ความรู้สึกเริงรื่นแตกกระจายไปทั่วร่าง หญิงสาวเงยมองไปยังจุดหมายซึ่งคือต้นไม้ใหญ่ยืนโดดเดี่ยวกลางเนินกว้าง เท้ารีบเดินเร่งให้ถึงโคนต้นมือเรียวยื่นไปสัมผัสแผ่วเบาบนเปลือกไม้แตกระแหงลมพัดใบไม้ไหวล้อคล้ายตอบรับการทักทายจากหล่อน รอยยิ้มผุดพรายบนเรียวปากก่อนหันหลังพิงต้นไม้พร้อมกับทรุดนั่ง กางแขนออกสุดความกว้าง สูดลมหายใจรับกลิ่นแสนคิดถึงเข้าเต็มปอด เสียงกระแอมเบา ๆ ดังแทรกพาให้สะดุ้งหันมองซ้ายขวาด้วยความยินดี

“คุณ !” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังตอบรับ นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของมวลดอกไม้

“ไม่พบกันนานนะครับ” เขาเอ่ยทัก เสียงนุ่มอุ่นของเขาทำให้หญิงสาวไม่อาจหุบยิ้มได้

“ค่ะ” หล่อนตอบรับเขิน ๆ อดชะโงกซ้ายขวาสอดสายตาหมายมองเห็น แต่ก็เหมือนเช่นทุกครั้ง...ส่วนปลายของชายเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเจนตา เห็นอยู่ใกล้แต่ไม่เคยเอื้อมถึง

“คุณคงยุ่งจนไม่มีเวลามาที่นี่” เขาเอ่ยเสียงอุ่น ไอยเรศยิ้มรับกับอากาศเบื้องหน้า

“ค่ะ” หลังคำตอบรับของหล่อน ดูเหมือนชายหนุ่มจะเงียบไปนานจนคนรอฟังอดชะโงกหน้าไปดูอย่างใจหายไม่ได้...เชิ้ตลายสก็อตปลิวไหวตามแรงลมอ่อนเบาทำให้หล่อนใจชื้นว่าเขาไม่ได้หายไปอย่างนึกกลัว

“คุณ...ไม่อยากคุยหรือครับ ?” คำนั้นเจือแววตัดพ้อ

“อยากค่ะ !” หญิงสาวละล่ำละลัก ก้มลงใช้มือทึ้งยอดหญ้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่ออย่างเขิน ๆ “แต่...ไม่รู้จะคุยอะไร...มันดีใจที่ได้ยินเสียงคุณจน...จนคิดเรื่องคุยไม่ออก” มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับพร้อมเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วไป นึกว่าจะไม่อยากคุยกับผมแล้วเสียอีก”

“ฉันอยากคุยสิคะ อยากเห็นหน้า...อยากสบตา...อยาก...” ไอยเรศยกมือปิดปากเมื่อรู้สึกว่าพูดจาเปิดเผยมากเกินไป ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะขบขันกลับมาอีกครั้ง

“เหมือนกันเลยครับ...แต่...คงยังไม่ถึงเวลา เราถึงได้หมุนวนเป็นวงกลมไม่บรรจบกันอยู่อย่างนี้”

“คิดเหมือนกันเลยค่ะ” หล่อนบอกยิ้ม ๆ มีเสียงสวบสาบจากการเสียดสีของผ้า ไอยเรศเงี่ยหูฟังก่อนเอ่ยถาม “คุณจะไปแล้วหรือคะ ?”

