บ่วงนฤมิต พิมพ์คำ ตีพิมพ์
ละครที่รับเล่น บทประพันธุ์เรื่องเยี่ยมที่เป็นตำนานเล่าขาน ทำให้ขวัญอุมากังขาถึงเงื่อนงำบางอย่าง ยิ่งสืบยิ่งค้นก็ยิ่งเห็นว่ามีบางอย่างปิดปกติ
Tags: บ่วง ลินิน

ตอน: ตอนที่ 2 100%

อีกครั้งที่ขวัญอุมายังหมกมุ่นอยู่กับบทโฉมเฉลาจากละครเรื่องใหม่ ‘รอยอดีต’ ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากเห็นบทประพันธ์จริง แต่ไม่ว่าจะไปร้านหนังสือกี่ร้าน ค้นหาในอินเทอร์เนตกี่ที่ก็ยังไม่เจอ
“พี่ปลา”
หญิงสาวลากเท้าขึ้นบันไดไปเคาะห้องผู้จัดการสาวร่างอวบที่วันนี้มานอนค้างเป็นเพื่อนเพราะขับรถมาส่งแล้วขี้เกียจขับกลับ
ฝ่ายนั้นแต่งกายหมิ่นเหม่ด้วยเสื้อคลุมผ้าขนหนู ใบหน้าใหญ่พอกด้วยโคลนเหลือแค่ตากับปากเอาไว้
“อะไรยะ” ถามเมื่อปรายตามองบทในมือขวัญอุมา “ไม่เข้าใจตรงไหน”
“ถามคุณจี๊ดให้หน่อยได้ไหมว่าเขามีหนังสือเรื่องนี้หรือเปล่าขวัญอยากได้ หากี่ที่ๆ ก็ไม่พบ ขวัญว่าเรื่องมันต้องไม่ใช่แบบนี้ค่ะ เขาบิดเบือนแน่ๆ”
“เอ้…นี่หล่อนจะอะไรนักหนากับนิยายเรื่องนี้ยะ นิยายนะไม่ใช่พงศาวดารจะได้ค้นหาความจริงกันอยู่ได้ ถึงเขาจะบอกว่าเขียนจากเค้าโครงเรื่องจริงก็เถอะ” ลูกปลาเท้าสะเอว ปกติแล้วขวัญอุมาไม่เคยให้ความสนใจอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย ช่วงนี้ไม่รู้เกิดนึกเพี้ยนอะไรขึ้นมา
“บอกไม่ถูก แต่ขวัญรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะคะ” ดาราสาวถอนหายใจแล้วแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาหย่อนสะโพกลงนั่งบนเตียง ปลายเท้าเขี่ยพื้นไปมาอย่างครุ่นคิด อาการของเด็กในสังกัดทำให้ลูกปลาดึงบทในมือของขวัญอุมามาดูคร่าวๆ แต่ก็เห็นว่าทุกอย่างก็ปกติดี เหมือนบทละครทั่วๆ ไป
“หล่อนมีปัญหาอะไร”
“พี่ปลาไม่เข้าใจ” หญิงสาวถอนหายใจซ้ำซาก บอกไม่ถูกและไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้คนอื่นเข้าใจถึงความคิดซับซ้อนในใจ แต่เธอยังไม่อยากเล่นจนกว่าจะแน่ใจว่าคนเขียนบทโทรทัศน์ไม่ได้แต่งเติมจนบิดเบือนไปจากบทประพันธ์ของปรานและบทประพันธ์ไม่ได้บิดเบือนไปจากความเป็นจริง
แล้วอะไรคือความจริง…
หากมีใครซักคนถามเธอด้วยคำถามนี้ขวัญอุมาคงได้แต่อึ้งไป เพราะไม่สามารถให้คำตอบได้ รู้แต่ว่าแม่โฉมเฉลานางร้ายผู้น่าสงสารทำให้เธอนอนไม่หลับเลยทั้งคืน
“แล้วหล่อนเข้าใจตัวเองหรือไงยะ อ่านแล้วท่องบทให้ดี วันเปิดกล้องอย่าให้มีปัญหา” นิ้วชี้อวบคล้ำชี้มาใกล้ใบหน้าสวยแล้วเดินไปหย่อนตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้หญิงสาวถอนหายใจแล้วหยิบบทแม่โฉมเฉลาขึ้นมาดู แต่ก็ยังบอกกับตัวเองในใจด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำซาก
มันต้องไม่ใช่แบบนี้…

เสียงล้อบดถนนดังกว่าปกติทำให้สมาธิของวิยาดาสะดุดลง มือที่กำลังลากดินสอร่างภาพบนแผ่นเฟรมหยุดลง ตรงหน้าคือภาพถ่ายของอรนภา ดาราสาวเจ้าบทบาทอีกคนของวงการที่ใช้เป็นแบบวาดภาพอันเป็นงานหลักของสตรีวัยสี่สิบปลายทว่ายังดูสาวกว่าอายุจริงอยู่มาก
เสียงรถดังไม่นาน หลังจากนั้นฝีเท้าหนักๆ ก็ตามมา
“นึกยังไงมาเยี่ยมแม่ได้” วิยาดาดึงผ้ามาปิดเฟรม ถามโดยไม่หันหน้ามามองเพราะเสียงฝีเท้าหนักแบบนี้มีอยู่คนเดียว
“คิดถึงสิครับ” ผู้เป็นลูกชายเดินมาหยุดด้านหลังแล้วสวมกอด เท่านั้นใบหน้าที่ยังมีเค้าความสะสวยก็เบือนมาหาแล้วจรดปลายจมูกลงข้างแก้ม