“ครับ...ผมมีธุระต้องรีบไปจัดการ...น่าเสียดายจัง ทั้งที่ผมรอคุณทุกวัน แต่ได้คุยกันนิดเดียว”

“รอ...ทุกวัน” หญิงสาวพึมพำ แต่เสียงนั้นดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน

“ครับ...รอทุกวัน...คิดถึงนะครับ” เสียงตอบกลั้วยิ้ม หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัวหันหน้าเข้าหาต้นไม้ใหญ่จ้องราวกับจะให้ทะลุถึงคนพูด หัวใจตอนนี้เต้นไหวระรัวราวกับตีกลองเพราะประโยคลงท้ายของเขาความยินดีซึมซาบสู่หัวใจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกาย หญิงสาวยกมือขึ้นโอบต้นไม้ แม้จะไม่รอบลำต้นแต่ก็หวังจะให้รอยกอดส่งถึงคนอีกฝั่ง แก้มนุ่มเนียนแนบแน่นอยู่กับเปลือกไม้ตะปุ่มตะป่ำ ปิดเปลือกตาพริ้มอย่างเปี่ยมสุข

ความอุ่นชนิดหนึ่งทาบทับลงบนหลังมือทั้งสองข้าง ไม่มองก็รู้ว่าความอุ่นนั้นมาจากอุ้งมือของใครอีกคน หญิงสาวลืมตาโพลงเมื่อความคิดมาเยือน ชะโงกหน้าหมายไปมองเพื่อย้ำความรู้สึกแม้จะรู้ว่าไม่มีทางเห็น พลันความอุ่นนั้นร้อนขึ้นทว่าความเย็นวาบกลับแล่นเข้าสู่ภวังค์จนกระทั่งสะดุ้งตื่น...

หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราย ทว่าในร่างกายกลับรู้สึกหนาวเหน็บจนต้องคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย มองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงบอกเวลาสามนาฬิกาของวันใหม่ ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาตื่นเพื่อเริ่มงาน หญิงสาวเอนกายลงบนที่นอน เครื่องปรับอากาศถูกตั้งเวลาปิดไว้ ตัดการส่งความเย็นไปแล้วแต่ยังเหลือกระไอพอให้สบาย ทว่าสำหรับไอยเรศในตอนนี้ต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ กระนั้นก็อดยกมือทั้งสองข้างขึ้นดูไม่ได้...หล่อนรู้ว่าตัวเองฝัน...แต่ทำไมความอบอุ่นนั้นยังคงทิ้งร่องรอยบนหลังมือให้รู้สึกอยู่หนอ...หญิงสาวคิดพลางเพ่งสายตาผ่านความสลัวรางไปยังหลังมือตัวเอง


แสงแรกของวันฉายจับขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ผู้คนเริ่มต้นปฏิบัติภารกิจแห่งวันบ้างรีบเร่ง บ้างเรียบเรื่อย พระสงฆ์ออกบิณฑบาตเดินเรียงแถวเป็นแนวสวย จีวรสีเหลืองสะบัดปลิวตามการย่างก้าว ใบหน้าก้มต่ำมองเพียงการก้าวเดินของตน ในมืออุ้มบาตรปิดฝาเดินอย่างสำรวม รั้งท้ายสุดด้วยเด็กวัดซึ่งลากรถเข็นคันเล็กข้างในบรรจุของแห้งซึ่งมีผู้ใส่บาตรจากที่อื่น มุ่งหน้าบิณฑบาตกลับไปยังวัดซึ่งอยู่ท้ายซอย ทางเดินผ่านหน้าสวนกล้วยไม้ไอยเรศซึ่งมีคนงานหลายคนมารอใส่บาตรอยู่เป็นประจำ วันนี้เพิ่มพิเศษคือเจ้าของสวนมาร่วมทำบุญด้วย อาจเป็นเพราะห่างเหินการทำบุญตักบาตรมานาน กอปรกับความฝันอันทิ้งรอยอุ่นเมื่อคืนนี้ ไอยเรศจึงตื่นเช้าเพื่อมาทำบุญ ระหว่างรับพรจากพระหญิงสาวอดอธิษฐานถึงเรื่องความฝันไม่ได้

‘ขอให้ความจริงมาถึงเร็ว ๆ’