“ปากหวาน แล้วหงุดหงิดอะไรทำไมถึงขับรถเร็วแบบนี้”
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ก่อนมามีเรื่องนิดหน่อย” ชายหนุ่มยักไหล่แล้วยื่นหนังสือการจัดสวนให้กับแม่ เพราะรู้ดีว่ามารดาชอบอ่านหนังสือพวกนี้คลายเหงา แต่ก็เกือบไม่ได้ติดมือมาฝากเพราะแม่ผู้หญิงไร้เหตุผลคนนั้น ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้จิตใจไม่สวยเหมือนหน้าตา
“กำลังนึกอยากได้อยู่พอดี สวนบ้านเราชักรกไม่เข้าตา” วิยาดาว่าทั้งที่ผู้เป็นลูกชายยังเห็นว่าสวนทั้งด้านหน้าด้านหลังจัดตกแต่งได้งดงามและห่างไกลกับคำว่ารกตา ทั้งสีสันและรูปแบบเข้ากันได้ดีกับบ้านหลังใหญ่ทาสีขาวออกครีมโทนสว่างทั้งหลัง
บ้านหลังนี้เก่าแก่อายุหลายสิบปีหรืออาจจะร้อยกว่าปีเขาก็ไม่แน่ใจ เป็นบ้านที่คุณตาของเขาซื้อมาจากคนอื่นอีกต่อหนึ่งเหตุเพราะเจ้าของร้อนเงินขายให้ในราคาไม่แพงนัก และหลังจากท่านเสียชีวิตก็ยกให้แม่ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว หลังพ่อเสียอีกคนแม่จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างถาวรพร้อมด้วยยายชุ่มคนเก่าแก่ที่เลี้ยงแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้แกอายุแปดสิบกว่าเกือบเก้าสิบเริ่มหลงๆ ลืมๆ บ้างแล้ว
ธีรัชไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านในกรุงเทพฯ กับบ้านของแม่ เป็นตึกโดดๆ อยู่ภายในเนื้อที่กว้างขวางหลายสิบไร่ในอำเภอศรีราชา เบื้องหน้าไกลไม่ถึงห้ากิโลเมตรคือท้องทะเลสีเขียวมรกตและหาดทรายขาวละเอียดยิบขับเน้นอาคารหลังนี้ให้โดดเด่น
ตึกเย็น เป็นอาคารเก่าแก่ ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโรมันและไทย ประตูหน้าต่างเป็นรูปโค้ง ตีบานเกล็ดทำจากไม้เล็กๆ ตามแนวนอน ตัวหลังคาเป็นทรงปั้นหยา ถัดมาคือช่องลมที่ทำมุขด้านบนเป็นรูปดาว บ้านทั้งหลังงดงามน่าอยู่ทว่าเขากลับทนอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้
หลังจากเรียนจบเขาก็เข้าบริหารงานโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ส่งออกต่อจากผู้เป็นพ่อ เดือนละครั้งหรืออาจมากกว่านั้นถึงแวะเวียนมาที่นี่และทุกครั้งที่มาเยือนความรู้สึกของเขาก็เหมือนเดิม
ร้อนรุ่ม…ร้อนจนทนอยู่ไม่ได้
“บ้านเงียบจังครับ ไปไหนกันหมด” เขากวาดสายตามองหาสมาชิกในบ้าน เพราะปกติหากได้ยินเสียงรถเขา ขนมเอยน้ำหวานเอยจะยกตามกันมาเป็นขบวน
“แม่ใช้ให้สุดใจไปจ่ายตลาดเอารถที่บ้านไป ส่วนยายชุ่มนอนเอนหลังในห้อง”
สมาชิกในบ้านนอกจากแม่แล้วก็มียายชุ่ม ป้าสุดใจลูกสาวยายชุ่มรับหน้าที่งานครัว แป้นทำงานบ้านทั่วไปและลุงหวายคนขับรถ เขาคิดจะหาเด็กรับใช้มาเพิ่มให้แต่แม่ก็ปฏิเสธ เพราะท่านไม่ชอบความวุ่นวาย
“ตามมานี่เถอะ แม่จะหาอะไรให้ทาน” แม้ปีนี้อายุจะสี่สิบปลายทว่ายังดูประเปรียวแข็งแรง ท่าทางขณะเดินผ่านถนนเล็กแคบวางด้วยหินกาบสีม่วงคล่องแคล่วกว่าเขาเสียอีก ชายหนุ่มจึงรีบสาวเท้าตามผู้เป็นมารดาที่ทิ้งระยะห่างออกไปไกลจนลับหายเข้าไปในตัวบ้าน
เขานั่งรอไม่นานสาคูไส้หมูร้อนๆ ก็วางมาตรงหน้าพร้อมน้ำเย็นๆ แม้จะขับรถมาตั้งหลายชั่วโมงเพราะแวะดูงานหลายที่กว่าจะมาถึงนี่ทว่าสีหน้าไม่ดูอิดโรยให้เห็น อาจเป็นเพราะเขาเคยชินกับการขับรถระยะทางไกลๆ เพราะต้องเดินทางไปดูโรงงานในสาขาต่างจังหวัดบ่อยๆ
“แล้วไปอาบน้ำอาบท่าซะนะ จวนเย็นแล้วทานข้าวจะได้พัก”
“ไม่ง่วงเลยครับแม่” เขาเงยหน้าจากขนมแล้วส่งเข้าปากไปอีกคำ เห็นแม่นั่งหย่อนกายลงตรงข้าม หนังสือนิยายแนวพีเรียดวางเอาไว้ใกล้มือจึงนึกถึงแม่คนนั้นขึ้นมาอีก
“อยากอ่านหรือ” วิยาดาถามเมื่อเห็นลูกชายมองหนังสืออยู่นานอย่างสนใจ
“เปล่าครับ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบอ่านหนังสือพวกนี้ แต่ผมตั้งใจซื้อเล่มหนึ่งมาฝากแม่ แต่เสียดายที่หมดแล้วผมก็เลยจองไว้ให้”
“หืม?” คิ้วสีเข้มคล้ายผู้เป็นลูกเลิกสูงอย่างแปลกใจ “นึกยังไงคิดซื้อนิยายมาฝากแม่”
“ผมเห็นชื่อเรื่องมันน่าอ่านดีครับ รอยอดีต” พอพูดชื่อเรื่องออกไปความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาจู่โจม ลมหายใจติดขัดเหมือนกระแสบางอย่างไหลวนเข้าสู่กาย
รอยอดีต…
เสียดายที่ไม่ได้หนังสือเล่มนี้ติดมือมาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจอยากทดลองอ่านนิยายดูบ้าง
“ของใคร คุณปรานหรือเปล่า”
“เอ…ไม่รู้สิครับแม่ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจองไว้แล้วชื่อน่าอ่านเลยนึกถึงแม่” ชายหนุ่มส่ายหน้า ยิ่งพูดถึงความรู้สึกเสียดายก็ถาโถม
“ถ้าใช่ละก็ แม่มีแล้ว”
“มีแล้ว!” สุ้มเสียงของชายหนุ่มเกิดอาการตื่นเต้นยินดี ประกายตาระริกไหวเหมือนคนทำของมีค่าหล่นหายแล้วกำลังจะได้กลับคืน “ผมขอดูหน่อยครับแม่”
“จ้ะๆ”
แม้ค่อนข้างแปลกใจแต่วิยาดาก็ลุกขึ้นแต่โดยดี ชายหนุ่มทนรอไม่ไหวจึงตามไปติดๆ จนมาถึงห้องสมุดที่อยู่มุมสุดทางปีกขวาของคฤหาสน์หลังใหญ่อันเป็นที่เก็บสะสมหนังสือมากมายตั้งแต่เจ้าของเดิมยังอยู่และเจ้าของคนใหม่หามาเพิ่มเติม ทั้งห้องจึงแน่นขนัดไปด้วยหนังสือมากมายทั้งเก่าและใหม่แยกเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ
วิยาดากวาดสายตามองสันหนังสือครู่เดียวก็หยิบหนังสือนิยายเล่มหนาค่อนข้างเก่าแต่ห่อปกด้วยพลาสติกใสอย่างคนรักหนังสืออย่างดีออกมา ตัวปกสีน้ำตาลอมแดง ไม่มีลวดลายอื่นใดนอกจากตัวอักษรสีทองหวัดๆ บอกชื่อหนังสือและท้ายสุดคือชื่อของคนแต่ง
ปราน…
อักษรสีทองที่ปรากฏบนหนังสือสีน้ำตาลอมแดงปรากฏชัดเจนอย่างเรียกร้อง ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาหาแล้วรับหนังสือมาไว้ในมือ ลูบไล้ ผะแผ่ว…
“ปราน”
“จ้ะ นามปากกานี้แม่หามานานก็ไม่พบว่าเขาเขียนเรื่องอะไรอีก มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว น่าเสียดาย เขียนดีมากสำนวนสละสลวยอ่านแล้วคล้อยตาม แต่แน่ใจหรือเราว่าจะอ่านนิยาย” วิยาดาถามทว่าไม่มีคำตอบออกจากปากของลูกชาย
มือหนาวางทาบมาบนตัวอักษรสีทอง ความรู้สึกอุ่นซ่านประหลาดแทรกซึมผ่านฝ่ามืออุ่นชื้นไหลวนมาตามเนื้อตัวพร้อมกันนั้นความเศร้าสร้อยบางอย่างก็ลอยวน
อาการของลูกชายทำให้วิยาดาชะงักค้างริมฝีปากที่เผยอจะถามอะไรบางอย่าง ท่าทางของธีรัชเหมือนคนอยู่ในภวังค์ลึก วาบหนึ่งนั้นประหนึ่งไม่ใช่บุตรชายตัวเอง
“รัช…”
เสียงหวานใสของผู้เป็นมารดาทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง ความเศร้าสร้อยที่ครอบงำอยู่เมื่อครู่จางลงจึงหันมายิ้มให้แต่มือยังจับหนังสือไว้แน่นไม่ยอมคลาย
“ผมยืมไปอ่านก่อนนะครับแม่”
“จ้ะ”
แล้วลูกชายเธอก็เดินดุ่มออกไปจากห้องสมุดเร็วจนเรียกเอาไว้ไม่ทัน พร้อมกันนั้นความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็อึงอลอยู่ในใจ
แค่นิยาย…
ใจหนึ่งบอกทว่าอีกเสียงค้านเอาไว้
ไม่ใช่นิยายธรรมดา….