ไอยเรศหลับตาพริ้ม ขณะอธิษฐานหล่อนรับรู้ถึงความเงียบ แว่วได้ยินเสียงมโหรีลอยมาพร้อมกลิ่นควันธูปบางเบา กำลังตัดสินใจลืมตา เสียงอ่อนนุ่มก็ดังในภวังค์นึก

‘ใจเย็น ๆ ใกล้แล้ว’

เมื่อลืมตา ไอยเรศเห็นเพียงจีวรสีเหลืองนวลสะบัดปลิวตามแรงขยับ แถวพระรับบาตรเดินผ่านไปแล้ว คนงานเริ่มเก็บของกลับเข้าสวนเพื่อเริ่มงานวันใหม่หลายคนแซวหล่อนว่าอธิษฐานนานเกิน ทว่าความจดจ่อของหล่อนตอนนี้คือเจ้าของเสียง หลังจากหันซ้ายขวามองแล้วไม่เห็นใคร หญิงสาวก็ได้แต่ขนลุกซู่อยู่ลำพัง แม้ได้ยินเพียงครั้งเดียวแต่หล่อนก็จำได้แม่นว่าเสียงนั้น...คือเสียงของผู้ชายชุดขาวในปรากฏการณ์ประหลาด ณ ศาลพระพรหมเป็นแน่ !

พร้อมกับอาการขนลุก ความมั่นอกมั่นใจก็เริ่มไหลรินเข้าสู่ร่างกาย แม้จะกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็นแต่หล่อนก็อดเชื่อตามคำลอยลมนั้นไม่ได้ หากเป็นอย่างที่เข้าใจหล่อนคงไม่ถอยอีกแล้วเป็นแน่ หญิงสาวหันกลับก้าวเดินเข้าตัวบ้าน เป้าหมายคือผู้มีสิทธิ์อนุมัติปฏิบัติการของหล่อน ไอยเรศมั่นใจนักว่าครั้งนี้ถ้าไม่สำเร็จหล่อนจะไม่ถอยเด็ดขาด!!



“นะพ่อ...ให้อายไปเถอะ อายสัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียชื่อทั้งเรื่องกล้วยไม้ และก็เรื่องอื่นที่พ่อห่วงด้วย”

ไอยเรศเอ่ยขึ้นประโยคแรกหลังจากขอร้องให้คุณฉันท์กับคุณอุไรรับฟังหล่อนอีกสักครั้ง ฝ่ายคุณฉันท์เองก็เห็นแก่ความพยายามของลูกสาวที่เพียรเอ่ยขออนุญาตแทบจะเรียกได้ว่าสามเวลาหลังอาหาร อีกทั้งได้สัญญาไว้แล้วว่าจะให้คำตอบหลังจากคุยกับผู้ร่วมอนุมัติอีกคน แม้กับภรรยาเขาจะยังยืนยันคำเดิมแต่น้ำเสียงของเขาก็เริ่มแผ่วเบากว่าเคย ยิ่งฟังการเน้นคำ ‘เรื่องอื่น’ เป็นพิเศษของลูกสาว สายตามุ่งมั่นสานสบอย่างไม่ลดละ ครู่ใหญ่คุณฉันท์ก็ถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนหันไปมองภรรยาซึ่งนั่งนิ่งเงียบมาตลอด

“คุณว่ายังไง ?” ถามอย่างขอความเห็น สีหน้าครุ่นคิดของผู้เป็นภรรยาซึ่งปกติมักจะโวยวายดูสงบนิ่งผิดวิสัยเป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก

“เราเลี้ยงลูกมาแบบให้เขามีความคิดของตัวเองก็จริง แต่ตลอดมาลูกก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าความคิดและการกระทำของเขาไม่เคยทำให้เราหนักใจ เขาเองก็เคารพความคิดและการกระทำของเรามาโดยตลอด ฉันมั่นใจว่าหากเกิดอะไรขึ้นลูกคงสามารถรับผิดชอบการตัดสินใจของเขาได้” คุณฉันท์ได้แต่อ้าปากค้างหลังฟังจบ ไม่ใช่เพียงเนื้อถ้อยใจความของคำพูดเท่านั้น แต่รวมถึงสีหน้าและน้ำเสียงของภรรยาซึ่งผิดความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