วิยาดาสะบัดใบหน้าเพื่อขับไล่ความฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง เสียงรถของนายหวายแล่นเข้ามาจอดเทียบ เธอจึงปัดความไม่สบายใจออกไปจนหมดเพื่อช่วยสุดใจลงครัวทำอาหารของโปรดให้กับลูกชาย เธอปิดประตูห้องสมุดแล้วบอกกับตัวเอง
คง…ไม่มีอะไร

ธีรัชเอนกายเข้ากับหัวเตียงภายในห้องนอนที่นานๆ ทีถึงจะนอนที่นี่เสียครั้งหนึ่ง เตียงนอนกว้างแบบสี่เสาวางอยู่มุมใกล้หน้าต่าง มุ้งลูกไม้ลายสวยสีขาวสะอาดตาตลบขึ้นสูง เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้คงเดิมเอาไว้เกือบทุกอย่าง แม้แต่เตียงนี้
เตียงที่ให้ความรู้สึกร้อนรุ่ม ไม่เคยเลยที่จะหลับอย่างเป็นสุขภายในเตียงนอนอันนี้ และยิ่งในตอนที่เขาถือหนังสือเล่มนี้อยู่ในมือตั้งท่าจะอ่าน ความรู้สึกเศร้าสร้อยตามติดจนทนอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาลากเก้าอี้ไปชิดขอบหน้าต่างแล้วนั่งอ่านแทน
แค่เปิดหน้าแรก ลมจากทุกทิศทุกทางก็ตีสะบัดเข้ามาภายในห้องจนเศษกระดาษปลิวว่อน จึงได้สังเกตว่าหน้าต่างที่หับเอาไว้แต่แรกไม่สนิทลมจึงแทรกผ่านเข้ามาได้แต่ก็ไม่น่าจะแรงจนทำให้ข้าวของปลิวได้ ธีรัชเสียเวลาเก็บกระดาษให้เข้าที่อยู่นานหลายนาทีจึงย้อนกลับมาเปิดหน้าแรกใหม่
หน้าแรกที่เปิดคือคำนำของผู้เขียนทว่าขาดไปกว่าครึ่งแผ่นเหมือนโดนฉีก ทั้งหน้าจึงมีแค่คำขึ้นต้นและเสี้ยวหนึ่งของคำลงท้าย จากนั้นจึงลงชื่อผู้เขียนเอาไว้
สมุดบันทึกเล่มหนึ่ง….ลุง….ไม่จบเรื่อง…..
ข้อความไม่ปะติดปะต่อของคำนำจากผู้เขียนทำให้ชายหนุ่มเปิดข้ามผ่านไปถึงบทที่หนึ่งที่บรรยายภาพตึกออกมาได้ใกล้เคียงกับบ้านที่เขากำลังพำนักอยู่

คฤหาสน์รมย์ฤดี กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวต้อนรับปภาคิน คุณชายใหญ่ของบ้านที่เพิ่งกลับจากไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ในครัวอันเป็นพื้นที่กว้างขวางพอใช้อยู่ทางด้านหลัง เป็นครัวแบบเปิดโล่งทว่ายามนี้ควันจากการประกอบอาหารฟุ้งตลบ กลิ่นหอมชวนน้ำลายสออบอวลเรียกน้ำย่อยของสมาชิกรมย์ฤดีให้หลั่งออกมาเพ่นพ่านไปทั่วกระเพาะอาหาร
คฤหาสน์หลังกว้างมีเจ้านายอยู่สี่คนอันประกอบด้วยพันตรีปพนกับคุณปฐมาผู้เป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก มีโซ่ท้องคล้องใจคือปภาคินกับวรดาอายุห่างกันเกือบสิบปี ปฐมาถอดใจคิดว่าจะมีลูกชายโทนแค่คนเดียวเสียแล้วแต่กลับได้แก้วตาดวงใจมาเพิ่มอีกหนึ่งคนตอนอายุมากดังนั้นวรดาจึงถูกตามใจมากเป็นพิเศษ
นอกจากเจ้านายสี่คนที่เหลืออีกกว่าสิบชีวิตคือคนรับใช้ที่จัดสรรแบ่งงานกันทำคนละไม้ละมือ เพราะแค่ดูแลบ้านหลังใหญ่ก็งานล้นมือ
ในครัวกำลังวุ่น บนตึกก็ไม่แตกต่างกันเพราะปฐมาจัดแจงให้คนย้ายโน่นเติมนี่ในห้องนอนของลูกชายอยู่หลายรอบก็ยังไม่ถูกใจจนผู้เป็นลูกสาวคนเล็กที่ปีนี้อายุสิบห้าปีกำลังเป็นวัยแรกสาวสดใสต้องส่ายหน้า เดินมาหย่อนตัวลงบนที่นอนของพี่ชาย ผู้เป็นแม่ร้องลั่นเมื่อเห็น
“เดี๋ยวยับ”
“โธ่…คุณแม่ละก็ หลายวันนี้เอาแต่สนใจเรื่องของพี่ใหญ่ เล็กชักจะงอนแล้วนะคะ” หญิงสาวย่นจมูก ไม่สนใจเรื่องเตียงนอนยับย่นตามแรงกดของสะโพกตัวเองมิหนำซ้ำยังแกล้งด้วยการล้มตัวลงนอนกลิ้งไปมาเสียอีก ชายผ้านุ่งสีเขียวสดปักชายเกี่ยวกับปลายเท้าเปิดขึ้นทำให้เจ้าตัวรีบกระเด้งลุกมาตะครุบ
“ยายเล็ก เดี๋ยวเถอะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ นั่นที่นอนพี่ชายเรานะ” ปฐมาฉุดข้อมือเล็กขาวให้ลุกขึ้นยืนทว่าคนชอบแกล้งขืนตัวจนคนเป็นแม่อ่อนใจไปเอง
“จริงๆ เลยยายคนนี้”
“พี่ใหญ่ไม่ว่าหรอกค่ะแค่เตียงยับนิดหน่อย แล้วห้องนี้คุณแม่จะเปลี่ยนข้าวของอีกซักกี่รอบคะ ตอนแรกก็สวยอยู่หรอกพอคุณแม่หาโน่นนี่มาเพิ่มเล็กว่ามันรกตา” วรดาออกความเห็น เท่านั้นคนเป็นแม่ก็หน้าเสีย
“จริงเหรอ”
“ค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าจริงจัง ต่อเมื่อเห็นสีหน้าของแม่จึงปิดปากหัวเราะคิก “เล็กล้อเล่นหรอกค่ะ เล็กแค่อิจฉาพี่ใหญ่เท่านั้นแหละที่ดูจะดูดเอาความรักของใครต่อใครทั้งคุณพ่อ คุณแม่แล้วไหนจะป้าสุดใจ ยายชุ่มแล้วก็ใครต่อใครไปจนหมด ไม่มีใครเหลือเศษเสี้ยวความรักให้เล็กบ้างเลย”
“ดูพูดเข้า แค่นี้ทำมาอิจฉาพี่ก็พี่ชายเราไปศึกษาต่อประเทศอังกฤษตั้งหลายปี ใครก็ต้องคิดถึงก็ลองเราไปบ้างแม่ก็คิดถึงเหมือนกัน” ปฐมาค้อนให้ ผู้เป็นลูกสาวจึงผุดลุกจากเตียงแล้วถลาร่อนมาเกาะแขน
“งั้นคุณแม่ให้เล็กไปอังกฤษบ้างนะคะ หลังจบมอแปดแล้วให้เล็กไปนะ” หญิงสาวออดอ้อนจริงจังเคยขอมาแล้วหลายหนแต่ไม่มีใครสนใจเก็บเอาไปพิจารณา
ปฐมาส่ายหน้าแล้วหยิกหมับไปบนต้นแขนกลมกลึง
“พูดกันมาหลายรอบ เมื่อไหร่จะเข้าใจ”
“แล้วทีพี่ใหญ่ยังไปได้” หญิงสาวบ่นอุบ ย่นจมูกทำหน้างอน เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ อยากได้อะไรพ่อแม่ยอมหามาให้หมดแต่เรื่องไปเรียนเมืองนอกไม่ว่าเธอจะเพียรขออย่างไรก็ไม่มีใครยอมอนุญาต ความคิดความอ่านของวรดาออกจะโลดโผนเกินวัย
“มันไม่เหมือนกัน เราน่ะเป็นผู้หญิง แม่อนุญาตให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ดีแล้วนะ อีกหน่อยก็ออกเรือนไปแม่ก็เห็นว่าจบมอแปดก็น่าจะพอ”
“โธ่…จบแค่มอแปดจะไปได้เรื่องอะไรคะ ไม่เอาหรอก” วรดาหน้างอ นึกอิจฉาพี่ชายตัวเองที่ได้ท่องโลกกว้างไปไกลถึงอังกฤษ ไม่เหมือนเธอที่ติดแหง็กอยู่ในโลกแคบๆ ใบนี้ด้วยเหตุผลว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เธอภาวนาวันละสิบๆ รอบ ขอให้ชาติหน้าเป็นผู้ชายจะได้ทำอะไรได้ตามใจ
“ความคิดพิลึกคนจริงเชียว ดูอย่างหนูกนกแขเถอะ น้ากานต์ไม่ต้องมาปากเปียกปากแฉะเหมือนแม่ สั่งให้หันซ้ายก็หัน หันขวาก็หัน ไม่เหมือนเราตรงข้ามหมด” ปฐมาเปรียบเทียบยิ่งทำให้ผู้เป็นลูกสาวทำหน้ายุ่งเป็นยุงตีกัน แม้น้ากานต์หรือกานติมากับครอบครัวจะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ซอยเดียวกันไม่กี่ปีทว่าสนิทสนมกับแม่เธอราวกับรู้จักกันมานานนม และเกิดติดอกติดใจลูกสาวบ้านนั้นเข้าเสียอีก
กนกแข หญิงสาวสวย กำลังศึกษาอยู่ชั้นมอแปด ลูกสาวคนเดียวของกานติมา ผู้ที่แม่ของเธอหมายมั่นปั้นมืออยากได้เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลรมย์ฤดี หากพี่ใหญ่ตกลงปลงใจจริงคนที่แทบจะอกแตกตายก็เห็นจะเป็นเธอเอง เพราะแม่คงจะหาเรื่องเปรียบเทียบเธอกับพี่สะใภ้จนชาหู
“นั่นมันเรื่องของพี่แขเถอะค่ะ แต่เล็กจะเรียนมหาวิทยาลัย คุณพ่ออนุญาตแล้วด้วย” วรดาเอาพ่อมากล่าวอ้างแล้วขยับตัวออกห่างก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่คุณพ่อจะพาพี่ใหญ่กลับมาถึงเมื่อไหร่คะ”
“คงจะเย็นๆ แม่ไปดูพวกในครัวซักหน่อยว่าทำอะไรกันไปถึงไหนแล้วมั่ง ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาก็หลายปีคงเบื่อนมเนยเต็มทน” ว่าแล้วปฐมาก็ผละออกไป วรดามองตามแล้วยักไหล่ เกือบห้าปีแล้วกระมังที่พี่ชายเธอไปศึกษาต่อต่างประเทศ
คนหนุ่ม…แน่หรือจะพกเอาความโสดกลับมาด้วย อาจจะซุกเมียแหม่มไว้ด้วยก็ได้ใครจะรู้
หญิงสาวหันมาตบที่นอนของพี่ชายให้เข้าที่แล้วผละออกไปบ้าง

กนกแขถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายภายหลังที่ผู้เป็นแม่บอกให้เธอเตรียมตัวไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านรมย์ฤดีในเย็นวันพรุ่งนี้ หัวใจของเธอร้อนรุ่ม มีหรือจะไม่รู้ว่าแม่คิดจะจับคู่ให้เธอกับลูกชายบ้านนั้น ปภาคิน รมย์ฤดี
ชายหนุ่มที่ใครต่อใครในละแวกนี้ต่างบอกว่าเป็นหนุ่มหล่อจ้าเสน่ห์ เป็นที่หมายปองของสาวๆ บ้านไหนก็อยากอ้าแขนรับมาเป็นลูกเขย เธอยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขา เหตุเพราะพระยาสารประดิษฐ์ผู้เป็นพ่อเพิ่งพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่นี่หลังเขาไปศึกษาต่อประเทศอังกฤษได้เจ็ดเดือน
คนแถวนี้ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าตระกูลรมย์ฤดีร่ำรวยแค่ไหน ปภาคินเป็นลูกชาย แล้วสมบัติทั้งหมดจะไปไหนเสีย นอกเหนือจากนี้ชายหนุ่มยังรูปงาม จบการศึกษาสูงจากต่างประเทศ คุณสมบัติครบครัน
ทว่า…กนกแขไม่ได้คิดสนใจแม้แต่น้อย หัวใจของเธอยามนี้มีเพียงแค่ธนา ชายคนรักเท่านั้น แต่จะให้ทำอย่างไร เพราะเขาก็เป็นแค่ครูสอนนักเรียนประถมจนๆ คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่พ่อแม่ถึงจะยอมรับ ตอนนี้ความรักของเธอกับเขาจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ กันอยู่
หญิงสาวแต่งกายเรียบร้อยด้วยชุดเตรียมออกจากบ้านคือชุดกระโปรงสอบสีม่วงอ่อนลายดอกสีขาวสวมสร้อยไข่มุกยาวถึงกึ่งกลางหน้าอก เหนือผมดัดลอนตามสมัยนิยมคือหมวกสานสีขาวเข้าชุดกัน ทว่ายังไปไม่ถึงไหนประมวลแม่นมคนสนิทก็ร้องเรียก
“จะไปไหนคะคุณหนู”
หญิงสาวใจหายวาบ อุตส่าห์หลบออกจากทางด้านหลังขนาดนี้แล้วก็ยังมีคนเห็น
“ออกไปข้างนอก”
“ขอคุณแม่แล้วหรือคะ”
“ขอแล้ว” หญิงสาวปด เหตุเพราะร้อนใจอยากไปพบกับธนาเต็มที จึงลืมดูเวลาว่าตอนนี้บ่ายแก่แล้ว ทำให้ประมวล แม่นมวัยห้าสิบปลายเลิกคิ้ว
“เย็นแล้วนะคะคุณหนู จะไปไหน”
“ไปหาฉัตร มีธุระสำคัญ” หญิงสาวอ้างถึงฉัตรชนก เพื่อนรักเพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายปี นับตั้งแต่ที่เธอย้ายมาที่ศรีราชา เธออายุเท่ากันกับฉัตรชนกแต่เพราะเรียนช้าไปหนึ่งปีจึงยังเรียนไม่จบ ส่วนฉัตรชนกนั้นเป็นครูเช่นเดียวกับธนา
“อย่างนั้นให้นังน้อยมันไปเป็นเพื่อนนะคะ”
“ไม่ต้อง แค่ให้คนรถไปส่งที่บ้านของฉัตรก็พอ” สุ้มเสียงหญิงสาวออกแววรำคาญใจ เพราะโตจนป่านนี้แล้วทั้งแม่ทั้งป้าประมวลทำราวกับเธอเป็นเด็กหญิงกนกแขไม่รู้จักโตอยู่เสมอ
บอกเสร็จร่างสวยในชุดพอดีตัวก็ก้าวล้ำออกไปนอกประตู สั่งให้คนรถพาเธอไปยังที่หมาย ซึ่งขณะนั้นสตรีผู้เป็นเจ้าของบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กกำลังหุงข้าวอยู่ในครัว
ร่างสวยสมส่วนในชุดผ้าซิ่นเลยเข่ากับเสื้อคอกระเช้าสีซีดกำลังก้มๆ เงยๆ กับการหุงข้าว ฉัตรชนกอยู่ในบ้านหลังนี้กับแม่แค่สองคนเพราะแม่บอกว่าพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็กมาก พ่อหน้าตาเป็นอย่างไรเธอเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว ดูเหมือนไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับพ่ออยู่ในสมอง
เสียงรถคุ้นหูมาจอดเทียบหน้าบ้าน หญิงสาวจึงวางมือจากงานทั้งหมด ตักน้ำจากโอ่งในครัวมาล้างมือและเช็ดกับผ้าลวกๆ แล้ววิ่งออกไปรับหน้า
“แข มาเสียเย็น อยู่ทานข้าวด้วยกันนะ” ฉัตรชนกเอ่ยชวนตามมารยาทเพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเพื่อนคนนี้ก็คงทานอาหารบ้านเธอไม่ได้