“หมายความว่า ?” คุณฉันท์เอ่ยตะกุกตะกัก คุณอุไรพยักหน้ารับ

“ฉันอนุญาตค่ะ” ไอยเรศฉีกยิ้มกว้างเมื่อฟังคำนั้นจบ แม้อยากกระโดดโลดเต้นแต่หล่อนก็ต้องเก็บอาการไว้ เพราะผู้อนุมัติอีกคนยังคงอยู่ในภาวะนิ่งเงียบ สีหน้าไม่เห็นด้วยแสดงออกชัดเจน ครู่ใหญ่คุณฉันท์ก็ถอนหายใจอีกเฮือกก่อนเอ่ยคำ

“ถึงจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าแม่อนุมัติพ่อก็คง...ตามนั้น” แม้คำลงท้ายจะแผ่วเบา แต่ไอยเรศก็รีบผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อฟังจบ หญิงสาวตรงเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อ เอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่า

“อายรับรองว่าเรือนกล้วยไม้ฝีมือไอยเรศจะไม่ทำให้พ่อเสียหน้าเด็ดขาด” พูดจบหญิงสาวก็ผละจากผู้เป็นพ่อหันมาสวมกอดคุณอุไร “อายรับรองว่า...อายจะไม่ทำตัวเหลวไหลให้แม่เสียความมั่นใจในตัวอาย และอายจะทำให้ฝันของแม่เป็นจริงให้ได้” คำรับรองของหญิงสาวมาพร้อมประกายพร่างพราวในดวงตา

“ความฝันของแม่ ? อะไรเหรอลูก ?” คำถามของคุณอุไรไม่ได้รับตอบนอกจากรอยยิ้มและประกายตาวับวาวของลูกสาว กิริยานั้นชวนให้สงสัยยิ่งนัก อยากถามเซ้าซี้แต่ลูกสาวก็ผละจากพร้อมให้เหตุผล

“งั้นอายขอไปเตรียมตัวก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงกลับห้องตัวเอง ทิ้งให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงงสงสัย

ประตูห้องปิดสนิทไอยเรศเอนหลังพิงประตูห้อง ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก หัวคิ้วขมวดมุ่นก่อนหน้านั้นคลี่คลาย ริมฝีปากยกยิ้มและเริ่มขยายวงกว้างจนเห็นไรฟัน หญิงสาวกำมือทั้งสองข้างแน่นก่อนยกขึ้นถองศอกพลางกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด หล่อนเดินตรงไปเปิดหน้าต่างมองออกไปยังทิวทัศน์ของสวนไอยเรศ สายตาเวิ้งว้างไร้จุดหมายส่งไปยังท้องฟ้าสดใส อุปาทานมองเห็นเมฆลอยกระจายรวมตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายใบหน้าของใครบางคน หญิงสาวได้แต่ยิ้มกับเมฆกลุ่มนั้นพลางถอนหายใจอย่างเป็นสุขเมื่อนึกถึงปลายทางที่กำลังจะก้าวไปหา...บทพิสูจน์ผู้ชายในฝันเริ่มขึ้นแล้ว !



กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกลากถูลู่ถูกังมาวางไว้ใกล้กับที่นั่งซึ่งถูกจัดไว้ในบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารประจำจังหวัด ความที่เป็นจังหวัดใหญ่สถานีขนส่งจึงกว้างขวางและพลุกพล่าน มีรถโดยสารเข้าจอดตลอดเวลา ไอยเรศยกข้อมือดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาล่วงเข้ายามบ่าย เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนถึงเวลานัดกับคนมารับ หญิงสาวเลือกหาที่นั่งซึ่งว่างอยู่ไม่มากนัก ได้ที่นั่งแล้วหล่อนก็หยิบแผนที่ซึ่งได้มาจากรุ่นพี่ผู้ต้องการความช่วยเหลือ มีทั้งแผนที่เดินทางไปโรงเรียนและแผนที่เดินทางไปยังรีสอร์ทสงบสุข และประการหลังนี่เองทำให้รอยยิ้มผุดพรายเต็มเรียวปากสวย

ตั้งแต่ผู้เป็นพ่ออนุมัติให้มาทำโรงเรือนกล้วยไม้ที่รีสอร์ทสงบสุข ควบคู่ไปกับการสอนคีตมวยไทยให้กับเด็กนักเรียนของรุ่นพี่แล้ว ไอราพตก็เป็นคนติดต่อประสานงานกับทางรีสอร์ททั้งเรื่องที่พักอาศัยและข้อจำกัดในการดำเนินงาน หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วรายละเอียดทุกอย่างจึงถูกบรรจุลงในกระดาษและส่งต่อมายังหล่อน...แม้อยากจะเป็นคนติดต่อพูดคุยกับเจ้าของรีสอร์ทสงบสุขด้วยตัวเอง แต่ด้วยความหวั่นเกรงการตีกลับของคำอนุมัติซึ่งอบอวลอยู่บนสีหน้าแววตาของคุณฉันท์ตลอดเวลาที่อยู่บ้านก็ทำให้หล่อนรอรับคำสั่งอย่างสงบเสงี่ยม

ไอยเรศไม่รู้ว่าพี่ชายติดต่ออีกฝ่ายเนื้อถ้อยใจความเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีหล่อนก็ได้รับหมายกำหนดการซึ่งระบุวันไปวันกลับเขียนด้วยลายมือของผู้เป็นพ่อลงน้ำหนักตัวอักษรคล้ายจะเน้นย้ำเป็นพิเศษ อ่านคำสั่งจากลายมือนั้นแล้วหญิงสาวก็ได้แต่อมยิ้มเพราะคนเขียนตอนนี้ไปเป็นวิทยากรอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่รอดูว่าหล่อนจะปฏิบัติตามคำสั่งเคร่งครัดเพียงใด...เข้าทางหล่อนเป๊ะ ๆ !!

เมื่อแมวไม่อยู่ หนูอย่างไอยเรศก็ดื้อตาใส หล่อนเก็บข้าวของลงกระเป๋าทันทีที่ผู้เป็นพ่อออกเดินทาง ท่ามกลางเสียงค้านของแม่และพี่ชายซึ่งแย้งว่าเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันนัดหมายให้คนจากรีสอร์ทมารับหล่อนที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด ทว่านอกจากจะไม่ฟังแล้วหญิงสาวยังแก้ปัญหาด้วยการโทรศัพท์หารุ่นพี่ผู้ต้องการความช่วยเหลือซึ่งครูหนุ่มตอบรับเรื่องการหาที่พักและการรับส่งเน้นย้ำเรื่องการดูแลจนสุดท้ายไอราพตก็ต้องยอมแต่โดยดี

...ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวหล่อนเองว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนหนักหนา...

สัญญาณบางอย่างในความรู้สึกก่อให้เกิดความอบอุ่นเล็ก ๆ ในหัวใจ ความรู้สึกนั้นกระซิบให้หล่อนหวามไหว สิ่งที่รอคอย ที่เฝ้าคำนึงหากำลังก่อร่างสร้างตัวให้หล่อนสัมผัสได้ และเจ้าสิ่งนั้นหล่อนมั่นอกมั่นใจหนักหนาว่า...ตั้งรอหล่อนอยู่ที่รีสอร์ทสงบสุข...เพื่อพิสูจน์สิ่งนั้นหล่อนต้องรีบไปหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ !

โทรศัพท์มือถือส่งเสียงให้รู้ว่ามีสายเรียกเข้า เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นเบอร์ของคนมารับจึงรีบกดรับ

“พี่เอก อายถึงท่ารถแล้วนะ”

“อาย พี่ขอโทษจริง ๆ ว่ะ พี่คงไปรับไม่ได้แล้ว ไปเองได้ไหม ? พอดีออกเยี่ยมบ้านเด็กแล้วเจอเด็กเกิดอุบัติเหตุน่ะ เด็กพี่เจ็บหนักต้องพาส่งโรงพยาบาล” น้ำเสียงกึ่งเกรงใจกึ่งกังวลของปลายสายฟังแล้วพลอยตกใจตาม

“ช่างหัวเรื่องมารับเหอะพี่ ว่าแต่เด็กเป็นไงบ้าง หนักเหรอ ?”

“ก็เยอะอยู่ แต่ปลอดภัยแล้วล่ะติดต่อผู้ปกครองแล้วรอให้มารับช่วงต่อจากพี่อยู่” คำตอบนั้นทำให้ไอยเรศรู้สึกโล่งอกโล่งใจอยู่ครามครัน แม้จะเป็นเด็กไม่รู้จักแต่ถ้าเป็นข่าวไม่ดีก็ชวนใจหายอยู่ไม่ใช่น้อย

“เอางี้...พี่เอกก็อยู่กับเด็ก อายขอแวะไปดูรีสอร์ทก่อน แบบว่าอยากเห็นก่อนเข้าไปอยู่น่ะ แล้วพี่เอกค่อยไปรับอายที่นั่นก็แล้วกันนะ บอกอายมาว่าจะไปรีสอร์ทนั้นด้วยวิธีไหน” อีกฝ่ายรับคำพร้อมบอกช่องทางอย่างรู้นิสัยกันดีว่าไม่เรื่องมาก

หลังจากถามทางมาจนถึงรถโดยสารซึ่งรุ่นพี่หนุ่มแนะนำว่าสามารถพาหล่อนไปถึงจุดหมายได้ กำลังยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ กระบะโฟร์วีลสีดำคันหนึ่งก็จอดต่อท้ายรถโดยสาร ลักษณะการจอดค่อนข้างแรงจนรถโยกไหวพร้อมประตูฝั่งคนขับเปิดปิดรวดเร็วรุนแรงเรียกความสนใจจากผู้คนให้หันมอง คนขับก้าวออกมายืนข้างรถใบหน้ามองตรงมายังหญิงสาว ก่อนพาร่างสูงใหญ่เดินตรงดิ่งเข้าหาราวกับเสือร้ายเจอเหยื่อโอชะพร้อมกางกรงเล็บตะปบให้สยบแทบเท้า หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างเมื่อรูปร่างหน้าตาชายหนุ่มคนนั้นแจ่มชัดทั้งในสายตาและหัวใจ...แม้ทุกย่างก้าวของเขาจะเต็มไปด้วยท่าทีคุกคาม...แต่หล่อนพร้อมจะกระโจนเข้าหากรงเล็บนั้นด้วยความยินดี

“คุณการัณย์ !!”



รัมย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2557, 16:05:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2557, 16:05:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1797





<< ๔ เพียงพบพักตร์...   ร...เริ่ม >>
รัมย์ 6 ม.ค. 2557, 16:05:47 น.
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณคนอ่านที่น่ารัก

สุขภาพแข็งแรง การงานก้าวหน้า การเงินเข็มแข็ง ครอบครัวสุขสันต์ สมหวังดังตังใจปฏิบัติกันทุกคนนะคะ ^^