น้ำพริกผักลวกกับไข่ต้ม คนอย่างคุณหนูกนกแข ลูกสาวคนเดียวของพระยาสารประดิษฐ์และคุณกานติมา ผู้เกิดมาบนกองเงินกองทองคงทนกินไม่ได้ บางทีอาหารเหลือทิ้งของคนบ้านนั้นยังดีกว่าอาหารที่เธอกับแม่ต้องกินเข้าไป แต่ก็นั่นแหละคนเราเลือกเกิดไม่ได้ ชาติที่แล้วกนกแขก็คงสร้างบุญบารมีมามากกว่าเธอ
มีบางครั้งบางคราวหรอกที่ฉัตรชนกจะคิดน้อยเนื้อต่ำใจทว่าผู้เป็นแม่ก็เอ่ยเตือนสติทำให้หญิงสาวคิดได้ ชาตินี้ถึงจะจนแต่เธอก็มีความสุขที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ มีความสุขท่ามกลางความยากจนที่มีแม่รักและเข้าใจเธอ อดทนส่งเสียจนกระทั่งเธอเรียนจบ มีงานดีๆ ทำ
“ไม่เป็นไร ฉัน…” กนกแขมองไปยังคนขับรถที่ยืนรออยู่แถวนั้นแล้วดึงแขนเพื่อนรักให้หลบไปอีกด้านก่อนกระซิบเสียงเบา
“ฉันจะหลบไปทางหลังบ้านเธอ ช่วยหน่อยสิ”
“แข เธอจะไปไหน อย่าบอกนะว่า…” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าบ้านตกใจ เพราะเห็นว่าเวลานี้เย็นมากแล้ว หากปล่อยให้เพื่อนไปหาผู้ชายค่ำมืดถึงจะเป็นคนรักกันก็ดูจะไม่งาม
“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับธนา เห็นใจฉันเถอะนะฉัตร”
สีหน้าทุกข์ร้อนของเพื่อนรักทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง อีกครั้งที่อดใจอ่อนไม่ได้ หลายครั้งแล้วที่เธอกลายเป็นข้ออ้างระหว่างคู่รักคู่นี้
กนกแขมักแอบอ้างชื่อเธอเสมอยามต้องการออกไปไหนมาไหนกับชายคนรัก และเพราะเธอเคยไปบ้านของกนกแขอยู่หลายครั้ง คุณกานติมาจึงไว้ใจพอจะให้ลูกสาวไปมาหาสู่กับเธอแม้ฐานะจะแตกต่างกันมากก็ตามทว่ายังวางตัวลูกสาวให้สูงกว่าเธอระดับหนึ่งเสมอ
“ต้องเป็นตอนนี้หรือ”
“ใช่ เพราะพรุ่งนี้คุณแม่จะให้ฉันไปรับประทานอาหารที่บ้านรมย์ฤดี ลูกชายคุณน้าปฐมาจะกลับมา ท่านต้องคิดจับคู่ให้ฉันแน่ๆ ฉันร้อนใจอยากปรึกษาธนา” กนกแขรวบมือเพื่อนสนิทมาเขย่า หยาดน้ำตาคลอคลอง
เธอรักธนามากเหลือเกิน หากชาตินี้ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันเธอคงต้องตายแน่ๆ
“แล้วแม่เธอ…”
“ฉันไม่ได้บอกท่าน ฉันสัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับ”
ฉัตรชนกถอนหายใจ ลังเลครู่หนึ่งจึงบอก
“งั้นฉันไปเป็นเพื่อน ไม่อยากให้เธอไปคนเดียว”
“ขอบใจมากนะฉัตร เธอเป็นเพื่อนคนเดียวที่ดีกับฉันมาตลอด” กนกแขยิ้มออก รู้อยู่แล้วว่าหากบีบน้ำตาเข้าซักหน่อย เพื่อนเธอจะต้องยอมใจอ่อน ทุกครั้งที่เธออยากได้อะไร หากใช้ไม้นี้ไม่มีทางที่ฉัตรชนกจะกล้าปฏิเสธ เหมือนเมื่อครั้งเธอรักกับธนาใหม่ๆ
เธอรู้…รู้ว่าธนามีใจให้กับฉัตรชนก และเพื่อนรักของเธอก็มีใจตอบ ทว่าเธอก็ดึงดันจะเอาเขามาเป็นของตัวเอง และเธอก็ทำสำเร็จ แค่บีบน้ำตานิดหน่อยฉัตรชนกก็หลีกทาง เช่นเดียวกับธนาที่เปลี่ยนใจมาหาเธอในภายหลัง และตอนนี้เธอมั่นใจว่าชายหนุ่มไม่มีใจให้กับฉัตรชนกอีกแล้ว
ฉัตรชนก ลูกสาวแม่ค้าขายผักหรือจะสู้คุณหนูกนกแข ลูกสาวคนเดียวของพระยาสารประดิษฐ์ได้ ถึงความสวยจะสูสีแต่ชาติกำเนิดต่างกันลิบลับ
“ฉันไปบอกแม่ก่อนนะ” หญิงสาวบอกแล้วหมุนกายออกไปจากตรงนั้น ไม่นานก็กวักมือเรียกให้เพื่อนเธอออกไปทางหลังบ้านอันเป็นทางลัดไปสู่ถนนเล็กแคบอ้อมตัดเข้าสู่ซอยบ้านของธนาที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกัน ก่อนไปกนกแขยิ้มทักทายให้กับนวลนงค์ แม่ของฉัตรชนกทว่าไม่ยกมือไหว้เพราะยังคงถือตัวว่าเหนือกว่า จะให้ลูกสาวผู้ดีอย่างเธอยกมือไหว้แม่ค้าขายผักก็กระไรอยู่