ดองนานข้ามปีกันเลยทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ ขอโทษมากมาย และยอมรับผิดโดยดีค่ะ
งานหลวงหลั่งมาชนิดพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกกันเลยทีเดียว
อีกประการคือเรื่อง “ใต้ร่มดอกรัก” อยู่ในโปรเจค Magic box, Magic love ของสำนักพิมพ์ มายดรีม ในเครือสถาพร ซึ่งรวมนักเขียน ๖ คน มาเขียนเรื่อง ๖ เรื่อง ซึ่งนักเขียนประกอบด้วย : เพฑูรย์, เตชิตา, รมย์นลิน, รัมย์, ศิรพิชญ์ และ สิรินรชา นาถธีรดา
โดยสามารถอ่านแยกเล่มได้เพราะแต่ละเรื่องไม่เกี่ยวเนื่องกันค่ะ
โปรเจคนี้วางแผงในงานหนังสือเมื่อเดือนตุลาคมแล้วสองเรื่อง นั่นคือ
ลิขิตหัวใจ คาสโนว่า โดย เพฑูรย์
บุพเพเล่ห์พรหม โดย เตชิตา
หลังผ่านพ้นมรสุมงานหลวง และมีคิวออกหนังสือต่อจากสองเล่มแรก รัมย์ก็เร่งเขียนต้นฉบับ จนตอนนี้จบและส่งต้นฉบับให้ บ.ก. เรียบร้อยแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จและวางแผงในเร็ววันนี้
รัมย์จึงมีเรื่องมาขอความกรุณาคุณคนอ่านที่น่ารักว่า...เรื่องนี้ ไม่อาจลงได้จนจบเหมือนเรื่องอื่น ๆ
ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งไว้ก่อนแถมยังทิ้งช่วงไปน้าน นาน ขอยกยอดไปแก้ตัวเรื่องต่อไปนะคะ
สำหรับ “ใต้ร่มดอกรัก” นี้ จะขอลงแค่ถึงตอนที่ ๘ ค่ะ
มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวอย่างไร จะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ

สำหรับตอนนี้
ขอบคุณมากมาย สวัสดีปีม้าค่ะ

รัมย์


mhengjhy 6 ม.ค. 2557, 18:18:17 น.
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

สงสัยว่าการันย์จะมาเป็นพายุหรือเปล่า 55555


nasa 6 ม.ค. 2557, 20:03:50 น.
สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ เอามายั่วให้รอรวมเล่ม อีกนานมั้ยคะกว่าจะได้อ่านตอนจบ อยากรู้ว่าอายจะพิชิตใจหนุ่มหน้าดุยังไง


Sukhumvit66 6 ม.ค. 2557, 21:35:49 น.
โอ๊ย..ลุ้น ๆ


กาซะลองพลัดถิ่น 7 ม.ค. 2557, 03:50:29 น.
สวัสดีปีใหม่คะ ...สุขกาย สุขใจนะคะ
นึำกภาพตามได้เลยว่ากับคำว่า พร้อมจะกระโจนเข้าหากรงเล็บนั้นด้วยความยินดี


Hibara 7 ม.ค. 2557, 08:21:10 น.
อ๊ะ พี่รัมย์ทำร้ายเขาได้ลงคอออออ อยู่ไกลถึงนี่กว่าจะได้เป็นเล่มๆ มานอนกกจะต้องลงแดง ลงเขียว ลงเหลืองแน่ๆ >.<


นักอ่านเหนียวหนึบ 8 ม.ค. 2557, 00:37:00 น.
สวัสดีปีใหม่ค่าา ยินดีกะไรท์เตอร์ด้วย ขอให้คลอดไวๆ น้าาา


นักอ่านเหนียวหนึบ 8 ม.ค. 2557, 00:37:00 น.
สวัสดีปีใหม่ค่าา ยินดีกะไรท์เตอร์ด้วย ขอให้คลอดไวๆ น้าาา


askan 8 ม.ค. 2557, 06:12:05 น.
สนุกค่ะ..


Zephyr 21 ม.ค. 2557, 21:23:02 น.
สนุกค่ะ
มาแบบอารมณ์ไม่ดีเชียว สังเกตจาการจอดรถ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account