“รีบกลับนะฉัตร อย่าให้มืดค่ำ” นวลนงค์ร้องบอกตามหลัง ร่องรอยไม่สบายใจฉาบทาไปทั่ววงหน้า หวั่นใจว่าเพื่อนสนิทของลูกสาวคนนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้
แม้กนกแขจะมาที่นี่บ่อยครั้งและลูกสาวยอมรับเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท แต่เธอกลับยิ่งหนักใจว่าลูกสาวพระยาคนนี้จะก่อเรื่องอะไรเสื่อมเสียแล้วลากฉัตรชนกให้ไปข้องเกี่ยว มีอย่างหรือจะมืดค่ำอยู่แล้วยังร่ำร้องออกไปหาผู้ชายถึงบ้าน ธนาก็อีกคนจะคบหากันก็ไม่ควรทำลับๆ ล่อๆ อย่างนี้
ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เป็นลูกเขยเธอ…
ผู้ชายจะดีจะชั่วอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ สำหรับเธอแล้วไม่สนความยากดีมีจนขอแค่ให้ผู้ชายคนนั้นรักฉัตรชนกจริงเธอก็ยินดีจะยกให้โดยไม่คิดค่าสินสอด
นวลนงค์มองอาหารที่ลูกสาวทำค้างเอาไว้ แม้จะเริ่มหิวแต่ก็ยอมหิ้วท้องรอ อาหารพื้นๆ แต่กินแล้วมีความสุข อย่างน้อยก็มากกว่าตอนอยู่ที่...
สตรีวัยกลางคนปัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นให้ออกไปพ้นจากสมอง ถึงอย่างไรเธอก็จากที่นั่นมานานเกินกว่าจะนึกถึง แม้ลึกๆ จะรู้สึกผิดต่อลูกสาวคนนี้ก็ตาม
ถ้าไม่เพราะเธอ อนาคตของฉัตรชนกก็คงจะดีกว่านี้ เธอเองก็พยายามทำทุกทางเพื่อไม่ให้ลูกด้อยกว่าคนอื่นจนเกินไปนัก ถึงฉัตรชนกจะมีแม่เป็นแค่แม่ค้าจนๆ แต่การศึกษาต้องเทียมทัดกับคนอื่น คนการศึกษาน้อยอย่างเธอรู้ดีว่าการศึกษาสำคัญแค่ไหน เธอไม่เคยสอนให้ลูกนั่งรอนอนรอราชรถมาเกยจึงมีอยู่หลายครั้งที่ใครๆ ก็ค่อนขอดแม่ค้าขายผักยากจนอย่างเธอ
“แม่คนนั้นเขาหัวสูง ทำงานสายตัวแทบขาดส่งลูกเรียน เรียนแค่ปอสี่ปอหกก็พอแล้ว ผู้หญิงจะเรียนอะไรกันนักหนา จบมาก็ต้องให้ผัวเลี้ยงเหมือนกัน”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นล่ะ ดูอย่างนังเรียมลูกสาวฉัน จบแค่ปอสี่แต่มันได้ผัวเป็นนายทหารเรือโก้ไป ผู้หญิงมีความสวยอยู่กับตัวมันดีกว่าเรียนจบปริญญาเสียอีก” คนพูดยกตัวขึ้นมาข่ม ในละแวกนี้ก็ยังไม่เห็นว่าลูกสาวบ้านไหนจะหาคู่ครองได้ดีเท่าลูกตัว
“แต่ฉันว่านังนวลมันฉลาด”
“ฉลาดยังไงวะ” คนเพิ่งยกยอลูกสาวตัวเองเลิกคิ้ว
“อ้าว…ก็ยกศักดิ์ศรีลูกตัวเองให้ทัดเทียมกับลูกสาวพระยาสารประดิษฐ์ไงล่ะ เผื่อจะได้ลูกผู้ดีตาต่ำซักคนมาเป็นเขย”
คนออกความคิดค้อนให้ลมด้วยความหมั่นไส้บุคคลที่ถูกกล่าวถึงด้วยไม่อยากเห็นใครได้ดีกว่า และดูเหมือนใครต่อใครจะเห็นด้วยกับความคิดนี้มากเสียด้วย
นวลนงค์ได้ยินผ่านหูแต่ไม่คิดใส่ใจ ใครจะรู้เหตุผลของเธอเท่ากับตัวเธอเอง
ใครจะค่อนแคะอย่างไรก็ได้แต่เธอมีหน้าที่เลี้ยงดูถนอมกล่อมเกลี้ยฉัตรชนกให้ดีที่สุด ให้มีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานและการศึกษาทัดเทียมผู้อื่น จะมีใครหน้าไหนมาว่าฉัตรชนกไม่ได้
ผู้ดี…อยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นผู้ดี
นวลนงค์ยอกแสลงในอก เจ็บปวดในหัวใจ เลือดของฉัตรชนกเป็นผู้ดีครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นไพร่แต่ใครจะมาว่าลูกสาวเธอไม่ได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงถูกสอนสั่งและอบรมมาให้ดีพร้อม



สาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2557, 23:33:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2557, 23:44:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1673





<< ตอนที่ 1 100%   ตอนที่ 3 50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account